ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ไม่มีกฎหมายให้บิดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรนอกกฎหมาย

ทนายความ ฟ้องหย่า lawyer

ไม่มีกฎหมายให้บิดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรนอกกฎหมาย

คำพิพากษาฎีกาที่ 9210/2556

ป.พ.พ. มาตรา 443 วรรคสาม กำหนดให้ผู้ทำละเมิดในกรณีทำให้เขาถึงแก่ความตายรับผิดต่อบุคคลที่ต้องขาดไร้อุปการะเฉพาะที่ผู้ตายมีหน้าที่อุปการะตามกฎหมายเท่านั้น แต่โจทก์ร่วมเป็นบุตรของผู้ตายกับ ป. ให้การชั้นสอบสวนว่า ผู้ตายกับ ป. ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แม้ผู้ตายแจ้งการเกิดของโจทก์ร่วมว่า โจทก์ร่วมเป็นบุตรของผู้ตาย และตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าผู้ตายยินยอมให้โจทก์ร่วมใช้ชื่อสกุลอันถือว่าโจทก์ร่วมเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วตามมาตรา 1627 ก็ตาม แต่ตามมาตรา 1563  และมาตรา 1564  ที่บัญญัติให้บุตรและบิดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูกันนั้นหมายถึงบุตรและบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ไม่มีบทบัญัติกำหนดสิทธิและหน้าที่ให้บิดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรนอกกฎหมาย ดังนั้น แม้โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วจะเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิรับมรดกของบิดาได้ แต่ก็ไม่มีสิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดา โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลย ซึ่งเป็นผู้ทำละเมิดให้บิดาของตนถึงแก่ความตายได้ คงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับค่าปลงศพและค่าเสียหายแก่จักรยานยนต์ของผู้ตาย ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ที่เป็นทายาทที่จะเรียกร้อวเอาแก่ผู้ทำละเมิดให้เจ้ามรดกถึงแก่ความตายเท่านั้น

 

 

ป.พ.พ. มาตรา 443 วรรคสาม กำหนดให้ผู้ทำละเมิดในกรณีทำให้เขาถึงแก่ความตายรับผิดต่อบุคคลที่ต้องขาดไร้อุปการะเฉพาะที่ผู้ตายมีหน้าที่อุปการะตามกฎหมายเท่านั้น

 บุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรอง,  ยังเป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  

 การรับรองว่าเป็นบุตรนอกกฎหมายนั้นทำให้บุตรเกิดสิทธิเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย

การที่จะอาศัยข้อเท็จจริงดังกล่าวฟังว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1555 จะต้องมีการฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น แต่อย่างไรก็ดีข้อเท็จจริงที่ปรากฏแล้วดังกล่าวแม้จะฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายก็ตาม แต่พฤติการณ์ที่ผู้ตายอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาให้ผู้ร้องใช้นามสกุลและผู้ตายแสดงต่อบุคคลอื่น ๆ ว่าผู้ร้องเป็นบุตรก็ฟังได้ว่าผู้ตายรับรองว่าผู้ร้องเป็นบุตรนอกกฎหมายของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 ผู้ร้องจึงเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1914/2529

 การที่จะอาศัยข้อเท็จจริงตามพฤติการณ์ฟังว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1555 จะต้องมีการฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย เท่านั้น แต่พฤติการณ์ที่ผู้ตายอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษา ให้ผู้ร้องใช้นามสกุล และผู้ตายแสดงต่อบุคคลอื่น ๆ ว่า ผู้ร้องเป็นบุตร ก็ฟังได้ว่าผู้ตายรับรองว่าผู้ร้องเป็นบุตร นอกกฎหมายของตนตามมาตรา 1627 ผู้ร้องจึงเป็นผู้สืบสันดาน เหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ตามมาตรา 1713 ได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 กำหนดถึงตัวบุคคลว่าผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกมิได้มีการบังคับว่าต้องยื่นบัญชีแสดงเครือญาติโดยละเอียดและ ถือว่าการยื่นบัญชีเครือญาติเป็นสาระสำคัญ การที่ผู้ร้องยื่นบัญชีเครือญาติของตนแต่ฝ่ายเดียวโดยไม่ยื่นบัญชีเครือญาติของผู้คัดค้านทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นทายาทของผู้ตายนั้นเมื่อไม่มีข้อเท็จจริงอื่น ๆ นำมาให้รับฟังโดยแจ้งชัดว่าผู้ร้องมีเจตนาจะปิดบังมิให้ทายาทอื่นรับมรดก ซึ่งผู้ร้องไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดก กรณีจึงยังไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนมิให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก

 เดิมศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกต่อมาผู้คัดค้านมาร้องคัดค้านโดยอาศัยอำนาจตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727 ขอให้ศาลสั่งถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "มีปัญหาว่าผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นบุตรที่ผู้ตายรับรองและมีสิทธิเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายหรือไม่ ผู้คัดค้านนำสืบว่าผู้ร้องเป็นบุตรคนหนึ่งในจำนวน 8 คน ของผู้ตายกับนางวิมล โรจน์วิถีผู้ตายและนางวิมลไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันสำหรับผู้คัดค้านทั้งสองเป็นบุตรของผู้ตายกับนางวานยูร์ ปากิริจิอุมมาลจดทะเบียนสมรสโดยชอบด้วยกฎหมายที่ประเทศอินเดีย ผู้ตายกับนางวานยูร์มีบุตรด้วยกัน 6 คน รวมทั้งผู้คัดค้านทั้งสอง ผู้คัดค้านที่ 1ได้เดินทางจากประเทศอินเดียมาอยู่บ้านเดียวกับผู้ตายนางวิมล ผู้ร้อง และพี่น้องผู้ร้องผู้ตายเป็นผู้เสียค่าเล่าเรียนให้ผู้ร้องและพี่น้องของผู้ร้องทุกคนรวมทั้งผู้คัดค้านที่ 1 และให้ผู้ร้องกับพี่น้องผู้ร้องใช้นามสกุลมาริกันของผู้ตาย ผู้ตายเคยพานางวิมลและผู้ร้องไปพักที่บ้านนางวานยูร์ที่ประเทศอินเดียแนะนำผู้ร้องต่อนางวานยูร์ผู้คัดค้านที่ 2 และญาติพี่น้องผู้คัดค้านว่าผู้ร้องเป็นบุตรของตน พิเคราะห์แล้วคดีนี้ผู้ร้องมิได้นำสืบให้ปรากฏว่าผู้ตายได้จดทะเบียนรับรองว่าผู้ร้องเป็นบุตร ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพฤติการณ์ที่ผู้ตายให้การศึกษาให้ความอุปการะเลี้ยงดูยอมให้ผู้ร้องใช้นามสกุลและกล่าวแสดงต่อบุคคลอื่น ๆ ว่าผู้ร้องเป็นบุตรนั้นฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1555 ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายนั้น เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ถูกต้องตามที่ผู้คัดค้านที่ 2 ฎีกา เพราะการที่จะอาศัยข้อเท็จจริงดังกล่าวฟังว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1555 จะต้องมีการฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น แต่อย่างไรก็ดีข้อเท็จจริงที่ปรากฏแล้วดังกล่าวแม้จะฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายก็ตาม แต่พฤติการณ์ที่ผู้ตายอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาให้ผู้ร้องใช้นามสกุลและผู้ตายแสดงต่อบุคคลอื่น ๆ ว่าผู้ร้องเป็นบุตรก็ฟังได้ว่าผู้ตายรับรองว่าผู้ร้องเป็นบุตรนอกกฎหมายของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 ผู้ร้องจึงเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 ได้ ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ว่าผู้ร้องมิใช่บุตรที่บิดารับรองไม่มีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายฟังไม่ขึ้น มีปัญหาต่อไปว่า การที่ผู้ร้องไม่แสดงบัญชีเครือญาติของผู้คัดค้านต่อศาลในการขอเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตาย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผู้คัดค้านและพี่น้องผู้คัดค้านเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายและผู้ร้องแสดงบัญชีเครือญาติฝ่ายผู้ร้องว่าผู้ตายมีทายาทดังกล่าวเท่านั้นกรณีจะฟังได้หรือไม่ว่าผู้ร้องมีเจตนาปิดบัง เพื่อมิให้ทายาทอื่นรับมรดกผู้ตาย ผู้ร้องจึงไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดก เห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 กำหนดถึงตัวบุคคลว่าผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกมิได้มีการบังคับว่าต้องยื่นบัญชีแสดงเครือญาติโดยละเอียด และถือว่าการยื่นบัญชีเครือญาติเป็นสาระสำคัญ ดังนั้น ที่ผู้ร้องยื่นบัญชีเครือญาติของตนแต่ฝ่ายเดียว โดยไม่ยื่นบัญชีเครือญาติของผู้คัดค้านทั้งสองทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นทายาทของผู้ตายนั้น เมื่อไม่มีข้อเท็จจริงอื่น ๆ นำมาให้รับฟังโดยแจ้งชัดว่าผู้ร้องมีเจตนาจะปิดบังมิให้ทายาทอื่นรับมรดกซึ่งผู้ร้องไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว กรณีจึงยังไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนมิให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องคัดค้านจึงชอบแล้ว ฎีกาผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น"

