
การจดทะเบียนรับรองบุตร: ขั้นตอน กฎหมาย และคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนรับรองบุตรของบิดาในกรณีที่บุตรเกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส โดยพิจารณาว่าการยื่นคำร้องต่อศาลจำเป็นหรือไม่เมื่อเด็กยังไม่สามารถให้ความยินยอมได้ ศาลได้อธิบายขั้นตอนทางกฎหมาย เงื่อนไข และอำนาจของนายทะเบียน รวมถึงยืนยันหลักการว่าการรับรองบุตรต้องเป็นสิทธิและการยินยอมเฉพาะตัวของเด็ก พร้อมยกตัวอย่างคำพิพากษาอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อชี้ให้เห็นแนวทางปฏิบัติ
ขั้นตอนการจดทะเบียนรับรองบุตร 1.ยื่นคำร้องต่อนายทะเบียน – บิดายื่นคำร้องที่สำนักงานทะเบียน/เขต 2.การให้ความยินยอม – ต้องมีความยินยอมจากมารดาและบุตร หากเด็กหรือมารดาไม่สามารถให้ความยินยอมได้ ต้องมีคำพิพากษาของศาล 3.เอกสารประกอบ – บัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน, สูติบัตร, หนังสือยินยอม, พยานบุคคล 2 คน 4.กรณีเด็กอายุน้อย – ศาลสามารถออกคำสั่งแทนความยินยอมของเด็กได้
ข้อเท็จจริงในคดี (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5982/2551) •ผู้ร้อง (บิดา) ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้จดทะเบียนเด็กหญิง ป. เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย •ผู้คัดค้าน (มารดา) แย้งว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิ เนื่องจากไม่ได้ดำเนินการแจ้งต่อนายทะเบียนและไม่เคยอุปการะเลี้ยงดู •ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องจดทะเบียนรับรองบุตร ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน •เหตุผล: ขณะยื่นคำร้อง เด็กอายุเพียง 3 ปี ยังไม่สามารถให้ความยินยอมได้ จึงเป็นเหตุให้ศาลมีอำนาจออกคำสั่งแทน
ประเด็นกฎหมายที่สำคัญ •ป.พ.พ. มาตรา 1548 – การรับรองบุตรต้องได้รับความยินยอมจากเด็กและมารดา เว้นแต่มีคำพิพากษาของศาลในกรณีไม่สามารถให้ความยินยอมได้ •พ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478 มาตรา 19 – กำหนดขั้นตอนหากเด็กหรือมารดาไม่สามารถมาให้ความยินยอม •สิทธิอำนาจปกครอง – ในกรณีบุตรนอกสมรส อำนาจปกครองอยู่กับมารดา เว้นแต่มีการจดทะเบียนรับรองบุตรหรือคำสั่งศาล
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลวินิจฉัยว่าการที่นายทะเบียนไม่แจ้งการขอจดทะเบียนไปยังผู้คัดค้านและเด็ก เนื่องจากเด็กอายุยังน้อยเกินไป ถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย และผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลได้
วิเคราะห์กฎหมาย การจดทะเบียนรับรองบุตรเป็นสิทธิของบิดาในการทำให้บุตรนอกสมรสกลายเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีผลโดยตรงต่อสิทธิหน้าที่ เช่น การอุปการะเลี้ยงดู การใช้นามสกุล และการมีสิทธิในมรดก ขั้นตอนนี้มีความซับซ้อนในกรณีที่เด็กไม่สามารถให้ความยินยอมได้ ทำให้ต้องใช้กระบวนการศาลเพื่อออกคำสั่งแทน ซึ่งเป็นการคุ้มครองสิทธิของเด็กอย่างเคร่งครัด
IRAC Analysis Issue (ประเด็นปัญหา) บิดาสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้จดทะเบียนรับรองบุตรได้หรือไม่ เมื่อเด็กยังไม่สามารถให้ความยินยอมได้ Rule (บทกฎหมาย) •ป.พ.พ. มาตรา 1548 วรรคหนึ่ง วรรคสาม และวรรคสี่ •พ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478 มาตรา 19 Application (การประยุกต์ใช้กฎหมาย) ในกรณีนี้ เด็กหญิง ป. อายุเพียง 3 ปี ไม่สามารถให้ความยินยอมได้ การแจ้งไปยังเด็กจึงไม่มีประโยชน์ ศาลพิจารณาว่าผู้ร้องมีสิทธิตามกฎหมายที่จะยื่นคำร้องขอคำสั่งศาลแทนความยินยอม และเมื่อศาลอนุญาต นายทะเบียนต้องดำเนินการจดทะเบียนให้ Conclusion (ข้อสรุป) ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลได้ และคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกาเห็นพ้องต้องกัน
