
ศาลฎีกายืนคำสั่งริบรถยนต์ที่ใช้ลักลอบขนคนต่างด้าว: คำพิพากษาที่ 719/2568
ศาลฎีกายืนคำสั่งริบรถยนต์ที่ใช้ลักลอบขนคนต่างด้าว: คำพิพากษาที่ 719/2568 คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการริบรถยนต์ที่จำเลยใช้เป็นพาหนะลักลอบนำคนต่างด้าวจากฝั่งเมียนมาเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย. คดีนี้มีประเด็นที่น่าสนใจคือ การตีความว่า การใช้รถยนต์เพื่อพาคนต่างด้าวหลบหนีจากแนวชายแดน ถือเป็นการใช้ทรัพย์เพื่อกระทำความผิดโดยตรง อันสมควรริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1). นอกจากนี้ ยังเป็นตัวอย่างสำคัญของการใช้บทลงโทษเชิงป้องปรามในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา.
สรุปฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า รถยนต์เก๋งของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการช่วยเหลือคนต่างด้าวหลบหนีเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย อันควรถูกริบตามมาตรา 33 (1) แห่งประมวลกฎหมายอาญา เนื่องจากการใช้รถยนต์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการวางแผนล่วงหน้า ไปรอรับคนต่างด้าวบริเวณดอยผาหมี ซึ่งเป็นแนวชายแดน ก่อนพาหลบหนีเข้าประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติ โดยพฤติการณ์ทั้งหมดชี้ชัดว่าเป็นการใช้ทรัพย์ในการกระทำความผิดโดยตรง ไม่ใช่การใช้โดยสารทั่วไป การริบทรัพย์จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำและเป็นมาตรการเชิงป้องปราม ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลล่างและพิพากษายืน ไม่รับฎีกาของจำเลย.
⚖️ ข้อเท็จจริงของคดี: •วันที่ 13 กรกฎาคม 2565 จำเลยใช้รถยนต์เก๋งของตนจอดรอบนดอยผาหมี อ.แม่สาย จ.เชียงราย •ดอยผาหมีเป็นพื้นที่ภูเขาแนวชายแดนไทย–เมียนมา ซึ่งมีช่องทางธรรมชาติที่คนต่างด้าวใช้ลักลอบเข้ามา •จำเลยรับคนจีน 2 คน ที่เพิ่งข้ามมาจากเมียนมาโดยผิดกฎหมายขึ้นรถ แล้วขับมุ่งหน้าเข้าไทย •ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจพบและจับกุมในรถยนต์ดังกล่าว •จำเลยรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
🧑⚖️ คำวินิจฉัยของศาล: ศาลชั้นต้น: •จำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท •ลดโทษกึ่งหนึ่งตาม มาตรา 78 เหลือจำคุก 6 เดือน ปรับ 5,000 บาท •โทษจำคุกรอการลงโทษ 1 ปี •สั่งริบรถยนต์เก๋งของกลางตาม ป.อ. มาตรา 33 (1) ศาลอุทธรณ์ภาค 5: •พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ศาลฎีกา: •พิจารณาตามฎีกาของจำเลยที่อ้างว่า รถยนต์ไม่ควรถูกริบ •เห็นว่า จำเลยใช้รถยนต์อย่างมีการวางแผนล่วงหน้า รอรับคนต่างด้าวที่เดินเท้าเข้ามาจากเมียนมาผ่านช่องทางธรรมชาติ •พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการใช้รถยนต์ “โดยตรงในการกระทำความผิด” เพื่อความสะดวกและหลีกเลี่ยงการตรวจจับ •ศาลวินิจฉัยว่า การริบรถยนต์เก๋งเป็นมาตรการที่เหมาะสม เพื่อป้องกันมิให้จำเลยหรือบุคคลอื่นนำไปใช้กระทำผิดซ้ำอีก •พิพากษายืนตามศาลล่าง
📚 การขยายความประเด็นทางกฎหมาย: ริบทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) การริบทรัพย์สินเป็นบทลงโทษทางอาญาเพิ่มเติมจากโทษจำคุกหรือปรับ โดยมาตรา 33 (1) ให้อำนาจศาลริบทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง เพื่อ: •ตัดโอกาสในการนำทรัพย์นั้นไปใช้กระทำผิดซ้ำ •สร้างบรรทัดฐานเชิงป้องปรามต่อสังคม ในคดีนี้ ศาลถือว่ารถยนต์มิใช่เพียง “พาหนะ” ตามปกติ แต่เป็น “เครื่องมือสำคัญ” ที่จำเลยใช้ในแผนการกระทำผิดซึ่งมีลักษณะซับซ้อนและหลบเลี่ยงการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่จึงถือว่าการริบรถยนต์เป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบธรรมและสมควร ความสำคัญของบริบทเชิงภูมิศาสตร์ พื้นที่ดอยผาหมีติดพรมแดนเมียนมา เป็นช่องทางธรรมชาติที่ใช้ในการลักลอบเข้าเมือง การที่จำเลยไปรอรับ ณ จุดนั้น แสดงเจตนาชัดเจนว่าเป็นการเตรียมการร่วมกับขบวนการลักลอบคนเข้าเมือง การรับสารภาพและการลดโทษ การรับสารภาพเป็นปัจจัยบรรเทาโทษตาม ป.อ. มาตรา 78 ทำให้ศาลลดโทษและรอการลงโทษได้ แต่ไม่ใช่เหตุให้ยกเว้นการริบทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด
🧠 ข้อคิดทางกฎหมาย: •ทรัพย์ที่ดูเหมือนเป็นของใช้ปกติ เช่น รถยนต์ อาจกลายเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดโดยตรง หากมีพฤติการณ์ชัดเจนว่าถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของแผนความผิด •ศาลสามารถใช้ดุลพินิจริบทรัพย์ เพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำ และยับยั้งไม่ให้ผู้อื่นเอาเยี่ยงอย่าง •กรณีนี้ยังเป็นตัวอย่างที่ดีของการบังคับใช้กฎหมายอาญาร่วมกับกฎหมายคนเข้าเมืองอย่างเคร่งครัดในพื้นที่ชายแดน •การยื่นฎีกาในข้อเท็จจริง แม้ได้รับอนุญาต แต่หากข้อเท็จจริงชัดเจนและมีหลักฐานแน่นหนา ศาลฎีกาก็อาจไม่เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 719/2568 การที่จำเลยใช้รถยนต์เก๋งของกลางไปจอดรอบนดอยผาหมี ซึ่งเป็นภูเขาและเป็นแนวชายแดนของราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา แล้วรับคนต่างด้าวที่เพิ่งเดินลัดเลาะมาจากภูเขาฝั่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ผ่านช่องทางธรรมชาติเข้ามาในราชอาณาจักรไทย หลบหนีไปทันที แสดงให้เห็นถึงการติดต่อนัดหมายวางแผนกันกับคนต่างด้าวไว้เป็นอย่างดีมาก่อน โดยจำเลยไปรอคอยและใช้รถยนต์เก๋งในการพาคนต่างด้าวหลบหนีเพื่อให้เกิดความสะดวกในการกระทำความผิด ทำให้การลักลอบนำพาคนต่างด้าวหลบหนีมีความแนบเนียนเสมือนเป็นการโดยสารรถยนต์ทั่วไป เพื่อให้พ้นการจับกุม พฤติการณ์ในการใช้รถยนต์เก๋งของกลางของจำเลยในขณะกระทำความผิดตามฟ้องจึงไม่ใช่เป็นเพียงใช้เป็นพาหนะโดยสารโดยทั่วไป หากแต่เป็นการใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง อันควรริบตาม ป.อ. มาตรา 33 (1) เพื่อไม่ให้จำเลยมีโอกาสใช้ทรัพย์ในการกระทำความผิดเช่นเดียวกันนั้นได้อีก และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้ที่คิดกระทำความผิดเช่นเดียวกันนี้
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 64 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ริบรถยนต์เก๋งของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง จำคุก 1 ปี และปรับ 10,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบรถยนต์เก๋งของกลาง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า รถยนต์เก๋งของกลางซึ่งเป็นของจำเลยเอง เป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรหลบหนีไปให้พ้นจากการจับกุม อันควรริบตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การริบทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 (5) เป็นโทษทางอาญาอีกสถานหนึ่งนอกเหนือจากโทษอื่น ๆ ตามที่ระบุไว้ในมาตรานี้ ดังนั้น หากศาลเห็นว่าทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องขอให้ริบเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง ศาลย่อมใช้ดุลพินิจลงโทษริบทรัพย์นั้นเพื่อไม่ให้ผู้กระทำผิดมีโอกาสใช้ทรัพย์ในการกระทำความผิดเช่นเดียวกันนั้นได้อีก และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้ที่คิดกระทำความผิดเช่นเดียวกันนี้ได้ด้วย คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำฟ้อง สำเนาบันทึกการจับกุมเอกสารแนบท้ายคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหา และคำให้การรับสารภาพของจำเลยว่า เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2565 จำเลยใช้รถยนต์เก๋ง ของกลางซึ่งเป็นของจำเลยเองจอดรออยู่บนดอยผาหมี ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย แล้วรับคนต่างด้าวเชื้อชาติจีน สัญชาติจีน 2 คน ซึ่งเพิ่งเดินลัดเลาะมาจากภูเขาฝั่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเข้ามาในราชอาณาจักรไทยผ่านช่องทางธรรมชาติ ขึ้นรถแล้วขับมุ่งหน้าไปยังอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ระหว่างทางเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบรถยนต์เก๋งดังกล่าว พบจำเลยเป็นผู้ขับ และมีคนต่างด้าว 2 คน ที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรนั่งโดยสารมาในรถด้วย ดังนี้ การที่จำเลยใช้รถยนต์เก๋งของกลางไปจอดรอบนดอยผาหมี ซึ่งเป็นภูเขาและเป็นแนวชายแดนของราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา แล้วรับคนต่างด้าวที่เพิ่งเดินลัดเลาะมาจากภูเขาฝั่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ผ่านช่องทางธรรมชาติเข้ามาในราชอาณาจักรไทย หลบหนีไปทันที แสดงให้เห็นถึงการติดต่อนัดหมายวางแผนกันกับคนต่างด้าวไว้เป็นอย่างดีมาก่อน โดยจำเลยไปรอคอยและใช้รถยนต์เก๋งในการพาคนต่างด้าวหลบหนีเพื่อให้เกิดความสะดวกในการกระทำความผิด ทำให้การลักลอบนำพาคนต่างด้าวหลบหนีมีความแนบเนียนเสมือนเป็นการโดยสารรถยนต์ทั่วไป เพื่อให้พ้นการจับกุม พฤติการณ์ในการใช้รถยนต์เก๋งของกลางของจำเลยในขณะกระทำความผิดตามฟ้องจึงไม่ใช่เป็นเพียงใช้เป็นพาหนะโดยสารโดยทั่วไป หากแต่เป็นการใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง อันควรริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) เพื่อไม่ให้จำเลยมีโอกาสใช้ทรัพย์ในการกระทำความผิดเช่นเดียวกันนั้นได้อีก และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้ที่คิดกระทำความผิดเช่นเดียวกันนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้ริบรถยนต์เก๋งของกลางนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน |