

ความรู้เกี่ยวกับเรื่องภาระจำยอม ความรู้เกี่ยวกับเรื่องภาระจำยอม ภาระจำยอม, จดทะเบียนภาระจำยอม, ภาระจำยอมเรื่องทางเดิน, ภาระจำยอมเฉพาะส่วน, ภาระจำยอมบางส่วน, ครอบภาระจำยอม, ปลอดภาระจำยอม, แก้ไขเปลี่ยนแปลงภาระจำยอม, เลิกภาระจำยอม ภาระจำยอม เป็น ทรัพยสิทธิชนิดหนึ่ง เมื่อเกิดภาระจำยอมในที่ดินแปลงใด ของใคร ย่อมทำให้เจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นต้องยอมรับกรรมบางอย่าง หรือแบกรับภาระบางอย่างซึ่งกระทบกระเทือนถึงการใช้สิทธิในที่ดินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงอื่น (ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิ ติดไปกับตัวที่ดินที่แม้เปลี่ยนเจ้าของที่ดินก็ติดไปกับที่ดินเสมอ) คำสั่งกรมที่ดิน ที่ 7/2504 ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2504 1. ในกรณีที่อสังหาริมทรัพย์(ที่ดิน)ต้องตกลงอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของ(ที่ดิน)ต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สิน(ที่ดิน)ของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สิน(ที่ดิน)นั้น เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1387 เช่น ยอมให้มีทางเดิน ทางน้ำ หรือยอมให้ชายคาหน้าต่างของผู้อื่นรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของตน หรือยอมที่จะไม่ปลูกตึก บ้านโรงเรือนเพื่อที่จะไม่ปิดบังแสงสว่างหรือทางลมในที่ดินข้างเคียง เป็นต้น ให้คู่กรณีทำบันทึกข้อตกลงและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในประเภท “ภาระจำยอม” โดยให้ผู้ขอจดทะเบียนยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (ท.ด.1) และจัดทำบันทึกข้อตกลงและรายการจดทะเบียนประเภท “ภาระจำยอม” และถ้าคู่กรณีประสงค์จะจดไว้ในโฉนดเป็นสามยทรัพย์ด้วย ก็ให้จดทะเบียนได้ (การจดภาระจำยอมที่โฉนดที่ดินสามารถจดบันทึกไว้ที่ในโฉนดที่ดินของผู้ใช้ทางภาระจำยอมและเจ้าของที่ดินที่ตกเป็นภาระจำยอมได้) 2. ในกรณีที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ก่อให้เกิดภาระจำยอมแต่เพียงบางส่วน ในบันทึกข้อตกลงต้องกำหนดกรรม หรือการงดเว้นไว้ให้ชัดเจนแน่นอนมากที่สุดที่จะทำได้ เช่น ภาระจำยอมเรื่องทางเดินบางส่วนจะต้องกำหนดขนาดกว้างยาวของทาง และจากทิศไหนไปทิศไหนไว้ด้วย ส่วนชื่อประเภทของนิติกรรมคงใช้ชื่อประเภทว่า “ภาระจำยอม” (ภาระจำยอมนั้นเป็นเรื่องที่เจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งต้องรับภาระให้ที่ดินอีกแปลงหนึ่งใช้งาน ดังนั้นการจดทะเบียนภาระจำยอมจึงต้องระบุภาระงานที่ต้องจำยอมนั้นไว้ให้ชัดเจนจะได้ไม่ต้องมาฟ้องกันเป็นคดีใหม่) 3. กรณีที่เจ้าของรวมคนใดคนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ก่อให้เกิดภาระจำยอมผูกพันเฉพาะส่วนของตนจะต้องนำหลักฐานที่แสดงว่าได้รับความรับยินยอมจากเจ้าของรวมคนอื่นๆ มาแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วจึงดำเนินการจดทะเบียนในประเภท “ภาระจำยอมเฉพาะส่วน” (ที่ดินที่มีเจ้าของหลายคน เจ้าของรวมคนหนึ่งจะก่อให้เกิดภาระติดพันได้ก็แต่ด้วยได้รับความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคนซึ่งรวมถึงการก่อให้เกิดภาระจำยอมด้วย) 4. หากมีกรณีได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม เช่น ได้มาโดยอายุความ ให้ผู้ได้มายื่นคำขอพร้อมหลักฐานแสดงการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น คำสั่งศาล เป็นต้น ถ้าเป็นกรณีได้มาซึ่งภาระจำยอมบางส่วน เฉพาะส่วน ตามคำสั่งศาล ไม่จำต้องนำหลักฐานที่แสดงว่าได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมคนอื่น ๆ มาแสดง เพราะเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาล (การได้ภาระจำยอมมาโดยอายุความนั้นจะต้องเป็นการใช้ทางโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาอย่างเป็นเจ้าของ 10 ปี) 5. ในกรณีที่มีการแบ่งแยกภารยทรัพย์ หากคู่กรณีตกลงยินยอมให้ที่ดินแปลงที่แยกออกไปยังคงเป็นภาระจำยอมอยู่ก็ดี หรือตกลงกันให้หลุดพ้นจากภาระจำยอมก็ดี ให้อนุโลมปฏิบัติทำนองเดียวกับกรณีครอบจำนองหรือปลอดจำนอง ตามคำสั่งกรมที่ดิน ที่ 14/2500 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2500 เรื่องวิธีจดแจ้งครอบจำนองและวิธีการปลอดจำนอง โดยใช้ชื่อประเภทว่า “ครอบภาระจำยอม หรือ ”ปลอดภาระจำยอม” แล้วแต่กรณี (ที่ดินที่ตกเป็นภาระจำยอมของที่ดินแปลงใดแล้ว หากมีการแบ่งแยกแปลงที่มีทางเดินอยู่ด้วย หมายถึงภารยทรัพย์ แปลงที่ถูกแบ่งออกไปนั้น จะตกลงกับเจ้าของที่ดินที่ใช้ทางภาระจำยอมว่า แปลงใหม่ที่แบ่งแยกออกไปจะให้ติดภาระจำยอมไปด้วยหรือไม่ หรือให้ปลอดจากภาระจำยอมเลยก็ได้) 6. กรณีที่มีการแบ่งแยกสามยทรัพย์ซึ่งได้จดทะเบียนภาระจำยอมไว้ให้ยกรายการที่ได้รับประโยชน์จากภาระจำยอมที่ได้จดทะเบียนไว้ไปจดแจ้งในโฉนดแบ่งแยกด้วย