ข้อคิดทางกฎหมาย •การรับรองบุตรต้องคำนึงถึงสิทธิของเด็กเป็นหลัก •หากเด็กไม่สามารถให้ความยินยอมได้ ต้องใช้กระบวนการศาลเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเด็ก •สิทธิอำนาจปกครองบุตรนอกสมรสโดยหลักอยู่กับมารดา เว้นแต่มีการเปลี่ยนแปลงโดยกฎหมายหรือคำพิพากษา
English Summary This Supreme Court decision concerns the legitimation of a child born out of wedlock when the child is too young to give consent. The Court held that the father may petition the court for an order substituting the child’s consent under Section 1548 of the Civil and Commercial Code. The decision clarifies that the registration process must protect the child’s best interests and that consent is a personal right of the child, requiring strict legal procedures.
กฏหมายเกี่ยวกับการจดทะเบียนรับรองบุตร การจดทะเบียนรับรองบุตร ทำไมต้องจดทะเบียนรับรองบุตร? เมื่อบุตรที่เกิดมาจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันให้ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อเกิดบุตรขึ้นมา กฎหมายให้ถือว่าเป็นบิดานอกกฎหมาย หรือบุตรนอกกฎหมาย ทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่มีสิทธิในการเป็นบิดากับบุตรชอบด้วยกฎหมาย เช่น สิทธิที่จะได้รับการอุปการะเลี้ยงดู เป็นต้น ดังนั้นเพื่อให้ผูกพันกันตามกฎหมาย ผู้เป็นบิดาจึงต้องไปทำการยื่นคำขอจดทะเบียนรับรองบุตรอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของตนเอง การจดทะเบียนรับรองบุตร ต้องได้รับความยินยอมจากตัวบุตรด้วยอันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของบุตรผู้เยาว์ ขั้นตอนการดำเนินการจดทะเบียนรับรองบุตร 1. ให้บิดาไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตร ต่อนายทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอ หรือสำนักงานเขต กรณีที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร 2. เด็กและมารดาของเด็กต้องให้ความยินยอมในการจดทะเบียนรับรองบุตรด้วย คือการจดทะเบียนรับรองบุตรจะต้องได้รับความยินยอมจากทั้งมารดา และตัวเด็กด้วยพร้อมกัน ถ้าเด็กหรือมารดาเด็กคนใดคนหนึ่งไม่ให้ความยินยอมในการจดทะเบียนรับรองบุตร หรือไม่อาจให้ความยินยอมได้ เช่น เด็กยังเล็กเกินไปที่จะให้ความยินยอมให้บิดาจดทะเบียนรับรองบุตร หรือมารดาเด็กตาย เป็นต้น กรณีนี้การจดทะเบียนรับรองบุตรนั้นจะต้องมีคำพิพากษาของศาลเสียก่อนจึงจะนำคำพิพากษาไปจดทะเบียนรับรองบุตรได้ เอกสารที่ต้องใช้ประกอบในการจดทะเบียนรับรองบุตร -บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ที่เกี่ยวข้อง การรับรองบุตรเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้บุตรนอกสมรสเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของบิดาได้, การรับรองบุตรในกรณีที่ตัวเด็กเองอายุยังนัอยไม่สามารถให้ความยินยอมได้ ตัวผู้ร้องซึ่งเป็นบิดานอกสมรสจะต้องมายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งรับรองบุตร เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นบิดานอกสมรสได้ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตรต่อศาลแล้ว ศาลจะนัดไต่สวนคำร้องประมาณ 45 วัน ในระหว่างนี้ผู้ร้องต้องนำบุตรและผู้ที่เกี่ยวข้องไปให้ถ้อยคำที่สถานพินิจเพื่อรายงานเสนอความเห็นต่อศาลประกอบการพิจารณาคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตร ในกรณีนี้คำสั่งศาลแทนการให้ความยินยอมของเด็กได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง จดทะเบียนรับรองบุตร คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5982/2551 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ป.พ.พ. มาตรา 1548 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า บิดาจะจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอมของเด็กและมารดาเด็ก ส่วนวรรคสามและวรรคสี่บัญญัติว่า ในกรณีที่เด็กหรือมารดาเด็กคัดค้านว่าผู้ขอจดทะเบียนไม่ใช่บิดาหรือไม่ให้ความยินยอมหรือไม่อาจให้ความยินยอมได้ การจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรต้องมีคำพิพากษาของศาล จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดเจนว่าประสงค์ให้เด็กเป็นผู้ให้ความยิมยอมเป็นการเฉพาะตัว การที่นายทะเบียนแจ้งแก่ผู้ร้องว่าไม่สามารถรับจดทะเบียนให้ได้โดยไม่แจ้งการขอจดทะเบียนของผู้ร้องไปยังผู้คัดค้านและเด็กก่อนตาม มาตรา 1548 วรรคสอง หรือตาม พ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัวฯ มาตรา 19 วรรคสอง เพราะปรากฏว่าขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนขอจดทะเบียนนั้น เด็กหญิง ป. อายุเพียง 3 ปีเศษ ยังไร้เดียงสาไม่สามารถให้ความยินยอมได้ จึงเป็นการปฏิบัติถูกต้องตาม พ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัวฯ มาตรา 19 แล้ว ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอต่อศาลขอให้พิพากษาให้ผู้ร้องจดทะเบียนเด็กหญิง ป. เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายได้ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาล เนื่องจากไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยไม่ได้ไปยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองผู้เยาว์ต่อนายทะเบียนเพื่อให้นายทะเบียนแจ้งการขอจดทะเบียนเป็นหนังสือไปยังผู้คัดค้านและผู้เยาว์ระหว่างตั้งครรภ์ ผู้ร้องไม่สนใจหรือเอาใจใส่เกื้อกูลความเป็นอยู่ของผู้คัดค้าน ไม่เคยจ่ายเงินเดือนหรือค่าใช้จ่ายในครัวเรือนแก่ผู้คัดค้าน เมื่อผู้คัดค้านคลอดผู้เยาว์ ผู้ร้องไม่ช่วยอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาแก่บุตร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้คัดค้านแต่เพียงผู้เดียว ผู้คัดค้านเลี้ยงดูผู้เยาว์มาโดยตลอดและผู้เยาว์เริ่มเข้ารับการศึกษาเป็นอย่างดีแล้วไม่มีความจำเป็นที่ผู้ร้องจะจดทะเบียนรับรองบุตรอีก ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องจดทะเบียนเด็กหญิง ป. ผู้เยาว์ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้อง ให้ผู้ร้องมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ยกคำคัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความทั้งสองฝ่ายให้ตกเป็นพับ ผู้คัดค้านอุทธรณ์ ผู้คัดค้านฎีกา พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
บุตรนอกสมรสเรียกค่าอุปการะเลียงดูบุตรมิได้ฟ้องคดีขอให้บิดารับเด็กเป็นบุตรมาด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7228/2537 บุตรที่จะมีสิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูและการให้การศึกษาจากบิดามารดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 วรรคแรกจะต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่แรกหรือเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายในภายหลังตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน 3 คน ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะขณะอยู่กินกับจำเลยได้ให้การรับรองบุตรทั้งสาม ต่อมาจำเลยได้ขอหย่าขาดกับโจทก์และมอบบุตรทั้งสามให้อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเพียง 2 คนจำนวนเงิน 349,400 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยเป็นบิดาตามความเป็นจริง มีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 วรรคแรก โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากจำเลยนั้น เห็นว่า บุตรที่จะมีสิทธิได้รับการอุปการะเลี้ยงดูและการให้การศึกษาจากบิดามารดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 วรรคแรก จะต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดามารดามาแต่แรกหรือเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายในภายหลังตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547และหากเป็นบุตรนอกสมรสโดยบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันและแล้ว จะฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าการศึกษาจากบิดาไม่ได้ ข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความว่า โจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้จำเลยรับเด็กเป็นบุตรมาด้วยดังนั้น ในชั้นนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าการศึกษาจากจำเลย พิพากษายืน
