

ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 คืออะไร?, ข้อห้ามโอนสิทธิ ส.ป.ก., สิทธิการทำกินในที่ดิน ส.ป.ก., การใช้ที่ดินต่างดอกเบี้ยในเขต ส.ป.ก. ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ การให้ผู้อื่นมีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยถือว่าการโอนสิทธิที่ดิน ส.ป.ก.4-01 ที่ดิน ส.ป.ก.4-01นั้น จะโอนสิทธิที่ดินไปยังผู้อื่นมิได้เว้นแต่ตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม การให้ผู้อื่นมีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตาม ส.ป.ก.4-01 ก็ต้องถือว่าเป็นการโอนสิทธิในที่ดินเช่นเดียวกัน ที่ด้านหลังของเอกสาร ส.ป.ก.4-01 ระบุเป็นตัวอักษรสีแดงว่าห้ามแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดินไปยังผู้อื่น และด้านล่างมีข้อความว่าเกษตรกรผู้ได้รับเอกสาร ส.ป.ก.4-01 มีหน้าที่ปลูกไม้ยืนต้นหรือไม้ผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของเนื้อที่ที่ได้รับจาก สปก. ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 คืออะไร?, ข้อห้ามโอนสิทธิ ส.ป.ก., สิทธิการทำกินในที่ดิน ส.ป.ก., การใช้ที่ดินต่างดอกเบี้ยในเขต ส.ป.ก. ศาลฎีกายกคำขอสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ชี้ขัดมาตรา 39 พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ห้ามโอนสิทธิ เว้นแต่ตกทอดทางมรดก ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตาม ส.ป.ก. 4-01 ได้หรือไม่ โดยที่ด้านหลัง ส.ป.ก. 4-01 ระบุว่าห้ามแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดิน ยกเว้นการตกทอดทางมรดกหรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกรหรือ ส.ป.ก. ตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 กฎหมายดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการสูญเสียสิทธิในที่ดินและสนับสนุนเกษตรกรในการทำกิน โดยห้ามโอนสิทธิไปยังบุคคลอื่นนอกจากทายาทโดยธรรม มิฉะนั้นจะถือเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมาย ศาลฎีกาพิจารณาว่าการให้โจทก์เข้าทำกินในลักษณะดังกล่าวเท่ากับเป็นการโอนสิทธิในที่ดิน ซึ่งขัดต่อกฎหมาย จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และยกคำขอสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยของโจทก์. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8222/2553 พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯ มาตรา 39 บัญญัติว่า ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะทำการแบ่งแยก หรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม หรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกรหรือ ส.ป.ก. เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และหมายเหตุท้าย พ.ร.บ. ดังกล่าวระบุเหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ว่า ปัจจุบันเกษตรกรซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศประสบปัญหาไม่มีที่ดินทำกิน รัฐจึงต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินและให้การใช้ที่ดินเกิดประโยชน์มากที่สุด จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) นั้นจะโอนสิทธิในที่ดินไปยังผู้อื่นมิได้เว้นแต่ตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม การที่ ส. ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) ให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ดังกล่าว จึงต้องถือว่าเป็นการโอนสิทธิในที่ดินเช่นเดียวกัน มิฉะนั้นย่อมก่อให้เกิดการเลี่ยงกฎหมายโดยใช้วิธีการทำกินต่างดอกเบี้ย เมื่อ ส. ถึงแก่ความตาย ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของ ส. ส่งมอบที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ให้โจทก์เข้าทำกินต่างดอกเบี้ยได้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 192,000 บาท หากไม่ชำระให้โจทก์เข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินของนางเสือน หากไม่อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 192,000 บาท แก่โจทก์ แต่ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ตน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 4,000 บาท คำขออื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินของนางเสือนเลขที่ 2543 นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 9 กรกฎาคม 2545) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินตาม ส.ป.ก. 4 - 01 เลขที่ 2543 หรือไม่ ที่ด้านหลังของ ส.ป.ก. 4 - 01 ระบุเป็นตัวอักษรสีแดงว่าห้ามแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดินไปยังผู้อื่น และด้านล่างมีข้อความว่าเกษตรกรผู้ได้รับเอกสาร ส.ป.ก. 4 - 01 มีหน้าที่ปลูกไม้ยืนต้นหรือไม้ผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของเนื้อที่ที่ได้รับจาก สปก. ต่อจากนั้นมีข้อความเพิ่มเติมอีกว่า "ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะทำการแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรมหรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกรหรือ ส.ป.ก.เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทั้งนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง" ซึ่งข้อความดังกล่าวนั้นเป็นข้อความจากพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 39 นอกจากนี้ท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวยังมีเจตนารมณ์ตามหมายเหตุระบุว่า เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพในการเกษตร ที่ดินจึงเป็นปัจจัยสำคัญและเป็นรากฐานเบื้องต้นของการผลิตทางเกษตรกรรม แต่ปัจจุบันปรากฏว่าเกษตรกรกำลังประสบความเดือดร้อนเนื่องจากต้องสูญเสียสิทธิในที่ดินและกลายเป็นผู้เช่าที่ดินต้องเสียค่าเช่าที่ดินในอัตราสูงเกินสมควรที่ดินขาดการบำรุงรักษาจึงทำให้อัตราผลิตผลเกษตรกรรมอยู่ในระดับต่ำ เกษตรกรไม่ได้รับความเป็นธรรมและเสียเปรียบจากระบบการเช่าที่ดินและการจำหน่ายผลิตผลตลอดมา ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะความยุ่งยากทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม การปกครองและการเมืองของประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐจะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยด่วนที่สุดเพื่อช่วยให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินและให้การใช้ที่ดินเกิดประโยชน์มากที่สุด พร้อมกับการจัดระบบการผลิตและจำหน่ายผลิตผลเกษตรกรรมเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่เกษตรกร ทั้งนี้เพื่อเป็นการสนองแนวนโยบายแห่งรัฐในการลดความเหลื่อมล้ำในฐานะของบุคคลในทางเศรษฐกิจและสังคมตามที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น จากบทบัญญัติตามมาตรา 39 และหมายเหตุดังกล่าวจึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าที่ดินตาม ส.ป.ก. 4 - 01 นั้นจะโอนสิทธิในที่ดินไปยังผู้อื่นมิได้เว้นแต่ตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม การให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตาม ส.ป.ก. 4 - 01 จึงต้องถือว่าเป็นการโอนสิทธิในที่ดินเช่นเดียวกัน มิฉะนั้นย่อมก่อให้เกิดการเลี่ยงกฎหมายโดยใช้วิธีการทำกินต่างดอกเบี้ย ศาลจึงมิอาจพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตาม ส.ป.ก. 4 - 01 ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ • ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 • ข้อห้ามโอนสิทธิ ส.ป.ก. • พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2518 มาตรา 39 • สิทธิการทำกินในที่ดิน ส.ป.ก. • การฟ้องร้องเกี่ยวกับที่ดินปฏิรูป • การใช้ที่ดินต่างดอกเบี้ยในเขต ส.ป.ก. • การตกทอดมรดกที่ดิน ส.ป.ก. • การเลี่ยงกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินปฏิรูป • การโอนสิทธิในที่ดินเกษตรกรรม คำพิพากษาฎีกาโดยสรุป โจทก์ฟ้องเรียกเงิน 192,000 บาทจากจำเลย พร้อมดอกเบี้ย โดยขอสิทธิเข้าทำกินในที่ดินตามหนังสือ ส.ป.ก. 4-01 แทนการชำระหนี้ หากจำเลยไม่อนุญาตให้เข้าทำกิน โจทก์ขอให้ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับจากวันฟ้อง คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลสั่งให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ แต่ไม่ให้รับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ได้รับ พร้อมสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ศาลแก้ไขคำพิพากษา ให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตาม ส.ป.ก. 4-01 ข้อเท็จจริงสำคัญ ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 มีข้อห้ามตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ว่าไม่สามารถโอนสิทธิในที่ดินไปยังผู้อื่นได้ ยกเว้นกรณีตกทอดทางมรดก คำวินิจฉัยศาลฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าการให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินในที่ดินตาม ส.ป.ก. 4-01 ถือเป็นการโอนสิทธิซึ่งขัดต่อกฎหมาย และอาจนำไปสู่การเลี่ยงกฎหมาย ศาลจึงไม่สามารถอนุญาตตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้ คำพิพากษาศาลฎีกา แก้คำพิพากษาให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ **หลักกฎหมายตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 39 มาตรา 39 ของพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 กำหนดข้อจำกัดที่สำคัญเกี่ยวกับที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน (เช่น ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01) โดยมีสาระสำคัญดังนี้: **ข้อห้ามการโอนสิทธิในที่ดิน บุคคลที่ได้รับที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน ไม่สามารถโอนสิทธิในที่ดินดังกล่าวไปยังบุคคลอื่นได้ การโอนสิทธิที่ห้ามนี้รวมถึงการกระทำที่อาจก่อให้เกิดการแสวงหาประโยชน์ในลักษณะเดียวกับการโอนสิทธิ เช่น การให้ผู้อื่นเข้าทำกินในลักษณะต่างดอกเบี้ย ข้อยกเว้นการโอนสิทธิในที่ดิน การโอนสิทธิในที่ดินจะกระทำได้เฉพาะในกรณีที่: สิทธิในที่ดินตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรมของผู้ได้รับสิทธิ การโอนสิทธิไปยังสถาบันเกษตรกรหรือสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดิน วัตถุประสงค์ของข้อห้ามการโอนสิทธิ ป้องกันมิให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบในที่ดินที่รัฐจัดสรรเพื่อเกษตรกรรม รักษาสิทธิของเกษตรกรที่มีความจำเป็นต่อการทำกินในระยะยาว สนับสนุนเป้าหมายของรัฐในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม เจตนารมณ์ของกฎหมาย ตามหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ระบุชัดเจนว่า ที่ดินมีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะทรัพยากรพื้นฐานสำหรับการเกษตร กฎหมายนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกร อันเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม *การประยุกต์ใช้ในกรณีที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ในคดีนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการให้โจทก์เข้าทำกินในที่ดินตาม ส.