

คดีแพ่งเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวและมรดกอิสลาม คดีแพ่งเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวและมรดกอิสลาม ปัจจุบันมีพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 ซึ่งมีบทบัญญัติ ที่เกี่ยวข้องดังนี้ มาตรา 3 "ในการวินิจฉัยชี้ขาด คดีแพ่งเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวและมรดก อิสลามศาสนิกชน ของศาลชั้นต้นในจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา สตูล ซึ่ง อิสลามศาสนิกชน เป็นทั้งโจทก์ จำเลย หรือเป็นผู้เสนอคำขอในคดีที่ไม่มีข้อพิพาทให้ใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกบังคับแทน บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการนั้น เว้นแต่บทบัญญัติว่าด้วยอายุความ ทั้งนี้ไม่ว่าคดีเกิดขึ้นก่อนหรือหลังวันใช้พระราชบัญญัตินี้" มาตรา 4 "การพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นตามความในมาตรา 3 ให้ดะโต๊ะยุติธรรมหนึ่งนายนั่งพิจารณาพร้อมด้วยผู้พิพากษา ให้ดะโต๊ะยุติธรรมมีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลามและลงลายมือชื่อในคำพิพากษาที่พิจารณาตามคำวินิจฉัยชี้ขาดนั้น คำวินิจฉัยชี้ขาดของดะโต๊ะยุติธรรมในข้อกฎหมายอิสลามให้เป็นอันเด็ดขาดในคดีนั้น" คดีที่จะต้องใช้กฎหมายอิสลาม ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมีหลักเกณฑ์ โดยสรุปคือ (1)เป็นคดีแพ่ง (2) เป็นคดีเกี่ยวด้วยเรื่องครอบครัวหรือมรดกของอิสลามศาสนิกชน ก็คือต้องเป็นข้อพิพาทที่เกี่ยวกับบรรพ 5 บรรพ 6 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเป็นข้อพิพาทระหว่างอิสลามศาสนิกชน (3) เป็นคดีในเขตท้องที่จังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล คือเป็นคดีที่เกิดขึ้นใน 4 จังหวัดข้างต้นเท่านั้น ถ้าเป็นคดีที่เกิดในจังหวัดอื่น ถึงแม้ว่าจะเข้าหลักเกณฑ์ข้ออื่นครบถ้วนก็ตาม ก็จะนำพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามฯ มาใช้ไม่ได้ (4) ทั้งโจทก์และจำเลยเป็นอิสลามศาสนิกชน คือเป็นคนนับถือศาสนาอิสลาม ปัญหามีว่ากรณีมีการร้องสอดขึ้นมา ถ้าหากว่าผู้ร้องสอดไม่ใช่อิสลามศาสนิกชนแล้วในความเห็นเห็นว่าน่าจะไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ข้อนี้ หมายความว่าคู่ความทุกฝ่ายในคดีนั้นจะต้องเป็นอิสลามศาสนิกชนถึงจะใช้บทบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหามายอิสลามได้ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นคดีที่อยู่ในเงื่อนไขที่จะต้องใช้บทบัญญัติของกฎหมายอิสลามในข้างต้นนั้นมาพิจารณาหรือชี้ขาดตัดสินคดีก็ตาม คู่ความสามารถที่จะตกลงกันให้นำวิธีพิจารณาความแพ่งไปใช้ก็ได้ โดยไม่ใช้ตามบทกฎหมายดังกล่าวนี้ การใช้กฎหมายอิสลามเกี่ยวกับครอบครัวและมรดกในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใน 4 จังหวัดภาคใต้ ประกอบไปด้วยจังหวัดยะลา นราธิวาส ปัตตานี และสตูล ประชากรส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิสลาม และหลักศาสนาอิสลามเกี่ยวกับครอบครัวมรดกจะผิดแผกแตกต่างกับหลักกฎหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาก เช่น ในศาสนาอิสลาม