บุตรนอกสมรสอำนาจปกครองอยู่กับมารดา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2652/2516 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับโจทก์อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ซึ่งมีผลตามกฎหมายว่า บุตรผู้เยาว์ทั้งสี่เป็นบุตรนอกสมรส อำนาจปกครองอยู่กับโจทก์ซึ่งเป็นมารดา จำเลยให้การรับว่า จำเลยกับโจทก์ไม่ได้จดทะเบียนสมรสจริง ต่อสู้เพียงว่าจำเลยมีอำนาจปกครองบุตรทั้งสี่โดยโจทก์ตกลงยกบุตรทั้งสี่ให้จำเลยเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว เช่นนี้ ประเด็นที่ว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสี่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยหรือไม่ นั้น จึงเป็นอันยุติต้องฟังว่าผู้เยาว์ทั้งสี่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ฝ่ายเดียวการที่จำเลยแถลงต่อศาลในภายหลังว่าจำเลยมีฐานะเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายตามคำสั่งศาล และได้จดทะเบียนรับรองบุตรด้วยนั้น ไม่ก่อให้เกิดเป็นประเด็นขึ้นอีก โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยอยู่กินกันฉันสามีภริยา แต่มิได้จดทะเบียนสมรส เกิดบุตรด้วยกัน ๔ คนซึ่งเป็นผู้เยาว์ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงเลิกจากการเป็นสามีภริยากัน โจทก์ยอมให้จำเลยรับบุตรไปเลี้ยงดูชั่วคราว แต่ต้องอยู่ในนครหลวง แต่จำเลยกลับนำบุตรไปอยู่จังหวัดเชียงรายและปล่อยให้บุตรไปอยู่ในความดูแลของผู้อื่น บุตรทั้งสี่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ อำนาจปกครองอยู่กับโจทก์ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยส่งมอบบุตรทั้งสี่คืนให้โจทก์ จำเลยให้การว่า จำเลยกับโจทก์เป็นสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสจริง เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะอยู่กินเป็นภริยาจำเลยต่อไปโจทก์จำเลยได้แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์ ให้ทำบันทึกข้อตกลงไว้ว่าโจทก์ยินดียกบุตรทั้งสี่ให้จำเลยเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว จำเลยเลี้ยงดูให้การศึกษาบุตรสมฐานะ โจทก์ไม่มีอาชีพเป็นหลักฐาน ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร วันชี้สองสถานจำเลยแถลงรับว่าไม่ได้จดทะเบียนรับรองบุตรทั้งสี่คนว่าเป็นบุตร ศาลให้เลื่อนการชี้สองสถานรอรายงานการสืบเสาะของพนักงานคุมประพฤติ ในวันนัดต่อมาจำเลยส่งสำเนาคำสั่งศาลจังหวัดเชียงรายกับสำเนาทะเบียนการรับรองบุตรต่อศาลพร้อมกับแถลงว่าหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว จำเลยได้ไปร้องขอต่อศาลจังหวัดเชียงรายให้สั่งแสดงว่าบุตรทั้งสี่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย เมื่อศาลจังหวัดเชียงรายสั่งแสดงให้แล้วจำเลยได้ไปจดทะเบียนรับรองว่าเป็นบุตร โจทก์แถลงคัดค้านว่าการที่จำเลยไปยื่นคำร้องต่อศาลภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ศาลชั้นต้นให้งดการชี้สองสถาน และการสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วพิพากษาให้จำเลยส่งมอบบุตรทั้งสี่คนให้แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนวินิจฉัยว่า