อำนาจนายกรัฐมนตรี คำสั่งน้ำมันเชื้อเพลิง, การส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ • คำพิพากษาศาลฎีกา 465/2567 • พ.ร.ก. แก้ไขการขาดแคลนน้ำมัน พ.ศ. 2516 • อำนาจนายกรัฐมนตรี คำสั่งน้ำมันเชื้อเพลิง • การส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง • พ.ร.บ. การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 • การโต้แย้งสิทธิและหน้าที่ในศาล • กฎหมายป้องกันการขาดแคลนน้ำมัน สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2567 มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับอำนาจของนายกรัฐมนตรีในการออกคำสั่งเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมัน พ.ศ. 2516 โดยนายกรัฐมนตรีออกคำสั่งที่ 4/2547 และ 4/2554 เพื่อให้ผู้ค้าน้ำมันส่งเงินเข้ากองทุน ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย แม้จะไม่ระบุอำนาจชัดเจนแต่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายในการป้องกันการขาดแคลนน้ำมัน จึงถือว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจดังกล่าว คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้าน้ำมันให้ชำระเงินที่ไม่ได้ส่งเข้ากองทุน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยชำระเงินตามคำฟ้อง ศาลฎีกาพิจารณาและเห็นว่าคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่กำหนดให้ส่งเงินเข้ากองทุนเป็นไปตามกฎหมาย และโจทก์มีอำนาจฟ้อง โดยคำสั่งและการบริหารกองทุนยังคงถูกต้องจนกว่าจะมีคำสั่งยกเลิก ส่วนที่จำเลยอ้างว่ากฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากเป็นข้อใหม่ที่เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกา สุดท้ายศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์และให้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาเป็นพับ *หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2567 มีดังนี้: 1.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55: มาตรานี้ระบุเกี่ยวกับการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ ซึ่งหากผู้ใดที่ถูกโต้แย้งว่ามีสิทธิหรือหน้าที่และมีการฟ้องร้องในศาล ผู้นั้นสามารถนำพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงที่ตนเห็นสมควรเพื่อพิสูจน์สิทธิหรือปฏิเสธหน้าที่นั้นได้ มาตรานี้เป็นหลักในการวินิจฉัยสิทธิของคู่กรณีในกรณีที่เกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำสั่งทางกฎหมาย เช่น การเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากจำเลยในคดีนี้ 2.พระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 มาตรา 7: มาตรานี้กำหนดให้ผู้ที่ประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทยต้องได้รับอนุญาตและอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมาย รวมถึงการปฏิบัติตามมาตรการและคำสั่งที่ออกโดยหน่วยงานที่มีอำนาจ การอ้างอิงมาตรานี้ในคดีช่วยสนับสนุนการกำหนดหน้าที่ของผู้ค้าน้ำมันในการปฏิบัติตามคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีหรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องออกมา เช่น การส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมัน 3.พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 3: มาตรานี้ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการออกคำสั่งหรือมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยครอบคลุมถึงการผลิต การจำหน่าย การขนส่ง การสำรอง และการส่งออกหรือนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง คำสั่งตามมาตรานี้มุ่งเน้นการรักษาความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ และในการพิจารณาคดีนี้ คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันส่งเงินเข้ากองทุนถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามอำนาจในมาตรานี้ แม้ว่าจะไม่ได้ระบุการจัดตั้งกองทุนโดยตรง แต่การกระทำดังกล่าวก็ยังถือว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อป้องกันการขาดแคลนน้ำมัน การอธิบายหลักกฎหมายเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงการใช้กฎหมายในการวินิจฉัยและการปฏิบัติตามคำสั่งของหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจ รวมถึงการตีความและการนำไปปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2567 ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2567 พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 3 บัญญัติว่า "เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งเพื่อกำหนดมาตรการเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (1) การผลิต การจำหน่าย การขนส่ง การมีไว้ในครอบครอง การสำรองและการส่งออกนอกราชอาณาจักรและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด..." ต่อมานายกรัฐมนตรีออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งข้อ 9/1 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่จำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด การออกคำสั่งของนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 อาศัยอำนาจตามมาตรา 3 (1) แห่ง พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 สืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นและน้ำมันดิบที่จะหาซื้อมีปริมาณลดลงอันจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทย การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการให้ผู้ค้าน้ำมันที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวก็เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยอาศัยมาตรา 3 แห่ง พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 แม้มาตรานี้จะมิได้บัญญัติไว้โดยตรงให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้จัดเก็บหรือตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็ตาม แต่คำสั่งของนายกรัฐมนตรีสอดคล้องกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมายในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง จึงถือว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งดังกล่าวได้ ทั้งปัญหาว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งได้หรือไม่นั้น เป็นข้อกฎหมายซึ่งไม่อาจนำความเห็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใดมายืนยันได้ แม้จะได้ความตามทางนำสืบของจำเลยเกี่ยวกับผลการพิจารณาของผู้ตรวจการแผ่นดิน ครั้งที่ 22/2556 ว่า คำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ออกโดยไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการออกคำสั่งเพื่อให้เรียกเก็บเงินและจ่ายเงินชดเชยหรือจ่ายเงินคืนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ และจำเลยได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดขอให้เพิกถอนคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และคำสั่งแก้ไขเพิ่มเติมที่ 4/2554 และกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งหรือนิติกรรมทางปกครองที่เกี่ยวเนื่องกับคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว รวมทั้งขอให้เพิกถอนอำนาจในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของโจทก์ที่ 1 เป็นคดีของศาลปกครองสูงสุดก็ตาม แต่เมื่อศาลปกครองสูงสุดยังมิได้มีคำวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว กรณีจึงยังต้องถือว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยในฐานะผู้ค้าน้ำมันจึงมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีจนกว่าคำสั่งดังกล่าวจะถูกยกเลิก ที่จำเลยอ้างว่าคำสั่งที่ให้ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันมิใช่บริการสาธารณะจึงเป็นการนอกวัตถุประสงค์ และการไม่นำส่งเงินดังกล่าวเข้าคลังก่อนเป็นการมิชอบ เพื่อปฏิเสธอำนาจฟ้องของโจทก์ทั้งสองนั้น เหตุแห่งการปฏิเสธความรับผิดของจำเลยดังกล่าวเป็นคนละส่วนกับการที่จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เมื่อจำเลยเป็นผู้ค้ำน้ำมันซึ่งได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันมาก่อน จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าเป็นการนอกวัตถุประสงค์หาได้ไม่ ส่วนโจทก์ทั้งสองต้องนำส่งเงินที่ได้รับมาเข้าคลังก่อนหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องระหว่างกระทรวงการคลังกับโจทก์ทั้งสองที่ต้องดำเนินการต่อไป และที่จำเลยอ้างว่าตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธุรกิจพลังงาน พ.ศ. 2556 กับคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 ไม่มีข้อกำหนดให้โจทก์ที่ 2 มีอำนาจหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินจากผู้ค้าน้ำมันนั้น ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 26 (2) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2554 กำหนดว่า ในกรณีที่กรมธุรกิจพลังงาน (โจทก์ที่ 2) ตรวจพบว่ามีผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุนหรือส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง ให้โจทก์ที่ 2 แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่งหรือตามจำนวนที่ขาด โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินจากจำเลยโดยอาศัยคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว เมื่อจำเลยไม่ส่งเงินเข้ากองทุนตามที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากโจทก์ที่ 2 จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
****โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน 121,048,633.29 บาท พร้อมเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน ของต้นเงินจำนวน 77,952,717 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสองเพื่อนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง *จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง *ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 121,048,633.29 บาท พร้อมเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน ของต้นเงินจำนวน 77,952,717 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 1 กรกฎาคม 2559) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสองเพื่อนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท *จำเลยอุทธรณ์ *ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ *จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 3 บัญญัติว่า "เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งเพื่อกำหนดมาตรการเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (1) การผลิต การจำหน่าย การขนส่ง การมีไว้ในครอบครอง การสำรองและการส่งออกนอกราชอาณาจักรและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด..." ต่อมานายกรัฐมนตรีออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งข้อ 9/1 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่จำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด การออกคำสั่งของนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2554 เป็นการออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 3 (1) แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 สืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นและน้ำมันดิบที่จะหาซื้อมีปริมาณลดลงอันจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทย การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการให้ผู้ค้าน้ำมันที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวก็เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยอาศัยมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 แม้มาตรานี้จะมิได้บัญญัติไว้โดยตรงให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้จัดเก็บหรือตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็ตาม แต่คำสั่งของนายกรัฐมนตรีเป็นคำสั่งที่สอดคล้องกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมายในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง จึงถือว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งดังกล่าวได้ ทั้งปัญหาว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งได้หรือไม่นั้น เป็นข้อกฎหมายซึ่งไม่อาจนำความเห็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใดมายืนยันว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจหรือไม่มีอำนาจออกคำสั่งได้ แม้จะได้ความตามทางนำสืบของจำเลยว่า ผลการพิจารณาของผู้ตรวจการแผ่นดิน ครั้งที่ 22/2556 ว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ออกโดยไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการออกคำสั่งเพื่อให้เรียกเก็บเงินและจ่ายเงินชดเชยหรือจ่ายเงินคืนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ และจำเลยได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดขอให้เพิกถอนคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และคำสั่งแก้ไขเพิ่มเติมที่ 4/2554 และกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งหรือนิติกรรมทางปกครองที่เกี่ยวเนื่องกับคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว รวมทั้งขอให้เพิกถอนอำนาจในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของโจทก์ที่ 1 เป็นคดีหมายเลขดำที่ ฟร.4/2560 ของศาลปกครองสูงสุดก็ตาม แต่เมื่อศาลปกครองสูงสุดยังมิได้มีคำวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว กรณีจึงยังต้องถือว่าคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยในฐานะผู้ค้าน้ำมันจึงมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีจนกว่าคำสั่งดังกล่าวจะถูกยกเลิก ที่จำเลยอ้างว่าคำสั่งที่ให้ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันมิใช่บริการสาธารณะจึงเป็นการนอกวัตถุประสงค์และการไม่นำส่งเงินดังกล่าวเข้าคลังก่อนเป็นการมิชอบเพื่อปฏิเสธอำนาจฟ้องของโจทก์ทั้งสองนั้น เหตุแห่งการปฏิเสธความรับผิดของจำเลยดังกล่าวเป็นคนละส่วนกับการที่จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เมื่อจำเลยเป็นผู้ค้าน้ำมันซึ่งได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันมาก่อน ดังนั้น จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าเป็นการนอกวัตถุประสงค์หาได้ไม่ ส่วนโจทก์ทั้งสองต้องนำส่งเงินที่ได้รับมาเข้าคลังก่อนหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องระหว่างกระทรวงการคลังกับโจทก์ทั้งสองที่ต้องดำเนินการต่อไป และที่จำเลยอ้างว่า ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธุรกิจพลังงาน พ.ศ. 2556 คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 ไม่มีข้อกำหนดให้โจทก์ที่ 2 มีอำนาจหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินจากผู้ค้าน้ำมันนั้น ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 26 (2) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2554 กำหนดว่า ในกรณีที่กรมธุรกิจพลังงาน (โจทก์ที่ 2) ตรวจพบว่าผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุนหรือส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง ให้โจทก์ที่ 2 แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่งหรือตามจำนวนที่ขาด โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินจากจำเลยโดยอาศัยคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว เมื่อจำเลยไม่ส่งเงินเข้ากองทุนตามที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากโจทก์ที่ 2 จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ส่วนที่จำเลยอ้างว่า พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 มาตรา 2 บัญญัติว่า "พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป" มาตรา 48 บัญญัติว่า "ให้โอนบรรดาเงิน ทรัพย์สิน สิทธิ และหนี้สินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ที่ออกตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 ไปเป็นของกองทุนตามพระราชบัญญัตินี้" และมาตรา 49 บัญญัติว่า "เมื่อพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการยุบเลิกสถาบันบริหารพลังงาน (องค์การมหาชน) ใช้บังคับ ให้โอนบรรดาเงิน ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน รวมทั้งงบประมาณของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ไปเป็นของกองทุน โดยให้ใช้จ่ายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานกองทุนหรือการบริหารกองทุน" ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกายุบเลิกสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2562 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2562 และมีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 16/2562 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2562 ยกเลิกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และที่ 4/2554 จึงเป็นอำนาจและหน้าที่ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 นับตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2562 ซึ่งกฎหมายมีผลบังคับใช้ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีนี้อีกต่อไปนั้น ข้อเท็จจริงก็ได้ความว่า สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งได้รับโอนบรรดาเงิน ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน รวมทั้งงบประมาณของโจทก์ที่ 1 มาตามพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 มาตรา 48 และมาตรา 49 ได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 1 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ส่วนโจทก์ที่ 2 นั้น ไม่ปรากฏว่าถูกยุบเลิกแต่อย่างใด โจทก์ที่ 2 จึงยังคงมีฐานะเป็นนิติบุคคล แม้ตามพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 มาตรา 34 (2) บัญญัติให้กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร หรือกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ แล้วแต่กรณี แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุน ส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่งหรือตามจำนวนที่ขาด โดยมิได้บัญญัติให้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้แจ้งให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินแล้วก็ตาม แต่เงินที่จำเลยต้องส่งเข้ากองทุนตามฟ้องนั้น เป็นกรณีที่โจทก์ที่ 2 ตรวจพบว่าจำเลยไม่ส่งเงินหรือส่งเงินไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่งตั้งแต่ก่อนพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 ประกาศใช้บังคับ และเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ 2 โดยตรงที่จะต้องมีหนังสือแจ้งจำเลยให้ส่งเงินเข้ากองทุนตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 26 (2) ซึ่งยังคงมีผลใช้บังคับในขณะนั้น สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์และฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น *คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานมีอำนาจออกประกาศให้จำเลยส่งเงินเข้ากองทุนตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 6 บัญญัติว่า "คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) เสนอนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศต่อคณะรัฐมนตรี (2) กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการกำหนดราคาพลังงานให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศ... (5) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย" ดังนั้น ประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ฉบับที่ 114 พ.ศ. 2555 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง จึงเป็นประกาศที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานออกใช้บังคับตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการพิจารณาปรับราคาขายปลีกก๊าซ และกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละเดือน โดยที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 6 แม้ตามคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ 146/2561 ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีนี้ไว้แล้วว่า คดีนี้โจทก์ที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทองค์การมหาชนตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2546 ในการ (1) ดำเนินการใด ๆ เพื่อให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน และ (4) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือคณะกรรมการมอบหมาย และยังได้วินิจฉัยต่อไปว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น เมื่อคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 9/1 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่จำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้ประกาศกำหนด จำเลยมีหน้าที่ต้องนำเงินส่งให้แก่โจทก์ที่ 1 เพื่อเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจในการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติมเอง และประเด็นต่อมาว่า จำเลยต้องชำระหนี้กองทุนน้ำมันและเงินเพิ่มแก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่ เพียงใด มิอาจวินิจฉัยต่อไปได้ด้วย ไม่อาจยึดถือเอาหลักเกณฑ์อัตราเงินที่ต้องนำส่งเข้ากองทุนเท่าใด อัตราเงินเพิ่มเท่าใด ตามประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานภายใต้กำกับดูแลของโจทก์ที่ 1 ที่ไม่มีอำนาจออกประกาศโดยชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวข้างต้นนั้น ก็เป็นเพียงคำวินิจฉัยในชั้นชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล มิใช่คำวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีที่พิพาทโดยตรง ศาลฎีกาไม่จำต้องถือตามคำวินิจฉัยดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีอำนาจกระทำได้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน *คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า กฎหมายที่นำมาใช้บังคับเพื่อวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 5 และมาตรา 26 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยเพิ่งยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ และไม่จำต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย *พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
บทความเรื่อง: กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง – ความหมาย การจัดเก็บเงิน และบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงคืออะไร กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกองทุนที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อาจทำให้ราคาน้ำมันภายในประเทศสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน 2. การจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน กองทุนน้ำมันมีการจัดเก็บเงินจากผู้ค้าน้ำมันที่จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเรียกเก็บตามอัตราที่กำหนดไว้โดยคณะกรรมการบริหารกองทุน อัตรานี้จะถูกประกาศตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดโลกและนโยบายของรัฐบาล ซึ่งแต่ละประเภทของน้ำมันจะมีอัตราเงินที่ต้องส่งเข้ากองทุนแตกต่างกัน 3. จุดประสงค์ของกองทุนน้ำมัน กองทุนน้ำมันมีไว้เพื่อ: •ช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันภายในประเทศ เพื่อไม่ให้ราคาสูงหรือต่ำจนเกินไป •รองรับการจ่ายชดเชยในกรณีที่ต้องใช้นโยบายเพื่อสนับสนุนราคาน้ำมันที่เหมาะสม •ป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศในยามที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงขึ้นและการจัดหาน้ำมันเป็นไปอย่างยากลำบาก 4. ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง *(1) พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 3 *มาตรานี้ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการออกคำสั่งเกี่ยวกับมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น การผลิต การจำหน่าย และการมีไว้ในครอบครองน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงการตั้งกองทุนน้ำมันเพื่อรองรับการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น *อธิบายหลักกฎหมาย: มาตรานี้เน้นถึงอำนาจในการจัดการเพื่อรักษาความมั่นคงทางพลังงาน โดยคำสั่งที่ออกมาจะต้องสอดคล้องกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมายในการป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมัน *(2) พระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 มาตรา 7 มาตรานี้กำหนดให้ผู้ที่ประกอบกิจการค้าน้ำมันต้องปฏิบัติตามมาตรการที่หน่วยงานรัฐกำหนด ซึ่งรวมถึงการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามอัตราที่กำหนดไว้ *อธิบายหลักกฎหมาย: กฎหมายนี้ให้การกำกับดูแลเกี่ยวกับการจัดเก็บเงินจากการค้าน้ำมันเพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติตามมาตรการของรัฐและช่วยเสถียรภาพของตลาดน้ำมัน *(3) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 มาตรานี้เกี่ยวข้องกับการโต้แย้งสิทธิในการฟ้องร้องเพื่อเรียกเก็บเงินจากผู้ค้าที่ไม่ส่งเงินเข้ากองทุนตามที่กำหนดไว้ โดยคู่ความมีสิทธิยื่นฟ้องร้องในกรณีที่มีการละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทางกฎหมาย *อธิบายหลักกฎหมาย: มาตรานี้ช่วยให้การเรียกร้องสิทธิในการฟ้องร้องเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมและให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามที่กฎหมายกำหนด สรุป กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกลไกที่สำคัญในการรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันในประเทศผ่านการจัดเก็บเงินจากผู้ค้าน้ำมันเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลกและความมั่นคงทางพลังงาน การปฏิบัติตามข้อกฎหมายและคำสั่งที่เกี่ยวข้องช่วยให้สามารถจัดการและบริหารกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามหลักนิติธรรม |