การครอบครองปรปักษ์ขาดตอนเมื่อเปลี่ยนเจ้าของ-การนับระยะเวลาครอบครองปรปักษ์
การนับระยะเวลาครอบครองปรปักษ์ถือเอาระยะเวลาครอบครองของฝ่ายผู้ครอบครองที่ต้องครอบครองติดต่อกัน ไม่ต้องพิจารณาถึงตัวเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกครอบครองว่าจะได้โอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้อื่นหรือไม่ และไม่จำต้องถือเอาทางฝ่ายเจ้าของอสังหาริมทรัพย์แต่ละคนที่รับโอนกรรมสิทธิ์มาเป็นเกณฑ์ในการเริ่มนับระยะเวลาครอบครองใหม่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนตัวเจ้าของหากบุคคลภายนอกรับโอนโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1299 วรรคสอง มีผลทำให้การครอบครองปรปักษ์ก่อนหน้านั้นสิ้นไป ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว มาตรา 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์ จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่หมายเหตุนี้เป็นการที่ ช. เจ้าของเดิมขายที่ดินพิพาทให้บิดาของโจทก์ทั้งห้าในขณะที่จำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินดังกล่าวยังไม่ครบสิบปี จากนั้นบิดาโจทก์ทั้งห้าก็ยกที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ทั้งห้า จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าโจทก์ทั้งห้ารับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทน แต่มิได้ให้การว่าบิดาของโจทก์ทั้งห้ารับโอนโดยไม่สุจริต จึงไม่มีประเด็นว่าบิดาของโจทก์ทั้งห้าซื้อที่ดินพิพาทมาจาก ช. เจ้าของเดิมโดยไม่สุจริตและต้องถือว่าบิดาโจทก์ทั้งห้าซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 6 การครอบครองปรปักษ์ของจำเลยทั้งสองจึงขาดตอนตั้งแต่บิดาโจทก์ทั้งห้ารับโอนมาแล้วแม้โจทก์ทั้งห้าจะรับโอนที่ดินพิพาทมาจากบิดาโดยไม่เสียค่าตอบแทนหรือไม่สุจริตแต่จำเลยทั้งสองก็ครอบครองที่ดินดังกล่าวยังไม่ครบสิบปีนับแต่วันที่บิดาโจทก์รับโอนมาจาก ช. จำเลยทั้งสองจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ นับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ในระหว่างเป็นที่ดินมือเปล่ารวมเข้าไม่ได้ การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์จะนับระยะเวลาการครอบครองในระหว่างเป็นที่ดินมือเปล่าก่อนที่ดินออกโฉนดที่ดินรวมเข้ากับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ภายหลังที่ดินมีโฉนดแล้วไม่ได้ ขณะที่มีการออกโฉนดที่ดินในที่ดินปี 2529 เข้าครอบครองปรปักษ์ที่ดินเมื่อปี 2533 ฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2541 ยังไม่ครบ 10 ปี จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2270/2554 ป.พ.พ. มาตรา 1382 การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 จะต้องเป็นการครอบครองที่ดินที่ผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์และครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ผู้ร้องจะนับระยะเวลาการครอบครองในระหว่างเป็นที่ดินมือเปล่าก่อนที่ดินพิพาทออกโฉนดรวมเข้ากับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ภายหลังที่ดินมีโฉนดแล้วหาได้ไม่ ขณะที่มีการออกโฉนดที่ดินในที่ดินพิพาทปี 2529 ผู้ร้องไม่ได้คัดค้านอย่างใด ต่อมาปี 2533 ผู้ร้องเข้าไปตักดินในที่ดินพิพาท ผู้คัดค้านห้ามแล้วไม่หยุด ผู้คัดค้านจึงนำโฉนดที่ดินไปแจ้งความที่สถานีตำรวจว่าผู้ร้องบุกรุก ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินพิพาทและแสดงออกว่ามีเจตนาเป็นเจ้าของเมื่อปี 2533 เมื่อนับระยะเวลาจนถึงผู้ร้องยื่นคำร้องขอคดีนี้เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2541 ยังไม่ครบ 10 ปี ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1722 ตำบลกมลา อำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ 10 ไร่ 3 ตารางวา ซึ่งมีชื่อนายอนันต์ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โดยผู้ร้องเข้าครอบครองทำประโยชน์โดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ เป็นเวลาเกินกว่า 20 ปี ขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยการครอบครอง และขอให้มีหนังสือแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตแก้ทะเบียนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1722 โดยใส่ชื่อผู้ร้องในโฉนดที่ดินดังกล่าวแทนนายอนันต์ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและฟ้องแย้งว่า ผู้ร้องเพิ่งบุกรุกเข้าครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1722 เมื่อปี 2535 โดยสร้างบ้าน 2 หลัง บริเวณริมแนวเขตด้านทิศเหนือ ต่อมาปี 2537 ผู้ร้องได้สร้างรั้วล้อมรอบที่ดินโฉนดเลขที่ 1722 เมื่อนับแต่วันที่ผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1722 