
| สิทธิ ทางจำเป็น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 และ 1350 (ฎีกา 1706/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกรณีที่ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โดยทางสาธารณะที่ติดอยู่เป็นร่องน้ำและถูกล้อมด้วยที่ดินบุคคลอื่น แม้จะติดทางสาธารณะบางส่วน แต่ไม่มีสภาพเป็นทางสัญจรได้ ดังนั้นโจทก์จึงขอใช้สิทธิเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 1349 และ/หรือมาตรา 1350 ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิใช้ทางจำเป็นตามมาตรา 1349 เท่านั้น และต้องชำระค่าทดแทนแก่จำเลย เนื่องจากไม่เข้าข่ายตามมาตรา 1350 ข้อเท็จจริง ในคดีนี้ โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 ที่ถูกล้อมอยู่ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โดยด้านทิศเหนือติดทางสาธารณประโยชน์ซึ่งปรากฏเป็นร่องน้ำและร่องสวน ติดต่อกับร่องน้ำในที่ดินของบุคคลอื่น ยาวตลอดนอกแนวเขตที่ดินโจทก์ และถูกล้อมรอบด้วยที่ดินบุคคลอื่น จึงไม่สามารถใช้เป็นทางสัญจรได้ แม้จะติดทางสาธารณะที่มี แต่เป็นร่องน้ำ มีหญ้าและต้นไม้ปกคลุม มีที่ดินแปลงอื่นล้อมรอบ และถ้าจะออกสู่ถนนสาธารณะโดยใช้ทางดังกล่าวก็ต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่นอีกด้วย ทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าวจึงไม่มีสภาพเป็น “ทาง” ตามที่กฎหมายเข้าใจว่าเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะได้ตาม มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง ของป.พ.พ. โจทก์ขอให้ศาลบังคับจำเลยจดทะเบียน “ทางจำเป็น” ในที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 ของจำเลย มีความกว้าง 3.50 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินไปจดถนน (ถนน พุทธมณฑล สาย 6) เพื่อให้ที่ดินของโจทก์มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ พร้อมคำขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 5,200 บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง จากนั้นศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้จำเลยเป็นฝ่ายทำทางจำเป็นตามที่โจทก์ขอ โดยกำหนดความกว้าง 3.50 เมตร ยาวจากที่ดินของโจทก์ไปสู่ถนน ไร่ขิง-ทรงคนอง (ถนน พุทธมณฑล สาย 6) และกำหนดให้โจทก์เป็นฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายในการทำทาง และให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนแก่จำเลยปีละ 12,000 บาท โจทก์และจำเลยต่างฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งว่า โจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะแล้ว เนื่องจากทางดังกล่าวมีสภาพเป็นร่องน้ำและไม่สามารถใช้เป็นทางสัญจรได้ ดังนั้นโจทก์มีสิทธิขอใช้ทางจำเป็นตามมาตรา 1349 🔹 กฎหมายที่ศาลใช้วินิจฉัยหลัก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 และ 1350 โดยศาลวินิจฉัยว่า กรณีนี้ เข้าเงื่อนไขมาตรา 1349 เท่านั้น (ต้องชำระค่าทดแทน) ไม่เข้าเงื่อนไขมาตรา 1350 (ไม่ต้องชำระค่าทดแทน) เพราะไม่ใช่การแบ่งแยกที่ดินในครั้งเดียวกันที่ทำให้ไม่มีทางออกทันที 🔑 5 คีย์เวิร์ดหลักของคดี พร้อมขยายประเด็นสั้น ๆ 1. ทางจำเป็น หมายถึง สิทธิของเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมให้ผ่านที่ดินของผู้อื่นเพื่อออกสู่ทางสาธารณะได้ ตาม มาตรา 1349 เมื่อไม่มีทางออกหรือมีแต่ไม่เพียงพอ ➡ แก่นคดีอยู่ที่การพิสูจน์ว่า “ที่ดินโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะจริง” 2. มาตรา 1349 ป.พ.พ. บัญญัติให้เจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมมีสิทธิขอใช้ “ทางจำเป็น” ผ่านที่ดินผู้อื่น โดยต้องเลือกทางที่ใกล้ที่สุดและเสียหายน้อยที่สุดแก่เจ้าของที่ดินนั้น พร้อมชำระค่าทดแทน ➡ ศาลใช้มาตรานี้เป็นหลักในการกำหนดเส้นทางและค่าทดแทน 3. มาตรา 1350 ป.พ.พ. เป็นกรณีเฉพาะเมื่อ “การแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดิน” จากแปลงเดียวกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออก เจ้าของแปลงที่ถูกล้อมมีสิทธิใช้ทางโดย “ไม่ต้องจ่ายค่าทดแทน” ➡ ศาลวินิจฉัยว่าไม่เข้าเงื่อนไขมาตรา 1350 เพราะการแบ่งแยกที่ดินเกิดก่อนมีถนนสาธารณะ 4. ค่าทดแทน ผู้ขอใช้ทางจำเป็นต้องชำระค่าทดแทนความเสียหายแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกใช้เป็นทาง แม้ไม่ได้ร้องขอไว้ในฟ้อง ศาลก็มีอำนาจกำหนดให้ได้ ➡ ในคดีนี้ศาลกำหนดปีละ 12,000 บาท ถือว่าเหมาะสม 5. หลัก “ใกล้ที่สุด – เสียหายน้อยที่สุด” ตามวรรค 3 ของ มาตรา 1349 การเลือกแนวทางต้องพิจารณาให้ทางสั้นและสะดวกที่สุดแก่ผู้ขอ แต่ต้องกระทบเจ้าของที่ดินให้น้อยที่สุดด้วย ➡ ศาลจึงกำหนดให้ใช้แนวเขตด้านทิศตะวันตกของที่ดินจำเลยเป็นทางจำเป็น 📘 สรุปใจความสำคัญ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ จึงมีสิทธิเปิดทางจำเป็นตาม มาตรา 1349 แต่ไม่เข้าเงื่อนไขมาตรา 1350 และต้องชำระค่าทดแทนให้จำเลยตามสมควร คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นสำคัญดังนี้ • แม้ที่ดินของโจทก์เคยเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของจำเลยมาก่อนก็ตาม แต่การแบ่งแยกหรือโอนที่ดินไม่อยู่ภายใต้เงื่อนไขของมาตรา 1350 เพราะไม่ได้เป็นการแบ่งแยกในครั้งเดียวกันและไม่ได้เป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะทันทีหลังแบ่งแยก • ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะตามหมายเหตุของข้อเท็จจริง ดังนั้นโจทก์มีสิทธิใช้ทางผ่านที่ดินจำเลยตามมาตรา 1349 วรรคหนึ่ง • ตามมาตรา 1349 วรรคสาม เส้นทางต้องเลือกอย่าง “ใกล้ที่สุด” และ “เกิดความเสียหายน้อยที่สุด” ต่อที่ดินของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดเป็นทางตามแนวเขตด้านทิศตะวันตกของที่ดินจำเลยซึ่งยาวตลอดแนวจากที่ดินโจทก์ไปสู่ถนน ไร่ขิง-ทรงคนอง นั้น เหมาะสมและไม่เกินคำขอของโจทก์ • ตามมาตรา 1349 วรรคสี่ โจทก์มีหน้าที่ชำระค่าทดแทนแก่จำเลยแม้ไม่ได้เสนอไว้ในคำฟ้องและจำเลยไม่ฟ้องแย้ง ทั้งนี้ศาลมีอำนาจกำหนดค่าทดแทนตามสมควร ศาลอุทธรณ์กำหนดปีละ 12,000 บาท ถือว่าเหมาะสมแล้ว • ฎีกาของโจทก์และจำเลยฟังไม่ขึ้น โดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ขยายความประเด็นทางกฎหมาย 1 สิทธิ “ทางจำเป็น” ตามมาตรา 1349 มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง ของป.พ.พ. บัญญัติว่า เมื่อเจ้าของที่ดินไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ หรือมีทางออกที่ไม่เพียงพอ เขาอาจขอใช้ทางผ่านที่ดินของผู้อื่นเพื่อออกสู่ทางสาธารณะได้ ทั้งนี้ให้เลือกทางที่ใกล้ที่สุดและเสียหายน้อยที่สุดต่อเจ้าของที่ดินต้องใช้ทางตามวรรคสาม และต้องชำระค่าทดแทนตามวรรคสี่ ซึ่งถือเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นโดยกฎหมาย เพื่อแก้ปัญหาที่ที่ดินถูกล้อมอย่างแท้จริง 2 สิทธิ “ทางจำเป็น” โดยเฉพาะตามมาตรา 1350 มาตรา 1350 ของป.พ.พ. กำหนดเฉพาะกรณีที่การแบ่งแยกหรือโอนที่ดินจากแปลงเดียวกันเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะทันที โดยเจ้าของที่ดินที่ถูกแบ่งแยกมีสิทธิใช้ทางจำเป็นโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน 3 แนวทางการพิจารณาว่าใช้มาตรา 1349 หรือ 1350 • ถ้าเหตุเพราะการแบ่งแยกหรือโอนที่ดินจากแปลงเดียวกัน และทันทีที่แบ่งแยกที่ดินแล้วแปลงหนึ่งไม่มีทางออก → ใช้มาตรา 1350 • ถ้าไม่มีเงื่อนไขข้างต้น → ใช้มาตรา 1349 • ในคดีนี้ถึงแม้จะมีประวัติว่าเคยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่ไม่ได้เป็นกรณีแบ่งแยกในครั้งเดียวกัน และไม่ได้เป็นเหตุให้ไม่มีทางออกทันทีหลังแบ่งแยก จึงไม่เข้าเงื่อนไขมาตรา 1350 ศาลจึงใช้มาตรา 1349 ซึ่งสอดคล้องกับหลักในคดีที่คล้ายกันว่า “ทางจำเป็นมิใช่สิทธิที่ติดกับที่ดินโดยอัตโนมัติ” 4 เงื่อนไขการกำหนดทางจำเป็น • เส้นทางต้องเลือก ใกล้ที่สุด และเกิดความเสียหายน้อยที่สุดต่อที่ดินของผู้ถูกขอให้เปิดทาง (มาตรา 1349 วรรคสาม) • ความกว้างของทางต้องเหมาะสมกับสภาพประโยชน์การใช้ของที่ดินขอใช้ทาง เช่น หากมีห้องเช่า ต้องรองรับรถยนต์หรือกรณีฉุกเฉิน เป็นต้น • ผู้ขอใช้ทางจำเป็นต้องชำระค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกใช้ทาง (มาตรา 1349 วรรคสี่) 5 การกำหนดค่าทดแทน ศาลมีอำนาจกำหนดค่าทดแทนตามที่เห็นสมควร ซึ่งพิจารณาจากความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อเจ้าของที่ดินที่ถูกใช้เป็นทาง ตัวอย่างนี้ศาลอุทธรณ์กำหนดปีละ 12,000 บาท และศาลฎีกาเห็นว่าเหมาะสมแล้ว 6 ความสำคัญทางปฏิบัติ • ผู้ที่ซื้อหรือถือครองที่ดินที่ไม่มีทางออกควรตรวจสอบว่าสภาพทางออกเป็นทางสาธารณประโยชน์จริงหรือไม่ • เจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมมีโอกาสใช้สิทธิเปิดทางจำเป็น แต่ต้องพร้อมชำระค่าทดแทน • สิทธิทางจำเป็นไม่ใช่สิทธิที่ติดกับที่ดินโดยโดยอัตโนมัติ ต้องพิจารณาตามเงื่อนไขกฎหมายอย่างเคร่งครัด IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) Issue (ประเด็นทางกฎหมาย): โจทก์มีสิทธิขอเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยโดยไม่เสียค่าทดแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 หรือไม่ หรือจำเป็นต้องใช้สิทธิตามมาตรา 1349 ซึ่งต้องชำระค่าทดแทน และเส้นทางที่กำหนดนั้นเหมาะสมหรือไม่ Rule (บทกฎหมาย): • มาตรา 1349 ป.พ.พ. กำหนดสิทธิใช้ทางจำเป็นเมื่อที่ดินไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ให้เลือกทางที่ใกล้ที่สุดและเสียหายน้อยที่สุด และต้องชำระค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกใช้ทาง • มาตรา 1350 ป.พ.