
ทางพิพาทในที่ดินตกเป็นทางสาธารณะโดยปริยาย: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3126/2536
📖 คำสรุปเบื้องต้นของบทความ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการอุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยาย จากการที่ประชาชนใช้ทางนั้นสัญจรมาอย่างยาวนานโดยไม่มีการหวงห้ามจากเจ้าของที่ดินเดิม แม้จะไม่มีพิธีการอุทิศอย่างเป็นทางการ แต่ถือว่าเกิดการอุทิศโดยปริยายแล้ว ศาลวินิจฉัยว่าเทศบาลตำบลศรีราชาซึ่งมีหน้าที่ดูแลทางสาธารณะในเขตเทศบาลมีอำนาจฟ้องให้ผู้ซื้อที่ดินรายใหม่รื้อถอนรั้วที่ปิดกั้นทางสาธารณะนั้นได้
🧾 ข้อเท็จจริงโดยสรุป •ประชาชนใช้ทางที่ดินโฉนดเลขที่ 16551 และ 289 เดินผ่านและสัญจรโดยยานพาหนะเพื่อเข้าสู่ถนนสาธารณะมานานกว่า 10 ปี โดยเจ้าของที่ดินไม่เคยหวงห้าม •ปี 2520 เทศบาลตำบลศรีราชา (โจทก์) ได้ทำถนนคอนกรีตบนที่ดินดังกล่าว โดยแจ้งให้เจ้าของทราบแต่ไม่ได้รับการคัดค้าน •ต่อมาเจ้าของที่ดินขายที่ดินให้จำเลยทั้งสองในปี 2526 •จำเลยได้สร้างรั้วคอนกรีตปิดกั้นทางดังกล่าว ทำให้ประชาชนไม่สามารถผ่านเข้าออกถนนสาธารณะได้ตามปกติ •โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับให้รื้อรั้ว และเปิดให้ใช้ทางตามปกติ
สรุปย่อฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ทางพิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 16551 ซึ่งปัจจุบันจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของ ได้ถูกประชาชนใช้สัญจรเข้าออกสู่ถนนสาธารณะมาเป็นเวลานานโดยไม่มีการหวงห้ามจากเจ้าของเดิม แม้ไม่มีการอุทิศโดยพิธีการ แต่ถือว่าเป็นการอุทิศทางสาธารณะโดยปริยายแล้ว จำเลยรับโอนภายหลังจึงไม่มีสิทธิปิดกั้นทางดังกล่าว การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันสร้างรั้วคอนกรีตปิดกั้นทางพิพาท เป็นการขัดขวางสิทธิของประชาชนและละเมิดต่อหน้าที่ของเทศบาลตำบลศรีราชา ซึ่งมีอำนาจฟ้องตามกฎหมายเพื่อเปิดทางสาธารณะได้
⚖️ คำวินิจฉัยของศาลฎีกา •ศาลเห็นว่า แม้ไม่มีการอุทิศที่ดินโดยพิธีการ แต่เมื่อประชาชนใช้ทางนั้นมายาวนานโดยเจ้าของเดิมไม่หวงห้าม ถือว่าเป็นการอุทิศโดยปริยายแล้ว •เมื่อทางพิพาทเป็นทางสาธารณะแล้ว การที่จำเลยรับโอนที่ดินในภายหลัง จึงไม่สามารถอ้างกรรมสิทธิ์ปิดกั้นทางดังกล่าวได้ •เทศบาลตำบลศรีราชามีหน้าที่ดูแลทางสาธารณะในเขตตนเองตามกฎหมายเทศบาล และมีอำนาจฟ้องร้องให้เปิดทางดังกล่าวได้ •ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยทั้งสองรื้อรั้วและคืนทางสาธารณะแก่ประชาชน
📚 การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. การอุทิศทางสาธารณะโดยปริยาย แม้ไม่มีการทำพิธีอุทิศอย่างเป็นทางการ แต่หากประชาชนใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างต่อเนื่อง และเจ้าของที่ดินไม่โต้แย้งหรือหวงห้าม ศาลถือว่าเกิดการอุทิศทางสาธารณะโดยปริยาย (ดูแนววินิจฉัยจากฎีกาหลายฉบับ เช่น ฎีกา 3126/2536) 2. อำนาจฟ้องร้องของเทศบาล เทศบาลมีอำนาจตามกฎหมายในการดูแลทางสาธารณะในเขตเทศบาล ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 50(2) และพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 40 ซึ่งครอบคลุมถึงการฟ้องเพื่อป้องกันการบุกรุกหรือขัดขวางการใช้ทางสาธารณะ 3. สิทธิของผู้รับโอนภายหลัง ผู้ซื้อที่ดินไม่มีสิทธิหวงห้ามการใช้ทางสาธารณะที่มีอยู่แล้วก่อนการโอน หากทางดังกล่าวเป็นทางสาธารณะโดยกฎหมายแล้ว ย่อมไม่สามารถยึดถือใช้ที่ดินในลักษณะที่ขัดต่อสิทธิสาธารณะได้
🔹 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (1) เรื่อง: การอุทิศทรัพย์สินเพื่อสาธารณประโยชน์ 🧾 ข้อความตามกฎหมาย: มาตรา 1304 วรรคหนึ่ง: ทรัพย์สินอาจโอนให้แก่ส่วนรวมเพื่อสาธารณประโยชน์ได้ โดย (1) อุทิศให้ใช้เป็นทางสาธารณะ ถนน ทางน้ำ หรือทางเดิน เป็นต้น
🔍 อธิบายหลักกฎหมาย: มาตรา 1304 (1) เป็นบทบัญญัติที่รับรองการอุทิศทรัพย์สินของเอกชนให้แก่ “ส่วนรวม” หรือ “สาธารณะ” โดยไม่จำเป็นต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์ต่อรัฐหรือหน่วยงานใดโดยเฉพาะ แต่ทรัพย์สินนั้นจะมีสภาพเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทสาธารณประโยชน์ ตามกฎหมายทันทีที่อุทิศสำเร็จ การอุทิศที่ดินเพื่อเป็นทางสาธารณะสามารถเกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ: ✅ แบบที่ 1: อุทิศโดยชัดแจ้ง (Express Dedication) •เจ้าของที่ดินแสดงเจตนาอุทิศอย่างชัดเจน เช่น ทำหนังสือยินยอม แจ้งต่อทางราชการ มีการออกประกาศหรือทำเอกสารเป็นทางการ •ตัวอย่าง: นาย ก. ทำหนังสือแสดงเจตนายินยอมให้เทศบาลใช้ทางผ่านในที่ดินเพื่อประโยชน์สาธารณะ ✅ แบบที่ 2: อุทิศโดยปริยาย (Implied Dedication) •เจ้าของที่ดินไม่ได้แสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง แต่ เปิดให้ประชาชนใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการหวงห้าม •เมื่อเป็นเช่นนี้ตามพฤติการณ์ ถือว่าเกิดการอุทิศโดยปริยาย แม้จะไม่มีพิธีการทางกฎหมายอย่างเป็นทางการ •ตัวอย่างจาก คำพิพากษาฎีกาที่ 3126/2536: ประชาชนใช้ทางเดินผ่านที่ดินเพื่อเข้าสู่ถนนสาธารณะมานานหลายสิบปีโดยเจ้าของเดิมไม่เคยห้าม ถือว่าเจ้าของที่ดินเดิมได้อุทิศที่ดินเป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้ว
🔹 2. พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 50 (2) เรื่อง: อำนาจหน้าที่ของเทศบาลในการดูแลรักษาทางสาธารณะ 🧾 ข้อความตามกฎหมาย: มาตรา 50 เทศบาลมีหน้าที่ต้องทำกิจการดังต่อไปนี้ (2) รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนและศีลธรรมอันดีของประชาชน รวมทั้งการรักษาทางสาธารณะ
🔍 อธิบายหลักกฎหมาย: มาตรา 50 (2) ให้อำนาจและหน้าที่แก่ เทศบาล ในการจัดระเบียบและดูแลความสงบเรียบร้อยของประชาชน โดยเฉพาะ “การรักษาทางสาธารณะ” เช่น ถนน ทางเดิน ทางน้ำ ฯลฯ ที่อยู่ในเขตเทศบาล หากพบว่าใครมาขัดขวางทางสาธารณะ เทศบาลมีอำนาจในการ: •แจ้งเตือน •ออกคำสั่ง •ดำเนินคดีทางแพ่งต่อผู้ฝ่าฝืน เพื่อให้รื้อถอนหรือยุติการขัดขวาง 🧩 ตัวอย่างการบังคับใช้ (จากคดีฎีกา 3126/2536): เทศบาลตำบลศรีราชา ใช้อำนาจตามกฎหมายมาตรานี้ในการฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองรื้อรั้วคอนกรีตที่ปิดกั้นทางสาธารณะ และคืนทางให้ประชาชนใช้ตามปกติ เพราะอยู่ในขอบเขตหน้าที่ในการรักษาทางสาธารณะ
🔹 3. พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 40 เรื่อง: อำนาจของท้องถิ่นในการดูแลพื้นที่สาธารณะ 🧾 ข้อความตามกฎหมาย: มาตรา 40 ให้อำนาจกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ และเทศบาลในการรักษาทางสาธารณะและผลประโยชน์ของประชาชนในเขตปกครองของตน
🔍 อธิบายหลักกฎหมาย: มาตรา 40 เป็นกฎหมายพื้นฐานที่วางอำนาจหน้าที่ให้เจ้าหน้าที่ปกครองท้องที่ หรือหน่วยงานท้องถิ่นต่าง ๆ มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของส่วนรวม เช่น ทางสาธารณะ ลำคลอง พื้นที่สาธารณะ ฯลฯ โดยเฉพาะเมื่อมีบุคคลใดมาขัดขวาง ข่มขืนสิทธิ หรือทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินสาธารณะได้ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสามารถดำเนินการเพื่อให้ทางสาธารณะนั้นกลับมาใช้งานได้ตามปกติ เช่น การแจ้งความ ร้องทุกข์ หรือฟ้องร้องต่อศาล 🧩 ตัวอย่างในคดี: กรณีเทศบาลตำบลศรีราชาซึ่งอยู่ภายใต้โครงสร้างการปกครองท้องที่ เมื่อพบว่าจำเลยสร้างรั้วกีดขวางทางสาธารณะ จึงใช้อำนาจตามพระราชบัญญัตินี้ร่วมกับ พ.ร.บ.เทศบาล เพื่อดำเนินการฟ้องร้อง
📌 บทสรุปรวม ทั้ง 3 บทบัญญัติข้างต้นทำหน้าที่เสริมกันอย่างมีระบบในกรณีที่เกี่ยวข้องกับทางสาธารณะ: •มาตรา 1304 (1): ยืนยันว่าทางที่มีการใช้ประโยชน์เพื่อสาธารณะโดยไม่มีการหวงห้าม อาจกลายเป็นทางสาธารณะได้โดยปริยาย •พ.ร.บ.เทศบาล มาตรา 50 (2): กำหนดให้เทศบาลมีอำนาจฟ้องคดีและบำรุงรักษาทางสาธารณะ •พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ มาตรา 40: ให้หลักสนับสนุนว่าท้องถิ่นมีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของประชาชน ทั้งนี้ การนำบทกฎหมายดังกล่าวมาประกอบการวิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3126/2536 แสดงให้เห็นถึงหลักนิติธรรมในการคุ้มครองทางสาธารณะซึ่งประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน และการปกป้องสิทธิสาธารณะจากการรุกล้ำของเอกชนได้อย่างสมดุล
💡 ข้อคิดทางกฎหมาย •การใช้ประโยชน์ที่ดินโดยประชาชนอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการหวงห้าม อาจทำให้ที่ดินบางส่วนตกเป็นทางสาธารณะโดยปริยาย •การซื้อที่ดินควรตรวจสอบประวัติการใช้ที่ดินนั้นโดยชุมชนหรือหน่วยงานรัฐ เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายในภายหลัง •หน่วยงานปกครองท้องถิ่นมีอำนาจตามกฎหมายในการดำเนินการเพื่อคุ้มครองทางสาธารณะและสวัสดิภาพของประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3126/2536 ทางพิพาทเกิดจากประชาชนใช้เดินเพื่อไปตักน้ำจากบ่อสาธารณะและใช้เดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะมานานหลายสิบปีก่อนที่โจทก์จะสร้างถนนคอนกรีตบนที่ดินทางพิพาท โดยเจ้าของที่ดินขณะนั้นไม่มีการหวงห้ามสงวนสิทธิใด ๆ แม้จะไม่ได้ความว่าผู้ใดอุทิศที่ดินทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะโดยตรงคือโดยพิธีการก็ต้องถือว่าเจ้าของที่ดินเดิมที่ทางพิพาทนี้ผ่านได้อุทิศที่ดินนั้นให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยาย ทางพิพาทจึงตกเป็นทางสาธารณะแล้วจำเลยรับโอนที่พิพาทภายหลังจากที่เจ้าของเดิมได้อุทิศทางพิพาทไปแล้วแม้ทางพิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลย จำเลยก็ไม่มีสิทธิยึดถือเอาเป็นของตนได้ เมื่อทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์และอยู่ในเขตปกครองของเทศบาลตำบลศรีราชาโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยผู้เข้าขัดขวางปิดกั้นทางพิพาทนั้นได้ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496มาตรา 50(2) ประกอบด้วยกฎกระทรวง ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2496) ออกตามความในพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ข้อ (2) และพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 40
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาถนนสาธารณะภายในเขตเทศบาลตำบลศรีราชา ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 เดิมนางสาวอุสาห์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่16551 ตำบลศรีราชา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งอยู่ติดต่อกับที่ดินโฉนดเลขที่ 289 ตำบลศรีราชา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีของนายตี้ ที่ดินทั้งสองแปลงนี้ประชาชนซึ่งอยู่ในบริเวณดังกล่าวและบริเวณใกล้เคียงได้ใช้สัญจรไปมาและใช้ยวดยานพาหนะผ่านเข้าออกสู่ถนนสุรศักดิ์ 1 และถนนสุรศักดิ์สงวนซึ่งเป็นถนนสาธารณะตลอดมาเป็นเวลากว่า 10 ปี แล้ว โดยนายตี้และนางสาวอุสาหืเจ้าของที่ดินยินยอมให้ประชาชนทั่วไปใช้สัญจรไปสู่ถนนสาธารณะได้โดยไม่ได้หวงห้ามหรือโต้แย้งสิทธิแต่ประการใด ซึ่งถือว่าเป็นการยกให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยาย และอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของโจทก์ โจทก์ได้บำรุงรักษาทางดังกล่าวตลอดมา เมื่อปี 2520 โจทก์ได้รับคำร้องขอจากประชาชนที่สัญจรไปมาตามทางผ่านที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทำถนนคอนกรีต โจทก์จึงแจ้งให้เจ้าของที่ดินทั้งสองแปลงทราบเจ้าของที่ดินทั้งสองแปลงไม่หวงห้ามหรือโต้แย้งแต่ประการใด โจทก์จึงทำถนนคอนกรีตออกสู่ถนนสาธารณะและรับผิดชอบดูแลทางสาธารณะนี้ตลอดมา ต่อมาปี 2526 นางสาวอุสาห์ขายที่ดินโฉนดที่ 16551ให้จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองทราบอยู่แล้วว่าที่ดินแปลงพิพาทนี้มีทางสาธารณะที่โจทก์ดูแลรักษาตัดผ่าน แต่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันก่อสร้างรั้วคอนกรีตปิดกั้นทางสาธารณะซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาและรับผิดชอบของโจทก์ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองเปิดทางแล้วจำเลยทั้งสองไม่ยอมเปิด ทำให้ประชาชนในบริเวณที่ดินดังกล่าวไม่สามารถผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะตามปกติได้ ได้รับความเดือดร้อนจากการปิดกั้นทางของจำเลยทั้งสอง และเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อรั้วคอนกรีตที่ปิดกั้นทางสาธารณะตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องและยอมให้ประชาชนใช้สัญจรไปมาได้ตามปกติถ้าจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อรั้วคอนกรีตดังกล่าวขอให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น
จำเลยทั้งสองให้การว่า นางสาวอุสาห์ไม่ได้ยินยอมให้ประชาชนผู้ใดใช้ที่ดินสัญจรไปสู่ถนนสาธารณะ โจทก์ไม่ได้แจ้งให้นางสาวอุสาห์ทราบหรือขออนุญาตนางสาวอุสาห์แต่อย่างใด ยังไม่ถือว่าเป็นการยกให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยาย ยังไม่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิและหน้าที่เข้าไปทำการก่อสร้างบำรุงรักษาทางในที่ดินของบุคคลอื่นโดยที่เจ้าของที่ดินไม่ได้ให้ความยินยอมหรืออนุญาต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวเป็นผู้ก่อสร้างรั้วคอนกรีตตามแนวที่ดินของจำเลยทั้งสองโดยไม่ได้ปิดกั้นทางสาธารณะไม่ได้ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ให้จำเลยทั้งสองรื้อรั้วคอนกรีตที่ปิดกั้นทางสาธารณะตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องและยอมให้ประชาชนใช้สัญจรไปมาได้ตามปกติ คำขออื่นให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ทางพิพาทผ่านในที่ดินโฉนดเลขที่ 16551 ตำบลศรีราชา อำเภอศรีราชาจังหวัดชลบุรี ซึ่งปัจจุบันจำเลยทั้งสองถือกรรมสิทธิ์ โดยทางพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของทางที่เชื่อมต่อกับทางที่ใช้เป็นสาธารณประโยชน์ในปัจจุบัน ทางดังกล่าวเริ่มจากถนนสุรศักดิ์สงวนเรื่อยขึ้นไปผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองและที่ดินของนายตี้ ทับทิม ไปออกสู่ทางสาธารณะที่ไม่ปรากฏชื่อ เพื่อออกสู่ถนนสุรศักดิ์ 1 ทางด้านทิศเหนือ และออกถนนสุขุมวิททางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ปรากฏตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องของโจทก์ เดิมเส้นทางนี้เป็นทางเดินลูกรังต่อมาเมื่อปี 2520 โจทก์ได้ทำเป็นถนนคอนกรีตซึ่งขณะนั้นที่ดินของจำเลยทั้งสองยังเป็นของนางสาวอุสาห์ เชื้อชาญ จำเลยทั้งสองรับโอนที่ดินแปลงดังกล่าวจากนางสาวอุสาห์เมื่อวันที่ 17 มีนาคม2526 ตามสารบัญจดทะเบียนหลังโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.5ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน 2526 ได้มีการสร้างรั้วคอนกรีตปิดกั้นทางพิพาท มีปัญหาวินิจฉัยตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาประการแรกว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่ ฯลฯ เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทางพิพาทเกิดจากประชาชนใช้เดินเพื่อไปตักน้ำจากบ่อสาธารณะและใช้เดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะมานานหลายสิบปีก่อนที่โจทก์จะสร้างถนนคอนกรีตบนที่ดินทางพิพาทนี้ โดยเจ้าของที่ดินขณะนั้นไม่มีการหวงห้ามสงวนสิทธิใด ๆแม้จะไม่ได้ความว่าผู้ใดอุทิศที่ดินทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะโดยตรงคือโดยพิธีการก็ต้องถือว่าเจ้าของที่ดินเดิมที่ทางพิพาทนี้ผ่านได้อุทิศที่ดินนั้นให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยาย ทางพิพาทจึงตกเป็นทางสาธารณะแล้ว ฉะนั้นเมื่อจำเลยทั้งสองเพิ่งรับโอนที่พิพาทเมื่อปี2526 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่เจ้าของเดิมได้อุทิศทางพิพาทไปแล้วแม้ทางพิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองก็ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือเอาเป็นของตนได้ ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าเมื่อคดีฟังได้ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณประโยชน์และอยู่ในเขตปกครองของเทศบาลตำบลศรีราชาโจทก์ ทั้งข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันสร้างรั้วปิดกั้นทางพิพาทปรากฏตามภาพถ่ายหมายล.15 แผ่นที่ 5 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองผู้เข้าขัดขวางปิดกั้นทางพิพาทอันเป็นทางสาธารณประโยชน์นั้นได้ ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 50(2) ประกอบด้วยกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2496) ออกตามความในพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ข้อ (2) และพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พ.ศ. 2457 มาตรา 40 พิพากษายืน
🔍 IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) ✅ Issue: ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยถือเป็น “ทางสาธารณะ” โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเทศบาลมีอำนาจฟ้องให้รื้อถอนสิ่งกีดขวางได้หรือไม่ 📜 Rule: •ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (1): การอุทิศทรัพย์สินเพื่อสาธารณประโยชน์ •พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 50 (2) •พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 40 🔎 Application: ประชาชนใช้ทางพิพาทสัญจรโดยปราศจากการหวงห้ามมานานหลายสิบปี ทางดังกล่าวจึงถือเป็นทางสาธารณะโดยปริยาย และอยู่ในความดูแลของเทศบาล เมื่อจำเลยรับโอนภายหลังและสร้างรั้วปิดกั้นทาง ย่อมเป็นการขัดต่อสิทธิของสาธารณชน และเทศบาลมีอำนาจตามกฎหมายในการฟ้องร้องให้รื้อถอนสิ่งกีดขวาง 🧾 Conclusion: ทางพิพาทตกเป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้ว เทศบาลมีอำนาจฟ้องจำเลยให้รื้อถอนรั้วที่ปิดกั้นทางสาธารณะได้
🌐 Summary in English Supreme Court Judgment No. 3126/1993 Summary: This case involves a dispute over a public pathway. The Supreme Court held that a path used by the public for decades, without objection from the previous landowner, had become a public way by implied dedication. Even though the pathway lay within the defendant’s titled land, the municipality retained the legal authority to demand its clearance. The Court affirmed the municipality’s right to protect public access and ordered the defendants to remove the wall blocking the way.
|