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก

บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองโดยพฤตินัยมีสิทธิรับมรดกบิดา ... แต่บิดาไม่มีสิทธิรับมรดกของบุตรนั้น บิดาไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงมิใช่ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกของผู้ตาย ...  หาได้มีผลทำให้บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลับเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิได้รับมรดกของบุตรในฐานะทายาทโดยธรรมตาม ...

มรดก และ ค่าขาดไร้อุปการะ

เทา มีสิทธิรับมรดกของบิดาได้เพราะบิดาได้รับรองโดยพฤตินัยว่าเป็นบุตรของตนแล้ว แต่ เด็กชาย ... จะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายได้ต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ... โจทก์จึงเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนบุตรที่ ...

สำหรับกรณีของเด็กที่เกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกันนั้น เด็กย่อมเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงเท่านั้น ในส่วนที่เกี่ยวกับบิดานั้น เด็กมีสถานะเป็นบุตรนอกกฎหมายซึ่งกฎหมายได้กำหนดให้มีวิธีการเปลี่ยนสถานะของเด็กนอกสมรสนี้ ให้เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายได้สามวิธีคือ

การที่ บิดามารดาสมรสกันในภายหลัง

บิดาจดทะเบียนรับรองเด็กเป็นบุตร

และมีคำพิพากษาของศาลว่าเด็กเป็นบุตร

เมื่อได้กระทำการตามวิธีใดวิธีหนึ่งแล้ว บุตรนอกสมรสจะกลับมีสถานะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของบิดามีสิทธิและหน้าที่ต่อบิดาเช่นเดียวกับบุตรที่เกิดในสมรสทุกประการ

รับสมอ้างไปแจ้งเกิดเป็นบิดาในสูติบัตรให้ใช้นามสกุล

     หากชายผู้เป็นหรือเคยเป็นสามีได้กระทำการบางอย่างอันเป็นการยอมรับโดยปริยายว่าเด็กนั้นเป็นบุตร จะฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรนายภายหลังไม่ได้ ดังนั้นหากชายผู้เป็นหรือ เคยเป็นสามี เป็นผู้แจ้งจดทะเบียนคนเกิดว่าเด็กเป็นบุตรของตนด้วยตัวเองหรือ จัดให้บุคคลอื่นแจ้ง ตลอดจนยินยอมให้มีการแจ้งทะเบียนคนเกิดดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำอันตระหนักได้โดยปริยายว่า ชายผู้เป็นสามียอมรับว่าเด็กนั้นเป็นบุตรที่แท้จริง จึงไม่อาจปฏิเสธในภายหลังได้ว่าเด็กนั้นมิใช่บุตรของตน กฎหมายถือว่าการที่ชายใดจะจดทะเบียนคนเกิดว่าเด็กเป็นบุตรของตนย่อมต้องแน่ใจและเชื่อมั่นอยู่แล้วว่าเด็กนั้นเป็นผู้สืบสายโลหิตของตนจริงๆ จึงไม่อาจปฏิเสธในภายหลังได้ เรื่องนี้เป็นหลักกฏหมายปิดปากอย่างหนึ่ง