จนถึงวันยื่นคำร้องขอยังไม่ถึง 10 ปี ผู้ร้องจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1722 โดยการครอบครอง ดังนั้น ผู้คัดค้านยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าว ผู้ร้องอาศัยอยู่ในที่ดินของผู้คัดค้าน โดยผู้คัดค้านไม่อนุญาต ขอให้ยกคำร้องขอของผู้ร้อง และขับไล่ผู้ร้องพร้อมบริวารและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินทั้งหมดออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1722 ตำบลกมลา อำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ต ผู้ร้องให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 20 ปี โดยผู้ร้องได้ปลูกบ้านอยู่อาศัย ปลูกพืชผลอาสินและไม้ยืนต้นในที่ดินพิพาทเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 20 ปี ไม่ใช่เพิ่งบุกรุกที่ดินพิพาทเมื่อปี 2535 ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง ขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ผู้ร้องรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างของผู้ร้องออกจากที่ดินพิพาทของผู้คัดค้าน และห้ามเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท ให้ผู้ร้องและบริวารออกจากที่ดินพิพาทของผู้คัดค้าน ยกคำร้องขอของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,500 บาท แทนผู้คัดค้าน และให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนผู้คัดค้าน โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1722 ตำบลกมลา อำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ 10 ไร่ 3 ตารางวา มีชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยซื้อมาจากบริษัทเหมืองแร่กำมะรา จำกัด เมื่อปี 2531 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองหรือไม่ เห็นว่า การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จะต้องเป็นการครอบครองที่ดินที่ผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์และครอบครองโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี คดีนี้ ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 1722 เอกสารหมาย ร.3 ปรากฏว่า ที่ดินพิพาทได้ออกโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2529 ดังนี้ แม้ผู้ร้องอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2512 ซึ่งขณะนั้นที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่ายังไม่มีหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เช่นนี้ผู้ร้องจะนับระยะเวลาการครอบครองก่อนที่ดินพิพาทออกโฉนดรวมเข้ากับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ภายหลังที่ดินมีโฉนดแล้วหาได้ไม่ กรณีมีปัญหาว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดตั้งแต่ที่ดินพิพาทออกโฉนดที่ดินแล้วหรือไม่ ในข้อนี้ผู้ร้องเบิกความโดยรวมว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินส่วนของผู้ร้องและที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ติดต่อกันเป็นแปลงเดียวตลอดมาตั้งแต่ปี 2512 โดยไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่าที่ดินพิพาทมีอาณาเขตอย่างไร กว้างยาวเท่าใด อ้างเพียงลอย ๆ ว่าได้ทำรั้วล้อมรอบที่ดินเท่านั้น แต่นายหมีด พยานผู้ร้องกลับเบิกความว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของบิดาผู้ร้อง ต่อมาได้ยกให้ผู้ร้องเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2524 แสดงว่าผู้ร้องเพิ่งครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อปี 2524 ซึ่งขัดกับคำเบิกความของผู้ร้องในข้อสำคัญ ฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อใด และแม้ผู้ร้องจะมีนายสนิท กับนายดนล่ะ มาเป็นพยานก็เบิกความรวม ๆ เช่นกันว่า ผู้ร้องครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แต่พยานไม่ทราบว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่และอาณาเขตอย่างไร ซึ่งผู้ร้องได้เบิกความว่า ผู้ร้องปลูกบ้านเลขที่ 64/13 หลังที่สองเมื่อปี 2536 หรือ 2537 โดยการตักทรายออกขายแล้วสร้างบ้านบนที่ดินเช่นนี้ เมื่อผู้ร้องไม่ได้นำสืบให้ชัดเจนว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทมีอาณาเขตแท้จริงเท่าใด และตั้งแต่เมื่อใด จึงฟังไม่ได้แน่ชัดว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ที่ดินพิพาทมีโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2529 กลับได้ความจากข้อนำสืบของผู้คัดค้านโดยมีนายชัย เบิกความสนับสนุนว่า ผู้คัดค้านซื้อที่ดินพิพาทมาเมื่อปี 2531 ขณะรับโอนไม่มีสิ่งปลูกสร้าง สภาพเป็นดินทราย มีต้นมะพร้าว ต้นมะขาม และต้นมะม่วงหิมพานต์ มีรั้วลวดหนามและเสาไม้ มีนายชัย ช่วยดูแล ต่อมาปี 2533 ผู้ร้องเข้าไปตักดินในที่ดินพิพาท ห้ามแล้วไม่หยุด ผู้คัดค้านจึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรตำบลกมลา ซึ่งผู้ร้องได้ตอบทนายผู้คัดค้านถามค้านยอมรับว่า เมื่อประมาณ 10 กว่าปีมาแล้ว ผู้คัดค้านเคยไปตักทรายในที่พิพาท ผู้ร้องห้าม ผู้คัดค้านได้นำโฉนดที่ดินไปแจ้งความว่าผู้ร้องบุกรุก เจือสมข้อนำสืบของผู้คัดค้าน นอกจากนี้ผู้คัดค้านยังมีนายอารยะ เบิกความว่า เมื่อปี 2528 พยานได้รังวัดที่ดินพิพาทเพื่อออกโฉนดที่ดินระหว่างที่ดินของผู้ร้องกับที่ดินพิพาทมีรั้วไม้ขึงด้วยลวดหนามกั้นระหว่างกัน ในการรังวัดพยานพบผู้ร้องแต่ไม่คัดค้านและมีนายสะอาด กำนันตำบลท้องที่เกิดเหตุเบิกความสนับสนุนว่า ในวันรังวัดออกโฉนดที่ดินพิพาท พยานไประวังแนวเขต ขณะนั้นที่ดินพิพาทมีเสาไม้ขึงด้วยลวดหนามล้อมที่ดินพิพาท ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง เห็นว่า พยานดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานไม่มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องกับฝ่ายใด จึงเป็นพยานคนกลางมีน้ำหนักเชื่อถือได้ แสดงว่าในขณะมีการออกโฉนดที่ดินพิพาทในปี 2528 และปี 2529 ที่ดินพิพาทแยกจากที่ดินของผู้ร้องเป็นส่วนสัดมีรั้วล้อมรอบ ไม่ใช่ที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินของผู้ร้องดังที่ผู้ร้องนำสืบ และผู้ร้องไม่ได้คัดค้านการออกโฉนดที่ดินในที่ดินพิพาทของบริษัทเหมืองแร่กำมะรา จำกัด ซึ่งผิดวิสัยของผู้ที่เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทย่อมหวงกันมิให้ผู้อื่นเข้าเกี่ยวข้อง จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ที่ดินพิพาทมีโฉนดที่ดินเมื่อปี 2529 ดังนี้ ตามพยานหลักฐานของผู้คัดค้านจึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของผู้ร้อง ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ผู้คัดค้านนำสืบว่า ผู้ร้องได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทและแสดงออกว่ามีเจตนาเป็นเจ้าของเมื่อปี 2533 เมื่อมีการพิพาทกันในเรื่องตักทรายในที่ดินพิพาท ซึ่งเมื่อนับระยะเวลาจนถึงผู้ร้องยื่นคำร้องขอคดีนี้เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2541 ยังไม่ครบ 10 ปี ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามหนังสือแสดงสิทธิครอบครอง (ส.ค.1) ผู้คัดค้านได้ที่ดินพิพาทโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่าที่ดินพิพาทมีชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โดยไม่ได้โต้แย้งการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทของผู้คัดค้าน เท่ากับผู้ร้องยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้าน แต่ผู้ร้องอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ เมื่อผู้คัดค้านโต้แย้งว่าผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทด้วยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องมาก่อนและไม่มีประเด็นว่าผู้คัดค้านได้ที่ดินพิพาทมาโดยชอบหรือไม่ดังที่ผู้ร้องฎีกา ส่วนฎีกาข้ออื่นเป็นข้อปลีกย่อยไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น” พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ การครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น จำเลยให้การและฟ้องแย้งในตอนแรกว่า ที่ดินพิพาทเป็นของบิดามารดาจำเลย ต่อมาบิดามารดายกที่ดินพิพาทให้จำเลย เท่ากับจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่จำเลยกลับให้การและฟ้องแย้งในตอนหลังว่า จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกิน 10 ปีแล้ว กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลยเช่นกัน จึงขัดแย้งกับคำให้การและฟ้องแย้งในตอนแรก รูปคดีตามที่โจทก์ฟ้องและจำเลยให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวจึงไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5252/2550 ป.พ.พ. มาตรา 1373, 1382 ป.วิ.พ. มาตรา 84(เดิม), 177 วรรคสอง, 177 วรรคสาม, 249 วรรคหนึ่ง โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทที่ได้จดทะเบียนแล้ว ย่อมสันนิษฐานไว้ก่อนว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 จำเลยกล่าวอ้างว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและให้จำเลยเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัย โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยและบริวารอยู่อาศัยอีกต่อไป ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไป จำเลยให้การและฟ้องแย้งในตอนแรกว่า ที่ดินพิพาทเป็นของบิดามารดาจำเลย ต่อมาบิดามารดายกที่ดินพิพาทให้จำเลย เท่ากับจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของของจำเลย แต่จำเลยกลับให้การและฟ้องแย้งในตอนหลังว่า จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกิน 10 ปีแล้ว กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลยเช่นกัน จึงขัดแย้งกับคำให้การและฟ้องแย้งในตอนแรก รูปคดีตามที่โจทก์ฟ้องและจำเลยให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวจึงไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382 เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 จะรับวินิจฉัยให้ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์ให้จำเลยเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยและทำประโยชน์ ต่อมาต้นเดือนมิถุนายน 2539 โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยและบริวารอยู่อาศัยอีกต่อไป จึงบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากมี่ดินของโจทก์ จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่น้อยกว่าเดือนละ 10,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อัตราเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาโดยได้รับยกเว้นค่าขึ้นศาลกึ่งหนึ่งว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ที่ดินดังกล่าวเป็นของนายชั้นและนางบุบผา บิดามารดาโจทก์และจำเลย ที่จับจองและครอบครองทำประโยชน์เพียงแต่ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน ต่อมาปี 2529 บิดามารดายกมี่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย และจำเลยครอบครองทำประโยชน์โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ให้ไปจดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์เป็นการครอบครองแทนโจทก์ โดยจำเลยไม่เคยแสดงเจตนาหรือบอกกล่าวให้โจทก์ทราบว่าไม่มีเจตนาที่จะยึดถือที่ดินดังกล่าวแทนโจทก์อีกต่อไป ขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดิน ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ ยกฟ้องแย้ง จำเลยอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน จำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่าโจทก์และจำเลยเป็นบุตรนายชั้นและนางบุบผา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 13 คน โจทก์เป็นบุตรคนโต ส่วนจำเลยเป็นบุตรคนสุดท้อง เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นผู้แจ้งการครอบครองต่อมาได้เปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ปี 2516 จำเลยเข้าไปอยู่ในที่ดินพิพาท ต่อมาวันที่ 8 เมษายน 2530 โจทก์แบ่งที่ดินพิพาทบางส่วนให้นายชูชาติ น้องชาย เพื่อทำรางน้ำเข้าที่ดินของนายชูชาติ นายชั้นถึงแก่กรรมเมื่อปี 2534 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนนายชั้น เห็นว่า โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทที่ได้จดทะเบียนแล้ว ย่อมสันนิษฐานไว้ก่อนว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 จำเลยกล่าวอ้างว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 7938 ตำบลนาโคก อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบไม่น่าเชื่อถือและไม่อาจรับฟังหักล้างข้อสันนิษฐานตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ หาใช่โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแทนนายชั้นตามที่จำเลยฎีกาไม่ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและให้จำเลยเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัย โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยและบริวารอยู่อาศัยอีกต่อไป ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไป จำเลยให้การและฟ้องแย้งในตอนแรกว่า ที่ดินพิพาทเป็นของบิดามารดาจำเลย ต่อมาบิดามารดายกที่ดินพิพาทให้จำเลย เท่ากับจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่จำเลยกลับให้การและฟ้องแย้งในตอนหลังว่า จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกิน 10 ปีแล้ว กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลยเช่นกัน จึงขัดแย้งกับคำให้การและฟ้องแย้งในตอนแรก รูปคดีตามที่โจทก์ฟ้องและจำเลยให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวจึงไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 จะรับวินิจฉัยให้ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย” พิพากษายืน การครอบครองปรปักษ์กับการนับเวลาการครอบครองต่อเนื่องต่อจากเจ้าของเดิม ผู้ขายครอบครองที่ดินมีโฉนดของผู้อื่นโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ แล้วขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อโดยส่งมอบการครอบครองผู้รับโอนจะนับเวลาซึ่งผู้โอนครอบครองอยู่ก่อนนั้น รวมเข้ากับเวลาครอบครองของตนก็ได้ |