ถ้าเป็นกรณีที่มิได้จดทะเบียนภาระจำยอมในโฉนดสามยทรัพย์ แต่คู่กรณีมีความประสงค์จะให้จดทะเบียนภาระจำยอมไว้ในโฉนดแบ่งแยก คู่กรณีต้องขอให้จดทะเบียนภาระจำยอมไว้ในโฉนดสามยทรัพย์เดิมก่อน (กรณีจดภาระจำยอมไว้ที่โฉนดที่ดินแปลงที่ได้ภาระจำยอมแล้ว คือแปลงสามยทรัพย์ ต่อมามีการแบ่งแยกที่ดินแปลงดังกล่าวและเจ้าของมีความประสงค์ที่จะขอให้จดทะเบียนภาระจำยอมในโฉนดที่ดินแปลงที่ถูกแบ่งแยกที่สามารถทำได้) 7. ในกรณีที่ภาระจำยอมแตะต้องส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ และคู่กรณีได้ตกลงกันย้ายไปยังส่วนอื่นหรือในกรณีที่มีการแบ่งแยกสามยทรัพย์ และปรากฏว่าภาระจำยอมนั้นไม่ใช้และใช้ไม่ได้ตามรูปการเพื่อประโยชน์แก่สามยทรัพย์แปลงแยกใดก็ดี ให้บันทึกข้อตกลงของคู่กรณีไว้เป็นหลักฐานให้ชัดเจนว่าคู่กรณีตกลงกันอย่างไร แล้วจึงจดทะเบียนในประเภท”แก้ไขเปลี่ยนแปลงภาระจำยอม” ไว้ในแปลงภารยทรัพย์ แต่ถ้าแปลงสามยทรัพย์ได้จดทะเบียนรับประโยชน์ไว้ด้วยก็ให้จดทะเบียนการแก้ไขเปลี่ยนแปลงภาระจำยอมในแปลงสามยทรัพย์ด้วย (ในกรณีที่เจ้าของที่ดินต้องการย้ายถนนที่เป็นภาระจำยอมก็ให้สามารถทำได้) 8. เมื่อได้จดทะเบียนภาระจำยอมไว้แล้ว ถ้าคู่กรณีประสงค์จะเลิกภาระจำยอมต่อกัน ให้บันทึกข้อตกลงของคู่กรณีไว้ และจดทะเบียนในประเภท “เลิกภาระจำยอม” 9. ในกรณีที่ภารยทรัพย์และสามยทรัพย์ตกมาเป็นเจ้าของเดียวกัน ถ้าเจ้าของมีความประสงค์จะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียน ก็ให้ยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขอจดทะเบียนเพิกถอนภาระจำยอม และให้จดทะเบียนในประเภท “เลิกภาระจำยอม“
1. ภาระจำยอม หมายถึง กรณีอสังหาริมทรัพย์ต้องตกอยู่ในภาระจำยอมกรณีหนึ่งและกรณีเจ้าของ อสังหาริมทรัพย์ก่อให้เกิดภาระจำยอมแต่เพียงบางส่วน โดยกำหนดกรรมหรือการงดเว้นไว้ให้ชัดเจนในบันทึกข้อตกลงเพื่อให้ทราบว่าอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวตกอยู่ในภาระจำยอมบางส่วน อีกกรณีหนึ่ง
ตัวอย่าง--- การที่ ส. ช. และ อ. ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ขอจดทะเบียนภาระจำยอมให้ที่ดินดังกล่าวบางส่วน เป็นทางเดินของที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 1 อำเภอเดียวกัน ซึ่งมีชื่อ ส. ช. อ. และ ศ. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ไว้ว่า กรณีดังกล่าวถือได้ว่าที่ดินสองแปลงนั้นต่างเจ้าของกันสามารถจดทะเบียนภาระจำยอมให้ได้ (เวียนโดยหนังสือ ที่ มท 0608/ว 15915 ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2514) การวินิจฉัยเกี่ยวกับภาระจำยอม คำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวกับภาระจำยอม 1. คำพิพากษาฎีกาที่ 1/2497 การที่โจทก์ใช้คูจำเลยเป็นที่สำหรับเก็บคูนั้น ไม่ใช่เป็นทางสัญจรไปมา การเอาเรือเข้าออกจากคูหาใช่เป็นการไปมาไม่ ทางสัญจรของโจทก์มีคลองบางขุนเทียนอยู่แล้ว ภาระจำยอมนั้น ประสงค์เพื่อประโยชน์อนุเคราะห์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นเพื่อให้ที่ดินทั้ง 2 ฝ่ายมีสภาพอยู่ได้โดยปกติสุข แต่เรื่องนี้โจทก์ใช้คูเป็นที่เก็บเรือ คูนั้นเป็นประโยชน์แก่เรือหาได้เป็นประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ไม่ จึงไม่ต้องด้วยลักษณะภาระจำยอมตามมาตรา 1387 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1/2497 โจทก์จำเลยมีที่ดินอยู่ติดคลองด้วยกันทั้งสองฝ่ายซึ่งต่างก็สามารถจะใช้เป็นทางสัญจรไปมาได้โดยสดวกแต่โจทก์ใช้คูซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยเป็นที่เก็บเรือของโจทก์ดังนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้คูของจำเลยเป็นที่สำหรับเก็บเรือ มิใช่เป็นทางสัญจรไปไหน แม้จะมีการเอาเรือเข้าออกคู ก็หาใช่เป็นการไปมาไม่ เพราะเป็นเรื่องเอาเรือเข้าเก็บ และเอาออกใช้ จึงไม่ต้องด้วยลักษณะภารจำยอมตามที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 เจ้าของคูย่อมปิดกั้นคูนั้นได้ ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นเรื่องโจทก์ใช้คูของจำเลยเป็นที่สำหรับเก็บเรือ มิใช่เป็นทางสัญจรไปไหน จึงไม่ต้องด้วยลักษณะภารจำยอมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1387 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 3. คำพิพากษาฎีกาที่ 640/2510 ทางเดินอาจกตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินรายอื่น และก็อาจกลายสภาพเป็นทางสาธารณะได้ ซึ่งเมื่อเป็นทางเดินสาธารณะแล้ว สิทธิในภาระจำยอมของเจ้าของที่ดินรายอื่นก็ย่อมถูกกลืนหมดสภาพไปในตัว ป.พ.พ. มาตรา 1304, 1336, 1349, 1387 บรรยายฟ้องว่าทางเดินตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์และตอนต่อไปบรรยายว่าทางเดินนี้ตกเป็นทางสาธารณประโยชน์แล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะทางเดินอาจตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินรายอื่น และก็อาจกลายสภาพเป็นทางสาธารณะได้ ซึ่งเมื่อเป็นทางเดินสาธารณะแล้วสิทธิในภารจำยอมของเจ้าของที่ดินรายอื่นก็ย่อมถูกกลืนหมดสภาพไปในตัว พฤติการณ์ที่ถือว่าเป็นการอุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยปริยาย โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และบุคคลอื่นได้ใช้ทางเดินในที่ดินโฉนดที่ 4536 โดยสงบเปิดเผยมานานหลายสิบปีแล้ว ทางเดินดังกล่าวจึงตกเป็นภารจำยอมและกลายสภาพเป็นทางสาธารณประโยชน์ จำเลยได้ซื้อที่ดินโฉนดดังกล่าวและได้ทำรั้วสังกะสีปิดกั้นหน้าที่ดินโจทก์ ขอให้แสดงว่าทางเดินดังกล่าวเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ หรือเป็นทางสาธารณประโยชน์และให้จำเลยรื้อรั้วสังกะสีกับใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องทางเดินตามฟ้องมิใช่ทางภารจำยอมและมิใช่ทางสาธารณะ และฟ้องแย้งว่าโจทก์ปลูกบ้านทำหลังคารุกล้ำที่ดินของจำเลย ขอให้โจทก์ตัดหลังคาออก โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ จำเลยฎีกา เมื่อฟังว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะแล้ว การที่จำเลยกั้นรั้วสังกะสีปิดหน้าบ้านโจทก์จนไม่มีทางที่จะออกไปทางพิพาทและทำการค้าขายไม่ได้ด้วย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าค่าเสียหายที่ศาลพิพากษาให้จำเลยเสียตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปเป็นค่าเสียหายในอนาคต โจทก์ไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลอนาคต จึงไม่ชอบที่โจทก์จะได้รับค่าเสียหายในส่วนนี้นั้น เห็นว่าค่าเสียหายในคดีนี้ศาลพิพากษาบังคับให้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(4) จึงไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลอนาคตตามตาราง 1 ข้อ 4 พิพากษาแก้เฉพาะจำนวนค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องใช้ให้โจทก์ 4. สิทธิการใช้ที่ดินอันตกเป็นภาระจำยอมนั้น กฎหมายบัญญัติเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์ หาได้มุ่งเพื่อประโยชน์ของบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะไม่ ทั้งตกติดไปยังผู้รับโอนอสังหาริมทรัพย์อันเป็นสามยทรัพย์นั้นด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2320/2539 ป.พ.พ. มาตรา 1298, 1388, 1395 จำเลยที่1ได้แบ่งแยกที่ดินซึ่งเป็นสามยทรัพย์ออกเป็น5แปลงแล้วยกให้จำเลยที่2ถึงที่4ทางภารจำยอมบนที่ดินซึ่งเป็นภารยทรัพย์ของโจทก์ยังคงมีอยู่เพื่อประโยชน์แก่ทุกส่วนของที่ดินที่แบ่งแยกทั้ง5แปลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1395 จำเลยที่1โอนที่ดินซึ่งเป็นสามยทรัพย์ทั้งแปลงให้แก่จำเลยที่2ถึงที่4ไปแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจบังคับจำเลยที่1ให้เพิกถอนสัญญาภารจำยอมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1ได้ ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์แถลงว่าจำเลยที่4ไม่ได้ประพฤติผิดสัญญาภารจำยอมกรณีไม่มีข้อโต้แย้งกันจึงไม่มีข้อพิพาทที่โจทก์จะบังคับจำเลยที่4ตามฟ้องได้ การจดทะเบียนภารจำยอมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1มีข้อตกลงและเงื่อนไขว่าเจ้าของสามยทรัพย์จะนำเอาทางภารจำยอมไปให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นร่วมใช้ด้วยไม่ได้เด็ดขาดเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าของภารยทรัพย์และหากมีการเปิดทางภารจำยอมให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นร่วมใช้ด้วยบรรดาผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนต่างๆยินยอมให้ตกได้แก่เจ้าของภารยทรัพย์แต่ผู้เดียวข้อตกลงดังกล่าวแสดงถึงเจตนาของโจทก์เจ้าของภารยทรัพย์และจำเลยที่1ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์อย่างชัดเจนคู่สัญญาย่อมต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำกันไว้หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติย่อมเป็นการประพฤติผิดสัญญาภารจำยอมเป็นทรัพยสิทธิเมื่อจำเลยที่2และที่3ต่างได้รับการยกให้ที่ดินสามยทรัพย์มาจากจำเลยที่1จึงต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่คือต้องปฏิบัติตามข้อตกลงและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาภารจำยอมโดยจะนำที่ดินสามยทรัพย์ของตนไปเปิดให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นมาร่วมใช้ไม่ได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากโจทก์เมื่อจำเลยที่2นำที่ดินสามยทรัพย์ที่คงเหลือจากการแบ่งแยกไปจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่ที่ดินแปลงอื่นอีก4แปลงผ่านแล้วมาร่วมใช้ทางภารจำยอมบนที่ดินภารยทรัพย์ของโจทก์ส่วนจำเลยที่3ได้เปิดทางให้บุคคลอื่นที่มีบ้านในที่ดินแปลงอื่นผ่านเข้ามาในที่ดินสามยทรัพย์แล้วผ่านทางภารจำยอมในที่ดินโจทก์ออกสู่ทางสาธารณะการกระทำของจำเลยที่2และที่3เป็นการประพฤติผิดสัญญาและเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ภารยทรัพย์โจทก์ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนภารจำยอมได้เพราะที่ดินของจำเลยที่2และที่3เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่เป็นสามยทรัพย์ในทางภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ซึ่งเป็นภารยทรัพย์ ฎีกาของจำเลยที่2และที่3ที่ว่าได้สิทธิทางภารจำยอมโดยอายุความตามฟ้องแย้งนั้นเมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องแย้งโดยฟังว่าจำเลยที่2และที่3ไม่ได้สิทธิทางภารจำยอมโดยอายุความจำเลยที่2และที่3ไม่ได้อุทธรณ์จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์และยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2523โจทก์ได้จดทะเบียนภารจำยอมที่ดินของโจทก์ ให้แก่ที่ดินของจำเลยที่ 1โดยให้จำเลยที่ 1 ใช้ที่ดินของโจทก์เป็นทางออกสู่ถนนสาธารณะโดยไม่คิดค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น จำเลยที่ 1 สัญญาว่าจะไม่นำเอาทางภารจำยอมของโจทก์ไปเปิดเป็นทางให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นร่วมใช้ด้วยโดยเด็ดขาด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตชัดแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ ต่อมาปี 2533 จำเลยที่ 1 ได้แบ่งแยกที่ดินของจำเลยที่ 1 ออกเป็น 4 โฉนด มีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5เป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินสามยทรัพย์บางส่วนไว้จึงต้องรับโอนเอาภาระหน้าที่ตามสัญญาภารจำยอมไปด้วย แต่จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันยินยอมให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นอีกหลายแปลงร่วมใช้ทางภารจำยอมของโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์จึงได้บอกเลิกสัญญาภารจำยอมแต่จำเลยทั้งห้าเพิกเฉย ขอให้เพิกถอนสัญญาภารจำยอมฉบับลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2523 ให้จำเลยทั้งห้าไปจดทะเบียนเพิกถอนภารจำยอมดังกล่าว หากไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมที่ดินของจำเลยที่ 1 ได้แบ่งแยกเป็นหลายแปลงและโอนให้บุคคลอื่นแล้วจำเลยที่ 1 กับโจทก์จึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน ส่วนจำเลยที่ 2ถึงที่ 4 ได้รับโอนที่ดินสามยทรัพย์มาจากจำเลยที่ 1 จึงเป็นบุคคลภายนอกไม่ใช่คู่สัญญากับโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ใช้ทางพิพาทออกสู่ซอยจรัญสนิทวงศ์ 92ตั้งแต่ยังอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งเป็นเวลาประมาณ 30 ปี แล้วจึงได้ภารจำยอมโดยอายุความ ขอให้ยกฟ้องโจทก์และพิพากษาให้โจทก์จดทะเบียนภารจำยอมที่ดินโฉนดเลขที่ 41438 ของโจทก์ให้แก่ที่ดินของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จำเลยที่ 5 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 5ได้ซื้อที่ดินมาจากจำเลยที่ 2 สัญญาภารจำยอมและบันทึกข้อตกลงเรื่องภารจำยอมจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 5 ไม่เคยยินยอมให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นมาร่วมใช้ทางภารจำยอมของโจทก์ หากมีการเปิดทางภารจำยอมให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นใช้ด้วย โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องเพียงขอให้ยกเลิกการใช้ทางภารจำยอมสำหรับที่ดินแปลงอื่นหรือเรียกเอาค่าตอบแทนจากที่ดินแปลงอื่นเท่านั้น ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนภารจำยอมเสียทั้งหมด โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เมื่อจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 รับโอนที่ดินมาจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงต้องรับโอนซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาภารจำยอมไปด้วย จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่มีอำนาจฟ้องแย้งขอให้โจทก์เอาที่ดินของโจทก์ไปจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่ที่ดินของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซ้ำซ้อนขึ้นมาอีกจำเลยที่ 2ถึงที่ 4 เพิ่งได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไปจากจำเลยที่ 1 เมื่อประมาณ 2 ถึง 3 ปี มานี้ การใช้ทางภารจำยอมแต่เดิมมานั้น เป็นการใช้โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยที่ 2ถึงที่ 4 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่ได้สิทธิภารจำยอมโดยอายุความจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มิได้ให้การปฏิเสธเรื่องผิดสัญญาตามที่โจทก์ฟ้อง ขอให้ยกฟ้องแย้ง