     ข้อห้ามในการฟ้องไม่รับเด็กเป็นบุตรในกรณีนี้ไม่นำมาบังคับใช้ หากการแจ้งเกิดของเด็กเป็นการกระทำของบุคคลอื่นโดยชายผู้เป็นหรือเคยเป็นสามี มิได้ยินยอมหรือจัดให้มีการแจ้งดังกล่าว เช่น มารดาเด็กหรือญาติพี่น้องของมารดาเด็ก เป็นผู้แจ้งการเกิดของเด็กเอง ในกรณีนี้ ชายผู้เป็นสามียังมีสิทธิฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรได้

     แต่หากการแจ้งเกิดเด็กนั้นเป็นการกระทำของชายที่มิใช่บิดาที่แท้จริงและขณะเดียวกันชายผู้นั้นก็มิใช่บิดาตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายของเด็ก กรณีจึงเป็นคนละเรื่องกับการแจ้งเกิดของเด็กในทะเบียนคนเกิดว่าเด็กเป็นบุตรของตนตามมาตรา 1541 และเมื่อเด็กมิใช่บุตรที่แท้จริงของชายที่แจ้งเกิดว่าเด็กเป็นบุตร ซึ่งถึงแก่ความตายไปแล้วเด็กจึงมิใช่บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว อันจะทำให้เกิดสิทธิในการรับมรดกของบิดาในฐานะผู้สืบสันดานซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม ลำดับที่ 1 ตามมาตรา 1627 และมาตรา 1629 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4791/2542

บทบัญญัติตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1541 หมายถึงชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีจะฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรตามมาตรา 1539 ซึ่งเป็นกรณีที่สันนิษฐานว่าเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีตามมาตรา 1536 และ 1537 หรือมาตรา 1538 โจทก์เป็นบุตรของร.และอ.ซึ่งมีตัวตนแน่นอนส.และสค. ไม่ใช่บิดามารดาผู้ให้กำเนิดโจทก์โดยแท้จริง การที่ ส.ไปแจ้งการเกิดลงในสูติบัตรของโจทก์ว่า บิดาโจทก์เป็นคนไทย มารดาเป็นคนกัมพูชาเมื่อมีบุตรขึ้นมาก็แจ้งเกิดไม่ได้ ส. จึงรับสมอ้างไปแจ้งเกิดแทน โดยระบุว่าเป็นบิดาดังนี้ เป็นคนละเรื่องกับกรณีการแจ้งเกิดของเด็กในทะเบียนคนเกิดเองว่าเป็นบุตรของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1541 เมื่อโจทก์ไม่ใช่บุตรที่แท้จริงของ ส. จึงไม่ใช่บุตรนอกกฎหมายตามความเป็นจริงที่บิดาได้รับรองแล้ว ทั้งไม่ใช่ ผู้สืบสันดานและไม่ใช่ทายาทโดยธรรมของ ส. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1627 และ 1629(1) โจทก์จึงไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของส. ผู้ตาย และไม่มีอำนาจฟ้อง

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองแบ่งปันทรัพย์มรดกให้โจทก์กึ่งหนึ่งเป็นเงิน316,500 บาท หากไม่ปฏิบัติตามให้นำทรัพย์มรดกออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ตามส่วน

จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า นายสมพรและนางสมคิดเป็นสามีภริยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส นายชายเป็นบุตรของนายสมพรและนางสมคิด เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2525 นายสมพรไปแจ้งการเกิดในสูติบัตรว่า โจทก์เป็นบุตรของนายสมพรและนางสมคิด จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นบุตรของนายชายอันเกิดจากนางเกษรและนางบุญยงค์ตามลำดับ โดยจำเลยที่ 1 เป็นบุตรนอกกฎหมายที่นายชายได้รับรองแล้ว นายชายถึงแก่ความตายก่อนนายสมพร ส่วนนางสมคิดถึงแก่ความตายหลังนายสมพร ตามมรณบัตรเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3 นายสมพรถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2538 มีทรัพย์มรดกเป็นที่ดินจำนวน 4 แปลง และอาคารพาณิชย์ 3 ห้อง หลังจากนายสมพรและนางสมคิดถึงแก่ความตายแล้วนางเพิ่มยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ตั้งนางเพิ่มเป็นผู้ปกครองของโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งให้นางเพิ่มเป็นผู้ปกครองของโจทก์ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ประการแรกว่าสูติบัตรตามเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งออกโดยผู้ช่วยนายทะเบียนตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ซึ่งเป็นกำนันท้องที่ที่รับแจ้งเป็นเอกสารราชการมีน้ำหนักน่าเชื่อถือและรับฟังยันจำเลยทั้งสองได้หรือไม่นั้น เห็นว่า สูติบัตรเอกสารหมาย จ.10ซึ่งนางสายใจ สุทธิวารี ปลัดอำเภอ อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด มาเบิกความว่านางสายใจเป็นผู้รับรองสำเนาถูกต้องเอกสารดังกล่าว ตามเอกสารหมาย จ.10 ลำดับ 4.4 ระบุว่านายสมพร รำไพ เป็นผู้แจ้งการเกิด แต่ไม่เคยเห็นลายมือชื่อนายสมพรจึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นลายมือชื่อของนายสมพรหรือไม่ ส่วนตามเอกสารหมาย ล.1ในช่องลายมือชื่อ นายสมพร รำไพ เมื่อเปรียบเทียบกับลายมือชื่อนายสมพร รำไพ ในเอกสารหมาย จ.10 น่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ตามเอกสารหมาย จ.10 ลำดับ 5 ระบุว่าแจ้งเกิดวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2525 ส่วนเอกสารหมาย ล.1 ระบุว่าสั่งไว้ ณ (สั่งไว้นะ) วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2535 และตอนท้ายของเอกสารหมาย ล.1 ระบุว่าข้าพเจ้าในนามนายสมพร รำไพ สั่งไว้นะ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2535 เมื่อได้พิเคราะห์เอกสารดังกล่าวแล้ว เห็นว่า ตามเอกสารดังกล่าวแม้จะไม่ใช่พินัยกรรมแต่ข้อความเป็นการระบุบอกไว้ได้ความชัดเจนว่า นายสมพร มีทายาทชั้นบุตรเพียงคนเดียวชื่อนายชายหรือสมชาย รำไพ และมีผู้มาอาศัยฝากรับให้ใช้นามสกุลรำไพนี้หนึ่งคน บิดาเป็นไทยมารดาเป็นคนกัมพูชา เมื่อมีบุตรขึ้นมาก็แจ้งเกิดไม่ได้ นายสมพรจึงรับสมอ้างไปแจ้งเกิดแทนโดยระบุว่าเป็นบิดา จากข้อความตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นการยืนยันว่าโจทก์ไม่ใช่บุตรโดยแท้จริงของนายสมพรและนางสมคิด แต่เป็นบุตรของนายสุรินทร์และนางอ้อน นางอ้อนเป็นคนกัมพูชาอพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทย เมื่อโจทก์เกิดจึงไปแจ้งเกิดไม่ได้เพราะมารดาเป็นคนต่างด้าว ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนนายสมพรจึงรับสมอ้างและไปแจ้งการเกิดต่อผู้ช่วยนายทะเบียนตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่จังหวัดตราด ว่าโจทก์เป็นบุตรของนายสมพรและนางสมคิด การที่โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายของนายสมพรและนางสมคิด ที่บิดารับรองแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์ที่จะต้องนำสืบให้ฟังข้อเท็จจริงได้ตามฟ้อง แต่ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมามีเพียงคำเบิกความของนางเพิ่ม บุญตูบ ผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์เพียงปากเดียวมาเบิกความลอย ๆอ้างว่า ขณะที่นายสมพรและนางสมคิดยังมีชีวิตอยู่ได้ให้ความอุปการะเลี้ยงดูโดยให้การศึกษาแก่โจทก์ ให้ใช้นามสกุล เพียงเท่านี้ไม่เพียงพอ ไม่มีน้ำหนักรับฟังให้เชื่อว่าโจทก์เป็นบุตรที่แท้จริงของนายสมพรและนางสมคิดแต่อย่างใด ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าตามเอกสารหมาย จ.10 เป็นเอกสารที่นายสมพรไปแจ้งการเกิดของโจทก์ในสูติบัตรหรือทะเบียนการเกิดว่าเป็นบุตรของนายสมพรและนางสมคิดดังกล่าวเท่ากับเป็นการรับรองแล้วว่าโจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสมพรและนางสมคิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1541 นั้น เห็นว่า บทบัญญัติตามกฎหมายดังกล่าวหมายถึงชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีจะฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรตามมาตรา 1539 ซึ่งเป็นกรณีที่สันนิษฐานว่าเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามีตามมาตรา 1536 และ 1537 หรือมาตรา 1538 แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังที่วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้วว่า โจทก์เป็นบุตรของนายสุรินทร์และนางอ้อนซึ่งมีตัวตนแน่นอน นายสมพรและนางสมคิดไม่ใช่บิดามารดาผู้ให้กำเนิดโจทก์โดยแท้จริง การที่นายสมพรได้ไปแจ้งการเกิดลงในสูติบัตรของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.10 นั้น เป็นคนละเรื่องกับกรณีการแจ้งการเกิดของเด็กในทะเบียนคนเกิดเองว่าเป็นบุตรของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1541 ซึ่งกรณีตามฎีกาของโจทก์ข้อเท็จจริงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว เมื่อโจทก์ไม่ใช่บุตรที่แท้จริงของนายสมพรกรณีจึงไม่ใช่บุตรนอกกฎหมายตามความเป็นจริงที่บิดาได้รับรองแล้วทั้งไม่ใช่ผู้สืบสันดานและไม่ใช่ทายาทโดยธรรมของนายสมพรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1627 และ 1629(1) โจทก์จึงไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของนายสมพรผู้ตายและไม่มีอำนาจฟ้องดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"

