
คดีครอบครองปรปักษ์ & ขับไล่,เจตนาเป็นเจ้าของ, การฟ้องแย้งสิทธิครอบครอง, (ฎีกา 956/2552)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเรื่องการครอบครองปรปักษ์ที่ดิน โดยโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย ขณะที่จำเลยฟ้องแย้งอ้างสิทธิเป็นเจ้าของโดยครอบครองปรปักษ์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การครอบครองปรปักษ์ต้องมีเจตนาเป็นเจ้าของ มิใช่เพียงอยู่อาศัยหรือถือครองเฉย ๆ เมื่อพฤติการณ์ไม่ปรากฏว่าจำเลยแสดงสิทธิเป็นเจ้าของ คดีนี้จึงไม่ถือว่าครอบครองปรปักษ์ และพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี
สรุปข้อเท็จจริงของคดี • โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โฉนดเลขที่ 3369 อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี • จำเลยอยู่อาศัยในที่ดินพร้อมปลูกบ้าน โดยอ้างว่าครอบครองต่อเนื่องมาเกือบ 60 ปี และยกฟ้องแย้งเพื่อขอให้ศาลรับรองกรรมสิทธิ์ • ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลย และให้ชำระค่าเสียหาย • ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยได้สิทธิในบางส่วนโดยครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ • ทั้งสองฝ่ายฎีกา
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา
1. ประเด็นข้อกฎหมาย: o ครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ต้องเป็นการครอบครองโดยสงบ เปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของ 2. เหตุผลของศาล: o ก่อนปี 2509 ที่ดินยังไม่มีเอกสารสิทธิ ไม่อาจถือว่าครอบครองปรปักษ์ได้ o หลังออกโฉนดปี 2509 ก็ไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่าจำเลยแสดงตนเป็นเจ้าของ เช่น ปฏิเสธสิทธิของเจ้าของ หวงห้ามผู้อื่น หรือปกป้องผลประโยชน์ในฐานะเจ้าของ o คำให้การของพยานฝ่ายจำเลยเพียงชี้ว่าอยู่อาศัย แต่ไม่ใช่การแสดงเจตนาเป็นเจ้าของ o การที่จำเลยเคยเจรจาขอให้นำบ้านไปรื้อย้ายเองเมื่อโจทก์ร้องขับไล่ แสดงถึงการยอมรับสิทธิของโจทก์ 3. ผลของคดี: o จำเลยพิสูจน์สิทธิครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ o พิพากษากลับตามศาลชั้นต้น ให้จำเลยขนย้ายออกจากที่ดินและชำระค่าเสียหาย
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย • มาตรา 1382 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดว่าผู้ครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นโดยสงบ เปิดเผย และโดยเจตนาเป็นเจ้าของ ครบ 10 ปีในกรณีอสังหาริมทรัพย์ จะได้กรรมสิทธิ์ • ศาลฎีกาเน้นว่า เจตนาเป็นเจ้าของ เป็นหัวใจสำคัญ หากเพียงอยู่อาศัยเฉย ๆ หรือใช้สิทธิเสมือนผู้เช่า ไม่อาจนับเป็นครอบครองปรปักษ์ • แนววินิจฉัยนี้สะท้อนว่าแม้การครอบครองจะยาวนาน แต่หากขาดการแสดงออกที่ชัดเจน เช่น การหวงกันบุคคลอื่น การโต้แย้งสิทธิ หรือการบำรุงรักษาในฐานะเจ้าของ ก็ไม่เข้าเกณฑ์ • คำพิพากษานี้จึงเป็นบรรทัดฐานสำคัญสำหรับการตีความเจตนาในคดีครอบครองปรปักษ์
IRAC Analysis Issue: จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 หรือไม่ Rule: มาตรา 1382 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งฯ – ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยสงบ เปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของครบ 10 ปี ได้กรรมสิทธิ์ Application: • การครอบครองก่อนปี 2509: ที่ดินยังไม่มีโฉนด จึงไม่ถือเป็นครอบครองปรปักษ์ • หลังออกโฉนด: จำเลยไม่ได้แสดงเจตนาเป็นเจ้าของ ไม่มีการหวงกันผู้อื่นหรือปฏิเสธสิทธิของโจทก์ • การเจรจาย้ายบ้านเองเมื่อถูกขับไล่ เป็นการยอมรับสิทธิของโจทก์ ไม่ใช่การปฏิเสธสิทธิ • ดังนั้น ไม่เข้าเงื่อนไขของมาตรา 1382 Conclusion: จำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยครอบครองปรปักษ์ โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย
ข้อคิดทางกฎหมาย • ครอบครองปรปักษ์ไม่ใช่เพียงอยู่อาศัยนาน แต่ต้องมีพฤติการณ์ชัดเจนว่าเป็นเจ้าของ • เจ้าของที่ดินควรตรวจสอบสิทธิและป้องกันการครอบครองของบุคคลอื่น เพื่อไม่ให้ถูกยกเป็นข้ออ้างภายหลัง • การเจรจาหรือการยอมรับสิทธิของเจ้าของที่แท้จริง เป็นหลักฐานสำคัญที่หักล้างข้ออ้างครอบครองปรปักษ์
