

การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร อายุความการฟ้องขอให้รับเด็กเป็นบุตร การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรหรือขอให้จดทะเบียนรับรองบุตรกรณีบิดาเสียชีวิตแล้วนั้น ในกรณีที่เด็กบรรลุนิติภาวะแล้ว จะต้องฟ้องคดีภายในหนึ่งปีนับแต่วันบรรลุนิติภาวะ ปัญหาว่าผู้ร้องเป็นบุตรของผู้ตายหรือไม่ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะแม้ผู้ร้องจะเป็นบุตรของผู้ตายจริง ศาลก็ไม่อาจจะพิพากษาให้ผู้ร้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายได้เพราะไม่ฟ้องภายในกำหนด 1 ปี หากผู้ร้องเห็นว่ามีการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องในการรับมรดกของผู้ตายอย่างไร ผู้ร้องต้องไปใช้สิทธิทางศาลอย่างคดีมีข้อพิพาทต่อไป คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9574/2551 ป.วิ.พ. มาตรา 1 (3) บัญญัติว่า "คำฟ้อง หมายความว่า กระบวนพิจารณาใด ๆ ที่โจทก์ได้เสนอข้อหาต่อศาล ไม่ว่าจะเสนอด้วยวาจาหรือทำเป็น...คำร้องขอ..." การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอจึงเป็นคำฟ้อง ผู้ร้องบรรลุนิติภาวะเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2545 แต่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ ป. เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2549 จึงเกินกำหนด 1 ปี นับแต่ผู้ร้องบรรลุนิติภาวะ ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1556 ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้องขอ) ดังนั้นปัญหาว่าผู้ร้องเป็นบุตรของ ป. หรือไม่ ก็ไม่จำต้องวินิจฉัย หากผู้ร้องเห็นว่ามีการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องในการรับมรดกของ ป. อย่างไร ผู้ร้องต้องไปใช้สิทธิทางศาลอย่างคดีมีข้อพิพาทต่อไป ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นบุตรของนายประยงค์ และนางทองพูน ซึ่งอยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส โดยผู้ร้องเกิดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2525 นายประยงค์มอบหมายให้นายนาค ไปแจ้งการเกิดว่าผู้ร้องเป็นบุตร นายประยงค์ได้อุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษา และแสดงออกโดยเปิดเผยว่าผู้ร้องเป็นบุตร ต่อมาวันที่ 21 ธันวาคม 2548 นายประยงค์ถึงแก่ความตาย ขณะยังมีชีวิตอยู่นายประยงค์มีทรัพย์สิน คือ ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 9072 เลขที่ดิน 1971 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ผู้ร้องมีเหตุขัดข้องในการรับมรดกดังกล่าว ขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้ร้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายประยงค์ ผู้ตาย ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิใช่บุตรของนายประยงค์ นายประยงค์ไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนางทองพูน ผู้คัดค้านทั้งสามและนายประยงค์ไม่รู้จักนายนาค นายประยงค์ไม่เคยมอบหมายหรือรู้เห็นยินยอมให้นายนาคไปแจ้งการเกิดของผู้ร้อง นายประยงค์ไม่เคยอุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษา และแสดงออกโดยเปิดเผยต่อสาธารณชนหรือบุคคลทั่วไป หรือให้การรับรองว่าผู้ร้องเป็นบุตร นายประยงค์ถึงแก่ความตาย มีทรัพย์มรดก คือ ที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 9072 เลขที่ดิน 1971 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมาจริง ผู้ร้องเกิดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2525 บรรลุนิติภาวะเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2545 แต่ผู้ร้องมายื่นคำร้องหลังจากที่บรรลุนิติภาวะแล้วเกินกว่าหนึ่งปี คดีของผู้ร้องจึงขาดอายุความ ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า "...มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องประการแรกมีว่า ผู้ร้องมีอำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้องขอ) คดีนี้หรือไม่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1556 บัญญัติว่า "การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร...ในกรณีที่เด็กบรรลุนิติภาวะแล้ว จะต้องฟ้องคดีภายในหนึ่งปีนับแต่วันบรรลุนิติภาวะ..." และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (3) บัญญัติว่า "คำฟ้อง หมายความว่า กระบวนพิจารณาใด ๆ ที่โจทก์ได้เสนอข้อหาต่อศาลไม่ว่าจะเสนอด้วยวาจาหรือทำเป็น...