สำนักงานพีศิริ ทนายความ ตั้งอยู่เลขที่ 34/159 หมู่ 8 ซอยบางมดแลนด์ แยก 13 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 ติดต่อทนายความ 085-9604258 สำหรับแผนที่การเดินทาง กรุณาคลิ๊กที่ "ที่ตั้งสำนักงาน" ด้านบนสุด ทนายความ ทนาย สำนักงานกฎหมาย สำนักงานทนายความ ปรึกษากฎหมายกับทนายความลีนนท์ โทรเลย ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความ

เรียกบุตรคืนจากสามีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย, บิดานอกกฎหมายไม่มีสิทธิที่จะกำหนดที่อยู่ของบุตร -ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258 -ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line : (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3) @peesirilaw หรือ (4) peesirilaw (5) leenont -Line Official Account : เพิ่มเพื่อนด้วย QR CODE
เรียกบุตรคืนจากสามีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย บิดานอกกฎหมายไม่มีสิทธิที่จะกำหนดที่อยู่ของบุตร มิได้จดทะเบียนสมรสกัน อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว เรียกบุตรคืน บิดาขอจดทะเบียนรับรองบุตร คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3833/2559 โจทก์และจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสกัน มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กหญิง ว. โจทก์จึงมีอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวย่อมมีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตร และเรียกบุตรคืนจากบุคคลอื่น ซึ่งกักบุตรไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมายได้ ตาม ป.พ.พ. 1567 (1) และ (4) ขณะที่จำเลยพาผู้เยาว์ไปอยู่ที่บ้านบิดามารดาจำเลยที่สุราษฎร์ธานี ผู้เยาว์ไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย แม้ต่อมาในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว จำเลยจะได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนรับรองบุตร และต่อมาในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยจะได้จดทะเบียนรับรองผู้เยาว์เป็นบุตรอันทำให้จำเลยมีอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ก็ตาม ก็หากระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ถูกต้องแห่งอำนาจฟ้องของโจทก์ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกบุตรคืนจากจำเลยได้ กรณีที่บิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน บุตรผู้เยาว์ย่อมเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น และการที่บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกับมารดาทำข้อตกลงกันว่าให้บิดาใช้อำนาจปกครองในวันจันทร์ถึงวันศุกร์และให้มารดาใช้อำนาจปกครองบุตรในวันเสาร์อาทิตย์นั้น ข้อตกลงดังกล่าวไม่ผูกพันมารดาที่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่มีกฎหมายให้ตกลงกันเช่นนั้นได้ ต่อมาเมื่อมารดาชอบด้วยกฎหมายประสงค์จะเรียกบุตรคืนจากบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งถือว่าเป็นผู้อื่นตามความหมายของมาตรา 1567 ที่กักบุตรไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย มารดาเรียกบุตรคืนได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3780/2543 โจทก์จำเลยอยู่กินด้วยกันโดยไม่จดทะเบียนสมรสซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1546 บัญญัติว่า เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น ดังนั้น จึงถือได้ว่าเด็กชาย จ. เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์และมิใช่บุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ดังนั้นอำนาจปกครองเด็กชาย จ. นั้น ต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 1566 วรรคหนึ่ง คือต้องอยู่กับโจทก์ซึ่งเป็นมารดาฝ่ายเดียว เมื่อจำเลยมิได้เป็นบิดาตามความหมายของมาตรา 1566 ดังกล่าว การตกลงระหว่างโจทก์จำเลยที่ให้เด็กชาย จ. อยู่ในความปกครองของจำเลยจึงไม่มีผลผูกพันเป็นเหตุให้จำเลยมีอำนาจปกครองเด็กชาย จ. ตามมาตรา 1566 วรรคสอง (6) จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะกำหนดที่อยู่ของเด็กชาย จ. ให้อยู่กับตนตามมาตรา 1567 (1) ได้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกให้จำเลยส่งมอบเด็กชาย จ. คืนจากจำเลยตามมาตรา 1567 (4) คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเพียงคำให้การแก้ฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่สุจริตเท่านั้น ข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างมิใช่ข้อเท็จจริงที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นจึงไม่เป็นคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง ดังนั้น ข้อเท็จจริงส่วนนี้จึงถือไม่ได้ว่าเป็นฟ้องแย้ง แม้โจทก์จะไม่ได้แก้ข้อเท็จจริงที่จำเลยได้ให้การไว้ก็ไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงนี้ตามที่จำเลยได้ให้การได้ เพราะโจทก์ไม่มีหน้าที่จะต้องยื่นคำให้การแก้คำให้การของจำเลย โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้ส่งบุตรคืนโจทก์ ณ บ้านเลขที่ 305/56 หมู่ที่ 2 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยกับโจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสและมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กชายจตุรงค์ กลางปี 2539 โจทก์และจำเลยแยกทางกัน โจทก์นำบุตรไปพักอาศัยอยู่กับญาติของโจทก์ที่จังหวัดราชบุรี แต่ไม่สนใจบุตรเอาแต่เที่ยวเตร่ เล่นการพนัน จนบุตรป่วยหนัก จำเลยจึงนำบุตรกลับมารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลกรุงเทพ แพทย์ตรวจแล้ววินิจฉัยว่าบุตรเป็นโรคไวรัสลงกระเพาะ หากรักษาไม่ทันอาจถึงแก่ความตายได้ หลังจากนั้นจำเลยได้นำโจทก์และบุตรมาพักอาศัยอยู่กับจำเลยที่บ้านของจำเลย โดยจำเลยจ่ายค่าใช้จ่ายรายเดือนให้แก่โจทก์ ต่อมาปี 2541 โจทก์ทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง จึงขอแยกทางกับจำเลย โดยมีข้อตกลงให้บุตรอยู่กับจำเลยระหว่างวันจันทร์ถึงวันวันศุกร์ ส่วนวันเสาร์และวันอาทิตย์อยู่กับโจทก์ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 โจทก์ทะเลาะกับนางสาวชติกาโดยจำเลยไม่ทราบเรื่อง ต่อมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2542 โจทก์ขนของย้ายทรัพย์สินโจทก์ออกจากบ้านไปเองโดยจำเลยไม่ได้ขับไล่ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้ส่งมอบบุตรเพราะเป็นการปฏิบัติผิดข้อตกลงที่มีระหว่างโจทก์กับจำเลย โจทก์ไม่พอใจที่จำเลยไม่จ่ายค่าเลี้ยงดูรายเดือน จึงแกล้งฟ้องคดีนี้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ดูแลบุตรไม่ดี เอาแต่เที่ยวเตร่ เล่นการพนัน ไม่เอาใจใส่ดูแลบุตร ปล่อยให้ญาติดูแล บุตรป่วยโจทก์ก็ไม่รักษาพยาบาลโดยเร็ว เป็นการใช้อำนาจปกครองแก่ตัวบุตรผู้เยาว์โดยมิชอบและไม่สมควร ขอให้ยกฟ้อง และขอให้ศาลถอนอำนาจปกครองของโจทก์ และตั้งจำเลยเป็นผู้ปกครองบุตรผู้เยาว์ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้ประพฤติตัวตามฟ้องแย้งของจำเลย ไม่ได้ใช้อำนาจปกครองเกี่ยวแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบหรือประพฤติชั่วร้าย โจทก์ไม่ใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลถอนอำนาจปกครอง ขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยส่งมอบเด็กชายจตุรงค์ให้แก่โจทก์ ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับทั้งสองฝ่าย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งในส่วนคำฟ้องและฟ้องแย้งเห็นสมควรให้เป็นพับ จำเลยฎีกา ปัญหาต่อไปโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ในปัญหานี้จำเลยฎีกาว่า ตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยได้ระบุว่า โจทก์ไม่พอใจที่จำเลยไม่ให้ค่าใช้จ่ายรายเดือนแก่โจทก์เช่นเคย จึงแกล้งฟ้อง การฟ้องคดีของโจทก์จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต แต่โจทก์ไม่ได้ให้การแก้ฟ้องแย้งในส่วนนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังยุติว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยไม่สุจริต ในปัญหานี้ตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวนั้น เป็นเพียงคำให้การแก้ฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่สุจริตเท่านั้น เนื่องจากข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างดังกล่าวนั้นมิใช่ข้อเท็จจริงที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นจึงไม่เป็นคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง ดังนั้น ข้อเท็จจริงส่วนนี้จึงถือไม่ได้ว่าเป็นฟ้องแย้ง แม้โจทก์จะไม่ได้แก้ข้อเท็จจริงที่จำเลยได้ให้การไว้ก็ไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงนี้ตามที่จำเลยได้ให้การได้ เพราะโจทก์ไม่มีหน้าที่จะต้องยื่นคำให้การแก้คำให้การของจำเลย แต่เป็นเรื่องที่จำเลยอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่เป็นหน้าที่จำเลยจะต้องนำสืบ เมื่อศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย จำเลยไม่คัดค้าน ถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบข้อเท็จจริงส่วนนี้ จึงไม่มีประเด็นที่จะให้วินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ดังกล่าวอีกต่อไป ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ในปัญหาข้อนี้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นทุกข้อ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับทั้งสองฝ่าย. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็น บุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น มาตรา 1566 บุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของ บิดามารดาอำนาจปกครองอยู่กับบิดาหรือมารดาในกรณีดังต่อไปนี้ มาตรา 1567 ผู้ใช้อำนาจการปกครองมีสิทธิ สามีภริยาสมรสกันตามกฎหมาย ชายหญิงเมื่อทำการสมรสกันแล้ว ทั้งคู่ย่อมเป็นสามีภริยากันตามกฏหมาย มีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภริยา ต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันและต้องอยู่กินกันฉันสามีภริยา เมื่อเกิดบุตร เด็กจะถูกกำหนดให้เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายและหญิงนั้น ในด้านความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของมารดาเป็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ง่าย โดยปกติแล้วเด็กเกิดจากครรภ์ของหญิงใดย่อมเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น โดยไม่มีทางปฏิเสธเป็นอย่างอื่น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2551 ส่วนความเป็นบิดากับบุตรเป็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ยาก กฏหมายจึงได้กำหนดข้อสันนิษฐานไว้ในเบื้องต้นว่า เด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีมารดา แต่เนื่องจากการกำหนดความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของบิดา เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้น ความจริงแล้วเด็กนั้นอาจมิใช่บุตรที่แท้จริงของชายที่ถูกสันนิษฐานว่าเป็นบิดาก็ได้ กฏหมายจึงกำหนดให้มีการฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรได้โดยฝ่ายชายผู้เป็นบิดาตามข้อสันนิษฐานของกฎหมาย และแม้แต่เด็กเอง ก็ยังสามารถฟ้องคดีปฏิเสธความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของบิดาได้เช่นกัน ความเป็นบิดามารดาและบุตรเป็นข้อเท็จจริงตามธรรมชาติ เด็กทุกคนที่เกิดมาย่อมต้องมีทั้งบิดาและมารดา แต่กฎหมายจะยอมรับหรือไม่เพียงใดเป็นอีกเรื่องหนึ่งความเป็นมารดาและบุตรเป็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ง่าย เด็กเกิดจากครรภ์ของหญิงใดโดยปกติแล้ว ย่อมเป็นบุตรของหญิงนั้น แต่อาจมีข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นได้ กฏหมายจึงได้บัญญัติไว้ในมาตรา 1546 ว่า "เด็กเกิดจากหญิงที่ไม่ได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้นเว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น" ตามบทบัญญัติดังกล่าวกฎหมายใช้คำว่า"ให้ถือว่า" ซึ่งเป็นถ้อยคำที่หนักแน่นกว่าการสันนิษฐาน เนื่องจากความเป็นมารดาและบุตรเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ง่ายนักและสามารถนำสืบได้ง่ายกว่าความเป็นบิดาและบุตร โดยปกติแล้วเด็กย่อมเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงเสมอ ไม่ว่าหญิงมารดาจะได้สมรสกับชายใดหรือไม่ก็ตาม หากหญิงมารดาไม่ได้สมรส เด็กนั้นจะมีสถานะเป็นบุตรนอกสมรส แต่หากหญิงมารดาสมรสกับชายใดเด็กที่เกิดมาภายหลังย่อมถูกสันนิษฐานว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้นั้น ในกรณีที่เด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของมารดาแต่เพียงผู้เดียว มารดาเท่านั้นที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร มีสิทธิเรียกบุตรคืนจากบุคคลอื่นที่ไม่มีอำนาจกักตัวบุตรไว้ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1303/2518 ผู้เยาว์ซึ่งเกิดจากบิดาและมารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ย่อมเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของมารดา และมารดามีอำนาจฟ้องแทนผู้เยาว์ได้ การนำสืบว่าผู้มีชื่อในโฉนดไม่ใช่เจ้าของที่ดิน แต่ลงชื่อในโฉนดแทนผู้อื่นนั้น หาใช่เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงเอกสารไม่ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนายทรวง เกิดจากนางสายหยุด นายทรวงซื้อที่ดินมีโฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยเจตนาซื้อให้โจทก์แต่นายทรวงเป็นคนต่างด้าวและโจทก์ก็เป็นผู้เยาว์ จึงตกลงกับจำเลยให้จำเลยลงชื่อเป็นผู้ซื้อที่ดินแทนไปพลางก่อนแล้วให้โอนยกให้โจทก์ในภายหลัง หลังจากนั้นนายทรวงก็ถึงแก่กรรม นางสายหยุดมารดาโจทก์ทวงถามให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ตามข้อตกลง จำเลยกลับฟ้องขับไล่อ้างว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนให้โจทก์ หากไม่จัดการโอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่านายทรวงกับนางสายหยุดไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน โจทก์จึงไม่ใช่บุตรชอบด้วยกฎหมายของนายทรวง นางสายหยุดจึงไม่มีอำนาจฟ้องแทนเด็กชายยกซิมโจทก์นั้นเห็นว่าโจทก์จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายทรวงหรือไม่ หาใช่เป็นสิ่งสำคัญไม่ เพราะโจทก์ย่อมเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสายหยุด นางสายหยุดจึงมีอำนาจฟ้องแทนเด็กชายซิมบุตรผู้เยาว์ได้ ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำสืบว่าจำเลยลงชื่อในโฉนดที่ดินแทนเด็กชายยกซิมโจทก์เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงเอกสาร ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 นั้น เห็นว่า การนำสืบของโจทก์ดังกล่าวหาใช่เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงเอกสาร จึงไม่เป็นการต้องห้ามตามบทกฎหมายที่จำเลยอ้าง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยซื้อที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยไม่ใช่แทนโจทก์นั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ได้ลงชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทแทนเด็กชายยกซิมโจทก์ ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์จำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันโจทก์มีสิทธิเรียกบุตรคืนได้ เมื่อโจทก์จำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายจึงไม่เข้าข้อสันนิษฐานว่า เด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลย เด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย จึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว ตามมาตรา 1546 และอยู่ในอำนาจปกครองของโจทก์ตามมาตรา 1566 วรรคท้าย โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย มีสิทธิเรียกเด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย บุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์จากจำเลยซึ่งไม่มีสิทธิที่จะกักเด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย ไว้ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3670/2529 บทบัญญัติมาตรา 1536 ซึ่งบัญญัติว่า เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามี หมายถึงเด็กที่เกิดจากหญิง ขณะที่เป็นภริยาชายโดยชายหญิงได้จดทะเบียนสมรสกันแล้ว จึงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เด็กนั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีในกรณีที่เด็กเกิดภายในสามร้อยสิบวันนับแต่การสมรสของชายหญิงที่จดทะเบียนสมรสได้สิ้นสุดลงตามกฎหมาย โจทก์ฟ้องว่า โจทก์อยู่กินกับจำเลยฉันสามีภริยา โจทก์ให้กำเนิดบุตรหญิง 1 คนชื่อเด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย ต่อมาโจทก์จำเลยทะเลาะกัน ตกลงเลิกอยู่กินด้วยกัน และแยกกันอยู่ แล้วจำเลยพรากเด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย ไปจากโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยส่งเด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย บุตรผู้เยาว์ให้แก่โจทก์ จำเลยให้การว่า จำเลยอยู่กินกับโจทก์ฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสเด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย เป็นบุตรของจำเลยที่เกิดกับโจทก์ โจทก์มีประพฤติไม่ดีขาดความเมตตาต่อบุตร ไม่สมควรอุปการะเลี้ยงดูบุตร ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำให้การของจำเลยไม่มีประเด็น ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย นัดฟังคำพิพากษา แล้วพิพากษาให้จำเลยส่งเด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย ผู้เยาว์แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเด็กและเยาวชนพิพากษายืน จำเลยฎีกาว่า เด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยตามข้อสันนิษฐานของบทบัญญัติ มาตรา 1536 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 โดยโจทก์จำเลยต่างก็มีอำนาจปกครองเด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย และตามพฤติการณ์จำเลยสมควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและเลี้ยงดูเด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนวินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยอยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยไม่จดทะเบียนสมรส มาตรา 1457 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 บัญญัติว่า การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้ว มาตรา 1546 บัญญัติว่า เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น และมาตรา 1547 บัญญัติว่าเด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง หรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร ดังนั้นบทบัญญัติมาตรา 1536 ซึ่งบัญญัติว่า เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามี หมายถึงเด็กที่เกิดจากหญิงขณะที่เป็นภริยาชายโดยชายหญิงได้จดทะเบียนสมรสกันแล้ว จึงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เด็กนั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามี ในกรณีที่เด็กเกิดภายในสามร้อยสิบวันนับแต่การสมรสของชายหญิงที่จดทะเบียนสมรสได้สิ้นสุดลงตามกฎหมาย เมื่อโจทก์จำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายจึงไม่เข้าข้อสันนิษฐานว่า เด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลย เด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย จึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว ตามมาตรา 1546 และอยู่ในอำนาจปกครองของโจทก์ตามมาตรา 1566 วรรคท้าย โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย มีสิทธิเรียกเด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย บุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์จากจำเลยซึ่งไม่มีสิทธิที่จะกักเด็กหญิงเปิ้ลหรือเพทาย ไว้ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความ ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ 085-9604258 |