ระหว่างพิจารณาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 4 ศาลชั้นต้นอนุญาต โจทก์อุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับและไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า โจทก์จดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 41438 ของโจทก์เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 7328 ของจำเลยที่ 1 โดยมีเงื่อนไขห้ามมิให้จำเลยที่ 1เปิดทางภารจำยอมให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นร่วมใช้ด้วย เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้แบ่งแยกที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 7328 ออกเป็น 5 แปลง คือแปลงโฉนดเลขที่ 7328ซึ่งเป็นแปลงคงเหลือ กับแปลงโฉนดเลขที่ 117447 ถึง 117450แล้วจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนยกที่ดินที่แบ่งแยกให้แก่จำเลยที่ 2รวม 3 แปลง คือ แปลงโฉนดเลขที่ 7328 ที่คงเหลือและโฉนดเลขที่ 117449 กับ 117450 ให้จำเลยที่ 3 หนึ่งแปลง คือแปลงโฉนดเลขที่ 117447 และให้จำเลยที่ 4 หนึ่งแปลง คือ แปลงโฉนดเลขที่ 117448 หลังจากได้รับการยกให้แล้ว จำเลยที่ 2 ได้ขายที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 117449 ให้แก่จำเลยที่ 5 และนำที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 7328 ที่คงเหลือไปจดทะเบียนทางภารจำยอมให้แก่ที่ดินแปลงอื่นอีก 4 แปลง ผ่านที่ดินแปลงนี้มาร่วมใช้ทางภารจำยอมบนที่ดินของโจทก์ด้วย จากข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ดังกล่าวข้างต้นโดยบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1395 ทางภารจำยอมบนที่ดินโจทก์ยังคงมีอยู่เพื่อประโยชน์แก่ทุกส่วนของที่ดินที่แบ่งแยกทั้ง 5 แปลง นั้นทุกแปลง คดีมีข้อวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจบังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ตามฟ้องหรือไม่ สำหรับจำเลยที่ 1 เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 7328 ซึ่งเป็นสามยทรัพย์ทั้งแปลงให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไปแล้ว ดังนี้โจทก์จึงไม่มีอำนาจบังคับจำเลยที่ 1 ได้ตามที่โจทก์ฟ้อง สำหรับจำเลยที่ 4 ก็ได้ความว่า โจทก์แถลงไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2535 ว่าจำเลยที่ 4 ไม่ได้ประพฤติผิดสัญญาภารจำยอม ไม่มีข้อโต้แย้งระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 4 จึงไม่มีข้อพิพาทอันใดที่โจทก์จะต้องบังคับจำเลยที่ 4 ตามที่โจทก์ฟ้องเช่นกัน ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่างได้รับที่ดินสามยทรัพย์ที่จำเลยที่ 1แบ่งแยกโอนยกให้และจำเลยที่ 1 ก็ให้การรับว่าได้ทำสัญญากับโจทก์ตามหนังสือสัญญาภารจำยอมเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 และจดทะเบียนภารจำยอมกับโจทก์ตามบันทึกข้อตกลงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2ซึ่งเอกสารท้ายฟ้องทั้งสองฉบับดังกล่าวก็คือ เอกสารหมาย จ.1 และจ.2 นั่นเองเอกสารหมาย จ.1 เป็นบันทึกข้อตกลงเรื่องภารจำยอมส่วนเอกสารหมาย จ.2 เป็นเงื่อนไขข้อตกลงตามบันทึกดังกล่าว ดังนั้นการจดทะเบียนภารจำยอมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ตามฟ้องจึงมีข้อตกลงและเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2ข้อความในเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 2 ระบุไว้ว่า เจ้าของสามยทรัพย์จะนำเอาทางภารจำยอมไปเปิดให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นร่วมใช้ด้วยไม่ได้โดยเด็ดขาด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าของภารยทรัพย์และความในข้อ 4 ระบุว่าหากมีการเปิดทางภารจำยอมให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นมาร่วมใช้ด้วยแล้ว บรรดาผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนต่าง ๆคู่สัญญาตกลงยินยอมให้ตกได้แก่เจ้าของภารยทรัพย์แต่เพียงผู้เดียวจากข้อความที่ระบุไว้ดังกล่าวแสดงถึงเจตนาของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์อย่างชัดเจนว่าโจทก์ประสงค์ให้ที่ดินของโจทก์เป็นทางภารจำยอมเฉพาะที่ดินของจำเลยที่ 1 เท่านั้นส่วนจำเลยที่ 1 ก็จะไม่ยอมให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นมาร่วมใช้ทางภารจำยอมด้วยเมื่อมีข้อตกลงกันไว้เช่นนี้คู่สัญญาย่อมต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำกันไว้ดังกล่าวหากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามย่อมถือว่าประพฤติผิดสัญญา เห็นว่า ภารจำยอมเป็นทรัพยสิทธิ เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่างได้รับการยกให้ที่ดินสามยทรัพย์มาจากจำเลยที่ 1 