English Summary The Supreme Court Decision No. 956/2009 concerns a land dispute over adverse possession. The Court ruled that possession alone is insufficient; there must be clear intention to own. Since the defendant merely resided on the land without asserting ownership, adverse possession did not apply. The Court ordered eviction and compensation, reaffirming that intent to own is crucial for acquiring ownership under Section 1382 of the Civil and Commercial Code.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 956/2552 การครอบครองโดยปรปักษ์นั้น มิใช่เพียงแต่ยึดถือเพื่อตนเองอย่างสิทธิครอบครองเท่านั้น ยังจะต้องมีการยึดถือครอบครองด้วยเจตนาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นด้วย ส่วนจะมีเจตนาเป็นเจ้าของหรือไม่ซึ่งเป็นเรื่องอยู่ภายในจิตใจ ต้องอาศัยพฤติการณ์ต่างๆ แห่งการยึดถือครอบครองมาประกอบว่าพอจะเป็นการยึดถือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของได้หรือไม่ สำหรับการครอบครองที่ดินพิพาทของ ม.ย. และจำเลย ก่อนวันที่ 8 สิงหาคม 2509 ไม่ได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่มีเอกสารสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ กรณีจึงรับฟังได้ว่าการครอบครองที่ดินพิพาทในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ ส่วนการครอบครองนับแต่วันที่ดินพิพาทมีโฉนดที่ดินแล้ว ก็ไม่ปรากฏถึงพฤติการณ์แห่งการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยว่ามีเจตนาเป็นเจ้าของแต่อย่างใด เนื่องจากไม่ปรากฏว่าจำเลยผู้ครอบครองเคยแสดงออก เช่น หวงกันมิให้บุคคลอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือดูแลรักษาที่ดินพิพาทไว้เพื่อประโยชน์แห่งตนและปฏิเสธต่อการอ้างสิทธิในการเป็นเจ้าของต่อบุคคลอื่นเป็นต้น ดังนั้น การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์และห้ามเกี่ยวข้อง หากไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจท์ 31,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 1,000 บาท นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายออกจากที่ดินโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องและมีคำพิพากษาแสดงว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้โจทก์ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เนื้อที่ 200 ตารางวา พร้อมทั้งแบ่งแยกโฉนดเลขที่ 3369 ตำบลคลองสอง (คลอง 2 ออก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ออกเป็นโฉนดใหม่หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้มอบอำนาจให้นางฮะ ดำเนินคดีแทน จำเลยอยู่ในที่ดินโจทก์เนื้อที่ประมาณ 30 ตารางวา ในฐานะผู้อาศัยสิทธิการเช่าของนายซันผู้เป็นญาติของจำเลย จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง ระหว่างพิจารณาจำเลยถึงแก่กรรม นางฮะ บุตรสาวของจำเลยยื่นคำร้องขอเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้รื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 3369 ตำบลคลองสอง (คลอง 2 ออก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 15,500 บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ 500 บาท นับถัดจากเดือนฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 ตุลาคม 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์กำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ยกฟ้องแย้ง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 3369 ตำบลคลองสอง (คลอง 2 ออก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เนื้อที่ 36 ตารางวา ตามแนวเขตเส้นสีเหลืองในแผนที่วิวาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์มอบอำนาจให้ นายสมศักดิ์ ผู้เป็นบิดาฟ้องและดำเนินคดีแทน จำเลยมอบอำนาจให้นางฮะ ผู้เป็นบุตรสาวดำเนินคดีแทน บ้านเลขที่ 3 หมู่ 12 ตำบลคลองสอง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทอันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 3369 ตำบลคลองสอง (คลอง 2 