พ. กำหนดกรณีเฉพาะเมื่อที่ดินถูกแบ่งแยกจากแปลงเดียวกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะทันที ให้ใช้สิทธิเปิดทางจำเป็นโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน Application (การประยุกต์ใช้): • จากข้อเท็จจริง โจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยแท้จริง เพราะทางติดอยู่เป็นร่องน้ำ ล้อมด้วยที่ดินบุคคลอื่น ไม่สามารถสัญจรได้ • ถึงแม้ที่ดินโจทก์เคยเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินจำเลยมาก่อน แต่การแบ่ง/โอนนั้นไม่อยู่ในเงื่อนไขของมาตรา 1350 (ไม่ใช่แบ่งแยกครั้งเดียวทันเหตุให้ไม่มีทางออก) • ศาลอุทธรณ์กำหนดเส้นทางตามแนวเขตด้านทิศตะวันตกของที่ดินจำเลย ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุดและก่อความเสียหายน้อยที่สุดต่อจำเลย • ค่าทดแทนปีละ 12,000 บาท ถูกศาลเห็นว่าเหมาะสม Conclusion (บทสรุป): โจทก์มีสิทธิขอเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยตามมาตรา 1349 โดยต้องชำระค่าทดแทนแก่จำเลย ศาลฎีกายืนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 7 ตามที่กำหนดไว้ ข้อคิดทางกฎหมาย 1. ประเด็นของสิทธิทางจำเป็น เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่สำคัญในการแก้ปัญหาที่ดิน “ถูกล้อม” ให้สามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินได้ 2. การตีความมาตรา 1350 ต้องเคร่งครัด ไม่ควรใช้โดยอนุโลมหรือขยายผลให้ครอบคลุมกรณีทั่วไป เพราะจะลดทอนสิทธิของเจ้าของที่ดินล้อมอยู่ 3. ในการกำหนดทางจำเป็น ศาลต้องถ่วงดุลระหว่างสิทธิของผู้ขอใช้ทางกับผลกระทบต่อเจ้าของที่ดินที่ถูกใช้ทาง โดยเลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุดและก่อความเสียหายน้อยที่สุด 4. เจ้าของที่ดินควรให้ความสนใจก่อนซื้อว่า มีทางออกสู่ทางสาธารณะหรือไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทในอนาคต 5. ผู้ถูกใช้ทางจำเป็นยังคงมีสิทธิได้รับค่าทดแทนแม้ผู้ขอใช้ทางจะไม่ร้องขอไว้ล่วงหน้า ศาลมีอำนาจกำหนดค่าทดแทนตามสมควร 🔹 ประเด็นคำถามที่ 1 คำถาม: ในกรณีที่ที่ดินของโจทก์มีแนวเขตติดกับทางสาธารณประโยชน์บางส่วน แต่ทางดังกล่าวมีสภาพเป็นร่องน้ำร่องสวน ไม่มีสภาพเป็นทางสัญจรไปยังถนนสาธารณะได้ จะถือได้หรือไม่ว่าที่ดินของโจทก์ “มีทางออกถึงทางสาธารณะ” ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง และโจทก์ยังมีสิทธิขอเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยหรือไม่? คำตอบ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ที่ดินของโจทก์จะมีแนวเขตด้านทิศเหนือติดกับทางสาธารณประโยชน์บางส่วน แต่ทางดังกล่าวกลับมีสภาพเป็นร่องน้ำติดต่อกับร่องน้ำในที่ดินของบุคคลอื่น และตลอดแนวเขตที่ดินดังกล่าวมีหญ้าและต้นไม้ปกคลุม ไม่มีสภาพเป็นถนนให้สัญจรไปมาหรือใช้เป็นทางออกถึงทางสาธารณะได้ อีกทั้งยังมีที่ดินของบุคคลอื่นล้อมรอบอยู่ การที่จะใช้เส้นทางนี้ออกไปยังถนนพุทธมณฑลสาย 6 จะต้องผ่านที่ดินของผู้อื่นก่อน ซึ่งย่อมก่อให้เกิดความยากลำบากมากในการใช้เป็นทางสัญจร ศาลเห็นว่าแม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงแน่ชัดว่าร่องน้ำดังกล่าวมีความลึกหรือความชันมากเพียงใด แต่ด้วยสภาพโดยทั่วไปที่ไม่สามารถใช้เป็นทางได้ จึงไม่อาจถือได้ว่าที่ดินของโจทก์ “มีทางออกถึงทางสาธารณะ” ตามความหมายของมาตรา 1349 วรรคหนึ่ง เมื่อที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะโดยแท้จริง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้อง “ทางจำเป็น” ผ่านที่ดินของจำเลยตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง ซึ่งให้สิทธิแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมให้ผ่านที่ดินของผู้อื่นเพื่อออกสู่ทางสาธารณะได้ ทั้งนี้ ศาลยังย้ำหลักตามวรรคสามของมาตราเดียวกันว่า การกำหนดทางจำเป็นต้องเลือกทางที่ “ใกล้ที่สุดและเสียหายน้อยที่สุด” ต่อเจ้าของที่ดินที่ถูกใช้เป็นทางด้วย ดังนั้น แม้ที่ดินของโจทก์จะมีแนวเขตติดทางสาธารณะบางส่วน แต่หากทางนั้นไม่มีสภาพเป็นทางจริง หรือไม่สามารถใช้เป็นทางสัญจรได้โดยปกติ ที่ดินดังกล่าวก็ยังถือว่า “ไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะ” และเจ้าของย่อมมีสิทธิขอเปิดทางจำเป็นตามมาตรา 1349 ได้ 🔹 ประเด็นคำถามที่ 2 คำถาม: เมื่อที่ดินของโจทก์และที่ดินของจำเลยเคยเป็นที่ดินแปลงเดียวกันมาก่อน แต่ภายหลังมีการแบ่งแยกและโอนต่อกันหลายทอด โจทก์จะสามารถอ้างสิทธิเปิดทางจำเป็นโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 ได้หรือไม่ และศาลฎีกาใช้หลักเกณฑ์ใดในการพิจารณาว่ากรณีใดอยู่ในบังคับของมาตรา 1349 หรือ 1350? คำตอบ: ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยอ้างอิงข้อเท็จจริงว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 ของโจทก์และที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 ของจำเลยเคยเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ที่มีการแบ่งแยกและโอนกรรมสิทธิ์ต่อกันมาเป็นทอด ต่อมาเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมได้จดทะเบียนถนนไร่ขิง–ทรงคนอง (ถนนพุทธมณฑลสาย 6) เป็นทางสาธารณะภายหลังการแบ่งแยกดังกล่าวหลายสิบปี ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ทั้งสองแปลงจะเคยเป็นที่ดินแปลงเดียวกันมาก่อน แต่ไม่ใช่กรณีที่มีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนใน “ครั้งเดียวกัน” จนทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกทันที ดังนั้น กรณีนี้จึงไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 1350 ของ ป.พ.พ. มาตรา 1350 เป็นบทบัญญัติพิเศษที่ให้สิทธิแก่เจ้าของที่ดินซึ่งเกิดจาก “การแบ่งแยกหรือโอนจากแปลงเดียวกันในคราวเดียว” อันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะทันที เจ้าของแปลงนั้นจึงสามารถใช้สิทธิผ่านบนที่ดินที่แบ่งแยกออกไป โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน แต่ต้องตีความเคร่งครัด ไม่สามารถขยายผลหรืออนุโลมให้ครอบคลุมกรณีทั่วไปได้ ในทางกลับกัน กรณีที่ที่ดินไม่มีทางออกเนื่องจากสภาพภูมิประเทศหรือการเปลี่ยนแปลงทางสาธารณะในภายหลัง หรือเกิดจากการโอนหลายทอดในช่วงเวลาห่างกัน ศาลจะใช้ มาตรา 1349 ซึ่งกำหนดให้เจ้าของแปลงที่ถูกล้อมมีสิทธิขอเปิดทางจำเป็น แต่ต้อง “เสียค่าทดแทน” แก่เจ้าของที่ดินที่ถูกใช้ทาง ดังนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าการแบ่งแยกที่ดินในคดีนี้เกิดขึ้นในปี 2450 และ 2497 ก่อนมีถนนสาธารณะในปี 2513 ย่อมไม่เข้าเงื่อนไขของมาตรา 1350 โจทก์จึงมีสิทธิขอเปิดทางจำเป็นตามมาตรา 1349 และต้องชำระค่าทดแทนแก่จำเลยตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 และศาลฎีกากำหนดไว้ปีละ 12,000 บาท อันถือว่าเหมาะสมตามสภาพที่ดินและความเสียหายที่เกิดขึ้น 🔸 สรุปแนวคิดหลักของทั้งสองประเด็น 1. ทางสาธารณะที่ไม่มีสภาพใช้สัญจรจริง ถือว่า “ไม่มีทางออก” เจ้าของจึงใช้สิทธิขอเปิดทางจำเป็นตามมาตรา 1349 ได้ 2. การใช้มาตรา 1350 ต้องตีความอย่างเคร่งครัด ต้องเกิดจากการแบ่งแยกที่ดินในคราวเดียวกัน และต้องเป็นเหตุให้ไม่มีทางออกทันทีหลังการแบ่ง หากไม่เข้าเงื่อนไขดังกล่าว ต้องใช้มาตรา 1349 และชำระค่าทดแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1706/2567 ที่ดินโจทก์ด้านทิศเหนือบางส่วนติดทางสาธารณประโยชน์ แต่ทางดังกล่าวมีสภาพเป็นร่องน้ำติดต่อกับร่องน้ำในที่ดินของบุคคลอื่นยาวตลอดนอกแนวเขตที่ดินโจทก์ และมีที่ดินบุคคลอื่นล้อมรอบไม่มีสภาพเป็นทาง มีร่องน้ำ มีหญ้าและต้นไม้ปกคลุมกับเป็นที่ดินในส่วนของที่ดินแปลงอื่น ไม่สามารถใช้เป็นทางสัญจรได้ ทั้งหากจะออกไปสู่ถนนสาธารณะอื่นโดยใช้เส้นทางสาธารณประโยชน์นี้จะต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่น แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ร่องน้ำร่องสวนดังกล่าวมีความลึก ความกว้าง และเป็นที่สูงชันเพียงใด ทางออกผ่านร่องน้ำร่องสวนดังกล่าวต้องใช้ความยากลำบากมากอันจะเทียบได้กับการข้ามสระ บึง ทะเลหรือมีที่ชันอันระดับที่ดินกับทางสาธารณะสูงกว่ากันมากตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสอง หรือไม่ก็ตาม แต่ทางสาธารณประโยชน์ติดที่ดินโจทก์ด้านทิศเหนือนั้นไม่มีสภาพที่จะใช้เป็นทางสัญจรไปมาจากที่ดินโจทก์เพื่อออกสู่ทางสาธารณะได้ ทั้งการปรับปรุงร่องน้ำร่องสวนดังกล่าวด้วยวิธีการนำดินไปถมในทางสาธารณประโยชน์และที่ดินของบุคคลอื่นนั้นมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์จะกระทำได้โดยพลการ กรณียังถือไม่ได้ว่า ที่ดินโจทก์ด้านทิศเหนือติดทางสาธารณะ และต้องนับว่าที่ดินโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง การกำหนดทางจำเป็นจะพิจารณาแต่ในทางที่โจทก์มีความประสงค์ต้องการใช้เส้นทางใดเพื่อความสะดวกของโจทก์แล้วพิพากษาให้ตามที่โจทก์ขอหาได้ไม่ ศาลต้องคำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดแก่ที่ดินของจำเลยที่ล้อมอยู่ให้น้อยที่สุดเป็นประการสำคัญตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสาม ด้วย การเรียกร้องทางจำเป็นตามมาตรา 1350 ต้องเป็นกรณีการแบ่ง แยกที่ดินหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ โดยที่ดินที่แบ่งแยกแบ่งโอนจะต้องเป็นที่ดินแปลงเดียวกันแล้วมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนออกไปและจะเรียกร้องเอาทางจำเป็นด้เฉพาะบนที่ดินที่ได้แบ่งแยกแบ่งโอนในครั้งเดียวกันเท่านั้น และการแบ่งแยกที่ดินเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่สาธารณะ ไม่ใช่ทางสาธารณะเกิดขึ้นภายหลังแบ่งแยกที่ดินแล้ว แม้โจทก์จะมิได้เสนอค่าทดแทนแก่จำเลยมาในคำฟ้องและจำเลยมิได้ฟ้องแย้งเรียกร้องค่าทดแทนจากโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อคดีรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมอยู่มีสิทธิจะผ่านทางจำเป็นบนที่ดินของจำเลยไปสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลยเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น โดยศาลมีอำนาจกำหนดค่าทดแทนได้ตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ อาศัยอำนาจตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสี่ โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 ตามพื้นที่สีส้มมีความกว้าง 3.50 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินไปจดถนนพุทธมณฑลสาย 6 ให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และห้ามจำเลยปิดกั้นทางพิพาทดังกล่าว หรือให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพื้นที่สีส้มเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 และห้ามจำเลยปิดกั้นทางพิพาทดังกล่าว กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 