ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 คืออะไร?, ข้อห้ามโอนสิทธิ ส.ป.ก., สิทธิการทำกินในที่ดิน ส.ป.ก., การใช้ที่ดินต่างดอกเบี้ยในเขต ส.ป.ก.

 

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

การให้ผู้อื่นมีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยถือว่าการโอนสิทธิที่ดิน ส.ป.ก.4-01

ที่ดิน ส.ป.ก.4-01นั้น จะโอนสิทธิที่ดินไปยังผู้อื่นมิได้เว้นแต่ตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม การให้ผู้อื่นมีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตาม ส.ป.ก.4-01 ก็ต้องถือว่าเป็นการโอนสิทธิในที่ดินเช่นเดียวกัน  ที่ด้านหลังของเอกสาร ส.ป.ก.4-01 ระบุเป็นตัวอักษรสีแดงว่าห้ามแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดินไปยังผู้อื่น และด้านล่างมีข้อความว่าเกษตรกรผู้ได้รับเอกสาร ส.ป.ก.4-01 มีหน้าที่ปลูกไม้ยืนต้นหรือไม้ผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของเนื้อที่ที่ได้รับจาก สปก.

ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 คืออะไร?, ข้อห้ามโอนสิทธิ ส.ป.ก., สิทธิการทำกินในที่ดิน ส.ป.ก., การใช้ที่ดินต่างดอกเบี้ยในเขต ส.ป.ก.

ศาลฎีกายกคำขอสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ชี้ขัดมาตรา 39 พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ห้ามโอนสิทธิ เว้นแต่ตกทอดทางมรดก

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตาม ส.ป.ก. 4-01 ได้หรือไม่ โดยที่ด้านหลัง ส.ป.ก. 4-01 ระบุว่าห้ามแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดิน ยกเว้นการตกทอดทางมรดกหรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกรหรือ ส.ป.ก. ตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518

กฎหมายดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการสูญเสียสิทธิในที่ดินและสนับสนุนเกษตรกรในการทำกิน โดยห้ามโอนสิทธิไปยังบุคคลอื่นนอกจากทายาทโดยธรรม มิฉะนั้นจะถือเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมาย

ศาลฎีกาพิจารณาว่าการให้โจทก์เข้าทำกินในลักษณะดังกล่าวเท่ากับเป็นการโอนสิทธิในที่ดิน ซึ่งขัดต่อกฎหมาย จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และยกคำขอสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยของโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  8222/2553

พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯ มาตรา 39 บัญญัติว่า ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะทำการแบ่งแยก หรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม หรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกรหรือ ส.ป.ก. เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และหมายเหตุท้าย พ.ร.บ. ดังกล่าวระบุเหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.บ. ฉบับนี้ว่า ปัจจุบันเกษตรกรซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศประสบปัญหาไม่มีที่ดินทำกิน รัฐจึงต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินและให้การใช้ที่ดินเกิดประโยชน์มากที่สุด จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) นั้นจะโอนสิทธิในที่ดินไปยังผู้อื่นมิได้เว้นแต่ตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม การที่ ส. ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) ให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ดังกล่าว จึงต้องถือว่าเป็นการโอนสิทธิในที่ดินเช่นเดียวกัน มิฉะนั้นย่อมก่อให้เกิดการเลี่ยงกฎหมายโดยใช้วิธีการทำกินต่างดอกเบี้ย เมื่อ ส. ถึงแก่ความตาย ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของ ส. ส่งมอบที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ให้โจทก์เข้าทำกินต่างดอกเบี้ยได้

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 192,000 บาท หากไม่ชำระให้โจทก์เข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินของนางเสือน หากไม่อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 192,000 บาท แก่โจทก์ แต่ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ตน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 4,000 บาท คำขออื่นให้ยก

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินของนางเสือนเลขที่ 2543 นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 9 กรกฎาคม 2545) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินตาม ส.ป.ก. 4 - 01 เลขที่ 2543 หรือไม่ ที่ด้านหลังของ ส.ป.ก. 4 - 01 ระบุเป็นตัวอักษรสีแดงว่าห้ามแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดินไปยังผู้อื่น และด้านล่างมีข้อความว่าเกษตรกรผู้ได้รับเอกสาร ส.ป.ก. 4 - 01 มีหน้าที่ปลูกไม้ยืนต้นหรือไม้ผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของเนื้อที่ที่ได้รับจาก สปก. ต่อจากนั้นมีข้อความเพิ่มเติมอีกว่า "ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะทำการแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรมหรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกรหรือ ส.ป.ก.เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทั้งนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง" ซึ่งข้อความดังกล่าวนั้นเป็นข้อความจากพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 39 นอกจากนี้ท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวยังมีเจตนารมณ์ตามหมายเหตุระบุว่า เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพในการเกษตร ที่ดินจึงเป็นปัจจัยสำคัญและเป็นรากฐานเบื้องต้นของการผลิตทางเกษตรกรรม แต่ปัจจุบันปรากฏว่าเกษตรกรกำลังประสบความเดือดร้อนเนื่องจากต้องสูญเสียสิทธิในที่ดินและกลายเป็นผู้เช่าที่ดินต้องเสียค่าเช่าที่ดินในอัตราสูงเกินสมควรที่ดินขาดการบำรุงรักษาจึงทำให้อัตราผลิตผลเกษตรกรรมอยู่ในระดับต่ำ เกษตรกรไม่ได้รับความเป็นธรรมและเสียเปรียบจากระบบการเช่าที่ดินและการจำหน่ายผลิตผลตลอดมา ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะความยุ่งยากทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม การปกครองและการเมืองของประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐจะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยด่วนที่สุดเพื่อช่วยให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินและให้การใช้ที่ดินเกิดประโยชน์มากที่สุด พร้อมกับการจัดระบบการผลิตและจำหน่ายผลิตผลเกษตรกรรมเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่เกษตรกร ทั้งนี้เพื่อเป็นการสนองแนวนโยบายแห่งรัฐในการลดความเหลื่อมล้ำในฐานะของบุคคลในทางเศรษฐกิจและสังคมตามที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น จากบทบัญญัติตามมาตรา 39 และหมายเหตุดังกล่าวจึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าที่ดินตาม ส.ป.ก. 4 - 01 นั้นจะโอนสิทธิในที่ดินไปยังผู้อื่นมิได้เว้นแต่ตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม การให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตาม ส.ป.ก. 4 - 01 จึงต้องถือว่าเป็นการโอนสิทธิในที่ดินเช่นเดียวกัน มิฉะนั้นย่อมก่อให้เกิดการเลี่ยงกฎหมายโดยใช้วิธีการทำกินต่างดอกเบี้ย ศาลจึงมิอาจพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตาม ส.ป.ก. 4 - 01 ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

•  ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01

•  ข้อห้ามโอนสิทธิ ส.ป.ก.

•  พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2518 มาตรา 39

•  สิทธิการทำกินในที่ดิน ส.ป.ก.

•  การฟ้องร้องเกี่ยวกับที่ดินปฏิรูป

•  การใช้ที่ดินต่างดอกเบี้ยในเขต ส.ป.ก.

•  การตกทอดมรดกที่ดิน ส.ป.ก.

•  การเลี่ยงกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินปฏิรูป

•  การโอนสิทธิในที่ดินเกษตรกรรม

คำพิพากษาฎีกาโดยสรุป

โจทก์ฟ้องเรียกเงิน 192,000 บาทจากจำเลย พร้อมดอกเบี้ย โดยขอสิทธิเข้าทำกินในที่ดินตามหนังสือ ส.ป.ก. 4-01 แทนการชำระหนี้ หากจำเลยไม่อนุญาตให้เข้าทำกิน โจทก์ขอให้ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับจากวันฟ้อง

คำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลสั่งให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ แต่ไม่ให้รับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ได้รับ พร้อมสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียม

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

ศาลแก้ไขคำพิพากษา ให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตาม ส.ป.ก. 4-01

ข้อเท็จจริงสำคัญ

ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 มีข้อห้ามตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ว่าไม่สามารถโอนสิทธิในที่ดินไปยังผู้อื่นได้ ยกเว้นกรณีตกทอดทางมรดก

คำวินิจฉัยศาลฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าการให้โจทก์มีสิทธิเข้าทำกินในที่ดินตาม ส.ป.ก. 4-01 ถือเป็นการโอนสิทธิซึ่งขัดต่อกฎหมาย และอาจนำไปสู่การเลี่ยงกฎหมาย ศาลจึงไม่สามารถอนุญาตตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกา

แก้คำพิพากษาให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

**หลักกฎหมายตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 39

มาตรา 39 ของพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 กำหนดข้อจำกัดที่สำคัญเกี่ยวกับที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน (เช่น ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01) โดยมีสาระสำคัญดังนี้:

**ข้อห้ามการโอนสิทธิในที่ดิน

บุคคลที่ได้รับที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน ไม่สามารถโอนสิทธิในที่ดินดังกล่าวไปยังบุคคลอื่นได้

การโอนสิทธิที่ห้ามนี้รวมถึงการกระทำที่อาจก่อให้เกิดการแสวงหาประโยชน์ในลักษณะเดียวกับการโอนสิทธิ เช่น การให้ผู้อื่นเข้าทำกินในลักษณะต่างดอกเบี้ย

ข้อยกเว้นการโอนสิทธิในที่ดิน

การโอนสิทธิในที่ดินจะกระทำได้เฉพาะในกรณีที่:

สิทธิในที่ดินตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรมของผู้ได้รับสิทธิ

การโอนสิทธิไปยังสถาบันเกษตรกรหรือสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดิน

วัตถุประสงค์ของข้อห้ามการโอนสิทธิ

ป้องกันมิให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบในที่ดินที่รัฐจัดสรรเพื่อเกษตรกรรม

รักษาสิทธิของเกษตรกรที่มีความจำเป็นต่อการทำกินในระยะยาว

สนับสนุนเป้าหมายของรัฐในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม

เจตนารมณ์ของกฎหมาย

ตามหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ระบุชัดเจนว่า ที่ดินมีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะทรัพยากรพื้นฐานสำหรับการเกษตร กฎหมายนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกร อันเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม

*การประยุกต์ใช้ในกรณีที่ดิน ส.ป.ก. 4-01

ในคดีนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการให้โจทก์เข้าทำกินในที่ดินตาม ส.ป.ก. 4-01 ถือเป็นการโอนสิทธิในทางอ้อม ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติของมาตรา 39 เพราะสิทธิในที่ดินดังกล่าวต้องสงวนไว้เฉพาะเพื่อประโยชน์ของผู้ได้รับสิทธิและทายาทโดยธรรมเท่านั้น การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมาย ซึ่งศาลไม่อาจอนุญาตได้

สรุป

มาตรา 39 มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสิทธิของเกษตรกรในที่ดินปฏิรูป และส่งเสริมการใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยข้อจำกัดเรื่องการโอนสิทธินี้เป็นกลไกที่ช่วยให้การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปอย่างยุติธรรมและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐ

***ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01: ความสำคัญและข้อจำกัดตามกฎหมาย

บทนำ

ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 หรือ "ที่ดินปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรม" เป็นที่ดินที่รัฐจัดสรรให้แก่เกษตรกรเพื่อส่งเสริมการทำเกษตรกรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ดินนี้มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาการเกษตรของประเทศไทย แต่ก็มีข้อจำกัดและข้อกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวข้องที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

ความหมายของที่ดิน ส.ป.ก. 4-01

ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 หมายถึงที่ดินที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จัดสรรให้แก่เกษตรกรตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 โดยมีเอกสารสิทธิที่เรียกว่า "หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน" ที่ออกให้แก่เกษตรกรเพื่อใช้ที่ดินดังกล่าวในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม

วัตถุประสงค์ของที่ดิน ส.ป.ก. 4-01

1.ส่งเสริมการเกษตรกรรม: ให้เกษตรกรมีที่ดินสำหรับเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์เพื่อความมั่นคงในอาชีพ

2.ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ: ช่วยเกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินทำกินหรือมีที่ดินไม่เพียงพอ

3.รักษาสิทธิของเกษตรกร: ป้องกันไม่ให้เกษตรกรสูญเสียสิทธิในที่ดินให้แก่กลุ่มนายทุนหรือผู้แสวงหาประโยชน์

ข้อจำกัดการใช้ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01

ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 39 ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 มีข้อจำกัดดังนี้:

1.ห้ามโอนสิทธิ: ที่ดินนี้ไม่สามารถแบ่งแยกหรือโอนสิทธิไปยังผู้อื่นได้ ยกเว้นในกรณีที่สิทธิในที่ดินตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม หรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกรหรือสำนักงาน ส.ป.ก.

2.ห้ามใช้ประโยชน์ผิดวัตถุประสงค์: เกษตรกรต้องใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมเท่านั้น เช่น การเพาะปลูกไม้ผลหรือไม้ยืนต้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของพื้นที่

3.ป้องกันการหลีกเลี่ยงกฎหมาย: การให้ผู้อื่นเข้าทำประโยชน์ในที่ดินในลักษณะต่างดอกเบี้ยหรือการกระทำที่มีเจตนาแฝงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวถือเป็นการหลีกเลี่ยงข้อห้ามการโอนสิทธิ

เจตนารมณ์ของกฎหมาย

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ส.ป.ก. มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนเกษตรกรและป้องกันปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกร เช่น:

•การลดการแสวงหาประโยชน์จากนายทุน

•การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ที่ดินในภาคเกษตรกรรม

•การสร้างความเป็นธรรมแก่เกษตรกร

กรณีปัญหาทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

หนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยคือการพิจารณาว่าการให้ผู้อื่นเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. ถือเป็นการโอนสิทธิหรือไม่ เช่นในกรณีที่มีการใช้ที่ดินต่างดอกเบี้ย ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวถือเป็นการโอนสิทธิในทางอ้อม ซึ่งขัดต่อมาตรา 39

ผลกระทบของการละเมิดข้อจำกัด

การกระทำที่ฝ่าฝืนข้อจำกัด เช่น การโอนสิทธิในที่ดินโดยมิชอบ อาจส่งผลให้สิทธิเกษตรกรถูกเพิกถอน และต้องคืนที่ดินให้แก่ ส.ป.ก. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

สรุป

ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเกษตรกรไทย แต่การใช้งานต้องปฏิบัติตามข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด เกษตรกรควรเข้าใจถึงข้อจำกัดและเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อป้องกันการสูญเสียสิทธิและรักษาประโยชน์ที่ได้รับจากรัฐในระยะยาว

***การฟ้องร้องเกี่ยวกับที่ดินปฏิรูป: คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 6 รายการ

บทนำ

ที่ดินปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรม หรือที่ดิน ส.ป.ก. ถือเป็นทรัพยากรสำคัญที่รัฐจัดสรรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการทำกิน แต่การใช้งานที่ดินประเภทนี้ต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดและข้อห้ามทางกฎหมาย การฟ้องร้องเกี่ยวกับที่ดินปฏิรูปจึงมักเกี่ยวข้องกับประเด็นการใช้สิทธิและการโอนสิทธิในที่ดิน ศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ชี้แนะแนวทางสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยในบทความนี้จะนำเสนอคำพิพากษาที่เกี่ยวข้อง 6 รายการ ซึ่งสะท้อนหลักกฎหมายที่สำคัญ

1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2543/2540

ประเด็น: การใช้สิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. โดยไม่ขัดต่อข้อห้ามของกฎหมาย

ข้อเท็จจริง: ผู้ฟ้องขอให้ศาลอนุญาตให้เข้าทำกินในที่ดิน ส.ป.ก. ที่ผู้อื่นได้รับสิทธิ แต่ฝ่ายจำเลยอ้างว่าผิดข้อห้ามตามมาตรา 39 ของพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518

คำวินิจฉัย: ศาลฎีกาชี้ว่าการให้บุคคลภายนอกเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. ถือเป็นการโอนสิทธิในทางอ้อม ซึ่งขัดต่อข้อห้ามตามกฎหมาย การอนุญาตดังกล่าวจึงไม่สามารถกระทำได้

2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3421/2548

ประเด็น: การแบ่งแยกที่ดิน ส.ป.ก. เพื่อโอนสิทธิ

ข้อเท็จจริง: ผู้ถือสิทธิในที่ดิน ส.ป.ก. มีการแบ่งแยกที่ดินและขายต่อให้บุคคลอื่น ฝ่ายผู้ซื้ออ้างสิทธิในการครอบครอง

คำวินิจฉัย: ศาลฎีกาเห็นว่าการแบ่งแยกหรือโอนสิทธิที่ดิน ส.ป.ก. เป็นการขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 39 การกระทำดังกล่าวเป็นโมฆะตามกฎหมาย และผู้ซื้อไม่มีสิทธิครอบครองที่ดิน

3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7623/2552

ประเด็น: การใช้ที่ดินเพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่เกี่ยวกับเกษตรกรรม

ข้อเท็จจริง: ผู้ถือสิทธิในที่ดิน ส.ป.ก. ใช้ที่ดินเพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก ส.ป.ก.

คำวินิจฉัย: ศาลฎีกาพิจารณาว่าการใช้ที่ดินเพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรม ถือเป็นการละเมิดวัตถุประสงค์ของกฎหมาย ผู้ถือสิทธิจะต้องคืนที่ดินให้แก่ ส.ป.ก.

