

รับเงินมาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายต้องคืนเงินในฐานลาภมิควรได้ รับเงินมาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายต้องคืนเงินในฐานลาภมิควรได้ การที่โจทก์ชำระหนี้ซ้ำซ้อนจำเลยที่ 1 ได้รับเงินจำนวนนี้มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ จำเลยที่ 1 จึงต้องคืนเงินให้แก่โจทก์ในฐานลาภมิควรได้และเนื่องจากทรัพย์ที่ต้องคืนเป็นเงิน จำเลยที่ 1 จึงต้องชำระคืนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 คืนเงินดังกล่าวก่อนฟ้องคดี จึงให้คิดดอกเบี้ยได้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4657/2552 โจทก์ชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์แก่จำเลยที่ 1 ตามเช็คและรายการชำระเงินจำนวน 3,320,150 บาท อันเป็นการชำระหนี้ซ้ำซ้อน จำเลยที่ 1 ได้รับเงินจำนวนนี้มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบจำเลยที่ 1 จึงต้องคืนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ในฐานลาภมิควรได้ และเนื่องจากทรัพย์ที่ต้องคืนเป็นเงิน จำเลยที่ 1 จึงต้องชำระคืนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 คืนเงินดังกล่าวก่อนฟ้องคดี จึงให้คิดดอกเบี้ยได้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จ โจทก์โดยกรรมการโจทก์เพิ่งรู้ว่า โจทก์ได้ชำระราคารถจักรยานยนต์ที่เข้าใจกันว่า ค้างชำระอยู่ให้แก่จำเลยที่ 1 จนครบถ้วนไปก่อนแล้ว อันเป็นผลให้โจทก์มีสิทธิเรียกเงินที่ชำระให้จำเลยทั้งสองตามฟ้องคดีนี้คือในฐานลาภมิควรได้ เมื่อเดือนตุลาคม 2543 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2544 ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี นับแต่โจทก์โดยกรรมการโจทก์รู้สิทธิเรียกคืนนั้น จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 419 โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินจำนวน 5,538,687 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 3,320,150 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินคืนแก่โจทก์จำนวน 3,320,150 บาท ให้จำเลยที่ 1 ใช่ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ค้าขายกันมาตั้งแต่ปี 2520 โดยโจทก์ซื้อรถจักรยานยนต์จากจำเลยที่ 1 มาจำหน่าย เดิมนายรัศมี เป็นกรรมการผู้จัดการโจทก์ ส่วนนางพิมพ์ใจ ภริยาของนายรัศมีเป็นกรรมการของโจทก์ ต่อมาวันที่ 2 พฤศจิกายน 2537นายรัศมีถึงแก่กรรม นางพิมพ์ใจจึงเป็นกรรมการผู้จัดการโจทก์แทน หลังจากนายรัศมีถึงแก่กรรม จำเลยที่ 2 แจ้งโจทก์ว่า โจทก์ยังคงมีหนี้ค่ารถจักรยานยนต์จำนวน 183 คัน จากนั้นโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ตกลงเกี่ยวกับหนี้ค่ารถจักรยานยนต์ที่ค้างชำระตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2537 ถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2537 เป็นเงินประมาณ 6,852,922 บาท โจทก์ได้ผ่อนชำระให้แก่จำเลยที่ 1 ไปจนกระทั่งถึงปี 2542 เป็นเงิน 3,320,150 บาท ส่วนเงินที่เหลือจำเลยที่ 1 ตกลงให้โจทก์ชำระอีกเพียงจำนวน 3,500,000 บาท โจทก์ได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2542 ให้แก่จำเลยที่ 1 แต่เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 จึงฟ้องโจทก์และนางพิมพ์ใจในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 628/2543 ของศาลแขวงอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2543 และจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องคดีแพ่งเรียกเงินตามเช็คดังกล่าวด้วย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีของโจทก์พ้นกำหนดระยะเวลาที่มาฟ้องคดีหรือไม่ โจทก์มีนางพิมพ์ใจ กรรมการโจทก์เบิกความว่าหลังจากเช็คจำนวนเงิน 3,500,000 บาท ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์และพยานเป็นจำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ที่ศาลแขวงอุบลราชธานี และในคดีนั้นจำเลยทั้งสองนำสืบแสดงรายละเอียดมูลหนี้ตามเช็คดังกล่าวตามบัญชีลูกหนี้ ประมาณเดือนสิงหาคม 2543 ทนายความของโจทก์ได้คัดเอกสารดังกล่าวไปให้พยาน พยานจึงให้นางสาวชฐิลพร พนักงานบัญชีตรวจสอบพบว่า โจทก์ได้ชำระราคารถจักรยานยนต์จำนวน 183 คัน ที่เข้าใจกันว่าค้างชำระอยู่จนครบถ้วนไปแล้วตามบัญชีแสดงรายการจ่ายเงินชำระหนี้ โดยมีนางสาวชฐิลพรผู้ตรวจสอบและจัดทำเอกสารดังกล่าวเบิกความว่า พยานได้รับมอบบัญชีลูกหนี้จากนางพิมพ์ใจมาตรวจสอบเมื่อเดือนตุลาคม 2543 สนับสนุนอยู่ ประกอบกับในอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ได้ระบุว่า ทนายความของโจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแขวงอุบลราชธานีขอถ่ายสำเนาเอกสารในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 628/2543 ตามคำร้องลงวันที่ 15 มิถุนายน 2543 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สอดคล้องต่อเนื่องกันกับพยานหลักฐานโจทก์ จึงน่าเชื่อว่า นางพิมพ์ใจกรรมการโจทก์ได้รู้ว่า จำเลยที่ 1 นำสืบแสดงข้อเท็จจริงในบัญชีลูกหนี้อันเป็นรายละเอียดที่มาแห่งมูลหนี้ตามเช็ค ในการพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 628/2543 และทนายความของโจทก์ได้ขอคัดสำเนาเอกสารดังกล่าวจากศาลแขวงอุบลราชธานีส่งให้นางพิมพ์ใจเมื่อเดือนสิงหาคม 2543 จากนั้นนางพิมพ์ใจส่งบัญชีลูกหนี้ให้นางสาวชฐิลพรพนักงานบัญชีของโจทก์ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเอกสารดังกล่าวเมื่อเดือนตุลาคม 2543 ได้ผลการตรวจสอบว่า ข้อเท็จจริงตามบัญชีลูกหนี้ถูกต้องตามบัญชีแสดงรายการจ่ายเงินชำระหนี้ ดังนั้น จึงต้องฟังว่าโจทก์โดยนางพิมพ์ใจกรรมการโจทก์เพิ่งรู้ว่า โจทก์ได้ชำระราคารถจักรยานยนต์ที่เข้าใจกันว่าค้างชำระอยู่ให้แก่จำเลยที่ 1 จนครบถ้วนไปก่อนแล้ว อันเป็นผลให้โจทก์มีสิทธิเรียกเงินที่ชำระให้จำเลยทั้งสองตามฟ้องคดีนี้คืนในฐานลาภมิควรได้ เมื่อเดือนตุลาคม 2543 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2544 ยังมิพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่โจทก์โดยนางพิมพ์ใจกรรมการโจทก์รู้สิทธิเรียกคืนนั้น จึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น และคดีนี้คู่ความได้สืบพยานจนเสร็จสิ้นแต่โดยที่ยังมีประเด็นข้อพิพาทอื่นที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว คู่ความได้ยื่นอุทธรณ์เป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังไม่ได้วินิจฉัย เพื่อไม่ให้คดีล่าช้าออกไปอีก ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาใหม่ มีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อแรกว่า โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 296/2544 ของศาลจังหวัดอุบลราชธานี (เดชอุดม) หรือไม่ เห็นว่า ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 296/2544 ของศาลจังหวัดอุบลราชธานี (เดชอุดม) จำเลยที่ 1 ในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยที่ 1 และนางพิมพ์ใจเป็นจำเลยที่ 2 ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวรับผิดชำระเงินตามเช็คที่โจทก์โดยนางพิมพ์ใจกรรมการผู้มีอำนาจสั่งจ่ายชำระค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ส่วนที่ค้างชำระซึ่งในคดีนี้คือสำเนาเช็ค แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองคืนเงินค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ได้ชำระไปก่อนแล้วในฐานลาภมิควรได้ตามสำเนาเช็คอันเป็นหนี้คนละจำนวนกัน ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวข้างต้นยังมิได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นหนี้ตามสำเนาเช็ค การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้จึงไม่เกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แต่อย่างใด ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยที่ 1 ต้องคืนเงินจำนวน 3,320,150 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนางพิมพ์ใจกรรมการผู้จัดการโจทก์ นายศักดาพนักงานธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และนางสาวชฐิลพรพนักงานบัญชีของโจทก์ซึ่งเป็นคนตรวจสอบการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จำนวน 183 คัน เบิกความประกอบสำเนาบัญชีลูกหนี้และสำเนาบัญชีแสดงรายการจ่ายเงินชำระหนี้ พบว่ามีการชำระค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จำนวน 183 คัน ไปแล้วตามเช็คจำนวน 35 ฉบับ และได้มีการเรียกเก็บเงินไปครบถ้วนแล้วตามรายการเคลื่อนไหวทางบัญชีตามสำเนาบัญชีกระแสรายวันปี 2537 และ 2538 ส่วนยอดเงินที่ต่างกันจำนวน 137,598 บาท นั้น จากการคำนวณราคาค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และจำนวนเงินที่โจทก์สั่งจ่ายเช็คเกินราคาค่าเช่าซื้อรถจักรยนต์ในแต่ละลำดับ ที่ปรากฏในสำเนาบัญชีแสดงรายการจ่ายเงินชำระหนี้ตั้งแต่ลำดับที่ 1 ถึงที่ 14 และลำดับที่ 16 ถึงที่ 21 พบว่าจำนวนเงินที่มีผลต่างกันในแต่ละลำดับเท่ากับอัตราร้อยละ 1.5 ของราคาค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในแต่ละลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยทั้งสองให้เครดิตโจทก์และคิดดอกเบี้ยในส่วนที่ชำระราคาเกินเวลากำหนดไปในอัตราร้อยละ 1.5 ถึง 2 ต่อเดือน คงมีเฉพาะลำดับที่ 15 ซึ่งเป็นการชำระราคาค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จำนวนมากถึง 18 คัน ที่มีการชำระเงินในส่วนผลต่างสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.5 ต่อเดือน ซึ่งอาจจะเป็นการตกลงเป็นเรื่องเฉพาะเป็นครั้งคราวได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงสอดคล้องกันมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่าเช็คจำนวน 35 ฉบับ เป็นการชำระหนี้กู้ยืมนั้น ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดสนับสนุนจึงมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ และฟังได้ว่าเช็คจำนวน 35 ฉบับ เป็นการชำระราคาค่าเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จำนวน 183 คัน ดังนั้น การที่โจทก์ชำระหนี้ดังกล่าวตามเช็คและรายการชำระเงินจำนวน 3,320,150 บาท จึงเป็นการชำระหนี้ซ้ำซ้อนจำเลยที่ 1 ได้รับเงินจำนวนนี้มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ จำเลยที่ 1 จึงต้องคืนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ในฐานลาภมิควรได้และเนื่องจากทรัพย์ที่ต้องคืนเป็นเงิน จำเลยที่ 1 จึงต้องชำระคืนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 คืนเงินดังกล่าวก่อนฟ้องคดี จึงให้คิดดอกเบี้ยได้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย” พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 3,320,150 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (14 สิงหาคม 2544) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นฎีกาค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีการะหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 มาตรา 409 เมื่อบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งมิได้เป็นลูกหนี้ได้ชำระหนี้ไปโดยสำคัญผิดเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ผู้ทำการโดยสุจริตได้ทำลายหรือลบล้างเสียซึ่งเอกสารอันเป็นพยานหลักฐานแห่งหนี้ก็ดี ยกเลิกหลักประกันเสียก็ดี สิ้นสิทธิไปเพราะขาดอายุความก็ดี ท่านว่าเจ้าหนี้ไม่จำต้องคืนทรัพย์ บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ไม่ขัดขวางต่อการที่บุคคลผู้ได้ชำระหนี้นั้นจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ลูกหนี้และผู้ค้ำประกันถ้าจะพึงมี มาตรา 406 บุคคลใดได้มาซึ่งทรัพย์สิ่งใดเพราะการที่บุคคลอีกคนหนึ่งกระทำเพื่อชำระหนี้ก็ดีหรือได้มาด้วยประการอื่นก็ดี โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และเป็นทางให้บุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเสียเปรียบไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นจำต้องคืนทรัพย์ให้แก่เขา อนึ่งการรับสภาพหนี้สินว่ามีอยู่หรือหาไม่นั้น ท่านก็ให้ถือว่าเป็นการกระทำเพื่อชำระหนี้ด้วย บทบัญญัติอันนี้ท่านให้ใช้บังคับตลอดถึงกรณีที่ได้ทรัพย์มาเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมิได้มีได้เป็นขึ้นหรือเป็นเหตุที่ได้ สิ้นสุดไปเสียก่อนแล้วนั้นด้วย หลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิแล้วมาหลอกขายให้ จำเลยรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ส.ค. 1 แต่ทำสัญญาจะซื้อจะขาย จึงเป็นกรณีที่จำเลยหลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิมาหลอกขายให้โจทก์ การซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะเสียเปล่าจำเลยต้องคืนเงินให้โจทก์ การให้ของหมั้นและสินสอด, การกระทำอันปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ สัญญาหมั้นที่เป็นโมฆะเพราะชายและหญิงอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ถือว่าเสียเปล่าเสมือนไม่มีสัญญาหมั้นเกิดขึ้นเลย คู่สัญญาแต่ละฝ่ายคงอยู่ในฐานะเดิมเหมือนอย่างเช่น มิได้เข้าทำสัญญาหมั้นและเป็นผู้มีส่วนได้เสียในอันที่จะกล่าวอ้างความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมได้ มาตรา 172 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า "โมฆะกรรมนั้นไม่อาจให้สัตยาบันแก่กันได้ และผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดจะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างก็ได้ แต่ทั้งนี้ฝ่ายชายจะต้องฟ้องหรือฟ้องแย้งเรียกของหมั้นและสินสอดคืน ศาลจะสั่งคืนเองไม่ได้ แม้สัญญาหมั้นจะเป็นโมฆะก็ตาม นอกจากนี้ แม้ชายไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับหญิง หรือหญิงไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับชาย ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงก็จะเรียกค่าทดแทนอย่างใด ๆ จากกันมิได้ อย่างไรก็ดีการที่ฝ่ายชายจะเรียกร้องเอาของหมั้นและสินสอดคืนในเหตุที่สัญญาหมั้นเป็นโมฆะเพราะคู่หมั้นอายะไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ฝ่ายชายไม่รู้ว่าหญิงคู่หมั้นอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ หากตัวชายคู่หมั้นอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ หรือฝ่ายชายก็รู้ดีว่าหญิงคู่หมั้นอายุไม่ครบ 17 ปี บริบูรณ์ แต่ทำสัญญาหมั้นและให้ของหมั้นและสินสอดแก่ฝ่ายหญิง เช่นนี้ ต้องถือว่าฝ่ายชายได้ทำการชำระหนี้เป็นการอันฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย ตาม มาตรา 411 ซึ่งบัญญัติว่า "มาตรา 411 บุคคลใดได้กระทำการเพื่อชำระหนี้เป็นการอันฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี ท่านว่าบุคคลนั้นหาอาจจะเรียกร้องคืนทรัพย์ได้ไม่" ฝ่ายชายจึงไม่มีสิทธิเรียกของหมั้นและสินสอดคืน นอกจากนี้ หากชายและหญิงคู่หมั้นที่อายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์นี้ได้ทำการสมรสตามประเพณี และอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาแล้วไดยไม่มีเจตนาจะจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย ทรัพย์ที่ฝ่ายชายให้แก่ฝ่ายหญิงดังกล่าวไม่ใช่ของหมั้นและสินสอดตามกฎหมาย ฝ่ายชายจึงไม่มีสิทธิเรียกคืนเช่นเดียวกัน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7894/2561 คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินเบี้ยหวัด เงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ เงินบำนาญ และเงินบำเหน็จดำรงชีพที่โจทก์จ่ายให้แก่จำเลยไป โดยจำเลยไม่มีสิทธิจะรับเงินดังกล่าว เนื่องจากจำเลยปิดบังไม่ให้โจทก์ทราบว่าจำเลยกลับเข้ารับราชการ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2543 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้อง จึงเป็นกรณีที่โจทก์เบิกจ่ายเงินเบี้ยหวัดจ่ายให้แก่จำเลยโดยสำคัญผิดว่าจำเลยมีสิทธิได้รับการได้รับเงินเบี้ยหวัดของจำเลยไปจากโจทก์จึงเป็นการรับโดยไม่ชอบซึ่งไม่ใช่กรณีที่โจทก์เบิกจ่ายเงินเบี้ยหวัดแก่จำเลยเพื่อชำระหนี้เพราะเป็นเรื่องจำเลยขอรับสวัสดิการจากหน่วยงานของรัฐจำเลยต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางราชการ ดังนี้ แม้เงินที่จำเลยจะได้รับไปจะเป็นการได้มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ แต่เมื่อเป็นการได้มาโดยไม่ชอบก็ไม่ใช่เรื่องลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 406 โจทก์ในฐานะเจ้าของเงินที่ส่งมอบให้จำเลยไปโดยสำคัญผิดย่อมมีสิทธิติดตามเอาเงินของโจทก์คืนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะได้รับตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 17/2561) |