

สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนทางจำเป็น, อายุความฟ้องร้องค่าทดแทน 10 ปี, หลักเกณฑ์การเปิดทางจำเป็น, ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนทางจำเป็น, อายุความฟ้องร้องค่าทดแทน 10 ปี, หลักเกณฑ์การเปิดทางจำเป็น, ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสี่ เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่มีสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนการใช้ทางจำเป็นจากเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อม โดยไม่จำเป็นต้องฟ้องแย้งในคดีเปิดทางจำเป็น สามารถฟ้องเรียกเป็นคดีต่างหากได้เมื่อมีคำพิพากษาชี้ขาดสิทธิทางจำเป็นแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2567 การเรียกร้องค่าทดแทนเป็นสิทธิของเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เพื่อชดเชยความเสียหายอันที่เกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสี่ โจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าทดแทนการใช้ที่ดินจากจำเลยเป็นคดีต่างหากได้ หากศาลในคดีก่อนวินิจฉัยชี้ขาดให้จำเลยได้สิทธิทางจำเป็นบนที่ดินของโจทก์ทั้งสาม โดยโจทก์ทั้งสามไม่จำต้องฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนมาในคำให้การ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามทางนำสืบของคู่ความว่า มีการบังคับคดีเปิดทางจำเป็นตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2555 โจทก์ทั้งสามจึงชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนการใช้ทางจำเป็นบนที่ดินของโจทก์ทั้งสามนับตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2555 อายุความสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนของโจทก์ทั้งสามจึงเริ่มนับแต่วันดังกล่าว เมื่อ ป.พ.พ. หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะในเรื่องอายุความใช้ค่าทดแทนในการเปิดทางจำเป็นไว้ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 เมื่อนับระยะเวลานับแต่วันที่มีการเปิดใช้ทางจำเป็นจนถึงวันที่โจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกค่าทดแทนในคดีนี้เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี สิทธิเรียกค่าทดแทนของโจทก์ทั้งสามจึงยังไม่ขาดอายุความ
****โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าทดแทนที่ดินแก่โจทก์ทั้งสามเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่าน สำหรับโจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 200,000 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 100,000 บาท และโจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 700,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ *จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง *ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ *โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ *ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ *โจทก์ทั้งสามฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังยุติว่า ก่อนหน้านี้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ถูกนางสาวมาลีและพันเอกวินัยฟ้องต่อศาลชั้นต้น ให้เปิดทางผ่านที่ดินของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ที่ล้อมอยู่ออกสู่ทางสาธารณะรวม 2 คดี คือคดีหมายเลขแดงที่ 770/2548 และคดีหมายเลขแดงที่ 3972/2548 ตามลำดับ ซึ่งตามคำฟ้องทั้ง 2 คดี เจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมไม่ได้เสนอค่าทดแทนแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 และโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ก็ไม่ได้ฟ้องแย้งขอให้เจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมใช้ค่าทดแทนเพราะเหตุมีทางผ่านเช่นกัน สำหรับการเปิดทางจำเป็นในคดีหมายเลขแดงที่ 770/2548 เป็นคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาและต่อมาศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง การเปิดทางจำเป็นชั่วคราวจึงสิ้นสุดลง ในชั้นนี้คงพิจารณาเฉพาะทางจำเป็นที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 3972/2548 เท่านั้น ซึ่งในคดีดังกล่าวศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เปิดทางจำเป็นในที่ดินของโจทก์ทั้งสาม *คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามประการแรกว่า การใช้สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ทั้งสามขาดอายุความแล้วหรือไม่ เห็นว่า ตามมาตรา 1349 วรรคสี่ ผู้มีสิทธิผ่านทางจำเป็นต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดจากการขอเปิดทางผ่าน แต่ไม่ได้กำหนดว่าต้องใช้ค่าทดแทนก่อนจึงใช้ทางจำเป็นได้ ดังนั้น การฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็นจึงไม่จำต้องเสนอชดใช้ค่าทดแทนที่ดินแต่เป็นหน้าที่ของเจ้าของที่ดินที่ถูกฟ้องให้เปิดทางจำเป็นที่จะต้องเรียกร้องค่าทดแทนที่ดินขึ้นมาเอง เมื่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมไม่เสนอค่าทดแทนแก่โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ล้อม และเจ้าของที่ดินที่ล้อมไม่ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกล้อม คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องค่าทดแทนที่จะต้องพิจารณา และเป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสามต้องไปว่ากล่าวเป็นคดีอื่น ดังที่ศาลอุทธรณ์ในคดีหมายเลขแดงที่ 3972/2548 ของศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้ตอนหนึ่ง ซึ่งชอบด้วยเหตุผลแล้ว และแม้การใช้ทางจำเป็น เป็นสิทธิที่เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายก็ตามแต่บทบัญญัติดังกล่าวเป็นเพียงข้อจำกัดสิทธิของเจ้าของที่ดินแปลงที่ล้อมที่ดินของผู้อื่นจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ต้องยอมให้เจ้าของที่ดินแปลงที่ถูกล้อมใช้ทางผ่านที่ดินของตนเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะได้เท่านั้น ไม่ใช่บทบัญญัติที่เป็นการให้สิทธิเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมที่จะเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นหรือกระทำการใดๆในที่ดินของผู้อื่นได้โดยพลการ ทั้งสิทธิในการใช้ทางจำเป็นตามกฎหมายดังกล่าวจะต้องพิจารณาสภาพความเป็นจริงในขณะนั้นว่าเข้าเงื่อนไขตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 และ มาตรา 1350 บัญญัติไว้หรือไม่ด้วย ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า โจทก์ทั้งสามไม่ได้ฟ้องแย้งมาในคำให้การหรือฟ้องเป็นคดีใหม่ภายในอายุความ เพิ่งฟ้องเป็นคดีนี้จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า ขณะที่โจทก์ทั้งสามยื่นคำให้การในคดีก่อน ข้อเท็จจริงยังไม่เป็นอันยุติว่า จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมมีสิทธิใช้ทางผ่านที่ดินของโจทก์ทั้งสามที่ล้อมอยู่ได้หรือไม่ จึงต้องใช้ศาลชี้ขาดข้อเท็จจริงให้รับฟังเป็นยุติก่อนว่า ตามสภาพของที่ดินนั้น เข้าเงื่อนไขทางจำเป็นหรือไม่ และการเรียกร้องค่าทดแทนเป็นสิทธิของเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เพื่อชดเชยความเสียหายอันที่เกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสี่ โจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าทดแทนการใช้ที่ดินจากจำเลยเป็นคดีต่างหากได้หากศาลในคดีก่อนวินิจฉัยชี้ขาดให้จำเลยได้สิทธิทางจำเป็นบนที่ดินของโจทก์ทั้งสาม โดยโจทก์ทั้งสามไม่จำต้องฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนมาในคำให้การตามที่จำเลยแก้ฎีกา เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามทางนำสืบของคู่ความว่า มีการบังคับคดีเปิดทางจำเป็นตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2555 โจทก์ทั้งสามจึงชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนการใช้ทางจำเป็นบนที่ดินของโจทก์ทั้งสามนับตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2555 อายุความสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนของโจทก์ทั้งสามจึงเริ่มนับแต่วันดังกล่าว เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะในเรื่องอายุความใช้ค่าทดแทนในการเปิดทางจำเป็นไว้ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 เมื่อนับระยะเวลานับแต่วันที่มีการเปิดใช้ทางจำเป็นจนถึงวันที่โจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกค่าทดแทนในคดีนี้เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี สิทธิเรียกค่าทดแทนของโจทก์ทั้งสามจึงยังไม่ขาดอายุความ *ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า โจทก์ทั้งสามมีสิทธิได้รับค่าทดแทนหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า แม้จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 585 และ 7695 และโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ทำสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 136075 กับการรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค ตั้งแต่เมื่อปี 2554 แต่จำเลยไม่ได้อ้างส่งสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวอ้างดังกล่าว ส่วนที่จำเลยนำสืบโดยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 585 ของโจทก์ที่ 1 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 16 นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2550 ใช้บังคับ เมื่อการรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้จ่ายหรือวางเงินค่าทดแทนแล้ว โจทก์ที่ 1 จึงไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 585 ส่วนที่เป็นถนนลาดยางอีกต่อไปและอ้างส่งหนังสือจากการรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2563 ที่แจ้งจำเลยว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 136075 ของโจทก์ที่ 3 และที่ดินโฉนดเลขที่ 585 ของโจทก์ที่ 1 ถูกเวนคืนเพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน โดยการรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้วางเงินค่าทดแทนแล้วโดยฝากไว้กับธนาคารออมสิน แต่หนังสือของการรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดังกล่าวมีข้อความระบุแต่เพียงว่า การรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้วางเงินค่าทดแทนสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 585 ของโจทก์ที่ 1 และที่ดินโฉนดเลขที่ 136075 ของโจทก์ที่ 3 ที่ถูกเวนคืนไว้แล้วโดยฝากไว้กับธนาคารออมสิน สาขาบางแค เท่านั้น ไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่เวนคืนได้วางเงินทดแทนไว้เมื่อใด อันจะทำให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 585 ของโจทก์ที่ 1 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยตามที่จำเลยอ้าง ซึ่งในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์นั้น หากเจ้าหน้าที่เวนคืนจัดให้มีการวางเงินค่าทดแทนในกรณีที่ตกลงกันได้หรือวางเงินค่าทดแทนในกรณีที่ไม่อาจตกลงกันได้ ให้ถือว่ามีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นับแต่วันวางเงินทดแทน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 13 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 11 วรรคสอง พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบจึงยังฟังไม่ได้ว่า โจทก์ที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 585 และ 7695 และโจทก์ที่ 3 ทำสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 136075 ให้แก่การรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยไปแล้วตั้งแต่ปี 2554 โจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิฟ้องเรียกร้องค่าทดแทนจากจำเลย *ส่วนปัญหาว่า โจทก์ทั้งสามมีสิทธิได้รับค่าทดแทนเพียงใดนั้น เห็นว่า จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสามสำหรับจำนวนเงินค่าทดแทนที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องมาในฟ้อง ทั้งเมื่อพิจารณาเนื้อที่และที่ตั้งของที่ดินแล้ว จำนวนเงินค่าทดแทนที่เรียกร้องมาเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 136075 ของโจทก์ที่ 2 ได้โอนเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 3 ไปแล้ว เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2551 ก่อนที่จะมีการเปิดใช้ทางจำเป็นเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2555 จำเลยจึงไม่มีหนี้ค่าทดแทนค้างชำระต่อโจทก์ที่ 2 ภายหลังเมื่อโจทก์ที่ 3 รับโอนที่ดินมาจากโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 3 จึงเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากจำเลย ประกอบกับค่าทดแทนมีไว้เพื่อชดเชยความเสียหายแก่เจ้าของที่ดินแปลงที่ล้อมเท่านั้น ไม่ได้ชดเชยให้กับบริวารที่พักอาศัยด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงได้ความตามฎีกาของโจทก์ที่ 3 ว่า โจทก์ที่ 3 คงติดใจเรียกร้องค่าทดแทนในชั้นฎีกาเพียง 335,000 บาท จึงกำหนดให้ตามขอ จำเลยจึงต้องใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 200,000 บาท และใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 335,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันที่ฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 (เดิม) และ (ที่แก้ไขใหม่) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนที่ดินจากจำเลยเนื่องจากขาดอายุความนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ทั้งสามฟังขึ้น *พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าทดแทนที่ดินแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 200,000 บาท และโจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 335,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ สำหรับดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปนั้น หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนไปบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ กับให้ยกคำขอเรียกค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
• สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนทางจำเป็น • อายุความฟ้องร้องค่าทดแทน 10 ปี • มาตรา 1349 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ • หลักเกณฑ์การเปิดทางจำเป็น • การเวนคืนที่ดินและค่าทดแทน • คดีฟ้องร้องเรื่องสิทธิในที่ดิน • พ.ร.บ. เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ มาตรา 13 • คำพิพากษาศาลฎีกาคดีทางจำเป็น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2567 (ย่อ) ประเด็นหลัก-ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสี่ เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่มีสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนการใช้ทางจำเป็นจากเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อม โดยไม่จำเป็นต้องฟ้องแย้งในคดีเปิดทางจำเป็น สามารถฟ้องเรียกเป็นคดีต่างหากได้เมื่อมีคำพิพากษาชี้ขาดสิทธิทางจำเป็นแล้ว ข้อเท็จจริงและประเด็นข้อกฎหมาย 1.ข้อเท็จจริง oจำเลยเคยได้รับคำพิพากษาในคดีก่อนให้เปิดทางจำเป็นบนที่ดินของโจทก์ทั้งสามตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2555 oโจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกค่าทดแทนในปี 2559 ซึ่งยังอยู่ในอายุความ 10 ปีตามมาตรา 193/30 2.ประเด็นกฎหมาย oสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีการใช้ทางจำเป็น oค่าทดแทนดังกล่าวมีไว้เพื่อชดเชยความเสียหายของเจ้าของที่ดินที่ล้อม ไม่ครอบคลุมถึงผู้อยู่อาศัยอื่น คำพิพากษา •ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์: ยกฟ้อง โดยเห็นว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความ •ศาลฎีกา: เห็นว่าฟ้องไม่ขาดอายุความ และกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าทดแทนแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 3 ดังนี้ oโจทก์ที่ 1: 200,000 บาท oโจทก์ที่ 3: 335,000 บาท (โจทก์ที่ 2 ไม่ได้สิทธิค่าทดแทน เนื่องจากโอนที่ดินก่อนเปิดทางจำเป็น) oดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ตั้งแต่วันฟ้องจนถึง 10 เมษายน 2564 และร้อยละ 5 ตั้งแต่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป ผลการตัดสิน พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระค่าทดแทนดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยตามที่กำหนด ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ. การอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 •หลักการ: กำหนดอายุความทั่วไปในกรณีที่กฎหมายไม่ได้ระบุอายุความไว้โดยเฉพาะ ให้ใช้ระยะเวลา 10 ปีนับแต่วันที่สิทธินั้นเกิดขึ้น •การนำมาใช้ในคดี: ในกรณีนี้ ศาลพิจารณาว่าไม่มีบทบัญญัติอื่นกำหนดอายุความเฉพาะเกี่ยวกับการเรียกค่าทดแทนการใช้ทางจำเป็น ดังนั้น การฟ้องร้องเรียกค่าทดแทนจึงอยู่ภายใต้อายุความ 10 ปีนับตั้งแต่วันที่เริ่มใช้ทางจำเป็น (21 มีนาคม 2555) และการฟ้องร้องในปี 2559 จึงยังไม่พ้นกำหนดอายุความ 2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 •หลักการ: มาตรานี้ว่าด้วยสิทธิในการเปิดทางจำเป็น โดยระบุว่า: oวรรคหนึ่ง: เจ้าของที่ดินที่ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะมีสิทธิขอเปิดทางผ่านบนที่ดินของผู้อื่น oวรรคสี่: เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อม เพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดจากการเปิดทางผ่าน •การนำมาใช้ในคดี: oสิทธิเรียกค่าทดแทนเป็นสิทธิของเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ และสามารถฟ้องแยกเป็นคดีใหม่ได้ แม้ไม่ได้ฟ้องแย้งในคดีก่อน oการเปิดทางจำเป็นไม่จำเป็นต้องชำระค่าทดแทนก่อนใช้สิทธิ แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบสามารถเรียกร้องค่าทดแทนในภายหลังได้ 3. พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 กฎหมายฉบับนี้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเวนคืนที่ดินและการจ่ายค่าทดแทนในกรณีที่มีการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อประโยชน์สาธารณะ •มาตรา 11 oระบุว่า การโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์จะเกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่เวนคืนได้จ่ายหรือวางเงินค่าทดแทนเรียบร้อยแล้ว oการนำมาใช้ในคดี: ศาลพิจารณาว่าการเวนคืนที่ดินต้องอาศัยการจ่ายหรือวางเงินค่าทดแทนก่อน จึงจะถือว่าเกิดการโอนกรรมสิทธิ์ •มาตรา 13 oระบุว่า หากมีการตกลงค่าทดแทนไม่ได้ ให้ถือว่าการโอนกรรมสิทธิ์เกิดขึ้นในวันที่มีการวางเงินค่าทดแทน oการนำมาใช้ในคดี: ในกรณีนี้ ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่เวนคืนได้วางเงินค่าทดแทนเมื่อใด จึงยังไม่อาจถือว่ามีการโอนกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย •มาตรา 16 oระบุว่า เมื่อมีการเวนคืนแล้ว กรรมสิทธิ์ในที่ดินตกเป็นของหน่วยงานผู้เวนคืนทันทีนับตั้งแต่วันที่จ่ายหรือวางเงินค่าทดแทน oการนำมาใช้ในคดี: แม้จำเลยจะอ้างว่าที่ดินได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ ตามกฎหมายนี้ แต่ศาลเห็นว่าหลักฐานไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์การโอนกรรมสิทธิ์ตามเงื่อนไขของกฎหมาย
สรุปความสำคัญของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง •มาตรา 193/30: ช่วยยืนยันว่าโจทก์ยังคงมีสิทธิฟ้องร้องอยู่ เนื่องจากฟ้องในระยะเวลาอายุความ 10 ปี •มาตรา 1349: ยืนยันสิทธิของเจ้าของที่ดินล้อมอยู่ในการเรียกร้องค่าทดแทนการใช้ทางจำเป็น •พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนฯ มาตรา 11, 13, และ 16: ใช้ในการพิจารณาสถานะกรรมสิทธิ์ของที่ดินที่ถูกเวนคืน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินว่าจำเลยต้องชำระค่าทดแทนแก่โจทก์หรือไม่