ป.ก. 4-01 ถือเป็นการโอนสิทธิในทางอ้อม ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติของมาตรา 39 เพราะสิทธิในที่ดินดังกล่าวต้องสงวนไว้เฉพาะเพื่อประโยชน์ของผู้ได้รับสิทธิและทายาทโดยธรรมเท่านั้น การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมาย ซึ่งศาลไม่อาจอนุญาตได้ สรุป มาตรา 39 มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสิทธิของเกษตรกรในที่ดินปฏิรูป และส่งเสริมการใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยข้อจำกัดเรื่องการโอนสิทธินี้เป็นกลไกที่ช่วยให้การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปอย่างยุติธรรมและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐ ***ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01: ความสำคัญและข้อจำกัดตามกฎหมาย บทนำ ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 หรือ "ที่ดินปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรม" เป็นที่ดินที่รัฐจัดสรรให้แก่เกษตรกรเพื่อส่งเสริมการทำเกษตรกรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ดินนี้มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาการเกษตรของประเทศไทย แต่ก็มีข้อจำกัดและข้อกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวข้องที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ความหมายของที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 หมายถึงที่ดินที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จัดสรรให้แก่เกษตรกรตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 โดยมีเอกสารสิทธิที่เรียกว่า "หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน" ที่ออกให้แก่เกษตรกรเพื่อใช้ที่ดินดังกล่าวในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม วัตถุประสงค์ของที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 1.ส่งเสริมการเกษตรกรรม: ให้เกษตรกรมีที่ดินสำหรับเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์เพื่อความมั่นคงในอาชีพ 2.ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ: ช่วยเกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินทำกินหรือมีที่ดินไม่เพียงพอ 3.รักษาสิทธิของเกษตรกร: ป้องกันไม่ให้เกษตรกรสูญเสียสิทธิในที่ดินให้แก่กลุ่มนายทุนหรือผู้แสวงหาประโยชน์ ข้อจำกัดการใช้ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 39 ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 มีข้อจำกัดดังนี้: 1.ห้ามโอนสิทธิ: ที่ดินนี้ไม่สามารถแบ่งแยกหรือโอนสิทธิไปยังผู้อื่นได้ ยกเว้นในกรณีที่สิทธิในที่ดินตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม หรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกรหรือสำนักงาน ส.ป.ก. 2.ห้ามใช้ประโยชน์ผิดวัตถุประสงค์: เกษตรกรต้องใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมเท่านั้น เช่น การเพาะปลูกไม้ผลหรือไม้ยืนต้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของพื้นที่ 3.ป้องกันการหลีกเลี่ยงกฎหมาย: การให้ผู้อื่นเข้าทำประโยชน์ในที่ดินในลักษณะต่างดอกเบี้ยหรือการกระทำที่มีเจตนาแฝงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวถือเป็นการหลีกเลี่ยงข้อห้ามการโอนสิทธิ เจตนารมณ์ของกฎหมาย กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ส.ป.ก. มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนเกษตรกรและป้องกันปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกร เช่น: •การลดการแสวงหาประโยชน์จากนายทุน •การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ที่ดินในภาคเกษตรกรรม •การสร้างความเป็นธรรมแก่เกษตรกร กรณีปัญหาทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยคือการพิจารณาว่าการให้ผู้อื่นเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. ถือเป็นการโอนสิทธิหรือไม่ เช่นในกรณีที่มีการใช้ที่ดินต่างดอกเบี้ย ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวถือเป็นการโอนสิทธิในทางอ้อม ซึ่งขัดต่อมาตรา 39 ผลกระทบของการละเมิดข้อจำกัด การกระทำที่ฝ่าฝืนข้อจำกัด เช่น การโอนสิทธิในที่ดินโดยมิชอบ อาจส่งผลให้สิทธิเกษตรกรถูกเพิกถอน และต้องคืนที่ดินให้แก่ ส.ป.ก. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุป ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเกษตรกรไทย แต่การใช้งานต้องปฏิบัติตามข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด เกษตรกรควรเข้าใจถึงข้อจำกัดและเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อป้องกันการสูญเสียสิทธิและรักษาประโยชน์ที่ได้รับจากรัฐในระยะยาว ***การฟ้องร้องเกี่ยวกับที่ดินปฏิรูป: คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 6 รายการ บทนำ ที่ดินปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรม หรือที่ดิน ส.ป.ก. ถือเป็นทรัพยากรสำคัญที่รัฐจัดสรรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการทำกิน แต่การใช้งานที่ดินประเภทนี้ต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดและข้อห้ามทางกฎหมาย การฟ้องร้องเกี่ยวกับที่ดินปฏิรูปจึงมักเกี่ยวข้องกับประเด็นการใช้สิทธิและการโอนสิทธิในที่ดิน ศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ชี้แนะแนวทางสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยในบทความนี้จะนำเสนอคำพิพากษาที่เกี่ยวข้อง 6 รายการ ซึ่งสะท้อนหลักกฎหมายที่สำคัญ 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2543/2540 ประเด็น: การใช้สิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. โดยไม่ขัดต่อข้อห้ามของกฎหมาย ข้อเท็จจริง: ผู้ฟ้องขอให้ศาลอนุญาตให้เข้าทำกินในที่ดิน ส.