คำร้องขอ..." การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอจึงเป็นคำฟ้อง เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องบรรลุนิติภาวะเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2545 แต่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอคดีนี้เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2549 จึงเกินกำหนด 1 ปี ต้องห้ามตามมาตรา 1556 ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจฟ้อง (ยื่นคำร้องขอ) คดีนี้ตามบทกฎหมายดังกล่าว เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ปัญหาว่าผู้ร้องเป็นบุตรของนายประยงค์หรือไม่ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะแม้ผู้ร้องจะเป็นบุตรของนายประยงค์จริง ศาลก็ไม่อาจจะพิพากษาให้ผู้ร้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายได้เพราะไม่ฟ้องภายในกำหนด 1 ปี ตาม บทกฎหมายดังกล่าว หากผู้ร้องเห็นว่ามีการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องในการรับมรดกของนายประยงค์อย่างไร ผู้ร้องต้องไปใช้สิทธิทางศาลอย่างคดีมีข้อพิพาทต่อไป การที่ศาลล่างทั้งสองไม่วินิจฉัยว่าผู้ร้องเป็นบุตรของนายประยงค์หรือไม่จึงชอบแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ ฟ้องขอให้จดทะเบียนรับรองบุตรเมื่อเด็กบรรลุนิติภาวะแล้วจะต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันบรรลุนิติภาวะ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องประการแรกว่า คดีของผู้ร้องขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1556 วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีที่เด็กบรรลุนิติภาวะแล้วจะต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันบรรลุนิติภาวะ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันบรรลุนิติภาวะ คดีของผู้ร้องจึงขาดอายุความ แม้ผู้ร้องจะอ้างว่าผู้ตายไม่เคยปฏิเสธว่าผู้ร้องมิใช่บุตร จึงไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมาย จนเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วผู้ร้องไปติดต่อขอรับเงินสงเคราะห์ครอบครัวสมาชิกคุรุสภา (ช.พ.ค.) แต่เจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการให้อ้างว่าไม่มีหลักฐานแสดงว่าผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4786/2549 การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร ป.พ.พ. มาตรา 1556 วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีที่เด็กบรรลุภาวะแล้วจะต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันบรรลุนิติภาวะ ปรากฏตามสูติบัตรและสำเนาทะเบียนบ้านว่า ผู้ร้องเกิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2512 ผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2546 ขณะผู้ร้องมีอายุได้ 34 ปี จึงเป็นการยื่นคำร้องขอเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันบรรลุนิติภาวะ คดีของผู้ร้องจึงขาดอายุความ แม้ผู้ร้องจะอ้างว่าผู้ตายไม่เคยปฏิเสธว่าผู้ร้องมิใช่บุตรไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายจนเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว ผู้ร้องไปติดต่อขอรับเงินสงเคราะห์ครอบครัวสมาชิกคุรุสภา (ช.พ.ค.) แต่เจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการให้ อ้างว่าไม่มีหลักฐานแสดงว่าผู้ร้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย นับเป็นเหตุขัดข้องโดยเพิ่งเกิดการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงต้องใช้สิทธิทางศาลขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ก็ตาม แต่การใช้สิทธิทางศาลของผู้ร้องก็ยังต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติเรื่องอายุความดังกล่าวด้วย ผู้ร้องจะอ้างว่าผู้ร้องเพิ่งถูกโต้แย้งสิทธิ คดียังไม่ขาดอายุความหาได้ไม่ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นบุตรนายตัน แหวนเงิน ผู้ตายกับนางละออ เปลื้องป่าย ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาตั้งแต่ปี 2509 โดยมิได้จดทะเบียนสมรส มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 2 คน คือ ผู้ร้องและผู้คัดค้าน ผู้ตายอุปการะเลี้ยงดูผู้ร้องและรับรองว่าผู้ร้องเป็นบุตรต่อสาธารณชน แม้ต่อมาภายหลังผู้ตายแยกทางกับนางละออ แต่ก็ยังคงอุปการะเลี้ยงดูผู้ร้องตลอดมา ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นบุตรของนายตัน แหวนเงิน ผู้ตายกับนางละออ เปลื้องป่าย บิดามารดามิได้จดทะเบียนสมรสกัน ผู้ตายจดทะเบียนรับรองผู้คัดค้านเป็นบุตร ผู้ตายมิได้เป็นผู้แจ้งการเกิดของผู้ร้องด้วยตนเอง และมิได้จัดให้มีการแจ้งการเกิดหรือยินยอมให้มีการแจ้งการเกิดของผู้ร้องแต่อย่างใด นอกจากนี้ ตามสำเนาสูติบัตรของผู้ร้องระบุว่า ผู้ร้องเกิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2512 ขณะที่ผู้คัดค้านเกิดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2511 ซึ่งเป็นเวลาห่างกันเพียง 5 เดือน ผู้ตายจึงมิอาจเป็นบิดาของผู้ร้องได้ ผู้ตายและนางละออแยกทางกันประมานเดือนเมษายน 2512 แล้วนางละออพาผู้คัดค้านไปอาศัยอยู่ที่จังหวัดนครพนมโดยที่ผู้ตายไม่เคยมาหรืออยู่กินกับนางลออและไม่เคยส่งเสียผู้ร้อง ทั้งมิได้มีพฤติการณ์ใดๆ ที่ผู้ตายแสดงว่าผู้ร้องเป็นบุตร