5,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่งงดสืบพยาน ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานและยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และจำเลยตามประเด็นข้อพิพาทแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้แนวเขตพิพาทบนที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 ห้ามจำเลยปิดกั้นทางจำเป็น คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 ของจำเลยเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 ของโจทก์ ตามแนวเขตของที่ดินของจำเลยทางด้านทิศตะวันตกจากตำแหน่งหลัก ชร. ถึงหลัก 2ง - 4140 และถึงหลัก 2ฉ-2929 ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.27 โดยให้มีความกว้าง 3.50 เมตร ยาวตลอดแนวจากที่ดินของโจทก์ไปสู่ถนนไร่ขิง - ทรงคนอง (ถนนพุทธมณฑลสาย 6) หรือทางหลวงแผ่นดินสายแยกเพชรเกษม - ทรงคนอง แต่แนวเขตดังกล่าวส่วนที่อยู่ใกล้กับบ้านเลขที่ 3/7 จะต้องมีความกว้างไม่เกินระยะในแนวดิ่งของชายคาบ้านดังกล่าว โดยให้โจทก์เป็นฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายในการทำทางจำเป็นดังกล่าว และให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนเพื่อความเสียหายในการใช้ทางจำเป็นแก่จำเลยปีละ 12,000 บาท นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจะหมดความจำเป็นในการใช้ทาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้เป็นพับ โจทก์และจำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่า เดิมนางสาวชื้น และนางสาวสังเวียน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 โดยได้รับโอนมรดกตกทอดมาจากนางเยื้อน มารดาของนางสาวชื้นและนางสาวสังเวียน ต่อมานางสาวสังเวียนซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 ซึ่งมีอาณาเขตติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 จากนางอร่าม ปี 2545 นางสาวชื้นและนางสาวสังเวียนปลูกสร้างบ้านเลขที่ 3/3 และห้องเช่าเลขที่ 5/2 จำนวน 10 ห้อง บนที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 และใช้ทางพิพาทซึ่งอยู่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 6052 เป็นทางผ่านออกไปสู่ทางสาธารณะถนนไร่ขิง - ทรงคนอง (ถนนพุทธมณฑลสาย 6) ต่อมาวันที่ 29 กันยายน 2557 นางสาวสังเวียนจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 ให้แก่จำเลย และโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 พร้อมบ้านเลขที่ 3/3 และห้องเช่าเลขที่ 5/2 ในฐานะทายาทผู้รับพินัยกรรมของนางสาวชื้นและนางสาวสังเวียน สำหรับประเด็นเรื่องทางภาระจำยอม โจทก์ไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ว่า ทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินจำเลยไม่ตกอยู่ในบังคับภาระจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีสิทธิขอเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินจำเลยหรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์นำสืบว่า ที่ดินโจทก์ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ โดยทางสาธารณประโยชน์ซึ่งติดกับที่ดินโจทก์ด้านทิศเหนือเป็นร่องน้ำร่องสวนรกร้าง ไม่มีสภาพเป็นถนน ไม่สามารถใช้เป็นทางผ่านไปถึงทางสาธารณะได้ โดยมีนางอัปสรนายช่างรังวัดชำนาญงาน ผู้จัดทำแผนที่พิพาทเบิกความสนับสนุนว่า ทางสาธารณประโยชน์ที่ติดกับที่ดินโจทก์มีสภาพเป็นร่องน้ำอยู่ในที่ดินแปลงอื่น และส่วนที่เป็นร่องน้ำซึ่งระบุว่าเป็นทางนั้นไม่สามารถใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะอื่นได้เพราะมีที่ดินแปลงอื่นล้อมรอบทุกด้าน ความข้อนี้จำเลยมิได้นำสืบพยานหลักฐานโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น และคงฎีกาโต้เถียงแต่เพียงว่าโจทก์สามารถถมดินและปรับปรุงพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะได้เท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า ที่ดินโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แม้ตามแผนที่พิพาทระบุว่าที่ดินโจทก์ด้านทิศเหนือบางส่วนติดทางสาธารณประโยชน์ แต่ทางดังกล่าวมีสภาพเป็นร่องน้ำติดต่อกับร่องน้ำในที่ดินของบุคคลอื่นยาวตลอดนอกแนวเขตที่ดินโจทก์ และมีที่ดินบุคคลอื่นล้อมรอบไม่มีสภาพเป็นทาง มีร่องน้ำ มีหญ้าและต้นไม้ปกคลุม กับเป็นที่ดินในส่วนของที่ดินแปลงอื่น ไม่สามารถใช้เป็นทางสัญจรได้ ทั้งหากจะออกไปสู่ถนนสาธารณะอื่นโดยใช้เส้นทางสาธารณประโยชน์นี้จะต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่นอีก เช่นนี้ แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ร่องน้ำร่องสวนดังกล่าวมีความลึก ความกว้าง และเป็นที่สูงชันเพียงใด ทางออกผ่านร่องน้ำร่องสวนดังกล่าวต้องใช้ความยากลำบากมากอันจะเทียบได้กับการข้ามสระ บึง ทะเลหรือมีที่ชันอันระดับที่ดินกับทางสาธารณะสูงกว่ากันมากตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสอง หรือไม่ก็ตาม แต่จากข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวก็รับฟังได้ว่า ทางสาธารณประโยชน์ติดที่ดินโจทก์ด้านทิศเหนือนั้นไม่มีสภาพที่จะใช้เป็นทางสัญจรไปมาจากที่ดินโจทก์เพื่อออกสู่ทางสาธารณะได้ ที่จำเลยฎีกาอ้างว่า หากโจทก์ถมที่ดินเพียงเล็กน้อยก็สามารถใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะได้นั้น เห็นว่า การปรับปรุงร่องน้ำร่องสวนดังกล่าวด้วยวิธีการนำดินไปถมในทางสาธารณประโยชน์และที่ดินของบุคคลอื่นนั้นมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์จะกระทำได้โดยพลการ ข้ออ้างของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง กรณียังถือไม่ได้ว่า ที่ดินโจทก์ด้านทิศเหนือติดทางสาธารณะ และต้องนับว่าที่ดินโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาให้ที่ดินจำเลยโฉนดเลขที่ 6052 เป็นทางจำเป็นสำหรับที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 11882 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยประการต่อไปว่า สมควรเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยส่วนไหน เพียงใด ในปัญหานี้โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนดให้ทางจำเป็นอยู่ตามแนวเขตทิศตะวันตกที่ดินของจำเลยเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และตามแนวทิศตะวันตกที่ดินของจำเลยมีต้นไม้ใหญ่และตรงกับบ้านเลขที่ 3/3 ของโจทก์ เห็นว่า ในการกำหนดทางจำเป็นนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสาม บัญญัติว่า "ที่และวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน กับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้..." ฉะนั้น การกำหนดทางจำเป็นจึงจะพิจารณาแต่ในทางที่โจทก์มีความประสงค์ต้องการใช้เส้นทางใดเพื่อความสะดวกของโจทก์แล้วพิพากษาให้ตามที่โจทก์ขอหาได้ไม่ ศาลต้องคำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดแก่ที่ดินของจำเลยที่ล้อมอยู่ให้น้อยที่สุดเป็นประการสำคัญด้วย ข้อเท็จจริงได้ความว่า ปัจจุบันโจทก์และจำเลยต่างแยกกันครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดตามที่ตนเองมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ การใช้สอยทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงย่อมแตกต่างไปจากเดิมที่มีนางสาวสังเวียนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 ดังนี้ เมื่อคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันประกอบกับความเสียหายที่จะเกิดแก่ที่ดินของจำเลยแต่น้อยที่สุดแล้ว เห็นว่า ที่ดินจำเลยมีเนื้อที่เพียง 1 งาน 65 ตารางวา หากให้เปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินจำเลยตามความต้องการของโจทก์ จะทำให้ที่ดินจำเลยถูกแบ่งเป็นสองส่วนย่อมเป็นการยากที่จำเลยจะใช้ประโยชน์ในที่ดินด้านทิศตะวันตกที่จะเหลือที่ดินเป็นส่วนน้อย แต่หากกำหนดทางจำเป็นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ย่อมเป็นประโยชน์แก่จำเลยมากกว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า หากเปิดทางจำเป็นตามเส้นทางที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนดจะกระทบกระเทือนต่อทั้งโจทก์และทั้งจำเลยโดยจะต้องมีการตัดต้นไม้ใหญ่ของจำเลยและทุบบ้านเลขที่ 3/3 ของโจทก์เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อความสะดวกและความพอใจของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว โดยข้อเท็จจริงกลับได้ความจากฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนดให้แนวเขตที่ดินจำเลยด้านทิศตะวันตกยาวตลอดแนวจากที่ดินโจทก์ไปสู่ถนนไร่ขิง - ทรงคนอง (ถนนพุทธมณฑลสาย 6) นั้น ทำให้จำเลยเสียหายแต่น้อยที่สุดแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนดให้เส้นทางดังกล่าวเป็นทางจำเป็นจึงเหมาะสมแล้วและไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ทางจำเป็นตามแนวที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนดความกว้าง 3.50 เมตร กว้างเกินไปและอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินของจำเลยนั้น เห็นว่า สภาพสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินโจทก์เป็นห้องเช่า ผู้เช่าพักอาศัยในที่ดินโจทก์จึงอาจมีหลายครอบครัวและหลากหลายอาชีพ ดังนี้ นอกจากจะต้องคำนึงถึงความจำเป็นของโจทก์แล้ว ยังต้องคำนึงถึงการบรรเทาสาธารณภัยในกรณีมีเหตุฉุกเฉินประกอบด้วย ทางที่ใช้เข้าออกสู่ที่ดินโจทก์จึงมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดให้รถขนาดใหญ่ผ่านได้ด้วย หากการใช้รถยนต์ของโจทก์หรือบริวารทำให้ที่ดินของจำเลยชำรุดเสียหายหรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่จำเลย ก็ชอบที่จำเลยจะว่ากล่าวเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนดให้เปิดทางจำเป็นกว้าง 3.50 เมตร จึงชอบด้วยเหตุผลและเหมาะสมแก่ความจำเป็นสำหรับที่ดินของโจทก์แล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายว่า โจทก์ต้องเสียค่าทดแทนจากการใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินจำเลยหรือไม่ เพียงใด โจทก์ฎีกาว่า เดิมนางสาวชื้นและนางสาวสังเวียนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 และนางสาวสังเวียนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 