

อำนาจศาลสั่งให้บิดาหรือมารดาใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว อำนาจศาลสั่งให้บิดาหรือมารดาใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว อำนาจศาลที่จะสั่งให้บิดาหรือมารดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียวได้ หากผู้ใช้อำนาจปกครองประพฤติตนไม่สมควรหรือภายหลังพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป โดยคำนึงถึงประโยชน์และความผาสุกของผู้เยาว์เป็นสำคัญ การที่จำเลยยังคงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ร่วมกับโจทก์ต่อไปจะเป็นผลร้ายต่อสุขภาพจิตของบุตรผู้เยาว์ แต่หากให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรเพียงผู้เดียวจะเกิดความผาสุกและเป็นประโยชน์แก่บุตรผู้เยาว์มากกว่า ศาลย่อมมีคำพิพากษาให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว กรณีไม่ถือว่าเป็นการสั่งเพิกถอนอำนาจปกครองของผู้ใช้อำนาจปกครองดังที่จำเลยฎีกา อย่างไรก็ตาม จำเลยก็ยังมีโอกาสไปเยี่ยมเยียนบุตรผู้เยาว์ได้ตามสมควร โดยความสมัครใจของบุตรผู้เยาว์ ซึ่งหากภายหลังมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป ศาลก็อาจมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงการใช้อำนาจปกครองได้โดยคำนึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของผู้เยาว์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2668/2556 แม้ว่า ป.พ.พ. มาตรา 1566 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "บุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา" แต่ก็มีข้อยกเว้นตามบทบัญญัติมาตรา 1521 ประกอบมาตรา 1566 วรรคสอง (5) ให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจสั่งให้บิดาหรือมารดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียวได้ หากผู้ใช้อำนาจปกครองประพฤติตนไม่สมควรหรือภายหลังพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงประโยชน์และความผาสุกของผู้เยาว์เป็นสำคัญ โดยไม่ถือว่าเป็นการสั่งเพิกถอนอำนาจปกครองของผู้ใช้อำนาจปกครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1582 วรรคหนึ่ง โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว เพิกถอนอำนาจปกครองของจำเลยและห้ามมิให้จำเลยยุ่งเกี่ยวหรือกระทำการใดอันเป็นการรบกวนโจทก์ บังคับให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าใช้จ่ายของบุตรผู้เยาว์ จำนวน 1,081,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง ด.ญ.ซ. บุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว แต่ให้จำเลยพบปะเยี่ยมเยียนบุตรผู้เยาว์ได้ตามสมควรโดยบุตรผู้เยาว์สมัครใจและให้อยู่ภายใต้การดูแลของโจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ที่ค้างชำระ จำนวน 178,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2551) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับและคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน 22,575 บาท แก่จำเลย จำเลยฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์มีสัญชาติอเมริกัน ส่วนจำเลยมีสัญชาติอังกฤษ โจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกันที่ประเทศไซปรัส ระหว่างสมรสมีบุตรด้วยกัน 1 คน ชื่อ ด.ญ.ซ. เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2542 ต่อมาศาลแห่งมลรัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่ากัน แต่มิได้พิพากษาเกี่ยวกับเรื่องการใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ ต่อมาโจทก์ จำเลยและบุตรผู้เยาว์ได้เดินทางมาอยู่ในประเทศไทย โดยโจทก์มาประกอบอาชีพเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ปัจจุบันบุตรผู้เยาว์พักอาศัยอยู่กับโจทก์ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาอ้างว่า ศาลไม่มีอำนาจพิพากษาให้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์อยู่กับโจทก์เพียงผู้เดียว เพราะเท่ากับเป็นการเพิกถอนอำนาจปกครองของจำเลย ซึ่งศาลจะมีคำสั่งถอนอำนาจปกครองได้ต้องเป็นกรณีที่ผู้ใช้อำนาจปกครองเป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถโดยคำสั่งศาล ใช้อำนาจปกครองเกี่ยวแก่ตัวผู้เยาว์โดยมิชอบหรือประพฤติชั่วร้ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1582 วรรคหนึ่ง เห็นว่า แม้ว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "บุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา" แต่มีข้อยกเว้นตามวรรคสองว่า อำนาจปกครองอยู่กับบิดาหรือมารดาในกรณีดังต่อไปนี้ ซึ่งตามวรรคสอง (5) บัญญัติว่า"ศาลสั่งให้อำนาจปกครองอยู่กับบิดาหรือมารดา" และมาตรา 1521 บัญญัติว่า "ถ้าปรากฏว่าผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครองตามมาตรา 1520 ประพฤติตนไม่สมควร หรือภายหลังมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป ศาลมีอำนาจสั่งเปลี่ยนตัวผู้ใช้อำนาจปกครองโดยคำนึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของบุตรเป็นสำคัญ" จะเห็นได้ว่า บทบัญญัติมาตรา 1521 ประกอบมาตรา 1566 วรรคสอง (5) เป็นการให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจสั่งให้บิดาหรือมารดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียวได้ หากผู้ใช้อำนาจปกครองประพฤติตนไม่สมควรหรือภายหลังพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงประโยชน์และความผาสุกของผู้เยาว์เป็นสำคัญ และเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลมลรัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่ากัน โดยมิได้กล่าวถึงเรื่องอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ว่าจะให้ฝ่ายใดเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ ซึ่งต้องยังถือว่าอำนาจปกครองอยู่กับโจทก์และจำเลย แต่เมื่อศาลได้พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยกับบุตรผู้เยาว์ ภายหลังโจทก์และจำเลยหย่ากันแล้ว เห็นว่า การที่จำเลยยังคงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ร่วมกับโจทก์ต่อไปจะเป็นผลร้ายต่อสุขภาพจิตของบุตรผู้เยาว์ แต่หากให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรเพียงผู้เดียวจะเกิดความผาสุกและเป็นประโยชน์แก่บุตรผู้เยาว์มากกว่า ศาลย่อมมีคำพิพากษาให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว โดยกำหนดให้จำเลยพบปะเยี่ยมเยียนบุตรผู้เยาว์ได้ตามสมควรโดยให้อยู่ภายใต้การดูแลของโจทก์ได้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้เยาว์ และกรณีไม่ถือว่าเป็นการสั่งเพิกถอนอำนาจปกครองของผู้ใช้อำนาจปกครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1582 วรรคหนึ่ง ดังที่จำเลยฎีกา ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ลำพังเพียงแค่รายงานการตรวจสภาพจิตซึ่งคณะแพทย์ผู้ตรวจสรุปผลการตรวจวิเคราะห์สภาพจิตของบุตรผู้เยาว์ยังไม่เพียงพอที่จะนำมาเป็นเหตุผลในการถอนการใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ให้ตกแก่โจทก์เพียงผู้เดียว ควรต้องให้โอกาสจำเลยสร้างสัมพันธ์ภาพกับบุตรผู้เยาว์บ้าง และการที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการใช้อำนาจปกครองของจำเลยมีผลผูกพันตลอดไปเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับบุตรผู้เยาว์ เห็นว่า นอกจากผลการตรวจวิเคราะห์สภาพจิตบุตรผู้เยาว์แล้ว โจทก์ยังอ้างตนเอง และนางแซนดร้า ซึ่งเป็นครูสอน ด.ญ.ซ. เป็นพยานเบิกความเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยกับบุตรผู้เยาว์ สอดคล้องกับคำแถลงของ ด.ญ.ซ. ซึ่งกล่าวถึงเหตุผลที่ ด.ญ.ซ. ไม่ต้องการอยู่กับจำเลย แต่ต้องการอยู่กับโจทก์ ทั้งตามฎีกาของจำเลยก็ยอมรับว่าบุตรผู้เยาว์มีความรู้สึกไม่พอใจจำเลยอันเป็นการเจือสมกับทางนำสืบของโจทก์ กรณีจึงมิใช่เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานเฉพาะผลการตรวจวิเคราะห์สภาพจิตบุตรผู้เยาว์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม จำเลยก็ยังมีโอกาสไปเยี่ยมเยียนบุตรผู้เยาว์ได้ตามสมควร โดยความสมัครใจของบุตรผู้เยาว์และอยู่ในความดูแลของโจทก์ ซึ่งหากภายหลังมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป ศาลก็อาจมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงการใช้อำนาจปกครองได้โดยคำนึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของผู้เยาว์ การที่ศาลพิพากษาให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ฝ่ายเดียวจึงมิได้เป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับบุตรผู้เยาว์ตลอดไป ดังที่จำเลยอ้างในฎีกาของจำเลย ฎีกาของจำเลยประการอื่นล้วนเป็นเพียงรายละเอียดที่ไม่มีผลให้คำวินิจฉัยข้างต้นเปลี่ยนแปลงไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
|