จึงต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่คือต้องปฏิบัติตามข้อตกลงและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาภารจำยอมโดยจะนำที่ดินสามยทรัพย์ส่วนของตนไปเปิดให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นมาร่วมใช้ทางภารจำยอมด้วยไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากโจทก์ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่าภารจำยอมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1ไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 และที่ 3 เพราะเป็นบุคคลสิทธิไม่ใช่ทรัพยสิทธิไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้นำที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 7328 ที่คงเหลือจากการแบ่งแยกไปจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่ที่ดินแปลงอื่นอีก 4 แปลงผ่านที่ดินแปลงนี้มาร่วมใช้ทางภารจำยอมบนที่ดินภารยทรัพย์ของโจทก์ด้วย โดยไม่ได้ความจากการนำสืบของจำเลยที่ 2ว่าได้รับอนุญาตจากโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 3 ได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 3 ว่า ได้เปิดทางให้พันเอกชุม และพันเอกวินซึ่งมีบ้านอยู่อาศัยในที่ดินแปลงอื่น ผ่านเข้ามาในที่ดินสามยทรัพย์แล้วผ่านทางภารจำยอมในที่ดินโจทก์ออกสู่ทางสาธารณะเจือสมกับข้อนำสืบของโจทก์ด้วย ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3ดังกล่าว จึงเป็นการเปิดทางให้เจ้าของที่ดินแปลงอื่นเข้ามาร่วมใช้ทางภารจำยอมในที่ดินโจทก์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ตามที่ระบุไว้ในสัญญาภารจำยอมข้อ 2 เป็นการประพฤติผิดสัญญาและเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ภารยทรัพย์ โจทก์ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนภารจำยอมแก่ที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 7328 ที่คงเหลือกับที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 117450 ของจำเลยที่ 2 และที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 117447ของจำเลยที่ 3 ได้ เพราะที่ดินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 โฉนดแปลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่เป็นสามยทรัพย์โดยทางภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ซึ่งเป็นภารยทรัพย์ ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่าได้สิทธิทางภารจำยอมโดยอายุความตามฟ้องแย้งนั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแย้งโดยฟังว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยังไม่ได้สิทธิทางภารจำยอมโดยอายุความ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้อุทธรณ์ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์จึงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฟังขึ้นบางส่วน" พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 4นอกจากที่แก้ให้เป็นไปจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ 8. คำพิพากษาฎีกาที่ 1404/2539 ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่กฎหมายก่อตั้งขึ้นสำหรับเจ้าของสามยทรัพย์ การสื่อสารแห่งประเทศไทยจำเลยซึ่งเป็นเพียงผู้เช่าที่ดินของกระทรวงการคลังเป็นที่ตั้งที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขได้ใช้ทางพิพาทในที่ดินของโจทก์ขนส่งไปรษณียภัณฑ์เข้าออก มิได้เป็นการใช้แทนหรือทำในนามหรือเพื่อประโยชน์ของกระทรวงการคลังอันจะก่อให้เกิดภาระจำยอมแก่สามยทรัพย์ แม้จะใช้มาเป็นเวลา 10 ปีเศษ ก็ไม่ก่อให้เกิดภาระจำยอม จำเลยจะอ้างสิทธิว่าได้ใช้ทางพิพาทจนได้ภาระจำยอมแก่กระทรวงการคลังเจ้าของที่ดินผู้ให้เช่าแล้วไม่ได้ ป.พ.พ. มาตรา 1382, 1401 จำเลยที่2ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยที่2รับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นโดยไม่มีรายละเอียดว่านอกฟ้องนอกประเด็นอย่างไรจึงไม่เป็นฎีกาที่ชัดแจ้งทั้งปรากฏว่าศาลอุทธรณ์เห็นชอบกับศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องจำเลยที่2ไม่มีอะไรให้จำเลยที่2ต้องรับผิดต่อโจทก์อันจะต้องโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่เป็นฎีกาที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัย ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่กฎหมายก่อตั้งขึ้นสำหรับเจ้าของสามยทรัพย์การใช้ทางพิพาทขนส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ของจำเลยที่1ซึ่งเป็นเพียงผู้เช่าที่ดินของกระทรวงการคลังเท่านั้นมิได้เป็นการใช้แทนหรือทำในนามหรือเพื่อประโยชน์ของกระทรวงการคลังอันจะก่อให้เกิดภาระจำยอมในสามยทรัพย์การใช้ทางพิพาทของจำเลยที่1จึงไม่เกิดภารจำยอมแม้จะใช้มาเป็นเวลา10ปีเศษจำเลยที่1ผู้เช่าจะอ้างสิทธิว่าได้ใช้ทางพิพาทจนได้ภารจำยอมแก่เจ้าของที่ดินผู้ให้เช่าหาได้ไม่ โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 49373, 49374, 49409 และ 49413แขวงสวนหลวง เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร เนื้อที่รวมกันประมาณ 5 ไร่ เมื่อประมาณปี 2525 จำเลยที่ 1 ได้ก่อสร้างที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขอ่อนนุช เพื่อดำเนินกิจการสื่อสารการไปรษณีย์และโทรเลข จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1เป็นผู้ดำเนินงานกิจการไปรษณีย์โทรเลขอ่อนนุช จำเลยที่ 2ได้ก่อสร้างถนนคอนกรีตเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกที่ทำการของจำเลยที่ 1 รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ด้านทิศใต้เป็นเนื้อที่ประมาณ 40 ตารางวา ประมาณกลางปี 2533 โจทก์ทั้งสี่ทราบการกระทำของจำเลยที่ 2 จึงมอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนถนนดังกล่าวออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันขนย้ายสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสี่โฉนดเลขที่ 49373, 49374, 49409 และ 49413 และปรับปรุงที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิมภายใน 1 เดือน นับแต่ศาลมีคำพิพากษาหากจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการให้โจทก์ทั้งสี่เป็นผู้ดำเนินการแทนโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดพร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่ใช่ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินดังกล่าว จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 จริงแต่ไม่ได้เป็นผู้ก่อสร้างถนนคอนกรีตรุกล้ำที่ดินโจทก์ทั้งสี่ ประมาณปลายปี 2522 จำเลยที่ 1 เช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 115304 และ 99844แขวงสวนหลวง เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร จากกระทรวงการคลังและได้ก่อสร้างที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขอ่อนนุชลงในที่ดินดังกล่าวถนนพิพาทเดิมเป็นถนนลูกรัง ต่อมาประมาณปลายปี 2522 ได้มีการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กขึ้นแทนที่ เพื่อใช้ประโยชน์เป็นทางเข้าออกรถยนต์ของที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขอ่อนนุชจำเลยที่ 1 ได้ใช้ประโยชน์ในถนนพิพาทขนส่งไปรษณีย์ภัณฑ์เข้าออกที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขอ่อนนุชโดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเพื่อใช้เป็นประโยชน์ตลอดมาเกินกว่า10 ปีแล้ว โดยโจทก์ทั้งสี่มิได้โต้แย้งคัดค้านแต่อย่างใดถนนพิพาทจึงเป็นทางภารจำยอมของกระทรวงการคลังเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 115304 และ 99844 จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรื้อถอนถนนพิพาท ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง โจทก์ ทั้ง สี่ อุทธรณ์ จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 49373, 49374, 49409 และ49413 จำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าที่ดินของกระทรวงการคลัง โฉนดเลขที่ 115304 และ 99844 ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโจทก์ทั้งสี่จำเลยที่ 1 ได้ก่อสร้างที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขอ่อนนุชในที่ดินที่เช่าจากกระทรวงการคลัง และก่อสร้างเสร็จเดือนพฤศจิกายน 2523ข้างตึกที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขอ่อนนุชด้านติดกับที่ดินโจทก์ทั้งสี่จำเลยที่ 1 ได้สร้างถนนคอนกรีตและใช้เป็นทางให้รถยนต์เข้าออกที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขอ่อนนุช ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 คดีนี้จำเลยทั้งสองฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยเฉพาะจำเลยที่ 2 ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น โดยไม่มีรายละเอียดว่านอกฟ้องนอกประเด็นอย่างไร จึงไม่เป็นฎีกาที่ชัดแจ้ง ทั้งปรากฏว่าศาลอุทธรณ์เห็นชอบกับศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ไม่มีอะไรให้จำเลยที่ 2ต้องรับผิดต่อโจทก์ อันจะต้องโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงไม่เป็นฎีกาที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัย ให้ยกฎีกาจำเลยที่ 2 ปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 มีว่า ทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมของกระทรวงการคลังเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 115304 และ99844 ที่จำเลยที่ 1 เช่าหรือไม่ ปรากฏว่าตอนเริ่มต้นเช่าทางพิพาทยังไม่ได้ตกเป็นภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของกระทรวงการคลังที่จำเลยที่ 1 ผู้เช่าจะมีสิทธิใช้แต่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ได้เช่าที่ดินของกระทรวงการคลัง