โอนเป็นของโจทก์และที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 โอนเป็นของจำเลย โดยนางสาวสังเวียนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงเป็นกรณีการแบ่งโอนที่ดินตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนนั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากโจทก์ว่า เดิมที่ดินโจทก์และที่ดินจำเลยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 อำแดงนวมแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 บางส่วนออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 8379 ต่อมาเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 8379 แบ่งแยกที่ดินบางส่วนออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 11882 และมีการโอนต่อกันมาเป็นทอด ๆ จนกระทั่งมีชื่อนางสาวชื้นและนางสาวสังเวียนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 มีการแบ่งแยกที่ดินออกเป็นหลายแปลง จากนั้นมีการจดทะเบียนแบ่งหักที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 เนื้อที่ 2 งาน 11 ตารางวา ให้เป็นทางสาธารณะ ถนนไร่ขิง - ทรงคนอง (ถนนพุทธมณฑลสาย 6) และมีการโอนกรรมสิทธิ์ต่อกันมาเป็นทอดจนกระทั่งมีชื่อนางสาวสังเวียนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เช่นนี้ แม้ได้ความว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 เคยเป็นที่ดินแปลงเดียวกันมาก่อน แต่การใช้สิทธิเรียกร้องเอาทางจำเป็นโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ตัดสิทธิเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่นั้น จะต้องแปลความโดยเคร่งครัด จะแปลความโดยอนุโลมหาได้ไม่ ดังนั้น เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 ของโจทก์ถูกแบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 8379 แม้ที่ดินโฉนดเลขที่ 8379 จะเคยเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 ของจำเลยมาก่อนก็ตาม จะถือโดยอนุโลมว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 ของโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 ของจำเลยด้วยหาได้ไม่ และกรณีจะเข้าหลักเกณฑ์ในการเรียกร้องทางจำเป็นตามมาตรา 1350 ได้นั้น ต้องเป็นกรณีการแบ่งแยกที่ดินหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ โดยที่ดินที่แบ่งแยกแบ่งโอนจะต้องเป็นที่ดินแปลงเดียวกันแล้วมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนออกไปและจะเรียกร้องเอาทางจำเป็นได้เฉพาะบนที่ดินที่ได้แบ่งแยกแบ่งโอนในครั้งเดียวกันเท่านั้น แต่ถ้าเป็นที่ดินหลายแปลงมาแต่เดิม แม้จะเป็นเจ้าของเดียวกัน แล้วต่อมามีการแบ่งโอนไป ก็ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 1350 เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 เป็นที่ดินแปลงเดียวกันในขณะที่แบ่งโอน นอกจากนี้ การเรียกร้องเอาทางจำเป็นตามมาตรา 1350 นั้น เป็นกรณีที่การแบ่งแยกที่ดินเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่สาธารณะ ไม่ใช่ทางสาธารณะเกิดขึ้นภายหลังแบ่งแยกที่ดินแล้ว เมื่อปรากฏว่าการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 8379 ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6052 และการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 11882 ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 8379 กระทำกันในปี 2450 และ 2497 ตามลำดับ ก่อนมีถนนไร่ขิง - ทรงคนอง ในปี 2513 ซึ่งเป็นกรณีที่ทางสาธารณะเกิดขึ้นภายหลังแบ่งแยกที่ดินแล้ว โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องเอาทางจำเป็นบนที่ดินจำเลยโดยไม่เสียค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 โจทก์คงมีสิทธิผ่านที่ดินจำเลยซึ่งล้อมอยู่ในฐานะทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 เท่านั้น โจทก์จึงต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลย แม้โจทก์จะมิได้เสนอค่าทดแทนแก่จำเลยมาในคำฟ้องและจำเลยมิได้ฟ้องแย้งเรียกร้องค่าทดแทนจากโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อคดีรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมอยู่มีสิทธิจะผ่านทางจำเป็นบนที่ดินของจำเลยไปสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลยเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น โดยศาลมีอำนาจกำหนดค่าทดแทนได้ตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสี่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนแก่จำเลยปีละ 12,000 บาท นั้นนับว่าเหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9325/2553 — ฟ้องเปิด “ทางจำเป็น” ต้องพิสูจน์ว่าไม่มีทางออกสู่สาธารณะจริง คดีนี้โจทก์อ้างสิทธิเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินจำเลย โดยยืนยันว่าที่ดินของตนถูกล้อมทุกด้านและไม่มีทางออกสู่สาธารณะ จึงขอใช้ มาตรา 1349 หรือ 1350 ป.พ.พ. ศาลฎีกาวางหลักสำคัญว่า การฟ้องเปิดทางจำเป็นทำได้เมื่อ “พิสูจน์ได้จริง” ว่าที่ดินไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะตามมาตรา 1349 หากยังมีทางที่ใช้ได้ตามปกติ (แม้ลำบากบ้าง) หรือเพียงปรับปรุงเล็กน้อยก็ใช้ได้ จะยังไม่เข้าเงื่อนไข “ทางจำเป็น” ส่วนการอ้างมาตรา 1350 ต้องตีความเคร่งครัด ใช้เฉพาะกรณี “แบ่งแยก/แบ่งโอนจากแปลงเดียวกันในคราวเดียว” ที่ทำให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออก “ทันที” เท่านั้น ในคดีนี้ปรากฏว่าแบ่งแยกตั้งแต่ปี 2531 ขณะที่ถนนสาธารณะเกิดภายหลัง จึงไม่ใช่เหตุที่เข้า 1350 ต้องกลับไปใช้ 1349 และเมื่อเปิดทางตาม 1349 ย่อมมีภาระ “ค่าทดแทน” ต่อเจ้าของที่ดินที่ถูกใช้ทางด้วย หลักนี้สอดคล้องอย่างยิ่งกับแนววินิจฉัยในคดี 1706/2567 ที่ไม่รับ 1350 และใช้ 1349 พร้อมกำหนดค่าทดแทนและเส้นทางที่เสียหายน้อยที่สุดแก่ฝ่ายจำเลย. 2) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5281/2531 — “มีทางออกจริงหรือไม่” ต้องดูสภาพใช้สอย ไม่ใช่ชื่อเรียกทาง โจทก์ฟ้องว่าแปลงตนตกอยู่ในที่ล้อม ขอเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินจำเลย ฝ่ายจำเลยโต้ว่าโจทก์ยัง “มีทางออก” ไปเชื่อมซอยอ่อนนุช 1 ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วชี้ว่า การพิจารณาว่ามี “ทางออกถึงทางสาธารณะ” ตามมาตรา 1349 ต้องดู “สภาพใช้สอยจริง” ว่าทางนั้นใช้ได้โดยปกติ และไม่ต้องเป็นทางสาธารณะโดยชื่อเรียกเสมอไป หากสภาพเป็นเพียงทางที่ผ่านที่ดินผู้อื่น ถูกปิดกั้นด้วยรั้ว หรือใช้ได้แบบจำกัด ก็ไม่นับเป็น “ทางออกถึงทางสาธารณะ” ที่เพียงพอ คดีนี้จึงย้ำเกณฑ์เชิงข้อเท็จจริงว่าศาลจะชั่งน้ำหนักสภาพพื้นที่จริง ความต่อเนื่องของเส้นทาง และความเป็นไปได้ในการสัญจรเทียบกับผลกระทบเจ้าของที่ดินที่ถูกใช้ทาง แนวคิดนี้ช่วยอธิบายคดี 1706/2567 ซึ่งศาลเห็นว่าทางที่ติดร่องน้ำ/ร่องสวน แม้ถูกระบุว่าเป็นทางสาธารณประโยชน์บางส่วน แต่ “ไม่มีสภาพเป็นทาง” ใช้สัญจรไม่ได้ จึงเข้าหลัก 1349 เช่นเดียวกัน. ำ 3) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4307/2531 — เคยใช้ทางมาก่อน ไม่ทำให้พ้นเกณฑ์พิสูจน์ “ไม่มีทางออก” ข้อเท็จจริงคือโจทก์เคยใช้ทางในที่ดินจำเลยมานาน ต่อมาถูกปิดกั้น จึงฟ้องให้เปิดทางพิพาทและรื้อสิ่งกีดขวาง โดยอ้างทั้งฐาน “ภาระจำยอม” และ “ทางจำเป็น” ศาลฎีกาย้ำว่า แม้มีการใช้ทางเดิมมาต่อเนื่อง ก็ยังต้องพิสูจน์องค์ประกอบเฉพาะของ “ทางจำเป็น” ว่าที่ดินโจทก์ “ไม่มีทางออกสู่สาธารณะ” ตามมาตรา 1349 จริงหรือไม่ และเมื่อต้องกำหนดเส้นทางจำเป็น ศาลต้องเลือก “ทางที่ใกล้ที่สุดและเสียหายน้อยที่สุด” ต่อที่ดินจำเลย พร้อมจัดสมดุลผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ประเด็นนี้สอดรับกับ 1706/2567 ที่ศาลกำหนดแนวทางด้านทิศตะวันตก กว้าง 3.50 เมตร รองรับการเข้าถึงฉุกเฉิน และลดความเสียหายแก่จำเลยให้มากที่สุด แสดงว่าศาลให้ความสำคัญกับเกณฑ์วรรคสามของมาตรา 1349 อย่างเคร่งครัด ไม่ใช่ยึด “ความเคยชิน” ในการใช้ทางเป็นดุลยพินิจอย่างเดียว. 4) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811/2540 — “ทางจำเป็น” ไม่ใช่สิทธิถาวรติดที่ดิน หากพ้นความจำเป็นแล้วอ้างไม่ได้ โจทก์ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเดิมผู้ครอบครองเคยใช้ทางผ่านที่ดินจำเลยในฐานะ “ทางจำเป็น” อยู่ก่อน แต่หลังการซื้อ โจทก์มีที่ดินอีกแปลงติดถนนสาธารณะซึ่งใช้เดินออกถนนได้เอง ศาลฎีกาวินิจฉัยชัดเจนว่า “ทางจำเป็นมิใช่สิทธิที่ติดกับที่ดินโอนไปโดยอัตโนมัติ” สิทธินี้เกิดขึ้น “เท่าที่มีความจำเป็น” หากต่อมาความจำเป็นสิ้นไป (เพราะมีทางออกอื่นเพียงพอแล้ว) ก็ไม่อาจอ้างเปิดทางจำเป็นได้อีก ไม่ว่าตามมาตรา 1349 หรือ 1350 หลักนี้เชื่อมโยงคดี 1706/2567 ในเชิงกลับด้าน คือเมื่อศาลตรวจแล้วเห็นว่า “ยังมีความจำเป็นอยู่จริง” จึงอนุญาตเปิดทาง ตามความกว้างที่สอดคล้องการใช้สอยและความปลอดภัย (รถฉุกเฉินเข้าได้) พร้อมให้ค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกใช้ทาง เป็นการย้ำว่าคำว่า “จำเป็น” เป็นหัวใจของทั้งโครงสร้างสิทธิ. 5) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3638/2566 — โครงสร้างคำขอ-คำพิพากษาเรื่อง “จดทะเบียนทางจำเป็น/รื้อถอนสิ่งกีดขวาง” คดีร่วมสมัยนี้ โจทก์ฟ้องให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินของจำเลย “ตกเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโจทก์” ให้จำเลยไป “จดทะเบียนทางจำเป็น” และหากไม่ดำเนินการ ให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา รวมถึงให้รื้อถอนกำแพงคอนกรีตที่ปิดทางออกสู่สาธารณะ จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลฎีกาแสดงรูปแบบข้อคำขอและมาตรการเยียวยาที่สอดคล้องกับมาตรา 1349 วรรคสี่ (เรื่องค่าทดแทน/หลักการบังคับปฏิบัติ) และแนวปฏิบัติที่นิยมใช้ในทางคดีแพ่งเพื่อให้เกิดผลทางทะเบียนโดยตรง ข้อสังเกตที่ใช้เปรียบเทียบกับคดี 1706/2567 คือทั้งสองคดีให้ความสำคัญกับการกำหนด “แนว–กว้าง–ยาว” ของทางให้เหมาะสมต่อการใช้สอยจริง รวมถึงคำสั่งห้ามปิดกั้น/ให้จดทะเบียนทางจำเป็นเพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติ ซึ่งเอื้อต่อความสงบเรียบร้อยของที่ดินสองฝั่งในระยะยาว. |





.jpg)