ป.ก. ที่ผู้อื่นได้รับสิทธิ แต่ฝ่ายจำเลยอ้างว่าผิดข้อห้ามตามมาตรา 39 ของพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 คำวินิจฉัย: ศาลฎีกาชี้ว่าการให้บุคคลภายนอกเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. ถือเป็นการโอนสิทธิในทางอ้อม ซึ่งขัดต่อข้อห้ามตามกฎหมาย การอนุญาตดังกล่าวจึงไม่สามารถกระทำได้ 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3421/2548 ประเด็น: การแบ่งแยกที่ดิน ส.ป.ก. เพื่อโอนสิทธิ ข้อเท็จจริง: ผู้ถือสิทธิในที่ดิน ส.ป.ก. มีการแบ่งแยกที่ดินและขายต่อให้บุคคลอื่น ฝ่ายผู้ซื้ออ้างสิทธิในการครอบครอง คำวินิจฉัย: ศาลฎีกาเห็นว่าการแบ่งแยกหรือโอนสิทธิที่ดิน ส.ป.ก. เป็นการขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 39 การกระทำดังกล่าวเป็นโมฆะตามกฎหมาย และผู้ซื้อไม่มีสิทธิครอบครองที่ดิน 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7623/2552 ประเด็น: การใช้ที่ดินเพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่เกี่ยวกับเกษตรกรรม ข้อเท็จจริง: ผู้ถือสิทธิในที่ดิน ส.ป.ก. ใช้ที่ดินเพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก ส.ป.ก. คำวินิจฉัย: ศาลฎีกาพิจารณาว่าการใช้ที่ดินเพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรม ถือเป็นการละเมิดวัตถุประสงค์ของกฎหมาย ผู้ถือสิทธิจะต้องคืนที่ดินให้แก่ ส.ป.ก. 4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 913/2560 ประเด็น: การตกทอดทางมรดกของที่ดิน ส.ป.ก. ข้อเท็จจริง: ทายาทโดยธรรมของผู้ถือสิทธิในที่ดิน ส.ป.ก. มีการโอนสิทธิให้บุคคลภายนอก คำวินิจฉัย: ศาลฎีกาเห็นว่าการตกทอดทางมรดกของที่ดิน ส.ป.ก. สามารถกระทำได้เฉพาะทายาทโดยธรรมที่มีคุณสมบัติเหมาะสม การโอนสิทธิให้บุคคลภายนอกถือเป็นโมฆะ 5. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 601/2562 ประเด็น: การฟ้องร้องเพิกถอนสิทธิในที่ดิน ส.ป.ก. ข้อเท็จจริง: เกษตรกรที่ได้รับสิทธิในที่ดิน ส.ป.ก. ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินตามวัตถุประสงค์และปล่อยให้ที่ดินรกร้าง คำวินิจฉัย: ศาลฎีกาชี้ว่าการไม่ใช้ประโยชน์ในที่ดินตามวัตถุประสงค์เป็นเหตุให้ ส.ป.ก. สามารถเพิกถอนสิทธิและนำที่ดินไปจัดสรรให้บุคคลอื่นได้ 6. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 888/2567 ประเด็น: การทำประโยชน์ในที่ดินต่างดอกเบี้ย ข้อเท็จจริง: ผู้ถือสิทธิในที่ดิน ส.ป.ก. อนุญาตให้บุคคลอื่นเข้าทำประโยชน์ในลักษณะต่างดอกเบี้ย คำวินิจฉัย: ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการโอนสิทธิในที่ดินในทางอ้อม และถือเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมาย การกระทำนี้ขัดต่อมาตรา 39 และไม่ชอบด้วยกฎหมาย สรุป คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับที่ดินปฏิรูปสะท้อนถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 การโอนสิทธิหรือใช้ที่ดินที่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์จะนำไปสู่การฟ้องร้องและผลทางกฎหมายที่ร้ายแรง เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องจึงควรปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต
มาตรา 39 ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะ ทำการแบ่งแยก หรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอด ทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม หรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกร หรือ ส.ป.ก. เพื่อประโยชน์ในการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทั้งนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ภายในเขตปฎิรูปที่ดิน 1. การโอนสิทธิการเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน(ส.ป.ก. 4-01)ตกแก่เกษตรกรซึ่งเป็นสามีหรือภรรยาของเกษตรกรผู้ได้รับสิทธิการเข้าทำประโยชน์เป็นอันดับแรก 2. กรณีไม่มีบุคคลตามข้อ 1. (สามีหรือภรรยา) หรือมีแต่ไม่ขอรับ ให้สิทธิการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินตกแก่ทายาทโดยธรรมเฉพาะบุตรที่เป็นเกษตรกร และบรรลุนิติภาวะเท่านั้น (บรรลุนิติภาวะโดยมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ หรือโดยการแต่งงานและจดทะเบียนสมรส) 3. กรณีไม่มีบุคคลตามข้อ 1. และ 2. (สามีหรือภริยา และบุตร) การโอนสิทธิการเข้าทำประโยชน์ให้แก่ทายาท ดังนี้ สามารถโอนสิทธิในที่ดินให้กับทายาทชั้นบุตรได้ เนื่องจากภรรยาเสียชีวิต และหากท่านผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินไม่ประสงค์จะประกอบเกษตรกรรมในที่ดินที่ได้รับอนุญาตแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการโอนสิทธิให้ทั้งแปลง หรือโดยการแบ่งแปลง หรือหากมีที่ดินหลายแปลงจะโอนให้ทุกแปลงหรือแปลงใดแปลงหนึ่ง ให้กับบุตรมากกว่า 1 คน หรือให้เฉพาะคนใดคนหนึ่งก็ได้ สำหรับการแบ่งแยกที่ดินให้พิจารณาขนาดที่ดินที่จะแบ่งแยกต้องมีขนาดที่เพียงพอแก่การครองชีพ ตามความเหมาะสมของประเภทเกษตรกรรมในแต่ละพื้นที่ โดยบุตรที่สามารถรับโอนสิทธิในที่ดินนอกจากจะเป็นทายาทตามระเบียบแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติเป็นเกษตรกรและเป็นผู้ร่วมทำประโยชน์ในที่ดินแปลงที่รับโอนร่วมกับผู้โอนมาช่วงระยะเวลาหนึ่งด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4455/2562 ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 การเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ ที่จะใช้ยันรัฐได้ การขออนุญาตเข้าจับจองก็เป็นการกระทำที่ขัดต่อระเบียบว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน ฉบับลงวันที่ 24 สิงหาคม 2498 ที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 (6) มาตรา 27 และมาตรา 33 แห่ง ป.