

ใช้สิทธิทางศาลขอเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมาย บิดาใช้สิทธิทางศาลขอเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายและมีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย บิดานอกสมรสขอให้ศาลมีคำสั่งว่าเป็นบิดาตามกฎหมายของผู้ตายและมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายซึ่งไม่อาจกระทำได้เพราะไม่มีกฎหมายรับรองและคุ้มครองสิทธิให้ทำได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5660/2559 บุตรที่เกิดนอกสมรสจะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาในภายหลังได้ 3 ประการ คือ เมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง หรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเด็กเป็นบุตร หรือศาลพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1547 เมื่อปรากฏตามคำร้องขอของผู้ร้องว่า ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบิดาตามกฎหมายของ พ. และมีสิทธิได้รับมรดกของ พ. มิใช่เป็นกรณีที่ขอให้ศาลพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตร ทั้งการที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตรตาม ป.พ.พ. มาตรา 1547 และมาตรา 1555 นั้น เป็นสิทธิของฝ่ายเด็กที่จะฟ้องให้ศาลมีคำพิพากษาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้กล่าวคือ ในกรณีที่เด็กยังมีอายุไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ให้ผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้ฟ้องคดีแทน หรือในกรณีที่เด็กไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือมีแต่ผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถทำหน้าที่ได้ให้ญาติสนิทของเด็กหรืออัยการร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดีเพื่อทำหน้าที่ฟ้องคดีแทนเด็ก มิใช่กรณีที่ให้สิทธิแก่บุคคลที่อ้างว่าเป็นบิดาของเด็กมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตร ทั้งผู้ร้องมิได้ร้องขอให้ศาลพิพากษาให้ผู้ร้องจดทะเบียนว่าเด็กเป็นบุตรเพื่อนำคำพิพากษาไปขอจดทะเบียนต่อนายทะเบียนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1548 แต่กลับขอให้ศาลพิพากษาว่าผู้ร้องเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของ พ. ซึ่งไม่อาจกระทำได้เพราะคำพิพากษาของศาลในกรณีเช่นนี้ไม่มีผลทำให้ผู้ร้องมีสถานะเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของ พ. กรณีของผู้ร้องจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติ มาตรา 1547 จึงไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรับรองและคุ้มครองสิทธิแก่ผู้ร้องในอันที่จะนำเสนอคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของ พ. ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2559)
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องแต่งงานกับนางมะลิ (จำชื่อสกุลเดิมไม่ได้) ตามประเพณี และอยู่กินกันฉันสามีภริยาตั้งแต่ปี 2493 มีบุตร 12 คน โดย นางพิกุล เป็นบุตรลำดับที่ 4 ของผู้ร้องกับนางมะลิ และนางพิกุลถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2547 ด้วยโรคมะเร็งเต้านม ระหว่างนางพิกุลยังมีชีวิตและอยู่ในวัยเยาว์ ผู้ร้องเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษาและให้ใช้ชื่อสกุลของผู้ร้อง เมื่อนางพิกุลบรรลุนิติภาวะได้สมรสกับนายจิตติ มีบุตร 3 คน ต่อมาปี 2531 นางพิกุลจดทะเบียนหย่ากับนายจิตติ นางพิกุลมีทรัพย์สินเป็นที่ดิน 3 แปลง เมื่อนางพิกุลถึงแก่ความตาย ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งนายวีรสรรค์ บุตรของนางพิกุลเป็นผู้จัดการมรดกของนางพิกุล นายวีรสรรค์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางพิกุลพยายามขับไล่ผู้ร้องออกจากบ้านของนางพิกุลที่ผู้ร้องอยู่อาศัยด้วย ผู้ร้องเป็นบิดามีส่วนได้รับมรดกของนางพิกุล แต่นายวีรสรรค์ไม่ยอมแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ผู้ร้องโดยอ้างว่าผู้ร้องมิใช่บิดาตามกฎหมายของนางพิกุล ขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบิดาตามกฎหมายของนางพิกุลและมีสิทธิได้รับมรดกของนางพิกุล ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิใช่สามีของนางมะลิ และนางพิกุลมิใช่บุตรของผู้ร้อง ผู้ร้องไม่เคยอุปการะเลี้ยงดูนางพิกุล ระหว่างแบ่งมรดกของนางพิกุล ผู้ร้องไม่เคยเข้าเกี่ยวข้อง ผู้คัดค้านแบ่งมรดกของนางพิกุลเสร็จตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งเกิน 1 ปี แล้ว นอกจากนี้ไม่มีกฎหมายให้สิทธิผู้ร้องในการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องเป็นทายาทของนางพิกุลและเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกของนางพิกุล ขอให้ยกคำร้องขอ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ผู้ร้องเป็นบิดาของนางพิกุล คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ผู้คัดค้านอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังเป็นยุติว่า นางพิกุลเป็นบุตรของนางมะลิ นางพิกุลสมรสกับนายจิตติ และมีบุตรด้วยกัน 3 คน โดยนายวีรสรรค์ ผู้คัดค้าน เป็นบุตรคนหนึ่ง ต่อมานางพิกุลจดทะเบียนหย่ากับนายจิตติในปี 2531 ครั้นปี 2547 นางพิกุลถึงแก่ความตาย โดยศาลมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของนางพิกุล ส่วนนางมะลิถึงแก่ความตายก่อนนางพิกุล มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องชอบที่จะใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายของนางพิกุล ผู้ตายได้หรือไม่ เห็นว่า บุตรที่เกิดนอกสมรสจะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาในภายหลังได้ 3 ประการ คือ เมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง หรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเด็กเป็นบุตร หรือศาลพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 เมื่อปรากฏตามคำร้องขอของผู้ร้องว่า ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบิดาตามกฎหมายของนางพิกุลและมีสิทธิได้รับมรดกของนางพิกุล มิใช่เป็นกรณีที่ขอให้ศาลพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตร ทั้งการที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 และ มาตรา 1555 นั้น เป็นสิทธิของฝ่ายเด็กที่จะฟ้องให้ศาลมีคำพิพากษาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ กล่าวคือ ในกรณีที่เด็กยังมีอายุไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ให้ผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้ฟ้องคดีแทน หรือในกรณีที่เด็กไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรมหรือมีแต่ผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ให้ญาติสนิทของเด็กหรืออัยการร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดีเพื่อทำหน้าที่ฟ้องคดีแทนเด็ก มิใช่กรณีที่ให้สิทธิแก่บุคคลที่อ้างว่าเป็นบิดาของเด็กมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตร ทั้งผู้ร้องมิได้ร้องขอให้ศาลพิพากษาให้ผู้ร้องจดทะเบียนว่าเด็กเป็นบุตรเพื่อนำคำพิพากษาไปขอจดทะเบียนต่อนายทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1548 แต่กลับขอให้ศาลพิพากษาว่าผู้ร้องเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของนางพิกุล ซึ่งไม่อาจกระทำได้เพราะคำพิพากษาของศาลในกรณีเช่นนี้ไม่มีผลทำให้ผู้ร้องมีสถานะเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของนางพิกุล กรณีของผู้ร้องจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 ทั้งศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรับรองและคุ้มครองสิทธิแก่ผู้ร้องในอันที่จะนำเสนอคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของนางพิกุลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับให้ยกคำร้องขอโดยอาศัยเหตุดังกล่าวชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ การใช้สิทธิทางศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท การใช้สิทธิทางศาลตาม ป.วิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 นั้นจะต้องมีกฎหมายระบุไว้ชัดแจ้งว่าให้กระทำได้แต่ตาม ป.แพ่งและพาณิชย์มาตรา1565, 1598/38 และ1598/39 ไม่มีบทบัญญัติให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเพิ่มต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทได้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทต่อศาล คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7308/2537 การที่บุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55นั้นต้องเป็นกรณีจำเป็นที่จะต้องมาร้องขอต่อศาลเพื่อรับรองหรือคุ้มครองสิทธิของตนที่มีอยู่โดยจะต้องมีกฎหมายระบุไว้ชัดแจ้งว่าให้กระทำได้แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา15651598/38และ1598/39ไม่มีบทบัญญัติให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเพิ่มต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทได้ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทต่อศาล ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า เดิมผู้ร้องเป็นภริยาของนาย ชาญชัย โดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกันสองคน คือ นาย ปฏิวัติ และ นางสาว สุรัสวดี เมื่อปี 2522 ผู้ร้องได้หย่ กับ นาย ชาญชัย บุตรทั้งสองอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้ร้อง นาย ชาญชัย ตกลงจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้ แก่บุตรคนละ 350 บาท ต่อเดือนทุกเดือนติดต่อกันและจะจ่ายเพิ่มขึ้นปี ละ 25 บาทต่อคนจนกว่าบุตรทั้งสองจะจบการศึกษาและสามารถประกอบอาชีพได้ ปัจจุบันนาย ปฏิวัติ และ นางสาว สุรัสวดี จำเป็นต้องใช้เงินเดือนละหลายพันบาทต่อคน นาย ชาญชัย มีเงินเดือนไม่ต่ำกว่า 12,540 บาท แต่จ่ายเงินให้บุตรทั้งสองคนละ 600 บาท เท่านั้น ผู้ร้องมีความประสงค์ขอให้นาย ชาญชัย จ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสอง เพิ่มอีกคนละ 900 บาท ต่อเดือน ผู้ร้องได้แจ้งให้ นาย ชาญชัย ทราบแล้วแต่ นาย ชาญชัย เพิกเฉยขอให้มีคำสั่งให้ นาย ชาญชัย จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองเพิ่มขึ้ด้วย ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องขอแล้วมีคำสั่งว่า กรณี เป็นเรื่องโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ผู้ร้องไม่อาจยื่นเป็นคำร้องขอได้ ยกคำร้อง คืนค่าขึ้นศาล ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียม ชั้นอุทธรณ์ให้ เป็น พับ ผู้ร้อง ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องนำคดีมาสู่ศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท เพราะต้องการให้ นาย ชาญชัย จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเพิ่มขึ้นซึ่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1565, 1598/38 และ 1598/39 บัญญัติให้สิทธิผู้ร้องกระทำได้นั้น เห็นว่า การที่บุคคลใดจะต้องใช้ สิทธิทางศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 นั้นเป็นกรณี จำเป็นที่จะต้องมาร้องขอต่อศาลเพื่อรับรอง หรือ คุ้มครอง สิทธิขอตนที่มีอยู่ โดยจะต้องมีกฎหมายระบุไว้ชัดแจ้งว่าให้กระทำได้แต่ ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ผู้ร้องอ้างมาดังกล่าว หามีบทบัญญัติในมาตราใดระบุให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทได้ไม่ และปรากฎตามคำร้องขอของผู้ร้อง ว่าผู้ร้องขอให้ นาย ชาญชัย เพิ่มเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร แต่นาย ชาญชัย เพิกเฉย แสดงให้ เห็นว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นแล้ว ทั้งผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นาย ชาญชัย จ่ายค่า อุปการะเลี้ยงดูบุตรเพิ่มขึ้น คำร้องของผู้ร้องจึงไม่ใช่กรณีที่มาร้องขอต่อศาลเพื่อรับรองหรือคุ้มครองสิทธิของตนที่มีอยู่ แต่เป็นกรณีขอให้ศาลบังคับ นาย ชาญชัย ให้ปฏิบัติ ตามคำขอของผู้ร้อง เช่นนี้ผู้ร้องชอบที่จะฟ้อ เข้ามาเป็นคดีมีข้อพิพาทจะยื่นคำร้องขอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทหาได้ไม่ พิพากษายืน
|