4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 913/2560

ประเด็น: การตกทอดทางมรดกของที่ดิน ส.ป.ก.

ข้อเท็จจริง: ทายาทโดยธรรมของผู้ถือสิทธิในที่ดิน ส.ป.ก. มีการโอนสิทธิให้บุคคลภายนอก

คำวินิจฉัย: ศาลฎีกาเห็นว่าการตกทอดทางมรดกของที่ดิน ส.ป.ก. สามารถกระทำได้เฉพาะทายาทโดยธรรมที่มีคุณสมบัติเหมาะสม การโอนสิทธิให้บุคคลภายนอกถือเป็นโมฆะ

5. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 601/2562

ประเด็น: การฟ้องร้องเพิกถอนสิทธิในที่ดิน ส.ป.ก.

ข้อเท็จจริง: เกษตรกรที่ได้รับสิทธิในที่ดิน ส.ป.ก. ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินตามวัตถุประสงค์และปล่อยให้ที่ดินรกร้าง

คำวินิจฉัย: ศาลฎีกาชี้ว่าการไม่ใช้ประโยชน์ในที่ดินตามวัตถุประสงค์เป็นเหตุให้ ส.ป.ก. สามารถเพิกถอนสิทธิและนำที่ดินไปจัดสรรให้บุคคลอื่นได้

6. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 888/2567

ประเด็น: การทำประโยชน์ในที่ดินต่างดอกเบี้ย

ข้อเท็จจริง: ผู้ถือสิทธิในที่ดิน ส.ป.ก. อนุญาตให้บุคคลอื่นเข้าทำประโยชน์ในลักษณะต่างดอกเบี้ย

คำวินิจฉัย: ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการโอนสิทธิในที่ดินในทางอ้อม และถือเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมาย การกระทำนี้ขัดต่อมาตรา 39 และไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับที่ดินปฏิรูปสะท้อนถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 การโอนสิทธิหรือใช้ที่ดินที่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์จะนำไปสู่การฟ้องร้องและผลทางกฎหมายที่ร้ายแรง เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องจึงควรปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

 

การให้ผู้อื่นมีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยถือว่าเป็นการโอนสิทธิที่ดิน ส.ป.ก.4-01

 

 

ที่ดิน ส.ป.ก.4-01นั้น จะโอนสิทธิที่ดินไปยังผู้อื่นมิได้เว้นแต่ตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม การให้ผู้อื่นมีสิทธิเข้าทำกินต่างดอกเบี้ยในที่ดินตาม ส.ป.ก.4-01 ก็ต้องถือว่าเป็นการโอนสิทธิในที่ดินเช่นเดียวกัน



          พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 39

        มาตรา 39 ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะ ทำการแบ่งแยก หรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอด ทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม หรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกร หรือ ส.ป.ก. เพื่อประโยชน์ในการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทั้งนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ภายในเขตปฎิรูปที่ดิน

การโอนสิทธิการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก. 4-01)

1. การโอนสิทธิการเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน(ส.ป.ก. 4-01)ตกแก่เกษตรกรซึ่งเป็นสามีหรือภรรยาของเกษตรกรผู้ได้รับสิทธิการเข้าทำประโยชน์เป็นอันดับแรก

2. กรณีไม่มีบุคคลตามข้อ 1. (สามีหรือภรรยา) หรือมีแต่ไม่ขอรับ ให้สิทธิการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินตกแก่ทายาทโดยธรรมเฉพาะบุตรที่เป็นเกษตรกร และบรรลุนิติภาวะเท่านั้น (บรรลุนิติภาวะโดยมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ หรือโดยการแต่งงานและจดทะเบียนสมรส)

3. กรณีไม่มีบุคคลตามข้อ 1. และ 2. (สามีหรือภริยา และบุตร) การโอนสิทธิการเข้าทำประโยชน์ให้แก่ทายาท ดังนี้
                       3.1 บิดา มารดา ของเกษตรกร
                       3.2 พี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกันของเกษตรกร
                       3.3 พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกันของเกษตรกร
                       3.4 หลานของเกษตรกร (บุตรของบุตร หรือบุตรของพี่ หรือบุตรของน้อง)

สามารถโอนสิทธิในที่ดินให้กับทายาทชั้นบุตรได้ เนื่องจากภรรยาเสียชีวิต และหากท่านผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินไม่ประสงค์จะประกอบเกษตรกรรมในที่ดินที่ได้รับอนุญาตแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการโอนสิทธิให้ทั้งแปลง หรือโดยการแบ่งแปลง หรือหากมีที่ดินหลายแปลงจะโอนให้ทุกแปลงหรือแปลงใดแปลงหนึ่ง ให้กับบุตรมากกว่า 1 คน หรือให้เฉพาะคนใดคนหนึ่งก็ได้ สำหรับการแบ่งแยกที่ดินให้พิจารณาขนาดที่ดินที่จะแบ่งแยกต้องมีขนาดที่เพียงพอแก่การครองชีพ ตามความเหมาะสมของประเภทเกษตรกรรมในแต่ละพื้นที่ โดยบุตรที่สามารถรับโอนสิทธิในที่ดินนอกจากจะเป็นทายาทตามระเบียบแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติเป็นเกษตรกรและเป็นผู้ร่วมทำประโยชน์ในที่ดินแปลงที่รับโอนร่วมกับผู้โอนมาช่วงระยะเวลาหนึ่งด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4455/2562

ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 การเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ ที่จะใช้ยันรัฐได้ การขออนุญาตเข้าจับจองก็เป็นการกระทำที่ขัดต่อระเบียบว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน ฉบับลงวันที่ 24 สิงหาคม 2498 ที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 (6) มาตรา 27 และมาตรา 33 แห่ง ป.ที่ดิน โดยตามระเบียบดังกล่าว ข้อ 3 กำหนดไว้ว่า "ที่ดินที่จะจัดให้ประชาชนอยู่อาศัยหรือประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพตามความในมาตรา 20 (1) และมาตรา 27 แห่ง ป.ที่ดิน ต้องเป็นที่ดินของรัฐซึ่งอยู่ในลักษณะดังต่อไปนี้ คือ (1) ที่ดินซึ่งมิได้มีบุคคลใดมีสิทธิครอบครองและมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดินอันราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือมิใช่ที่สงวนหวงห้าม หรือมิใช่ที่เขา ที่ภูเขา (2)......." ระเบียบดังกล่าวนี้ใช้บังคับแก่ที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 33 แห่ง ป.ที่ดิน พ.ศ.2497 ด้วย ทั้งนี้เป็นไปตามระเบียบ ข้อ 22 ดังนั้น ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงแม้จะเป็นที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยตามมาตรา 33 ก็ต้องอยู่ในบังคับของระเบียบดังกล่าว เมื่อการขออนุญาตจับจองในที่ดินพิพาทและการอนุญาตให้จับจองของเจ้าหน้าที่เป็นการกระทำโดยมิชอบ จึงไม่เข้าเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ที่จะยื่นคำขอเพื่อขอรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจึงเป็นการออกโดยไม่ชอบ ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป่าหมายเลข 23 ยังคงเป็นป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 ดังนั้น เมื่อต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2532 ให้จำแนกป่าหมายเลข 23 โดยให้จำแนกพื้นที่บางส่วนออกจากป่าไม้ถาวรเพื่อเป็นที่ทำกินของราษฎรหรือเพื่อใช้ประโยชน์อื่น ๆ และคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติมีมติให้จำแนกพื้นที่ส่วนหนึ่งซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงออกจากพื้นที่ป่าไม้ถาวร และมอบให้จำเลยที่ 1 ไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงซึ่งพ้นจากสภาพป่าไม้ถาวรแล้วจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 36 ทวิ จำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจนำที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงไปปฏิรูปและจัดให้เกษตรกรเข้าครอบครองทำประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ได้ การอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ โจทก์ทั้งสองจึงไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ส่วนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 เป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้ และเมื่อเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 ที่มิได้ฎีกาด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247 (เดิม)

คดีนี้ ศาลชั้นต้นรับโอนสำนวนมาจากศาลปกครองกลางตามคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษา โดยให้โจทก์ทั้งสองทำคำฟ้องและจำเลยทั้งเก้าทำคำให้การแก้คดีอย่างคดีแพ่งสามัญ

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเก้าร่วมกันเพิกถอน ส.ป.ก. 4-01 แปลงที่ 3, 7, 8, 9, 10, 11 และ 12 อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ในส่วนที่ออกทับซ้อนที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสอง หากจำเลยคนใดไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยคนนั้น ห้ามจำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 และบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองอีกต่อไป และห้ามจำเลยทั้งเก้าคัดค้านการออกโฉนดที่ดินทั้งห้าแปลงของโจทก์ทั้งสอง

จำเลยทั้งเก้าให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก. 4-01) แปลงเลขที่ 3 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4712, แปลงเลขที่ 7 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4696 แปลงเลขที่ 8 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4711, แปลงที่ 9 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4713, แปลงเลขที่ 10 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4691, แปลงเลขที่ 11 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4693, และแปลงเลขที่ 12 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4688 อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ในส่วนที่ออกทับซ้อนที่ดินพิพาท ซึ่งอยู่ภายในเขตที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 200, 201, 202, 203 และ 204 ตำบลศรีสงคราม อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ของโจทก์ทั้งสอง และห้ามจำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 และบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินตาม น.ส. 3 ก. ทั้งห้าแปลงดังกล่าวอีกต่อไป กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 9 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 20,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงอยู่ในเขตท้องที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2536 ได้มีพระราชกฤษฎีกาซึ่งอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 กำหนดเขตที่ดินในท้องที่บางแห่งในอำเภอเชียงคาน อำเภอเมืองเลย อำเภอนาแห้ว อำเภอภูเรือ อำเภอวังสะพุง อำเภอด่านซ้าย อำเภอภูหลวง อำเภอภูกระดึง และอำเภอผาขาว จังหวัดเลย ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงบางส่วนอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินของจำเลยที่ 1 เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ได้มีการครอบครองทำประโยชน์ไว้ มีชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ครอบครอง โดยซื้อมาจากผู้มีชื่อ ต่อมาออกเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 200, 201, 202, 203 และ 204 ตำบลศรีสงคราม อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย โดยมีชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ จำเลยที่ 1 ดำเนินการปฏิรูปที่ดินพิพาทโดยจัดให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 เข้าทำประโยชน์ และได้ออกเอกสารสิทธิเป็นหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินหรือ ส.ป.ก. 4-01 เลขที่ 4711, 4712, 4696, 4713, 4691, 4693 และ 4688 ให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 ตามลำดับ ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2553 โจทก์ทั้งสองนำ น.ส. 3 ก. เลขที่ 200, 201, 202, 203 และ 204 ตำบลศรีสงคราม อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ไปยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดเลย สาขาวังสะพุง จำเลยที่ 1 คัดค้าน

คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) แปลงที่ 3 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4712 แปลงที่ 7 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4696 แปลงที่ 8 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4711 แปลงที่ 9 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4713 แปลงที่ 10 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4691 แปลงที่ 11 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4693 และแปลงที่ 12 สารบัญทะเบียนเลขที่ 4688 ในส่วนที่ออกทับที่ดินพิพาทตามที่ปรากฏในแผนที่พิพาท หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความจากที่ฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยนำสืบรับกันและมิได้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า เดิมที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 200, 201, 202, 203 และ 204 ตำบลศรีสงคราม อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มีหลักฐานเกี่ยวกับที่ดินเป็นใบจอง (น.ส. 2) โดยใบจองดังกล่าวทางราชการออกให้ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้ป่าหมายเลข 23 ซึ่งตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เป็นป่าไม้ถาวร โจทก์ทั้งสองซึ่งยกเรื่องการได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงมาโดยชอบขึ้นยันจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐและได้รับที่ดินพิพาทดังกล่าวมาดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จึงมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมานำสืบให้ได้ความตามที่กล่าวอ้าง ซึ่งตามทางนำสืบของโจทก์ทั้งสองมีนางสลิฏา ตำแหน่งนักวิชาการที่ดินชำนาญการ หัวหน้าฝ่ายทะเบียน รักษาราชการแทนเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเลย สาขาวังสะพุง มาเบิกความเป็นพยานว่า จากการตรวจสอบพบว่าเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงออกโดยถูกต้องตามระเบียบกรมที่ดิน โดยในส่วนของหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ออกตามหลักฐานใบจอง (น.ส. 2) ซึ่งเป็นใบจองที่เจ้าหน้าที่ออกให้โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 33 โดยก่อนออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เจ้าพนักงานที่ดินได้สอบสวนสิทธิการจับจอง และได้ประกาศเพื่อให้มีการคัดค้านแล้ว แต่ไม่มีผู้คัดค้าน นายอำเภอวังสะพุงจึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ให้แก่ผู้ขอ ต่อมามีการขอเปลี่ยนเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ดังปรากฏตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 200, 201, 202, 203 และ 204 ตามคำเบิกความของนางสลิฏาดังกล่าวนอกจากจะไม่ยืนยันว่า ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงที่เจ้าหน้าที่ออกใบจอง (น.ส. 2) ให้ ไม่ได้อยู่ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 แล้ว พยานปากนี้ยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 ถามค้านว่า ในช่วงปี 2506 ถึงปี 2515 จะมีการกำหนดพื้นที่ป่าไม้ถาวรในเขตอำเภอวังสะพุงอย่างไร และที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจะอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรหรือไม่ พยานไม่ทราบ แสดงว่านางสลิฏาเองก็ไม่ทราบว่าในท้องที่อำเภอวังสะพุงมีที่ดินส่วนใดอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรบ้าง ที่พยานปากนี้เบิกความในทำนองว่า ได้ออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงไปโดยชอบนั้น จึงไม่มีน้ำหนักให้น่ารับฟัง ส่วนตัวโจทก์ที่ 2 และพยานโจทก์ปากนางนีรนุช พี่สาวโจทก์ที่ 2 และปากนายคงวุฒิ ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับโจทก์ที่ 1 ก็คงเบิกความแต่เพียงว่า การซื้อขายที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงระหว่างเจ้าของเดิมกับโจทก์ทั้งสองจดทะเบียนกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย อันเป็นการเบิกความถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังที่มีการออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงแล้ว จึงหาใช่ข้อเท็จจริงที่สนับสนุนให้เห็นว่าที่ดินพิพาทไม่ได้อยู่ในเขตป่าไม้ถาวร สำหรับพยานโจทก์ปากนายวีรเทพ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้างานช่างรังวัด สำนักงานที่ดินจังหวัดเลย สาขาวังสะพุง ก็เบิกความเฉพาะที่เกี่ยวกับการรังวัดที่ดินพิพาทเพื่อออกโฉนดให้แก่โจทก์ทั้งสองซึ่งได้ดำเนินการไปเมื่อปี 2553 เท่านั้น ส่วนที่โจทก์ทั้งสองอ้างหนังสือของกรมที่ดิน เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับเอกสารสิทธิที่ออกในเขตป่าไม้ และบันทึกข้อตกลงระหว่างกรมที่ดินกับสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เรื่อง วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ.2558 เป็นพยานนั้น เป็นเรื่องวิธีปฏิบัติของหน่วยงานราชการ หาใช่กฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสิทธิและหน้าที่ของคู่ความในคดีนี้ไม่ ตามพยานหลักฐานที่โจทก์ทั้งสองนำสืบมาจึงไม่มีน้ำหนักให้น่ารับฟัง ส่วนจำเลยที่ 1 นำสืบโดยมีนายบุญรวย ตำแหน่งผู้อำนวยการกลุ่มกฎหมายรักษาราชการแทนปฏิรูปที่ดินจังหวัดเลยมาเบิกความถึงความเป็นมาของที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงว่า เมื่อปี 2506 คณะรัฐมนตรีมีมติให้ป่าหมายเลข 23 ซึ่งตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เป็นป่าไม้ถาวร ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงเป็นที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรจึงไม่อาจนำไปขออนุญาตจับจองได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2532 คณะรัฐมนตรีมีมติให้จำแนกพื้นที่ป่าไม้ถาวรบางส่วนออกมาเพื่อนำไปปฏิรูปที่ดินและจัดให้เกษตรกรเข้าทำประโยชน์ จึงมีการจำแนกป่าหมายเลข 23 ที่อยู่นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติบางส่วนซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงออกมาดังที่ปรากฏในเอกสารที่ระบายด้วยหมึกสีแดง ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงเดิมอยู่ในเขตตำบลวังสะพุง อำเภอวังสะพุง เมื่อมีการแบ่งแยกตำบลวังสะพุงออกเป็นตำบลศรีสงครามเมื่อปี 2530 ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจึงตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีสงคราม อำเภอวังสะพุง และต่อมาเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2533 คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติได้มอบที่ดินป่าหมายเลข 23 ส่วนที่จำแนกไว้ให้แก่จำเลยที่ 1 นำไปปฏิรูปที่ดินตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 หลังจากจำเลยที่ 1 ได้รับมอบที่ดินมา คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีมติให้นำที่ดินที่ได้รับมอบจากคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติไปทำการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จากนั้นจึงได้นำที่ดินดังกล่าวซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทไปดำเนินการปฏิรูปและมอบให้เกษตรกรเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน นอกจากนายบุญรวยจะเบิกความไว้ดังกล่าว จำเลยที่ 1 ยังมีหนังสือของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรื่อง การสำรวจจำแนกประเภทที่ดิน หนังสือของกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การสำรวจจำแนกประเภทที่ดิน