ที่ดิน โดยตามระเบียบดังกล่าว ข้อ 3 กำหนดไว้ว่า "ที่ดินที่จะจัดให้ประชาชนอยู่อาศัยหรือประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพตามความในมาตรา 20 (1) และมาตรา 27 แห่ง ป.ที่ดิน ต้องเป็นที่ดินของรัฐซึ่งอยู่ในลักษณะดังต่อไปนี้ คือ (1) ที่ดินซึ่งมิได้มีบุคคลใดมีสิทธิครอบครองและมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดินอันราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือมิใช่ที่สงวนหวงห้าม หรือมิใช่ที่เขา ที่ภูเขา (2)......." ระเบียบดังกล่าวนี้ใช้บังคับแก่ที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 33 แห่ง ป.ที่ดิน พ.ศ.2497 ด้วย ทั้งนี้เป็นไปตามระเบียบ ข้อ 22 ดังนั้น ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงแม้จะเป็นที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยตามมาตรา 33 ก็ต้องอยู่ในบังคับของระเบียบดังกล่าว เมื่อการขออนุญาตจับจองในที่ดินพิพาทและการอนุญาตให้จับจองของเจ้าหน้าที่เป็นการกระทำโดยมิชอบ จึงไม่เข้าเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ที่จะยื่นคำขอเพื่อขอรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจึงเป็นการออกโดยไม่ชอบ ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป่าหมายเลข 23 ยังคงเป็นป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 ดังนั้น เมื่อต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2532 ให้จำแนกป่าหมายเลข 23 โดยให้จำแนกพื้นที่บางส่วนออกจากป่าไม้ถาวรเพื่อเป็นที่ทำกินของราษฎรหรือเพื่อใช้ประโยชน์อื่น ๆ และคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติมีมติให้จำแนกพื้นที่ส่วนหนึ่งซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงออกจากพื้นที่ป่าไม้ถาวร และมอบให้จำเลยที่ 1 ไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงซึ่งพ้นจากสภาพป่าไม้ถาวรแล้วจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 36 ทวิ จำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจนำที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงไปปฏิรูปและจัดให้เกษตรกรเข้าครอบครองทำประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ได้ การอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ โจทก์ทั้งสองจึงไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ส่วนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 เป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้ และเมื่อเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 ที่มิได้ฎีกาด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247 (เดิม) คดีนี้ ศาลชั้นต้นรับโอนสำนวนมาจากศาลปกครองกลางตามคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษา โดยให้โจทก์ทั้งสองทำคำฟ้องและจำเลยทั้งเก้าทำคำให้การแก้คดีอย่างคดีแพ่งสามัญ โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเก้าร่วมกันเพิกถอน ส.ป.ก. 4-01 แปลงที่ 3, 7, 8, 9, 10, 11 และ 12 อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ในส่วนที่ออกทับซ้อนที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสอง หากจำเลยคนใดไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยคนนั้น ห้ามจำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 และบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองอีกต่อไป และห้ามจำเลยทั้งเก้าคัดค้านการออกโฉนดที่ดินทั้งห้าแปลงของโจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งเก้าให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก. 4-01) แปลงเลขที่ 3 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4712, แปลงเลขที่ 7 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4696 แปลงเลขที่ 8 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4711, แปลงที่ 9 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4713, แปลงเลขที่ 10 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4691, แปลงเลขที่ 11 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4693, และแปลงเลขที่ 12 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4688 อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ในส่วนที่ออกทับซ้อนที่ดินพิพาท ซึ่งอยู่ภายในเขตที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 200, 201, 202, 203 และ 204 ตำบลศรีสงคราม อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ของโจทก์ทั้งสอง และห้ามจำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 และบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินตาม น.ส. 3 ก. ทั้งห้าแปลงดังกล่าวอีกต่อไป กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 9 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 20,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงอยู่ในเขตท้องที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2536 ได้มีพระราชกฤษฎีกาซึ่งอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 กำหนดเขตที่ดินในท้องที่บางแห่งในอำเภอเชียงคาน อำเภอเมืองเลย อำเภอนาแห้ว อำเภอภูเรือ อำเภอวังสะพุง อำเภอด่านซ้าย อำเภอภูหลวง อำเภอภูกระดึง และอำเภอผาขาว จังหวัดเลย ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงบางส่วนอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินของจำเลยที่ 1 เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ได้มีการครอบครองทำประโยชน์ไว้ มีชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ครอบครอง โดยซื้อมาจากผู้มีชื่อ ต่อมาออกเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 200, 201, 202, 203 และ 204 ตำบลศรีสงคราม อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย โดยมีชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ จำเลยที่ 1 ดำเนินการปฏิรูปที่ดินพิพาทโดยจัดให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 เข้าทำประโยชน์ และได้ออกเอกสารสิทธิเป็นหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินหรือ ส.ป.ก. 4-01 เลขที่ 4711, 4712, 4696, 4713, 4691, 4693 และ 4688 ให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 ตามลำดับ ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2553 โจทก์ทั้งสองนำ น.ส. 3 ก. เลขที่ 200, 201, 202, 203 และ 204 ตำบลศรีสงคราม อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ไปยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดเลย สาขาวังสะพุง จำเลยที่ 1 คัดค้าน คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) แปลงที่ 3 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4712 แปลงที่ 7 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4696 แปลงที่ 8 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4711 แปลงที่ 9 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4713 แปลงที่ 10 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4691 แปลงที่ 11 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4693 และแปลงที่ 12 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4688 ในส่วนที่ออกทับที่ดินพิพาทตามที่ปรากฏในแผนที่พิพาท หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความจากที่ฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยนำสืบรับกันและมิได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า เดิมที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 200, 201, 202, 203 และ 204 ตำบลศรีสงคราม อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มีหลักฐานเกี่ยวกับที่ดินเป็นใบจอง (น.ส. 2) โดยใบจองดังกล่าวทางราชการออกให้ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้ป่าหมายเลข 23 ซึ่งตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เป็นป่าไม้ถาวร โจทก์ทั้งสองซึ่งยกเรื่องการได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงมาโดยชอบขึ้นยันจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐและได้รับที่ดินพิพาทดังกล่าวมาดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จึงมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมานำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้าง ซึ่งตามทางนำสืบของโจทก์ทั้งสองมีนางสลิฏา ตำแหน่งนักวิชาการที่ดินชำนาญการ หัวหน้าฝ่ายทะเบียน รักษาราชการแทนเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเลย สาขาวังสะพุง มาเบิกความเป็นพยานว่า จากการตรวจสอบพบว่าเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงออกโดยถูกต้องตามระเบียบกรมที่ดิน โดยในส่วนของหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ออกตามหลักฐานใบจอง (น.ส. 2) ซึ่งเป็นใบจองที่เจ้าหน้าที่ออกให้โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 33 โดยก่อนออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เจ้าพนักงานที่ดินได้สอบสวนสิทธิการจับจอง และได้ประกาศเพื่อให้มีการคัดค้านแล้ว แต่ไม่มีผู้คัดค้าน นายอำเภอวังสะพุงจึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ให้แก่ผู้ขอ ต่อมามีการขอเปลี่ยนเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ดังปรากฏตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 200, 201, 202, 203 และ 204 ตามคำเบิกความของนางสลิฏาดังกล่าวนอกจากจะไม่ยืนยันว่า ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงที่เจ้าหน้าที่ออกใบจอง (น.ส. 2) ให้ ไม่ได้อยู่ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 แล้ว พยานปากนี้ยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ถามค้านว่า ในช่วงปี 2506 ถึงปี 2515 จะมีการกำหนดพื้นที่ป่าไม้ถาวรในเขตอำเภอวังสะพุงอย่างไร และที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจะอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรหรือไม่ พยานไม่ทราบ แสดงว่านางสลิฏาเองก็ไม่ทราบว่าในท้องที่อำเภอวังสะพุงมีที่ดินส่วนใดอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรบ้าง ที่พยานปากนี้เบิกความในทำนองว่า ได้ออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงไปโดยชอบนั้น จึงไม่มีน้ำหนักให้น่ารับฟัง ส่วนตัวโจทก์ที่ 2 และพยานโจทก์ปากนางนีรนุช พี่สาวโจทก์ที่ 2 และปากนายคงวุฒิ ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับโจทก์ที่ 1 ก็คงเบิกความแต่เพียงว่า การซื้อขายที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงระหว่างเจ้าของเดิมกับโจทก์ทั้งสองจดทะเบียนกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย อันเป็นการเบิกความถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังที่มีการออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงแล้ว จึงหาใช่ข้อเท็จจริงที่สนับสนุนให้เห็นว่าที่ดินพิพาทไม่ได้อยู่ในเขตป่าไม้ถาวร สำหรับพยานโจทก์ปากนายวีรเทพ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้างานช่างรังวัด สำนักงานที่ดินจังหวัดเลย สาขาวังสะพุง ก็เบิกความเฉพาะที่เกี่ยวกับการรังวัดที่ดินพิพาทเพื่อออกโฉนดให้แก่โจทก์ทั้งสองซึ่งได้ดำเนินการไปเมื่อปี 2553 เท่านั้น ส่วนที่โจทก์ทั้งสองอ้างหนังสือของกรมที่ดิน เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับเอกสารสิทธิที่ออกในเขตป่าไม้ และบันทึกข้อตกลงระหว่างกรมที่ดินกับสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เรื่อง วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ.2558 เป็นพยานนั้น เป็นเรื่องวิธีปฏิบัติของหน่วยงานราชการ หาใช่กฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสิทธิและหน้าที่ของคู่ความในคดีนี้ไม่ ตามพยานหลักฐานที่โจทก์ทั้งสองนำสืบมาจึงไม่มีน้ำหนักให้น่ารับฟัง ส่วนจำเลยที่ 1 นำสืบโดยมีนายบุญรวย ตำแหน่งผู้อำนวยการกลุ่มกฎหมายรักษาราชการแทนปฏิรูปที่ดินจังหวัดเลยมาเบิกความถึงความเป็นมาของที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงว่า เมื่อปี 2506 คณะรัฐมนตรีมีมติให้ป่าหมายเลข 23 ซึ่งตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เป็นป่าไม้ถาวร ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงเป็นที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรจึงไม่อาจนำไปขออนุญาตจับจองได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2532 คณะรัฐมนตรีมีมติให้จำแนกพื้นที่ป่าไม้ถาวรบางส่วนออกมาเพื่อนำไปปฏิรูปที่ดินและจัดให้เกษตรกรเข้าทำประโยชน์ จึงมีการจำแนกป่าหมายเลข 23 ที่อยู่นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติบางส่วนซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงออกมาดังที่ปรากฏในเอกสารที่ระบายด้วยหมึกสีแดง ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงเดิมอยู่ในเขตตำบลวังสะพุง อำเภอวังสะพุง เมื่อมีการแบ่งแยกตำบลวังสะพุงออกเป็นตำบลศรีสงครามเมื่อปี 2530 ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจึงตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีสงคราม อำเภอวังสะพุง และต่อมาเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2533 คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติได้มอบที่ดินป่าหมายเลข 23 ส่วนที่จำแนกไว้ให้แก่จำเลยที่ 1 นำไปปฏิรูปที่ดินตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 หลังจากจำเลยที่ 1 ได้รับมอบที่ดินมา คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีมติให้นำที่ดินที่ได้รับมอบจากคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติไปทำการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จากนั้นจึงได้นำที่ดินดังกล่าวซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทไปดำเนินการปฏิรูปและมอบให้เกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน นอกจากนายบุญรวยจะเบิกความไว้ดังกล่าว จำเลยที่ 1 ยังมีหนังสือของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรื่อง การสำรวจจำแนกประเภทที่ดิน หนังสือของกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การสำรวจจำแนกประเภทที่ดิน และบันทึกรายงานการประชุมคณะกรรมการสำรวจจำแนกประเภทที่ดินและคณะอนุกรรมการอำนวยการและประมวลผลการสำรวจจำแนกประเภทที่ดินมานำสืบ ซึ่งเมื่อตรวจดูในเอกสารมีข้อความระบุไว้ว่า คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ส่วนเอกสารที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยส่งไปยังเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติตามมติของคณะกรรมการสำรวจจำแนกประเภทที่ดินที่ได้มีมติให้จำแนกประเภทที่ดินเป็นพื้นที่ป่าไม้ซึ่งควรสงวนคุ้มครองและเป็นที่ดินจัดสรรเพื่อการเกษตรกรรมและอื่น ๆ สำหรับท้องที่ที่มีการจำแนกประเภทที่ดินนั้น ก็ปรากฏจากบันทึกรายงานการประชุมว่า ในส่วนของจังหวัดเลยมีพื้นที่ป่าที่จะต้องจำแนกประเภทเป็นจำนวนค่อนข้างมากและตั้งอยู่ในหลายอำเภอรวมถึงพื้นที่ป่าที่อยู่ในเขตอำเภอวังสะพุงด้วย โดยมีพื้นที่ป่าที่คณะกรรมการมีมติให้ดำเนินการสงวนและคุ้มครองอยู่ 2 ป่า คือ ป่าหมายเลข 23 และป่าดงซำแม่นาง ในส่วนป่าหมายเลข 23 ซึ่งมีเขตป่าติดต่อกับหลายอำเภอนั้น แม้จะไม่ได้ระบุว่าอยู่ในเขตตำบลวังสะพุงด้วย แต่เมื่อนำข้อเท็จจริงที่ได้ความจากรายงานบันทึกผลการพิจารณาของอนุกรรมการพิจารณาแนวทางและมาตรการเกี่ยวกับนโยบายที่ดิน ซึ่งเป็นบันทึกที่คณะอนุกรรมการดังกล่าวทำขึ้นเพื่อเสนอคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติในการประชุมครั้งที่ 6/2533 มาพิจารณาประกอบก็จะเห็นได้ว่า ในการจำแนกที่ดินป่าหมายเลข 23 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2532 นั้น คณะอนุกรรมการได้จำแนกที่ดินส่วนหนึ่งออกจากป่าไม้ถาวรที่อยู่นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติเพื่อนำมาเป็นที่ทำกินของราษฎรและจัดเป็นป่าชุมชน มีพื้นที่จำแนกแปลงที่ 9 และแปลงที่ 11 ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีสงครามและตำบลวังสะพุง อำเภอวังสะพุง