

บุตรนอกสมรสตาย บิดามารดาจดทะเบียนสมรสภายหลังการตาย บุตรนอกสมรสถึงแก่ความตาย บิดามารดาจดทะเบียนสมรสภายหลังการตาย ขณะเกิดเหตุละเมิดผู้ตาย เป็นบุตรนอกสมรสของผู้คัดค้าน(บิดา)ซึ่งอยู่กินฉันสามีภรรยากับนางสาวคำนึง มารดาของผู้ตาย หลังจากผู้ตายถึงแก่ความตาย ผู้คัดค้านจึงได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้ตาย เป็นผลให้ผู้ตายเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้คัดค้านกับมารดาของผู้ตาย การทำละเมิดเป็นเหตุผู้คัดค้านซึ่งเป็นบิดาขาดไร้อุปการะ ผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดไร้อุปการะแก่ผู้คัดค้าน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6436/2562 ขณะเกิดเหตุละเมิด จ. ผู้ตาย เป็นบุตรนอกสมรสของผู้คัดค้านซึ่งอยู่กินฉันสามีภรรยากับ ค. มารดาของผู้ตาย หลังจาก จ. ถึงแก่ความตาย ผู้คัดค้านได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้ตาย เป็นผลให้ จ. เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้คัดค้านกับมารดาของผู้ตาย ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1557 บัญญัติให้การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวมีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด ดังนั้น แม้เหตุละเมิดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2559 ขณะนั้น จ. มีอายุ 21 ปีเศษ และถึงแก่ความตายไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อผู้คัดค้านและ ค. บิดามารดาของ จ. จดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2559 ย่อมมีผลให้ จ. เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายนับตั้งแต่วันที่ จ. เกิด คือตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2537 จ. จึงมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดานับแต่นั้น การทำละเมิดเป็นเหตุให้ จ. ถึงแก่ความตายย่อมทำให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นบิดาขาดไร้อุปการะ การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดที่ให้ผู้ร้องชำระเงินแก่ผู้คัดค้านไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดข้อพิพาทของอนุญาโตตุลาการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และให้อนุญาโตตุลาการจำหน่ายคดีออกจากสารบบความหรือยกคำเสนอข้อพิพาทที่ 1 และให้ผู้คัดค้านผู้เสนอข้อพิพาทที่ 1 คืนเงินจำนวน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันรับเงินจากผู้ร้องแก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องขอของผู้ร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2 กร 314 กรุงเทพมหานคร ขณะเกิดเหตุ กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ยังมีผลคุ้มครอง ส่วนผู้คัดค้านกับนางสาวคำนึง อยู่กินฉันสามีภรรยามีบุตร 2 คน คือ นางสาวจีรนันท์ และนายจักรพันธุ์ เวลา 22.30 นาฬิกา รถยนต์คันที่ผู้ร้องรับประกันภัยชนกับรถจักรยานยนต์ที่มีนายปฏิภาณขับขี่โดยนางสาวจีรนันท์บุตรของผู้คัดค้านนั่งโดยสาร นางสาวจีรนันท์ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2559 ต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม 2559 ผู้คัดค้านได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวคำนึง ผู้คัดค้านและนางสาวคำนึงในฐานะบิดามารดาของนางสาวจีรนันท์ผู้ตายจึงใช้สิทธิเรียกร้องตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยวิธีระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการ ต่อมาอนุญาโตตุลาการได้ชี้ขาดให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าขาดไร้อุปการะแก่ผู้คัดค้านคนละ 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุละเมิดนางสาวจีรนันท์ ผู้ตาย เป็นบุตรนอกสมรสของผู้คัดค้านซึ่งอยู่กินฉันสามีภรรยากับนางสาวคำนึง มารดาของผู้ตาย หลังจากนางสาวจีรนันท์ ผู้ตาย ถึงแก่ความตาย ผู้คัดค้านจึงได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้ตาย เป็นผลให้นางสาวจีรนันท์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้คัดค้านกับมารดาของผู้ตาย ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1557 บัญญัติให้การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวมีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด ดังนั้น แม้เหตุละเมิดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2559 ซึ่งขณะนั้นนางสาวจีรนันท์มีอายุ 21 ปีเศษ และถึงแก่ความตายไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อผู้คัดค้านและนางสาวคำนึง บิดามารดาของนางสาวจีรนันท์ จดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2559 ย่อมมีผลให้นางสาวจีรนันท์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายนับตั้งแต่วันที่นางสาวจีรนันท์เกิดคือตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2537 นางสาวจีรนันท์จึงมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดานับแต่นั้น การทำละเมิดเป็นเหตุให้นางสาวจีรนันท์ถึงแก่ความตายย่อมทำให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นบิดาขาดไร้อุปการะ การยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ บุตรนอกสมรสมีสิทธิรับมรดกแต่ร้องขอเพิกถอนการสมรสซ้อนของบิดาไม่ได้ บุตรนอกกฎหมายแม้บิดาจะจดทะเบียนเด็กเป็นบุตร ชอบด้วยกฎหมายแล้วก็ตามบุตรเช่นว่านี้ก็มีสิทธิแต่เพียงรับมรดกของบิดากับมารดาของตนเมื่อบุคคลทั้งสองถึงแก่ความตาย แล้วเท่านั้น ฉะนั้น การที่บิดาจดทะเบียนสมรสซ้อนจึงไม่ก่อให้เกิด ผลกระทบต่อสิทธิของบุตร ไม่อยู่ในฐานะเป็นบุคคลผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสซ้อนของบิดาเป็นโมฆะ การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1547 ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10220/2551 ในขณะที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีต่อศาลแรงงานภาค 6 โจทก์ทั้งสองยังไม่มีฐานะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของ บ. ที่จะเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 มาตรา 77 จัตวา วรรคสอง (1) โจทก์ทั้งสองจึงไม่เป็นผู้ถูกโต้แย้งสิทธิที่จะเรียกร้องเงินดังกล่าวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 มาแต่ต้น แม้ต่อมาศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครสวรรค์จะได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของ บ. ก็ตาม แต่ความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายมีผลนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุด คือนับแต่ระยะเวลาอุทธรณ์ได้สิ้นสุดลงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังฟ้องคดีแล้ว และถึงแม้ว่าในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 19) พ.ศ.2551 มาตรา 6 ให้ยกเลิกความในมาตรา 1557 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทนว่า "การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1547 ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด" ก็ตาม แต่ในขณะที่จำเลยมีคำสั่ง การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ทั้งสองตามมาตรา 1547 นั้น กฎหมายบัญญัติให้มีผลนับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งของจำเลย ชอบที่โจทก์ทั้งสองจะไปดำเนินการยื่นคำร้องขอรับเงินบำเหน็จชราภาพต่อจำเลยใหม่ โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยที่สั่งว่าโจทก์ทั้งสองไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายบุญสมผู้ประกันตน จึงทำให้ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพของนายบุญสมและมีคำสั่งให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานภาค 6 พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลย และให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพของนายบุญสม นางแย้ม ผู้ประกันตนแก่โจทก์ทั้งสองตามสิทธิที่โจทก์ทั้งสองจะพึงได้รับ จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานภาค 6 ปรากฏว่านายบุญสมเป็นลูกจ้างของบริษัทถาวรฟาร์ม จำกัด และเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ได้จ่ายเงินสมทบเพื่อรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพมาแล้ว 51 เดือน นายบุญสมอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวรัตนาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส มีโจทก์ทั้งสองเป็นบุตร บิดาและมารดาของนายบุญสมเสียชีวิตแล้ว ต่อมาวันที่ 27 ธันวาคม 2547 นายบุญสมเสียชีวิตด้วยโรงตับแข็ง วันที่ 5 มกราคม 2548 โจทก์ทั้งสองได้ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ แต่สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครสวรรค์มีคำสั่งประโยชน์ทดแทนว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จชราภาพในวันเดียวกันนั้น โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2548 คณะกรรมการอุทธรณ์มีคำสั่งว่า นายบุญสมกับนางสาวรัตนามิได้จดทะเบียนสมรส นายบุญสมมิได้จดทะเบียนรับรองว่าโจทก์ทั้งสองเป็นบุตร และศาลมิได้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองเป็นบุตรของนายบุญสม โจทก์ทั้งสองมิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายบุญสม จึงมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับบำเหน็จชราภาพตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 77 จัตวา ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง ต่อมาโจทก์ทั้งสองโดยนางสาวรัตนาผู้แทนโดยชอบธรรมยื่นคำร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายบุญสม ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครสวรรค์ไต่สวนแล้วมีคำพิพากษาลงวันที่ 27 กันยายน 2548 พิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายบุญสม มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการเดียวว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพของนายบุญสมหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 77 จัตวา วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีผู้ประกันตนซึ่งมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพตามมาตรา 77 ทวิ ถึงแก่ความตายก่อนที่จะได้รับประโยชน์ทดแทน หรือผู้รับบำนาญชราภาพถึงแก่ความตายภายในหกสิบเดือนนับแต่เดือนที่มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพ ให้ทายาทของผู้นั้นมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ" และวรรคสองบัญญัติว่า "ทายาทผู้มีสิทธิตามวรรคหนึ่งได้แก่ (1) บุตรชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้นบุตรบุญธรรมหรือบุตรซึ่งได้ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นให้ได้รับสองส่วน ถ้าผู้ประกันตนที่ตายมีบุตรตั้งแต่สามคนขึ้นไปให้ได้รับสามส่วน..." ตามบทบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติถึงทายาทผู้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพไว้โดยเฉพาะ โดยหากเป็นบุตรของผู้ประกันตนก็จะต้องมีฐานะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 และมาตรา 1557 บัญญัติให้เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกันจะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายก็จะมีผลนับแต่วันสมรส หรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายก็จะมีผลนับแต่วันจดทะเบียน หรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายก็จะนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุด เมื่อปรากฏว่าในขณะที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้ต่อศาลแรงงานภาค 6 โจทก์ทั้งสองยังไม่มีฐานะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายบุญสมที่จะเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 77 จัตวา วรรคสอง (1) โจทก์ทั้งสองจึงไม่เป็นผู้ถูกโต้แย้งสิทธิที่จะเรียกร้องเงินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 มาแต่ต้น แม้ต่อมาศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครสวรรค์จะได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายบุญสมก็ตาม แต่ความเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายมีผลนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุด คือนับแต่ระยะเวลาอุทธรณ์ได้สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังฟ้องคดีนี้แล้ว และถึงแม้ว่าในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2551 มาตรา 6 ให้ยกเลิกความในมาตรา 1557 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทนว่า "การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1547 ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด" ก็ตาม แต่ในขณะที่จำเลยมีคำสั่ง การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ทั้งสองตามมาตรา 1547 นั้น กฎหมายบัญญัติให้มีผลนับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งของจำเลย โจทก์ทั้งสองจึงชอบที่จะไปดำเนินการยื่นคำร้องขอรับเงินบำเหน็จชราภาพต่อจำเลยใหม่อีกครั้ง ดังนั้น ที่ศาลแรงงานภาค 6 พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลย และให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพของนายบุญสมแก่โจทก์ทั้งสอง จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสองที่จะฟ้องใหม่
|