และบันทึกรายงานการประชุมคณะกรรมการสำรวจจำแนกประเภทที่ดินและคณะอนุกรรมการอำนวยการและประมวลผลการสำรวจจำแนกประเภทที่ดินมานำสืบ ซึ่งเมื่อตรวจดูในเอกสารมีข้อความระบุไว้ว่า คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ส่วนเอกสารที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยส่งไปยังเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติตามมติของคณะกรรมการสำรวจจำแนกประเภทที่ดินที่ได้มีมติให้จำแนกประเภทที่ดินเป็นพื้นที่ป่าไม้ซึ่งควรสงวนคุ้มครองและเป็นที่ดินจัดสรรเพื่อการเกษตรกรรมและอื่น ๆ สำหรับท้องที่ที่มีการจำแนกประเภทที่ดินนั้น ก็ปรากฏจากบันทึกรายงานการประชุมว่า ในส่วนของจังหวัดเลยมีพื้นที่ป่าที่จะต้องจำแนกประเภทเป็นจำนวนค่อนข้างมากและตั้งอยู่ในหลายอำเภอรวมถึงพื้นที่ป่าที่อยู่ในเขตอำเภอวังสะพุงด้วย โดยมีพื้นที่ป่าที่คณะกรรมการมีมติให้ดำเนินการสงวนและคุ้มครองอยู่ 2 ป่า คือ ป่าหมายเลข 23 และป่าดงซำแม่นาง ในส่วนป่าหมายเลข 23 ซึ่งมีเขตป่าติดต่อกับหลายอำเภอนั้น แม้จะไม่ได้ระบุว่าอยู่ในเขตตำบลวังสะพุงด้วย แต่เมื่อนำข้อเท็จจริงที่ได้ความจากรายงานบันทึกผลการพิจารณาของอนุกรรมการพิจารณาแนวทางและมาตรการเกี่ยวกับนโยบายที่ดิน ซึ่งเป็นบันทึกที่คณะอนุกรรมการดังกล่าวทำขึ้นเพื่อเสนอคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติในการประชุมครั้งที่ 6/2533 มาพิจารณาประกอบก็จะเห็นได้ว่า ในการจำแนกที่ดินป่าหมายเลข 23 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2532 นั้น คณะอนุกรรมการได้จำแนกที่ดินส่วนหนึ่งออกจากป่าไม้ถาวรที่อยู่นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติเพื่อนำมาเป็นที่ทำกินของราษฎรและจัดเป็นป่าชุมชน มีพื้นที่จำแนกแปลงที่ 9 และแปลงที่ 11 ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีสงครามและตำบลวังสะพุง อำเภอวังสะพุง จากข้อเท็จจริงดังกล่าวบ่งชี้ว่า ป่าหมายเลข 23 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 ที่ให้รักษาไว้เป็นป่าไม้ถาวรนั้น ส่วนหนึ่งตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลวังสะพุง และเมื่อตั้งตำบลศรีสงครามขึ้นเมื่อปี 2530 ป่าส่วนหนึ่งจึงยังตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีสงครามตามที่จำเลยที่ 1 นำสืบ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังมีรายงานผลการตรวจสอบวิเคราะห์และอ่านแปลตีความภาพถ่ายทางอากาศมานำสืบสนับสนุนเอกสารดังกล่าวแม้เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดทำขึ้น แต่ก็ไม่ปรากฏว่าฝ่ายโจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านถึงความไม่ถูกต้องของข้อเท็จจริงที่นำมาประกอบในการวิเคราะห์สรุปผลแต่อย่างใด ผลการวิเคราะห์ที่ระบุว่า ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรจึงมีน้ำหนักให้น่ารับฟัง อีกทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เคยมีหนังสือด่วนที่สุด ที่ กษ 1204/3645 ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2554 ไปถึงกรมพัฒนาที่ดิน เพื่อขอให้ตรวจสอบแผนที่แสดงแปลงที่ดินพิพาทว่าอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 หรือไม่ ต่อมากรมพัฒนาที่ดินมีหนังสือ ที่ กษ 1806/1755 ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2554 แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบว่า พื้นที่ที่ขอให้ตรวจสอบอยู่ในพื้นที่ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2532 ให้จำแนกออกจากป่าไม้ถาวร "ป่าหมายเลข 23" เพื่อทำเป็นที่ทำกินของราษฎรหรือเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่น ซึ่งก็เป็นอีกข้อเท็จจริงหนึ่งที่สนับสนุนข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ที่ว่า ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 ให้มีน้ำหนักน่ารับฟังยิ่งขึ้น ตามพยานหลักฐานที่จำเลยที่ 1 นำมาสืบมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 การเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ ที่จะใช้ยันรัฐได้ การขออนุญาตเข้าจับจองก็เป็นการกระทำที่ขัดต่อระเบียบว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน ฉบับลงวันที่ 24 สิงหาคม 2498 ที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 (6) มาตรา 27 และมาตรา 33 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยตามระเบียบดังกล่าว ข้อ 3 กำหนดไว้ว่า "ที่ดินที่จะจัดให้ประชาชนอยู่อาศัยหรือประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพตามความในมาตรา 20 (1) และมาตรา 27 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ต้องเป็นที่ดินของรัฐซึ่งอยู่ในลักษณะดังต่อไปนี้ คือ (1) ที่ดินซึ่งมิได้มีบุคคลใดมีสิทธิครอบครองและมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดินอันราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือมิใช่ที่สงวนหวงห้าม หรือมิใช่ที่เขา ที่ภูเขา (2)......." ระเบียบดังกล่าวนี้ใช้บังคับแก่ที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 33 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ด้วย ทั้งนี้เป็นไปตามระเบียบ ข้อ 22 ดังนั้น ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงแม้จะเป็นที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยตามมาตรา 33 ก็ต้องอยู่ในบังคับของระเบียบดังกล่าว เมื่อการขออนุญาตจับจองในที่ดินพิพาทและการอนุญาตให้จับจองของเจ้าหน้าที่เป็นการกระทำโดยมิชอบ จึงไม่เข้าเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ที่จะยื่นคำขอเพื่อขอรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจึงเป็นการออกโดยไม่ชอบ ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป่าหมายเลข 23 ยังคงเป็นป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2506 ดังนั้น เมื่อต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2532 ให้จำแนกป่าหมายเลข 23 โดยให้จำแนกพื้นที่บางส่วนออกจากป่าไม้ถาวรเพื่อเป็นที่ทำกินของราษฎรหรือเพื่อใช้ประโยชน์อื่น ๆ และคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติมีมติให้จำแนกพื้นที่ส่วนหนึ่งซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงออกจากพื้นที่ป่าไม้ถาวร และมอบให้จำเลยที่ 1 ไปดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงซึ่งพ้นจากสภาพป่าไม้ถาวรแล้วจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 36 ทวิ จำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจนำที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงไปปฏิรูปและจัดให้เกษตรกรเข้าครอบครองทำประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ได้ การอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงจึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ โจทก์ทั้งสองจึงไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ส่วนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 เป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ที่จำเลยที่ 1 ออกให้แก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 โดยเห็นว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิโดยชอบในที่ดินพิพาททั้งห้าแปลงมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น และเมื่อเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 ที่มิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247 (เดิม)