คำร้องขอของผู้ร้องขาดอายุความ ขอให้ยกคำร้องขอ ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอ ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องประการแรกว่า คดีของผู้ร้องขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1556 วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีที่เด็กบรรลุนิติภาวะแล้วจะต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันบรรลุนิติภาวะ ปรากฏตามสูติบัตรและสำเนาทะเบียนบ้านว่าผู้ร้องเกิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2512 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันบรรลุนิติภาวะ คดีของผู้ร้องจึงขาดอายุความ แม้ผู้ร้องจะอ้างว่าผู้ตายไม่เคยปฏิเสธว่าผู้ร้องมิใช่บุตร ไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมาย จนเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วผู้ร้องไปติดต่อขอรับเงินสงเคราะห์ครอบครัวสมาชิกคุรุสภา (ช.พ.ค.) แต่เจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการให้อ้างว่าไม่มีหลักฐานแสดงว่าผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย นับเป็นเหตุขัดข้องโดยเพิ่งเกิดการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงต้องใช้สิทธิทางศาลขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ก็ตาม แต่การใช้สิทธิทางศาลของผู้ร้องก็ยังต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติเรื่องอายุความดังกล่าวด้วย ผู้ร้องจะอ้างว่าผู้ร้องเพิ่งถูกโต้แย้งสิทธิ คดียังไม่ขาดอายุความหาได้ไม่ คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้องในปัญหาว่า ผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรที่ต้องฟ้องเสียภายในหนึ่งปีนับแต่วันบรรลุนิติภาวะ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2862/2523 การเป็นบิดากับบุตรระหว่างนาย บ. กับผู้ร้องมีอยู่แล้วในวันที่ 16 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นวันที่บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ใช้บังคับ จึงนำบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ตรวจชำระใหม่มาใช้บังคับ หาได้ ไม่ ปัญหาว่าการฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรจะต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่บุตรบรรลุนิติภาวะนั้นศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณาได้ก็ต่อเมื่อผู้คัดค้านได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้มิฉะนั้นคดีไม่มีประเด็นข้อนี้ ผู้ร้องร้องว่า เมื่อประมาณ 36 ปีมาแล้ว นายบัวภาได้นางผายอยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตร 1 คนคือผู้ร้องต่อมาเมื่อเดือนตุลาคม 2521 นายบัวภาถึงแก่กรรมมีมรดกคือที่ดิน 2 แปลงผู้ร้องมีเหตุขัดข้องในการรับมรดก จึงขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้ร้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายบัวภา เพื่อสิทธิรับมรดกต่อไป ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นพี่ของนายบัวภา ผู้ร้องมิใช่เป็นบุตรของผู้ตาย ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า ผู้ร้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายบัวภาผู้ตาย ผู้คัดค้านฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องหลังจากมีพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ คดีของผู้ร้องจึงน่าจะต้องใช้บทบัญญัติที่ได้ตรวจชำระใหม่ตามมาตรา 1556 วรรคสาม บังคับแก่คดีนั้น เห็นว่า ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พุทธศักราช 2519 บัญญัติว่า "บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ท้ายพระราชบัญญัตินี้ ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการหมั้น การสมรส สัญญาก่อนสมรส การเป็นบิดามารดากับบุตร ฯลฯ ที่ได้อยู่แล้วในวันใช้บังคับบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ท้ายพระราชบัญญัตินี้" การเป็นบิดามารดากับบุตรของนายบัวภากับผู้ร้องคดีนี้มีอยู่แล้วในวันที่ 16 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นวันที่บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ใช้บังคับ จึงจะนำบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่มาปรับแก่คดีดังข้อฎีกาของผู้คัดค้านหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2276/2521) และศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องการฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรที่ว่าผู้ร้องจะต้องฟ้องเสียภายในหนึ่งปีนับแต่วันบรรลุนิติภาวะนั้น ศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณาได้ก็ต่อเมื่อผู้คัดค้านได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ เมื่อมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องนี้ พิพากษายืน
|