สำนักงานพีศิริ ทนายความ ตั้งอยู่เลขที่ 34/159 หมู่ 8 ซอยบางมดแลนด์ แยก 13 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 ติดต่อทนายความ 085-9604258 สำหรับแผนที่การเดินทาง กรุณาคลิ๊กที่ "ที่ตั้งสำนักงาน" ด้านบนสุด ทนายความ ทนาย สำนักงานกฎหมาย สำนักงานทนายความ ปรึกษากฎหมายกับทนายความลีนนท์ โทรเลย ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความ

ครอบครองที่ดินมรดกตกทอดหาใช่การครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของผู้อื่นไม่
-ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258 -ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line : (1) leenont หรือ (2) @leenont หรือ (3) peesirilaw หรือ (4) @peesirilaw (5) @leenont1 -Line Official Account : เพิ่มเพื่อนด้วย QR CODE ครอบครองที่ดินมรดกตกทอดหาใช่การครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของผู้อื่นไม่ จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมรดกตกทอดมาช้านานแล้ว แม้จะให้การว่าได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวมาด้วยความสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของ แต่เป็นการครอบครองที่ดินที่อ้างว่าจำเลยที่มีสิทธิอยู่แล้ว กรณีหาใช่การครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของผู้อื่นไม่ จำเลยทั้งสามให้การว่าที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านอยู่นั้นเป็นที่มรดกตกทอดมาจากปู่ ย่าตา ยาย จนถึงจำเลยที่ 1 เป็นที่ดินมีการแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) ถูกต้องตามกฎหมาย และจำเลยที่ 1 กับพวกได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมากว่า 30 ปีด้วยความสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของ ส่วนแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) ที่จำเลยอ้างเป็นหลักฐานว่าจำเลยที่ 1เป็นเจ้าของที่ดินนั้น มิใช่หลักฐานแสดงว่าเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนด โจทก์จึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1355 - 1357/2539 คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมรดกตกทอดจากปู่ย่าตายายมาเป็นของจำเลยแม้จะให้การว่าได้ครอบครองที่ดินด้วยความสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของแต่ก็เป็นการครอบครองที่ดินที่อ้างว่าจำเลยมีสิทธิอยู่แล้วกรณีหาใช่การครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของผู้อื่นไม่ปัญหาเรื่องการครอบครองที่ดินปรปักษ์ของผู้อื่นจึงเป็นเรื่องนอกคำให้การไม่ก่อให้เกิดประเด็นถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 3917 ของโจทก์อันเป็นหลักฐานแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ส่วนแบบแจ้งการครอบครอง(ส.ค.1)ที่จำเลยอ้างเป็นหลักฐานว่าจำเลยที่1 เป็นเจ้าของที่ดินมิใช่หลักฐานแสดงว่าเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์โจทก์จึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่า คดีทั้งสามสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณารวมกันโดยให้เรียกจำเลยในสำนวนที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ตามลำดับ โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องเป็นใจความทำนองเดียวกันว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ขออาศัยที่ดินเฉพาะส่วนทางทิศใต้จากมารดาโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ปลูกบ้านลงบนที่ดินดังกล่าว และเมื่อประมาณ 3 ถึง 4 ปี จำเลยที่ 3 ปลูกบ้านลงบนที่ดินดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นที่ดินนาง ถ. โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยทั้งสามอยู่ในที่ดินต่อไป จึงบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไป แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉยขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสามและบริวารพร้อมทั้งรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างอื่นออกไปจากที่ดินของโจทก์ และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์คนละ 100 บาท ต่อเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสามจะรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์ จำเลยทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) เดิมเป็นของนาง น.เมื่อนาง น. ตายจึงเป็นมรดกตกแก่นางอิ่ม แข่งขัน ซึ่งเป็นบุตร นางอิ่มครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา จน พ.ศ. 2497 จึงไปแจ้งการครอบครองต่อทางราชการเมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว นางอิ่มยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 และนางถนอม ปานประเสริฐ ภรรยาจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นบุตร หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 และนาง ถ. ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยความสงบ เปิดเผยอย่างเป็นเจ้าของตลอดมาจนปัจจุบันที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 และนาง ถ.ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นสามีและบุตรของนาง ถ. อยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนาง ถ. ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสามพร้อมบริวาร และให้รื้อถอนบ้าน และสิ่งปลูกสร้างอื่นของจำเลยทั้งสามออกจากที่ดิน และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์คนละ 100 บาท ต่อเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งสามสำนวนอุทธรณ์ โจทก์ทั้งสามสำนวนฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบื้องต้น ตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสามนำสืบรับกันว่า จำเลยทั้งสามปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.2 และศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องตรงกันโดยโจทก์และจำเลยทั้งสามมิได้ฎีกาโต้เถียงว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ 3917 ของโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.1 คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสามจะต้องออกไปจากที่ดินพิพาทหรือไม่ สำหรับประเด็นนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยทั้งสามปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินโฉนดเลขที่ 3917 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินดังกล่าว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสามและบริวาร ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้ที่ดินพิพาทจะเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ 3917 ของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 ก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 ก็ได้ครอบครองที่ดินดังกล่าว ด้วยความสงบ เปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกินกว่า 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์โดยอายุความครอบครองปรปักษ์แล้วพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาพิเคราะห์คำฟ้องและคำให้การของจำเลยแล้วคดีทั้งสามสำนวนนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ 3917ของโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่าที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านอยู่นั้นเป็นที่มรดกตกทอดมาจากปู่ ย่าตา ยาย จนถึงจำเลยที่ 1 เป็นที่ดินมีการแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) ถูกต้องตามกฎหมาย และจำเลยที่ 1 กับพวกได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมากว่า 30 ปีด้วยความสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมรดกตกทอดมาช้านานแล้ว แม้จะให้การว่าได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวมาด้วยความสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของ แต่ก็เป็นการครอบครองที่ดินที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิอยู่แล้ว กรณีหาใช่การครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของผู้อื่นไม่ ปัญหาในเรื่องการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของผู้อื่นจึงเป็นเรื่องนอกคำให้การและไม่ก่อให้เกิดประเด็นถือได้ว่า เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติทั้งสองศาลว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 3917 ของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 อันเป็นหลักฐานแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ส่วนแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) ที่จำเลยอ้างเป็นหลักฐานว่าจำเลยที่ 1เป็นเจ้าของที่ดินนั้น มิใช่หลักฐานแสดงว่าเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์โจทก์จึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่า กรณีจึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้ออกไป จำเลยจึงไม่สิทธิที่จะอยู่ในที่ดินพิพาทอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น" พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 บุคคลใด ครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้ กรรมสิทธิ์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในการยื่นอุทธรณ์นั้น คู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในอุทธรณ์ และต้องเป็น ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งจะต้องเป็นสาระ แก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยด้วย ถ้าคู่ความฝ่ายใดมิได้ยกปัญหาข้อใดอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นหรือคู่ความฝ่ายใดไม่สามารถยกปัญหาข้อกฎหมายใด ๆขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นเพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ หรือเพราะเหตุเป็นเรื่องที่ไม่ ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยกระบวนพิจารณาชั้นอุทธรณ์ คู่ความที่เกี่ยวข้องย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างซึ่งปัญหาเช่นว่านั้นได้ หมายเหตุ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1355-1357/2539 วินิจฉัยเรื่อง คำให้การที่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาท และ การครอบครองปรปักษ์ ซึ่งมีข้อพิจารณาดังนี้ 1. การครอบครองปรปักษ์นั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 บัญญัติไว้ดังนี้ หลักกฎหมายดังกล่าว มีสาระสำคัญดังนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1355-1357/2539 ที่เขียนหมายเหตุนี้วินิจฉัยในสาระสำคัญ ข้อ 1.) ว่า การครอบครองปรปักษ์นั้นผู้ครอบครองต้องครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่น จะครอบครองทรัพย์สินของตนเองไม่ได้ ข้อเท็จจริงในคดีนี้จำเลยที่ 1 อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 โดยได้รับมรดกตกทอดจากปู่ ย่าตายาย แล้วจำเลยที่ 1 จะอ้างจำเลยที่ 1 ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของจำเลยที่ 1 เองไม่ได้ ซึ่งเป็นการวินิจฉัยที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1355-1357/2537 ที่เขียนหมายเหตุนี้มีปัญหาว่า จำเลยให้การชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง หรือไม่ และก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมรดกตกทอดมาช้านานแล้ว แม้จะให้การว่าได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวมาด้วยความสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของ แต่เป็นการครอบครองที่ดินที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 มีสิทธิอยู่แล้ว กรณีหาใช่การครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของผู้อื่นไม่ ปัญหาเรื่องการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของผู้อื่น จึงเป็นเรื่องนอกคำให้การและไม่ก่อให้เกิดประเด็น คำวินิจฉัยของศาลฎีกาดังกล่าว หมายความว่า คำให้การของจำเลยเรื่องการครอบครองปรปักษ์นั้นเป็นคำให้การที่ไม่ชอบถือว่าจำเลยไม่ได้ให้การในประเด็นนี้ (เป็นเรื่องนอกคำให้การ) และไม่ก่อให้เกิดประเด็น ซึ่งมีผลต่อไปว่าเรื่องการครอบครองปรปักษ์นี้ แม้จะมีการสืบมาในศาลชั้นต้นก็มิให้ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น จะยกขึ้นฎีกาไม่ได้หรือแม้จะยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย 5. ข้อวิเคราะห์ ผู้เขียนหมายเหตุเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยได้ให้การชัดเจนโดยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ว่าที่ดินพิพาทมิใช่ของโจทก์ และให้เหตุผลแห่งการปฏิเสธ 2 ประการคือ ประการแรกอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยได้รับมรดกตกทอดจากปู่ ย่าตายาย และอ้างเหตุประการที่สองว่า จำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทแล้วปัญหามีว่า เหตุผลในการปฏิเสธของจำเลยทั้ง 2 ประการนั้นขัดกันหรือไม่ ผู้เขียนหมายเหตุเห็นว่า จำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยได้รับมรดกมาจากผู้อื่น และอย่างไรก็ตามจำเลยก็ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์เหตุผลทั้งสองประการต่างก็อ้างเพื่อสนับสนุนว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยซึ่งเป็นไปในทางเดียวกัน มิได้ขัดแย้งกันแต่อย่างใด ปัญหาว่าจำเลยอ้างว่าครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของตนเองเป็นข้ออ้างที่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่ผู้เขียนหมายเหตุเห็นว่า กรณีนี้จำเลยมิได้อ้างว่าจำเลยครอบครองปรปักษ์ที่ดินของตนเอง แต่อ้างเพื่อปฏิเสธว่าที่ดินพิพาทมิใช่ที่ดินของโจทก์เพราะโจทก์อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์จำเลยจึงปฏิเสธว่าที่ดินพิพาทมิใช่ของโจทก์ โดยจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทแล้วจึงมิใช่เป็นการอ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินของตนเองแต่อย่างใด ผู้เขียนหมายเหตุเห็นว่า คำให้การของจำเลยคดีนี้น่าจะชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา177 วรรคสองแล้ว จึงก่อให้เกิดประเด็นและถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นแล้ว หากข้อเท็จจริงคดีนี้เปลี่ยนเป็นว่า จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นอ้างว่าที่ดินพิพาทจำเลยที่ 1 ได้มาโดยการรับมรดกจากปู่ ย่าตายาย และจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าที่จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ศาลชั้นต้นจึงจะยกคำร้องโดยอ้างว่า ผู้ร้องจะอ้างครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของตนเองไม่ได้ แต่กรณีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1355-1357/2539 นี้ผู้เขียนหมายเหตุเห็นว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิให้การว่าที่ดินพิพาทจำเลยที่ 1 ได้มาโดยครอบครองปรปักษ์ได้ การครอบครองปรปักษ์ในที่ดินที่ตนเองมีสิทธิอยู่แล้วไม่ได้
|