ออก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี (ธัญบุรี) ซึ่งออกโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2509 ให้แก่นางสาวอิ่ม หรือนางอิ่ม ผู้เป็นบุตรสาวของนายแก้วกับนางหรุ่ม ต่อมาวันที่ 19 มกราคม 2511 นางอิ่มขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นายสมศักดิ์ แล้วเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2517 นายสมศักดิ์จดทะเบียนให้ที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยว่า จำเลยครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์หรือไม่ จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างมีนายมาน ผู้เป็นโต๊ะอิหม่าน กับนางเฮาะ ภรรยาของจำเลยเป็นพยานต่างเบิกความได้ความว่านายมัดและนางเยาะผู้เป็นบิดามารดาของนางเฮาะปลูกบ้านเลขที่ 3 ในที่ดินพิพาทจนถึงวันฟ้องเป็นเวลานานประมาณ 60 ปี นางเฮาะเกิดที่บ้านนี้จนนางเฮาะอายุ 15 ปี ได้แต่งงานกับจำเลยที่บ้านนี้แล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น 1 ปี และกลับมาอยู่ที่บ้านนี้โดยมิได้ย้ายไปไหนอีก ทั้งนี้เป็นการครอบครองโดยสงบและเปิดเผยมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของหรือไม่เพราะการครอบครองโดยปรปักษ์นั้น มิใช่เพียงแต่ยึดถือเพื่อตนเองอย่างสิทธิครอบครองเท่านั้น ยังจะต้องมีการยึดถือครอบครองด้วยเจตนาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นด้วยส่วนจะมีเจตนาเป็นเจ้าของหรือไม่ซึ่งเป็นเรื่องอยู่ภายในจิตใจ ต้องอาศัยพฤติการณ์ต่างๆ แห่งการยึดถือครอบครองมาประกอบว่าพอจะเป็นการยึดถือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของได้หรือไม่ สำหรับการครอบครองที่ดินพิพาทของนายมัด นางเยาะและจำเลยก่อนวันที่ 8 สิงหาคม 2509 ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่มีเอกสารสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ กรณีจึงรับฟังได้ว่าการครอบครองที่ดินพิพาทในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ ส่วนการครอบครองนับแต่วันที่ดินพิพาทมีโฉนดที่ดินแล้ว กรณีนี้ก็ไม่ปรากฏจากพยานคนใดของจำเลยที่แสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์แห่งการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยว่ามีเจตนาเป็นเจ้าของแต่อย่างใด เนื่องจากไม่ปรากฏจำเลยผู้ครอบครองเคยแสดงออก เช่น หวงกันมิให้บุคคลอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือดูแลรักษาที่ดินพิพาทไว้เพื่อประโยชน์แห่งตนและปฏิเสธต่อการอ้างสิทธิในการเป็นเจ้าของต่อบุคคลอื่นเป็นต้น แต่นางเฮาะกลับเบิกความว่า นายไสวผู้ใหญ่บ้านกับนายลีเคยมาติดต่อขอให้เงินเพื่อให้จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาท นางเฮาะเพียงแต่บอกว่าไม่เอาเงินและอยู่มานานแล้วเท่านั้นและนางเฮาะตอบทนายโจทก์ถามค้านอีกว่า ในปี 2539 โจทก์ ทนายโจทก์และนายสมศักดิ์บอกให้ตนกับจำเลยย้ายออกไปจากที่ดินพิพาท จำเลยขอให้โจทก์รื้อถอนบ้านไปปลูกในที่ดินที่นางเฮาะกับจำเลยซื้อไว้โดยไม่เอาค่าขนย้ายอันเป็นการแสดงออกถึงการยอมรับสิทธิของโจทก์อีกด้วย หาใช่เป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือต่อโจทก์แต่อย่างใดไม่ ส่วนโจทก์นำสืบว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าของบุคคลอื่นจากโจทก์จึงไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ ดังนั้นเมื่อจำเลยซึ่งมีภาระการพิสูจน์ในประเด็นเรื่องนี้ แต่สืบได้ไม่สมฟ้องแย้ง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า การครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ชอบที่จะฟ้องขับไล่จำเลยกับบริวาร และเรียกค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ดังกล่าวแล้ว กรณีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 200 ตารางวา หรือไม่อีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์และพิพากษาว่าจำเลยครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์เนื้อที่ 36 ตารางวา นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นแต่ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น" พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ
|