จากข้อเท็จจริงดังกล่าวบ่งชี้ว่า ป่าหมายเลข 23 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 ที่ให้รักษาไว้เป็นป่าไม้ถาวรนั้น ส่วนหนึ่งตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลวังสะพุง และเมื่อตั้งตำบลศรีสงครามขึ้นเมื่อปี 2530 ป่าส่วนหนึ่งจึงยังตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีสงครามตามที่จำเลยที่ 1 นำสืบ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังมีรายงานผลการตรวจสอบวิเคราะห์และอ่านแปลตีความภาพถ่ายทางอากาศมานำสืบสนับสนุนเอกสารดังกล่าวแม้เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดทำขึ้น แต่ก็ไม่ปรากฏว่าฝ่ายโจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านถึงความไม่ถูกต้องของข้อเท็จจริงที่นำมาประกอบในการวิเคราะห์สรุปผลแต่อย่างใด ผลการวิเคราะห์ที่ระบุว่า ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรจึงมีน้ำหนักให้น่ารับฟัง อีกทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เคยมีหนังสือด่วนที่สุด ที่ กษ 1204/3645 ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2554 ไปถึงกรมพัฒนาที่ดิน เพื่อขอให้ตรวจสอบแผนที่แสดงแปลงที่ดินพิพาทว่าอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 หรือไม่ ต่อมากรมพัฒนาที่ดินมีหนังสือ ที่ กษ 1806/1755 ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2554 แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบว่า พื้นที่ที่ขอให้ตรวจสอบอยู่ในพื้นที่ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2532 ให้จำแนกออกจากป่าไม้ถาวร "ป่าหมายเลข 23" เพื่อทำเป็นที่ทำกินของราษฎรหรือเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่น ซึ่งก็เป็นอีกข้อเท็จจริงหนึ่งที่สนับสนุนข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ที่ว่า ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 ให้มีน้ำหนักน่ารับฟังยิ่งขึ้น ตามพยานหลักฐานที่จำเลยที่ 1 นำมาสืบมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 การเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ ที่จะใช้ยันรัฐได้ การขออนุญาตเข้าจับจองก็เป็นการกระทำที่ขัดต่อระเบียบว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน ฉบับลงวันที่ 24 สิงหาคม 2498 ที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 (6) มาตรา 27 และมาตรา 33 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยตามระเบียบดังกล่าว ข้อ 3 กำหนดไว้ว่า "ที่ดินที่จะจัดให้ประชาชนอยู่อาศัยหรือประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพตามความในมาตรา 20 (1) และมาตรา 27 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ต้องเป็นที่ดินของรัฐซึ่งอยู่ในลักษณะดังต่อไปนี้ คือ (1) ที่ดินซึ่งมิได้มีบุคคลใดมีสิทธิครอบครองและมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดินอันราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือมิใช่ที่สงวนหวงห้าม หรือมิใช่ที่เขา ที่ภูเขา (2)......." ระเบียบดังกล่าวนี้ใช้บังคับแก่ที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 33 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ด้วย ทั้งนี้เป็นไปตามระเบียบ ข้อ 22 ดังนั้น ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงแม้จะเป็นที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยตามมาตรา 33 ก็ต้องอยู่ในบังคับของระเบียบดังกล่าว เมื่อการขออนุญาตจับจองในที่ดินพิพาทและการอนุญาตให้จับจองของเจ้าหน้าที่เป็นการกระทำโดยมิชอบ จึงไม่เข้าเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ที่จะยื่นคำขอเพื่อขอรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจึงเป็นการออกโดยไม่ชอบ ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป่าหมายเลข 23 ยังคงเป็นป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 ดังนั้น เมื่อต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2532 ให้จำแนกป่าหมายเลข 23 โดยให้จำแนกพื้นที่บางส่วนออกจากป่าไม้ถาวรเพื่อเป็นที่ทำกินของราษฎรหรือเพื่อใช้ประโยชน์อื่น ๆ และคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติมีมติให้จำแนกพื้นที่ส่วนหนึ่งซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงออกจากพื้นที่ป่าไม้ถาวร และมอบให้จำเลยที่ 1 ไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงซึ่งพ้นจากสภาพป่าไม้ถาวรแล้วจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 36 ทวิ จำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจนำที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงไปปฏิรูปและจัดให้เกษตรกรเข้าครอบครองทำประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ได้ การอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ โจทก์ทั้งสองจึงไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ส่วนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 เป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ที่จำเลยที่ 1 ออกให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 โดยเห็นว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิโดยชอบในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น และเมื่อเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 ที่มิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247 (เดิม) พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
|