สามีอาจมีภริยาได้หลายคน การขาดจากการสมรสอาจทำได้โดยพิธีตอละก์ ด้วยการที่สามีเปล่งวาจาตอละก์จากภริยาโดยตรง หรือโดยปริยายต่อส่วนของร่างกายภริยา เช่น มือ หรือโลหิต 3 ตอละก์ หรือหากสามีร่วมประเวณีกับมารดาของภริยาโดยสำคัญผิดคิดว่าเป็นภริยาของตนก็ถือว่าเป็นการตัดร์ฟะซัค มีผลทำให้สามีขาดจากการสมรสกับภริยาคนนั้น หรือทรัพย์ที่ห้ามยึดถือตามอิสลามบัญญัติเฉพาะสุนัข สุกร และสุรา เมื่อเจ้ามรดกตายทรัพย์มรดกเหล่านี้ให้ตกเป็นของแผ่นดิน หรือข้อกำหนดพินัยกรรมที่ตัดทายาทของตนคนใดคนหนึ่งมิให้รับมรดก ข้อกำหนดดังกล่าวเป็นโมฆะ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้หากจะนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิช์ว่าด้วยครอบครัวมรดกมาใช้บังคับก็อาจจะไม่สามารถอำนวยความยุติธรรมให้ดำเนินไปด้วยดีได้ สมควรผ่อนปรนให้ประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามใน 4 จังหวัดเหล่านี้ได้ประพฤติปฏิบัติตามลัทธิศาสนาของตนโดยสมบูรณ์ ในปี 2444 จึงได้มีการตราข้อบังคับสำหรับปกครองบริเวณเจ็ดหัวเมือง ร.ศ. 120 กำหนดให้ใช้พระราชกำหนดกฎหมายทั้งปวงในความอาญาและความแพ่ง แต่ความแพ่งซึ่งเกี่ยวด้วยศาสนาอิสลามเรื่องผัวเมียก็ดี เรื่องมรดกก็ดี ซึ่งคนนับถือศาสนาอิสลามเป็นทั้งโจทก์หรือเป็นจำนลย ให้ใช้กฎหมายอิสลามในการพิจารณาและพิพากษา และให้โต๊ะกาลีซึ่งเป็นผู้รู้และเป็นที่นับถือในศาสนาอิสลามเป็นผู้พิพากษาตามกฎหมายอิสลามนั้น ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัว และบรรพ 6 ว่าด้วยมรดกซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2478 ข้อบังคับสำหรับปกครองบริเวณเจ็ดหัวเมือง ร.ศ. 120 ก็ยังมีผลบังคับในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ตามเดิม จนกระทั้งปี 2486 จึงได้มีกฎหมายแก้ไขให้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และบรรพ 6 ขยายไปใช้บังคับใน 4 จังหวัดภาใต้ ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง รัฐบาลเปลี่ยนนโยบายให้นำกฎหมายอิสลามกลับมาใช้ในจังหวัดทั้งสี่ใหม่อีก ในปี 2489 จึงได้มีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 ออกมาใช้บังคับตามพระราชบัญญัตินี้ใน มาตรา 3 และมาตรา 4 การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแพ่งเกี่ยวด้วยเรื่องครอบครัวและมรดกอิสลามศาสนิกของศาลชั้นต้นในสี่จังหวัดซึ่งอิสลามศาสนิกเป็นทั้งโจทก์จำเลย หรือเป็นผู้เสนอคำขอในคดีไม่มีข้อพิพาทต้องใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกบังคับแทนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เว้นแต่บทบัญญัติว่าด้วยอายุความมรดก ในการพิจารณาคดีให้ดะโต๊ะยุตธรรมหนึ่งนายนั่งพิจารณาพร้อมด้วยผู้พิพากษา ดะโต๊ะยุติธรรมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลามและลงลายมือชื่อในคำพิพากษา ส่วนปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมายอื่นเป็นอำนาจของผู้พิพากษา คำวินิจฉัยของดะโต๊ะยุติธรรมในข้อกฎหมายอิสลามเป็นอันเด็ดขาด จะอุทธรณ์ฎีกาปัญหาดังกล่าวไม่ได้ ฉะนั้นในปัจจุบันนี้เมื่อมีคดีพิพาทกันเรื่องครอบครัวหรือมรดกในศาลชั้นต้นในจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล ระหว่างคนนับถือศาสนาอิสลามด้วยกัน หรือมีคดีไม่มีข้อพิพาทซึ่งผู้นับถือศาสนาอิสลามเป็นผู้ร้องขอในเรื่องครอบครัวหรือมรดกต้องใช้กฎหมายอิสลามบังคับ ไม่ใช้บทบัญญัติตามประมาวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และบรรพ 6 เหมือนเช่นปกติ แต่ทั้งนี้คู่ความทั้งหมด หรือเจ้ามรดกจะต้องเป็นคนนับถือศาสนาอิสลาม ถ้าหากคู่ความแม้แต่คนเดียวไม่ใช่คนนับถือศาสนาอิสลาม หรือเจ้ามรดกไม่ใช่คนนับถือศาสนาอิสลาม ถึงแม้โจทก์จำเลยหรือผู้ร้องขอจะเป็นคนนับถือศาสนาอิสลามก็ใช้กฎหมายอิสลามบังคับไม่ได้ เช่น โจทก์มิใช่อิสลามศาสนิก จะบังคับคดีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิลามในเขตจังหวัด ปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 มาตรา 3 มิได้ ต้องบังคับคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น นอกจากนี้หากเป็นคดีที่เกิดขึ้นในจังหวัดอื่นนอกจากสี่จังหวัดดังกล่าวแม้คู่ความทุกฝ่ายจะเป็นคนนั้บถือศาสนาอิสลามก็ใช้กฎหมายอิสลามบังคับไม่ได้ ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และบรรพ 6 เช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ชายที่นับถือศานาพุทธมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดปัตตนีจะอ้างกฎหมายอิสลามเพื่อให้มีภริยาเกินหนึ่งคนไม่ได้ หรือสามีภริยาที่นับถือศาสนาอิสลามมีภูมิลำเนาอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร จะหย่าขาดจากการเป็นสามีภรยากันโดยใช้เหตุหย่าตามกฎหมายอิสลามไม่ได้ ต้องใช้เหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิย์ บรรพ 5 หรือชายนับถือศาสนาอิสลาม สมรสกับหญิงที่นับถือศานาคริสต์ ณ จังหวัดนราธิวาส และมีภูมิลำเนาที่จังหวัดนี้ จะหย่าขาดจากกันก็ต้องใช้เหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 จะใช้เหตุหย่าตามกฎหมายอิสลามไม่ได้ หรือสามีภริยาเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม จดทะเบียนสมรสกันและซื้อที่ดินมาในระหว่างสมรส ที่ดินย่อมเป็นสินสมรส แม้ต่อมาสามีภริยาจะแยกกันอยู่หรือหย่ากันในทางศาสนาอิสลามก็จะถือว่าขาดจากการเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายมิได้เพราะมูลคดีเกิดขึ้นที่จังหวัดนครนายก มิได้เกิดขึ้นในจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล จึงจะนำพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 มาปรับใช้มิได้ เป็นต้น เริ่มต้นคดีด้วยการใช้กฎหมายอิสลามแต่มีผู้คัดค้านนับถือศาสนาพุทธ คดีนี้มูลคดีเกิดในเขตจังหวัดสตูลและผู้ร้องเป็นอิสลามศาสนิก เริ่มต้นคดีอย่างไม่มีข้อพิพาท ขอตั้งผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ต่อมามีการคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 1 มีผลทำให้คดีกลายเป็นคดีมีข้อพิพาทโดยผู้ร้องและผู้คัดค้านมีฐานะเป็นคู่ความ เมื่อผู้คัดค้านนับถือศาสนาพุทธ จึงไม่ต้องด้วยมาตรา 3 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลาและสตูล พ.ศ.2489 ถือไม่ได้ว่าเป็นคดีแพ่งเกี่ยวด้วยเรื่องครอบครัวและมรดกของอิสลามศาสนิกในเขตจังหวัดสตูล ต้องใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บังคับแก่คดี |