บทความ: ทางจำเป็นและทางภาระจำยอม 1. ทางจำเป็นคืออะไร แตกต่างกับทางภาระจำยอมอย่างไร ทางจำเป็น •หมายถึง ทางผ่านที่เจ้าของที่ดินที่ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ (ที่ดินถูกล้อม) มีสิทธิร้องขอให้เจ้าของที่ดินแปลงที่ล้อมเปิดทางผ่านให้ตามความจำเป็น โดยมีกำหนดชดใช้ค่าทดแทนให้เจ้าของที่ดินที่เปิดทาง •อ้างอิงกฎหมาย: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 •ลักษณะสำคัญ: oเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย oใช้เฉพาะเมื่อที่ดินไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ oสิทธิถูกจำกัดเฉพาะความจำเป็นเท่านั้น ทางภาระจำยอม •หมายถึง สิทธิของบุคคลหนึ่งที่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินของผู้อื่นในลักษณะเป็นทางผ่านหรือใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นตามที่ตกลงกัน •อ้างอิงกฎหมาย: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 •ลักษณะสำคัญ: oเกิดจากการตกลงระหว่างเจ้าของที่ดินทั้งสองฝ่ายหรือโดยคำสั่งศาล oต้องมีการจดทะเบียนสิทธิ ณ สำนักงานที่ดิน ความแตกต่าง: •เงื่อนไขการเกิดสิทธิ: ทางจำเป็นเกิดโดยกฎหมาย ส่วนทางภาระจำยอมต้องมีการตกลงหรือจดทะเบียน •ค่าทดแทน: ทางจำเป็นต้องมีค่าทดแทนเสมอ แต่ทางภาระจำยอมขึ้นอยู่กับข้อตกลง
2. คดีขอเปิดทางจำเป็นและการเรียกค่าทดแทน หลักเกณฑ์การเปิดทางจำเป็นและค่าทดแทน •ผู้ขอเปิดทางจำเป็นต้องพิสูจน์ว่า: 1.ที่ดินของตนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ 2.เส้นทางที่ขอเปิดเป็นเส้นทางที่เหมาะสมและมีความจำเป็น 3.การชดใช้ค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ ค่าทดแทน: •ไม่มีเกณฑ์ตายตัว ขึ้นอยู่กับ: oขนาดและพื้นที่ที่ใช้: ศาลพิจารณาจากเนื้อที่ที่เปิดทาง oลักษณะการใช้ประโยชน์: เช่น เป็นทางผ่านเพื่อการเกษตรหรือทางเข้าออกที่อยู่อาศัย oมูลค่าที่ดิน: ราคาประเมินหรือราคาตลาด ตัวอย่างคำพิพากษา: •คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2567: เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนตามมาตรา 1349 และศาลกำหนดค่าทดแทนโดยพิจารณาจากเนื้อที่และลักษณะการใช้ •คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1619/2541: การกำหนดค่าทดแทนต้องพิจารณาว่าผู้ใช้ทางจำเป็นได้รับประโยชน์เพียงใดและเจ้าของที่ดินเสียหายมากน้อยเพียงใด
3. การจดทะเบียนทางภาระจำยอมกับค่าทดแทน ต้องจ่ายค่าทดแทนหรือไม่: •การจดทะเบียนภาระจำยอมอาจไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าทดแทนหากทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ แต่หากมีข้อตกลงหรือคำสั่งศาลกำหนดไว้ ก็อาจต้องชดใช้ค่าทดแทน เหตุผล: •ทางภาระจำยอมเป็นสิทธิที่เกิดจากความสมัครใจของคู่กรณี หากตกลงว่าต้องจ่ายค่าทดแทน ศาลก็จะยึดตามข้อตกลง •หากเกิดจากคำสั่งศาล ศาลจะพิจารณาเหมาะสมตามลักษณะของที่ดิน
4. อายุความสิทธิเรียกร้องค่าทดแทน อายุความในการฟ้องร้องค่าทดแทน: •หากไม่มีบทบัญญัติเรื่องอายุความเฉพาะ ให้ใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ตัวอย่างคำพิพากษา: •คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2567: เจ้าของที่ดินฟ้องร้องค่าทดแทนภายในอายุความ 10 ปี ศาลจึงพิจารณาให้ได้รับค่าทดแทน •คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 256/2545: ศาลยกฟ้องเนื่องจากฟ้องเกินกำหนดอายุความ 10 ปี กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: •มาตรา 1349: สิทธิในการเปิดทางจำเป็น •มาตรา 193/30: อายุความ 10 ปีสำหรับสิทธิเรียกร้องทั่วไป •พ.ร.บ.ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ มาตรา 13: กำหนดว่าโอนกรรมสิทธิ์เมื่อมีการวางเงินค่าทดแทน การอธิบายหลักกฎหมาย: •มาตรา 1349: ให้สิทธิเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมอยู่ในการเปิดทางจำเป็น แต่ต้องชดใช้ค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดิน •มาตรา 193/30: ใช้กำหนดระยะเวลาในการฟ้องร้องสิทธิต่าง ๆ เมื่อไม่มีบัญญัติอายุความเฉพาะ •มาตรา 13: เน้นการกำหนดสิทธิในการโอนกรรมสิทธิ์หลังจากจ่ายค่าทดแทน |