และใช้ทางพิพาทขนส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ของจำเลยที่ 1 จนครบ 10 ปี ทางพิพาทจะเป็นภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของกระทรวงการคลังหรือไม่นั้นเห็นว่าภารจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่กฎหมายก่อตั้งขึ้นสำหรับเจ้าของสามยทรัพย์ จำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้เช่าที่ดินกระทรวงการคลังเท่านั้น มิได้เป็นการใช้แทนหรือทำในนามหรือเพื่อประโยชน์ของกระทรวงการคลัง อันจะก่อให้เกิดภารจำยอมในสามยทรัพย์ การใช้ทางพิพาทของจำเลยที่ 1 จึงไม่เกิดภารจำยอม แม้จะใช้มาเป็นเวลา10 ปีเศษ จำเลยที่ 1 ผู้เช่าจะอ้างสิทธิว่าได้ใช้ทางพิพาทจนได้ภารจำยอมแก่เจ้าของที่ดินผู้ให้เช่าหาได้ไม่ เมื่อทางพิพาทไม่ใช่ภารจำยอม จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีสิทธิจะใช้ทางพิพาทเฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่ดินโจทก์ทั้งสี่ พิพากษายืน 9. คำพิพากษาฎีกาที่ 5314/2539 ที่ดินของจำเลยที่มีที่ดินของโจทก์เป็นทางภาระจำยอมอยู่แล้วแม้ต่อมาจะมีทางออกทางอื่นโดยมีถนนสาธารณะตัดผ่านที่ดินของจำเลยก็หาทำให้ทางภาระจำยอมในที่ดินของโจทก์ที่มีอยู่แล้วสิ้นไปไม่ กรณียังมิใช่เป็นเรื่องภาระจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ตาม .ป.พ.พ. มาตรา 1400 ภาระจำยอมในที่ดินของโจทก์จึงมิได้หมดประโยชน์แก่ที่ดินสามยทรัพย์ของจำเลย ป.พ.พ. มาตรา 1400 ที่ดินของจำเลยมีที่ดินของโจทก์เป็นทางภารจำยอมอยู่แล้วแม้จะมีทางออกทางอื่นโดยมีถนนสาธารณะตัดผ่านที่ดินของจำเลยก็หาทำให้ทางภารจำยอมในที่ดินของโจทก์ที่มีอยู่แล้วสิ้นไปไม่กรณียังมิใช่เป็นเรื่องภารจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1400 โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 133383 พ้นจากภารจำยอมทั้งหมด ให้จำเลยไปให้ความยินยอมเพื่อโจทก์จะได้ดำเนินการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ทอดทิ้งหรือมิได้ใช้ทางภารจำยอมเกินกว่า 10 ปี และแม้ที่ดินของจำเลยจะมีถนนประชาอุทิศตัดผ่าน แต่ถนนดังกล่าวเปิดให้ใช้ได้ไม่ถึง 10 ปี ส่วนทางภารจำยอมซึ่งมีราษฎรปลูกสร้างบ้านเรือนนั้นยังสามารถใช้เป็นทางเข้าออกได้และจำเลยยังคงใช้ทางภารจำยอมเข้าออกเสมอขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทมิลเลียน แนร์ บิลดิ้งจำกัด เข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1870 โดยซื้อมาจากจำเลยโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานโดยสุจริตแล้ว จำเลยร่วมยังคงใช้ทางภารจำยอมเข้าออกเรื่อยมาเนื่องจากถนนประชาอุทิศเปิดใช้ยังไม่ถึง 10 ปี และมิได้ตัดผ่านที่ดินส่วนของจำเลยร่วมขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่19 ตุลาคม 2514 นายมล ได้จดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 1871 เลขที่ดิน 2534 ตำบลห้วยขวาง (สามเสนนอกฝั่งเหนือ)อำเภอห้วยขวาง (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ทั้งแปลงของโจทก์ตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1870 ตำบลห้วยขวาง(สามเสนนอกฝั่งเหนือ) อำเภอห้วยขวาง (บางซื่อ) กรุงเทพมหานครทั้งแปลงของจำเลย ต่อมาในปี 2530 โจทก์ได้แบ่งแยกที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 1871 ดังกล่าวออกเป็น 5 แปลง คือที่ดินโฉนดเลขที่ 1871, 133383, 133382, 133381 และ 133380 และปี 2534จำเลยได้แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 1870 ของจำเลยออกเป็น 6 แปลงคือที่ดินโฉนดเลขที่ 1870, 139837, 139838, 139839, 139840 และ139841 แล้วนายมลได้จดทะเบียนภารจำยอมใหม่ให้เฉพาะที่ดินที่แบ่งแยกแล้วคือที่ดินโฉนดเลขที่ 133383 ของโจทก์ตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1870 ของจำเลย โดยยกเลิกภารจำยอมในที่ดินส่วนอื่นที่แบ่งแยกออกไปแล้วทั้งหมด ต่อมาเมื่อปี 2534 จำเลยขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1870 ให้แก่บริษัทมิลเลียนแนร์ บิลดิ้ง จำกัด จำเลยร่วม คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่าทางภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 133383 ของโจทก์หมดประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1870 ของจำเลยซึ่งเป็นสามยทรัพย์หรือไม่เห็นว่า ที่ดินของจำเลยมีที่ดินของโจทก์เป็นทางภารจำยอมอยู่แล้วแม้จะมีทางออกทางอื่นโดยมีถนนประชาอุทิศตัดผ่านที่ดินของจำเลยก็หาทำให้ทางภารจำยอมในที่ดินของโจทก์ที่มีอยู่แล้วสิ้นไปไม่เพราะกรณียังมิใช่เป็นเรื่องภารจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400จึงฟังไม่ได้ว่าภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 133383 ซึ่งเป็นที่ดินภารยทรัพย์ของโจทก์หมดประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1870ซึ่งเป็นที่ดินสามยทรัพย์ของจำเลย พิพากษายืน |