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ




คำพิพากษาฎีกาทั่วไป

อำนาจนายกรัฐมนตรี คำสั่งน้ำมันเชื้อเพลิง, การส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ความผิดฐานทำคำรับรองอันเป็นเท็จในงานตรวจสอบมาตรฐานสินค้า
ผลของ พ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ศ. 2550 ต่อคดีอาญา
เสือสวนสัตว์หลุดกัดศีรษะโจทก์, ละเมิด, เรียกค่าสินไหมทดแทน
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน-พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
จัดทำและส่งเป็นงบการเงินโดยมีเจตนาเพื่อลวง
ใบจอง (น.ส. 2)
โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ท้ายฟ้องแนบหนังสือมอบอำนาจผิดฉบับถือเป็นข้อบกพร่องเล็กน้อย
ความเสียหายไม่เกินวงเงินความคุ้มครองของสัญญาประกันภัย
การคืนเงินค่าหุ้นในภาวะขาดทุนตามคำสั่งของนายทะเบียนสหกรณ์
อำนาจฟ้องขณะยังไม่มีคำสั่งศาลให้เป็นคนไร้ความสามารถ
วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา
อำนาจพิจารณาคดีตามพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ.2559
การกระทำโดยสำคัญผิด
ผิดฐานพาบุคคลไปเพื่อการอนาจารเพื่อสนองความใคร่ของตนเอง
ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 คืออะไร-การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ความผิดฐานรับของโจรได้ต้องมีการลักทรัพย์เกิดขึ้นแล้ว
ภาษีให้กู้ยืมเงินไม่มีค่าตอบแทน
กฎหมายอันมีที่ประสงค์เพื่อจะปกป้องบุคคลอื่น ๆ
แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
สิทธิขั้นพื้นฐานในเชิงปรัชญา
ลูกหนี้ค้างจ่ายสรรพากรโอนสิทธิเรียกร้องให้โจทก์
บุตรผู้เยาว์ยังไร้เดียงสาย่อมไม่สามารถให้ความยินยอมได้
สำนักงานทนายความ รับปรึกษากฎหมาย
ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอก
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและคำนิยามศัพท์
อำนาจฟ้องคดี
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในกรณีที่มีข้อสงสัยให้ตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่คฝ่ายผู้ต้องเสียในมูลหนี้
ข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ
ห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมินภาษี
โอนที่ดินเพื่อให้สมัครเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์
โอนที่ดินตามคำพิพากษาเป็นการขายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
สิทธิหักลดหย่อนสำหรับบุตรซึ่งเกิดจากภริยาเดิม
รับเงินมาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายต้องคืนเงินในฐานลาภมิควรได้
คุ้มครองแรงงาน แรงงานสัมพันธ์
คดีพิพาทเกี่ยวกับการขอคืนค่าภาษีอากร
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับ
ขาดคุณสมบัติรับราชการเรียกเงินเดือนคืนได้หรือไม่?
ความผิดที่รัฐเป็นผู้เสียหาย
ผู้แทนเฉพาะการของนิติบุคคลอาคารชุดมีประโยชน์ได้เสียขัดกัน
ทำหนังสือมอบอำนาจล่วงหน้า จำเลยนำไปทำจำนอง ฟ้องเพิกถอน
สนามกอล์ฟต้องเสียภาษีโรงเรือนหรือไม่?
สัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก
ใบมอบฉันทะที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องติดอากร
ภัยพิบัติที่อาจป้องกันได้ - เหตุสุดวิสัยเป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้
การซื้อรถยนต์ที่มีผู้ลักลอบนำเข้ามาโดยหลีกเลี่ยงอากรมีความผิดถูกจำคุก 4 ปี
คำสั่งขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมต้องมีพฤติการณ์พิเศษเท่านั้น
ความสำคัญผิดในตัวบุคคล กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิด article
ศาลต้องยกฟ้อง หรือจำหน่ายคดี
โอนที่ดินให้บุตรไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
คดีแพ่งเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวและมรดกอิสลาม
สิทธิเรียกร้องคืออะไร การบังคับชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องที่ได้รับโอน
สิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม
ขั้นตอนการดำเนินคดีแพ่ง
ระบอบการเมืองการปกครอง
เริ่มต้นคดีด้วยการใช้กฎหมายอิสลามแต่มีผู้คัดค้านนับถือศาสนาพุทธ