

อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์, ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์, ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6471/2548 จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์จำเลยไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกิน 3 ปี โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้และเมื่อจำเลยมีบุตรผู้เยาว์ด้วยกัน 1 คน ศาลก็มีอำนาจชี้ขาดให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ได้ บุตรผู้เยาว์อยู่กับโจทก์ตลอดมา และโจทก์ประสงค์จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียว ประกอบกับจำเลยรับราชการเป็นอาจารย์ 2 ระดับ 7 ซึ่งถือว่ามีความสามารถเพียงพอที่จะให้ความช่วยเหลือค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้ จึงเห็นควรให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่ผู้เดียว และกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เดือนละ 3,000 บาท” โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยากัน โดยได้จดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2533 มีบุตรด้วยกัน 1 คน ต่อมาจำเลยประพฤติตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อการอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาเป็นเหตุให้ทะเลาะกับโจทก์อยู่ประจำ เมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน 2540 จำเลยได้แกล้งกล่าวหาร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ว่า โจทก์ประพฤติตัวไม่เหมาะสมและมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับชายอื่นซึ่งเป็นความเท็จ เพื่อจะให้ผู้บังคับบัญชาของโจทก์หลงเชื่อและลงโทษทางวินัยแก่โจทก์ ทำให้โจทก์เดือดร้อนเสียหายได้รับความดูถูก เกลียดชัง และอับอาย กระทบกระเทือนต่อหน้าที่การงานของโจทก์ และเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2540 โจทก์กับจำเลยตกลงสมัครใจแยกกันอยู่และจำเลยได้ขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น ไม่ได้ติดต่อไปมาหาสู่กับโจทก์และช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรอีกจนถึงปัจจุบันเกินกว่า 3 ปีแล้ว โจทก์ประสงค์จะหย่าจากจำเลย ขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน จำเลยให้การว่า เมื่อปี 2540 จำเลยมีหนังสือถึงผู้บังคับบัญชาของโจทก์เพื่อให้ว่ากล่าวตักเตือนเกี่ยวกับความประพฤติของโจทก์ มิได้เป็นการหมิ่นประมาทหรือทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังแต่ประการใด และโจทก์ฟ้องหย่าโดยเหตุดังกล่าวเกินกว่า 1 ปี จึงขาดอายุความ จำเลยไม่สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์ เหตุที่ไม่ได้อยู่ร่วมกับโจทก์เนื่องจากโจทก์ไม่ยอมให้จำเลยอยู่กินฉันสามีภริยาและโจทก์ไล่จำเลยออกจากบ้านพักที่อยู่ร่วมกัน จำเลยจึงออกไปอยู่อาศัยที่อื่นไปพลางก่อน จำเลยไม่ได้ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา โจทก์เป็นข้าราชการ การที่ไม่ได้อยู่ร่วมกันไม่ได้ทำให้โจทก์เดือดร้อนเกินควร จำเลยได้อุปการะเลี้ยงดูบุตรโดยให้เงินเดือนละไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท เพื่อให้บุตรใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น โจทก์ไม่มีเหตุฟ้องหย่าจำเลยได้ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน ค่าฤชาธรรมเนียมเห็นสมควรให้เป็นพับ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 1,000 บาท แทนโจทก์ จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตามใบสำคัญการสมรสเอกสารหมาย จ.1 ในปี 2539 โจทก์จำเลยมีเรื่องไม่เข้าใจกันทะเลาะกันเกี่ยวกับเรื่องที่โจทก์คบกับนายธนวัฒน์ เที่ยงศักดิ์ ต่อมาวันที่ 13 มิถุนายน 2540 โจทก์และจำเลยนำญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายมาเจรจาตกลงกันในที่สุดตกลงกันว่าต่างฝ่ายต่างแยกกันอยู่ และจำเลยได้ขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยออกไปจากบ้านบิดามารดาโจทก์ ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา โดยจำเลยกลับไปอยู่บ้านบิดามารดาจำเลย หลังจากนั้นจำเลยไม่เคยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์อีกเลย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เป็นเวลาเกิน 3 ปี อันเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์แต่เพราะโจทก์ไม่ยอมให้จำเลยอยู่ร่วมกับโจทก์ฉันสามีภริยาจนวันที่ 13 มิถุนายน 2540 ญาติของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้มาช่วยเจรจาให้โจทก์จำเลยปรองดองกัน แต่ไม่เป็นผล เพราะโจทก์ประสงค์จะหย่าสถานเดียว เมื่อโจทก์ไม่ยอมให้จำเลยอยู่ร่วมด้วย จำเลยจึงแยกกันอยู่กับโจทก์ เห็นว่า หลังจากที่มีการเจรจาให้ปรองดองกันแต่ไม่เป็นสำเร็จ และจำเลยแยกไปอยู่ที่อื่นแล้วระยะหนึ่ง ต่อมาในปลายปีนั้นเอง จำเลยทำหนังสือร้องเรียนโจทก์ต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2 ว่า โจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับบุคคลอื่น ซึ่งอาจทำให้โจทก์ถูกลงโทษทางวินัย และย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นหญิงได้รับความอับอายขายหน้าต่อเพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้านหรือบุคคลทั่วไป แสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้ขวนขวายที่จะให้มีการอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ต่อไปจึงได้กระทำการอันก่อให้เกิดความบาดหมางกันยิ่งขึ้นสุดที่จะอยู่กินด้วยกันได้อีก และนับแต่วันที่แยกกันอยู่ดังกล่าวจนถึงวันฟ้อง (วันที่ 31 กรกฎาคม 2544) เป็นเวลานานถึง 4 ปี จำเลยไม่ได้ส่งเสียงอุปการะเลี้ยงดูโจทก์หรือกลับไปหาโจทก์อีกเลย พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์จำเลยไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกิน 3 ปี โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น และเมื่อจำเลยมีบุตรผู้เยาว์ด้วยกัน 1 คน คือ เด็กชายเกริกเกียรติ เกตุษา ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2534 ตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1520 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีหย่าโดยคำพิพากษาของศาล ให้ศาลซึ่งพิจารณาคดีฟ้องหย่านั้นชี้ขาดด้วยว่า ฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรคนใด...” และมาตรา 1522 วรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้าหย่าโดยคำพิพากษาของศาลหรือในกรณีที่สัญญาหย่ามิได้กำหนดเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรไว้ ให้ศาลเป็นผู้กำหนด” ดังนี้ แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้าง ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้วินิจฉัยในเรื่องด้งกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไข เมื่อได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยที่นำสืบมาว่า หลังจากแยกกันอยู่ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2540 บุตรผู้เยาว์อยู่กับโจทก์ตลอดมา และโจทก์ประสงค์จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียว ประกอบกับจำเลยรับราชการเป็นอาจารย์ 2 ระดับ 7 ซึ่งถือว่ามีความสามารถเพียงพอที่จะให้ความช่วยเหลือค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้ จึงเห็นควรให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่ผู้เดียว และกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เดือนละ 3,000 บาท” พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชายเกริกเกียรติ ผู้เยาว์แต่ผู้เดียว และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์เดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน จนกว่าผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
|