ตามฟ้องโจทก์ตั้งประเด็นกล่าวหาว่าจำเลยกับโจทก์อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมีผลตามกฎหมายว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสี่เป็นบุตรนอกสมรส จำเลยไม่มีอำนาจปกครอง อำนาจปกครองอยู่กับโจทก์ซึ่งเป็นมารดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓๘(๕)จำเลยให้การยอมรับว่าจำเลยกับโจทก์เป็นสามีภริยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส เกิดบุตรด้วยกัน ๔ คนจริง ต่อสู้เพียงว่าจำเลยมีอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสี่โดยโจทก์ตกลงยกบุตรทั้งสี่ให้จำเลยเป็นผู้เลี้ยงดูแต่ผู้เดียว ฉะนั้น ประเด็นที่ว่าผู้เยาว์ทั้งสี่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยหรือไม่ นั้น จึงเป็นอันยุติต้องฟังว่า ผู้เยาว์ทั้งสี่เป็นบุตรนอกสมรสของจำเลย การที่จำเลยเพียงแต่แถลงต่อศาลในภายหลังว่าจำเลยมีฐานะเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายตามคำสั่งศาลและได้จดทะเบียนรับรองบุตรด้วยนั้น ไม่ก่อให้เกิดประเด็นวินิจฉัยขึ้นอีกผู้เยาว์ทั้งสี่เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ฝ่ายเดียวอำนาจปกครองอยู่กับโจทก์ ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยตามที่จำเลยอ้างไม่มีผลให้อำนาจปกครองบุตรทั้งสี่ตกอยู่กับจำเลย พิพากษายืน
ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าเป็นบุตรของผู้ตาย
ฟ้องให้จดทะเบียนรับรองบุตร-กรณีร่วมประเวณีกับมารดาเด็กในระยะตั้งครรภ์ได้
ใครควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร, บิดาหรือมารดา ?
การจดทะเบียนรับรองบุตร ขณะที่บุตรไม่อาจให้ความยินยอมได้เองต้องมีคำพิพากษาของศาล คำร้องขอจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร ข้อ ๑. ผู้ร้องเป็นบิดาของเด็กชายอาทิตย์ ซึ่งเกิดกับ นางสาวลำดวน ภริยาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน กล่าวคือ ผู้ร้องได้สมรสกับ นางสาวลำดวน เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๗ แต่มิได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย จึงเป็นสามีภริยากันโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ได้อยู่กินฉันสามีภริยาโดยเปิดเผยต่อสายตาของสาธารณชนทั่วไป ว่าเป็นสามีภริยากัน ในระหว่างอยู่กินด้วยกันนั้นได้มีบุตรด้วยกัน ๑ คน คือ เด็กชายอาทิตย์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๘ รายละเอียดปรากฏตามสำเนาสูติบัตร และสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข ๑ ปัจจุบันผู้ร้องอยู่กินร่วมบ้านเรือนเดียวกับนางสาวลำดวน และร่วมกันให้การอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายอาทิตย์ ผู้เยาว์ตลอดมา โดยผู้ร้องยอมให้ระบุในสูติบัตรว่าผู้ร้องเป็นบิดาของผู้เยาว์ ให้เรียกพ่อ แสดงออกเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าผู้ร้องและเด็กชายอาทิตย์ เป็นบิดาและบุตรของกันและกัน ข้อ ๒. ผู้ร้องมีความประสงค์จะจดทะเบียนรับรองบุตรรับเด็กชายอาทิตย์ ผู้เยาว์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องและให้ผู้เยาว์ใช้นามสกุลของผู้ร้อง โดยที่นางสาวลำดวน ให้ความยินยอมและเห็นชอบด้วย ผู้ร้องและนางสาวลำดวน ได้ไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่แล้ว แต่เจ้าหน้าที่จัดการให้ไม่ได้ โดยแจ้งว่าผู้เยาว์มีอายุน้อยไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะให้ความยินยอมได้ เว้นแต่จะมีคำสั่งศาลอนุญาตให้จดทะเบียนได้ไปแสดงเสียก่อนจึงจะจัดการให้ได้ ด้วยเหตุผลดังได้กราบเรียนมาข้าต้น จึงขอความกรุณาต่อศาลขอได้โปรดไต่สวนและมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องจดทะเบียนรับเด็กชายอาทิตย์ ผู้เยาว์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อไปด้วย ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ลงชื่อ........นายทองดี........ผู้ร้อง ลงชื่อ.........ลีนนท์...... ผู้เรียงและพิมพ์
|