พิพากษายืน

 




บิดามารดา กับ บุตร

เปลี่ยนสิทธิดูแลบุตรจากมารดาเป็นบิดา
สิทธิและหน้าที่ในการเลี้ยงดูบุตร, ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร,
การเลี้ยงดูบุตรหลังการหย่า, การอุปการะเลี้ยงดูบุตร มาตรา 1564, ข้อตกลงการเลี้ยงดูบุตรในกรณีหย่าร้าง
ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร, การคำนวณค่าเลี้ยงดูบุตร, สิทธิเลี้ยงดูบุตร หลังการหย่า,
การจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร, การรับรองบุตร, ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
การเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองบุตร, การยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อสิทธิเลี้ยงดูบุตร
เปลี่ยนตัวผู้ใช้อำนาจปกครอง
การถอนอำนาจปกครองบิดา ตั้งน้าสาวเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์แทน
บิดามารดาโดยกำเนิดหมดอำนาจปกครองบุตร
กฎหมายเรื่อง,ฟ้องร้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร, ฟ้องหย่า, อำนาจปกครองบุตร,
ขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว
ขอจดทะเบียนรับรองบุตร,ขอรับเด็กเป็นบุตร บุตรนอกสมรส
ค่าอุปการะเลี้ยงดูกับค่าเลี้ยงชีพ, การใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์
ฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร-มารดาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมฟ้องแทนได้
การถอนอำนาจปกครองเป็นอำนาจของศาล
ส่วนแบ่งสินสมรสและความรับผิดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
อำนาจศาลเพิกถอน ลด เพิ่ม หรือกลับการให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน
ให้ใช้นามสกุลในสูติบัตรยังไม่เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย
หน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรยุติไปด้วยความตายไม่ตกทอดเป็นมรดก
โจทก์ฟ้องขอให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว
หน้าที่ตามกฎหมายบิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตร
อายุความฟ้องขอเลิกรับบุตรบุญธรรม
ฟ้องขอให้เพิกถอนข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่า ค่าเลี้ยงชีพ อำนาจปกครองบุตร
อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียวมีได้ในกรณีใดบ้าง
รับสมอ้างว่าเป็นบุตรในการแจ้งเกิด, บิดาในสูติบัตร
ทำสัญญาประนีประนอมแทนผู้เยาว์ต้องขออนุญาตศาล
การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรแต่บิดาปฏิเสธว่าเป็นบุตร
เรียกบุตรคืนจากสามีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย, บิดานอกกฎหมายไม่มีสิทธิที่จะกำหนดที่อยู่ของบุตร
บิดาลงชื่อในใบแต่งทนายความแทนบุตรที่บรรละนิติภาวะแล้ว
การจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร (เด็กและมารดาของเด็กถึงแก่ความตายแล้ว)
บุตรนอกกฎหมายเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่?
บุตรนอกกฎหมาย สิทธิประกันสังคม
บุตรจำต้องเลี้ยงดูบิดามารดา เรียกค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยได้
ข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าให้บิดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร
ผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว
เพิกถอนหน้าที่ผู้จัดการทรัพย์สิน
ฟ้องบุพการี,คดีอุทลุม,การใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์จากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือได้
อำนาจศาลสั่งให้บิดาหรือมารดาใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว
ศาลชอบที่จะสั่งให้แก้ไขความบกพร่องเรื่องความสามารถเสียก่อนยกฟ้อง
บุตรไม่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องบิดาไม่เป็นคดีอุทลุม
การฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรต้องพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมาย
การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร (คดีขาดอายุความ)
ใช้สิทธิทางศาลขอเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมาย
บิดาขอจดทะเบียนรับรองบุตรกรณีเด็กถึงแก่ความตายแล้ว
การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร (บิดาถึงแก่ความตาย)
อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์, ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
ฟ้องให้บิดารับรองบุตร เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์
การนับอายุความสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้เยาว์
จำเลยตั้งครรภ์ด้วยวิธีการผสมเทียมโดยไม่ใช่อสุจิของโจทก์
สามีนำเงินสินส่วนตัวชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองที่ดินสินสมรส
ละเมิดเรียกค่าขาดแรงงานในครัวเรือนของบิดามารดา
ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขตามสัญญายอมความได้
ผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะได้ทั้งการสมรสหรือมีอายุครบ 20 ปี
คำร้องขอจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย
สามีภริยาสมัครใจมีบุตรร่วมกันโดยการทำกิ๊ฟท์
การอุปการะเลี้ยงดูบุตรต้องกระทำจนถึงบุตรบรรลุนิติภาวะ
เงินที่มีผู้ช่วยทำศพผู้ตายนำมาบรรเทาความรับผิดไม่ได้
โจทก์เป็นบุตรมีอำนาจฟ้องบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้
ห้ามฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งและคดีอาญา
บุตรขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้ตายในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ถือหุ้นฟ้องปู่ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทไม่เป็นคดีอุทลุม
คดีอุทลุมคือการห้ามฟ้องบุพการี
ฟ้องให้รับรองบุตรเมื่อเด็กอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว
กฎหมายไม่บังคับว่าบุตรจะต้องใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือมารดา
สิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ
การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร
ฟ้องคดีไม่รับเด็กเป็นบุตรเนื่องจากไม่ใช่บุตรที่แท้จริง
เด็กหรือมารดาเด็กไม่ให้ความยินยอมจดทะเบียนรับรองบุตรได้หรือไม่
ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเป็นบุตรเพราะมิใช่บิดาแท้จริง
สิทธิรับมรดกของบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกได้รับรองแล้ว
บุตรนอกสมรสตาย บิดามารดาจดทะเบียนสมรสภายหลังการตาย
เมื่อศาลได้พิพากษาแล้วไม่จำต้องบังคับจำเลยให้ไปจดทะเบียนรับเป็นบุตรอีก
เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทน
เพิกถอนอำนาจปกครองเกี่ยวกับการกำหนดที่อยู่ของบุตร