.jpg)
ข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าให้บิดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร
คู่หย่าได้ทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าให้ฝ่ายชายซึ่งเป็นบิดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว และระบุเพียงให้มารดา (ฝ่ายหญิง) ไปมาหาสู่บุตรผู้เยาว์ได้เท่านั้น มารดาไม่มีสิทธินำบุตรไปอุปการะเลี้ยงดูและไปอยู่ด้วย กรณีนี้เป็นอุทธาหรณ์ว่า การทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าเมื่อทำกันแล้วอย่าคิดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกันง่าย ๆ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ตกลงยินยอมด้วย ดังนั้นก่อนที่จะทำข้อตกลงใดท้ายทะเบียนหย่า (คร. 6) ต้องคิดไตร่ตรองให้จงหนัก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1000/2544
โจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันโดยมีบันทึกข้อตกลงเป็นหนังสือท้ายทะเบียนหย่าให้โจทก์ซึ่งเป็นบิดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเพียงผู้เดียว กรณีต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1520 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลยังไม่ได้สั่งเพิกถอนอำนาจปกครองของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1582 วรรคหนึ่งแล้วโจทก์จึงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566(6) ข้อตกลงตาม สัญญาหย่าระบุเพียงให้จำเลยไปมาหาสู่บุตรผู้เยาว์ทั้งสองได้ ตลอดเวลา หามีข้อตกลงให้จำเลยรับบุตรผู้เยาว์ทั้งสองไปอุปการะเลี้ยงดูไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะนำบุตรผู้เยาว์ทั้งสองไปอยู่ด้วย
มาตรา 1520 ในกรณีหย่าโดยความยินยอม ให้สามีภริยาทำความตกลงเป็นหนังสือว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรคนใด ถ้ามิได้ตกลงกันหรือตกลงกันไม่ได้ ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด
ในกรณีหย่าโดยคำพิพากษาของศาล ให้ศาลซึ่งพิจารณาคดีฟ้องหย่านั้นชี้ขาดด้วยว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรคนใด ในการพิจารณาชี้ขาดถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุที่จะถอนอำนาจปกครองของคู่สมรสนั้นได้ตามมาตรา 1582 ศาลจะถอนอำนาจปกครองของคู่สมรสและสั่งให้บุคคลภายนอกเป็นผู้ปกครองก็ได้ ทั้งนี้ ให้ศาลคำนึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของบุตรนั้นเป็นสำคัญ
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายมีบุตรแฝดด้วยกัน 2 คน คือเด็กชายต่อเผ่า และเด็กชายตามพันธุ์ บุตรทั้งคู่อายุ 3 ปี 8 เดือน ต่อมาโจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่าขาดจากกัน โดยมีข้อตกลงให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเพียงผู้เดียว ประมาณปี 2541 จำเลยไปรับบุตรผู้เยาว์ทั้งสองมาอยู่กับจำเลยจนถึงปัจจุบัน โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยมอบบุตรผู้เยาว์ทั้งสองคืน แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยคืนบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแก่โจทก์ และมีคำสั่งให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเพียงผู้เดียว
จำเลยให้การว่า จำเลยจดทะเบียนหย่าขาดจากโจทก์โดยมีข้อตกลงให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจริง เหตุที่จำเลยไปรับบุตรผู้เยาว์ทั้งสองมาอุปการะเลี้ยงดูเองเพราะโจทก์นำบุตรผู้เยาว์ทั้งสองไปให้มารดาโจทก์เลี้ยงดูที่จังหวัดนครสวรรค์ มิได้เลี้ยงดูด้วยตนเองที่บ้านโจทก์ที่จังหวัดสมุทรปราการตามที่ตกลงกันอันเป็นการประพฤติผิดข้อตกลงและจำเลยได้ฟ้องขอให้เพิกถอนอำนาจปกครองของโจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดสืบพยานและพิพากษาให้จำเลยมอบเด็กชายต่อเผ่า และเด็กชายตามพันธ์ บุตรผู้เยาว์ทั้งสองแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ให้งดสืบพยานและอุทธรณ์คำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องซึ่งจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธรับฟังได้ว่าโจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่าขาดจากกันเมื่อปี 2539 โดยทำบันทึกข้อตกลงเป็นหนังสือท้ายทะเบียนหย่าให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเพียงผู้เดียว ในปี 2541จำเลยไปรับบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแล้วไม่ยอมคืนให้แก่โจทก์ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 งดสืบพยานและพิพากษาให้จำเลยคืนบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแก่โจทก์นั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน โดยมีบันทึกข้อตกลงเป็นหนังสือท้ายทะเบียนหย่าให้โจทก์ซึ่งเป็นบิดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเพียงผู้เดียว กรณีต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1520 วรรคหนึ่ง เมื่อศาลยังไม่ได้สั่งเพิกถอนอำนาจปกครองของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1582 วรรคหนึ่ง แล้วโจทก์จึงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566(6) ทั้งตามข้อตกลงตามสัญญาหย่าระหว่างโจทก์จำเลยตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ก็ระบุเพียงให้จำเลยไปมาหาสู่บุตรผู้เยาว์ทั้งสองได้ตลอดเวลา หามีข้อตกลงให้จำเลยรับบุตรผู้เยาว์ทั้งสองไปอุปการะเลี้ยงดูไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะนำบุตรผู้เยาว์ทั้งสองไปอยู่ด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองให้งดสืบพยานและพิพากษาให้จำเลยมอบบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแก่โจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน