
| บังคับแบ่งมรดก & เพิกถอนโอน,ผู้จัดการมรดก, (ฎีกา 3886/2566)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการแบ่งปันทรัพย์มรดกตามบันทึกเป็นหนังสือที่ทายาทลงลายมือชื่อร่วมกัน ซึ่งมีผลผูกพันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1750 ศาลวินิจฉัยให้เพิกถอนการโอนที่ดินตาม น.ส.3ก. เฉพาะส่วนสิทธิของโจทก์ และวางหลักว่าผู้จัดการมรดกที่ถึงแก่ความตาย สิทธิและหน้าที่ในฐานะผู้จัดการย่อมสิ้นสุด ไม่อาจบังคับให้ทายาทผู้เข้าเป็นคู่ความแทนกระทำการแบ่งปันแทนได้ พร้อมยืนยันว่าในบางแปลงที่คู่ความตามบันทึกมีสิทธิเท่านั้น (เช่น โฉนด 62649) สามารถทำธุรกรรมได้ ไม่เป็นการกระทบกองมรดก และไม่ถึงขั้นถูกกำจัดมิให้รับมรดกตามมาตรา 1605 1) ข้อเท็จจริงโดยย่อ • ผู้ตายมีที่ดินพิพาท 3 แปลง: น.ส.3ก. เลขที่ 37, โฉนด 62649 และโฉนด 49023 • วันที่ 6 ส.ค. 2560 ทายาท (โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสอง) ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งมรดกต่อหน้าผู้ใหญ่บ้านและลงลายมือชื่อทุกฝ่าย • ต่อมา ผู้จัดการมรดก (จำเลยที่ 1) โอน น.ส.3ก. เลขที่ 37 ให้จำเลยที่ 2 และโอนโฉนด 62649 ให้ตนเองแล้วให้จำเลยที่ 2 ซึ่งภายหลังจำเลยที่ 2 นำไปจำนอง • โจทก์ฟ้องเพิกถอนการโอนและให้แบ่งแยกที่ดินตามส่วนที่ควรได้ พร้อมข้ออ้างกำจัดจำเลยที่ 2 ไม่ให้รับมรดก 2) ประเด็นต้องวินิจฉัย • บันทึกลงชื่อร่วมกัน (จ.17) เป็น “การแบ่งปันมรดกโดยสัญญาที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1750 หรือไม่ • การโอน น.ส.3ก. เลขที่ 37 โดยผู้จัดการมรดกให้จำเลยที่ 2 ชอบด้วยอำนาจหรือไม่ และเพิกถอนได้เพียงใด • สภาพสิทธิในโฉนด 62649 และ 49023 ตามบันทึก และผลทางกฎหมายต่อธุรกรรมภายหลัง • ผลของการถึงแก่ความตายของผู้จัดการมรดกต่ออำนาจแบ่งปัน • เงื่อนไขการใช้ ป.ที่ดิน มาตรา 61 ในการปฏิบัติตามคำพิพากษา 3) คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • บันทึก จ.17 เป็นการแบ่งปันมรดกโดยสัญญาที่มีหลักฐานเป็นหนังสือตาม ป.พ.พ. มาตรา 1750 วรรคสอง มีผลผูกพันทุกฝ่าย • โอน น.ส.3ก. เลขที่ 37 โดยจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 เป็นการโอนโดยปราศจากอำนาจ ขัดต่อบันทึก แต่อำนาจเพิกถอนได้ “เฉพาะส่วนสิทธิของโจทก์” เท่านั้น • โฉนด 62649: ตามบันทึกกำหนดให้เป็นสิทธิของจำเลยทั้งสองเท่านั้น ธุรกรรมภายหลังจึงไม่เป็นการกระทบกองมรดก ไม่เป็นนิติกรรมปฏิปักษ์ต่อกองมรดก (มาตรา 1722) และไม่เป็นเหตุ “กำจัดมิให้รับมรดก” (มาตรา 1605) • โฉนด 49023: บันทึกให้โจทก์ที่ 3 กับจำเลยที่ 2 คนละ 1/2 แต่ยังไม่แบ่งจริง และเมื่อผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย สิทธิหน้าที่ในฐานะดังกล่าวสิ้นสุด จึงพิพากษา “แสดงกรรมสิทธิ์” ให้โจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของ 1/2 ไม่อาจบังคับให้ทายาทผู้เข้าแทนทำการแบ่งแทนผู้จัดการ • การเพิกถอนการโอนอาศัย ป.ที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด ให้พนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาได้ ไม่ใช่กรณีให้ถือเอาคำพิพากษาแทนเจตนาตาม ป.พ.พ. มาตรา 213 วรรคสอง 4) กฎหมายที่เกี่ยวข้อง • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 (การแบ่งปันมรดกโดยสัญญาที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ), มาตรา 1722 (ห้ามผู้จัดการมรดกทำการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก), มาตรา 213 วรรคสอง (คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา) • ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด (การปฏิบัติตามคำพิพากษาเพิกถอน/แก้ไขการจดทะเบียน) 5) วิเคราะห์ประเด็นสำคัญเชิงลึก 5.1 “บันทึกแบ่งมรดก” ต้องหน้าตาอย่างไรจึงผูกพัน • มาตรา 1750 วรรคสอง วางหลักว่าหาก “การแบ่งปันโดยสัญญา” มีหลักฐานเป็นหนังสือและลงชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือผู้แทน ย่อมฟ้องบังคับได้ • คดีนี้มีบันทึกต่อหน้าผู้ใหญ่บ้าน ลงชื่อทายาททุกฝ่าย และระบุฐานะ “ผู้จัดการมรดก” ของจำเลยที่ 1 ชัดเจน จึงมีผลผูกพันเชิงนิติกรรมยอมความ 5.2 ขอบเขตการเพิกถอน “เฉพาะส่วน” • ศาลย้ำว่าการเพิกถอนการโอน น.ส.3ก. ทำได้เพียง “ส่วนสิทธิของโจทก์” เพราะจำเลยทั้งสองมีสิทธิตามบันทึกคนละ 1/5 ด้วย จึงไม่อาจเพิกถอนเกินส่วน • แนวนี้ช่วยป้องกันการกระทบสิทธิทายาทอื่นเกินจำเป็น และเป็นบรรทัดฐานเรื่องการเยียวยาแบบจำกัดส่วน 5.3 โฉนด 62649 กับข้อยกเว้น “ปฏิปักษ์ต่อกองมรดก” • เมื่อบันทึกกำหนดให้โฉนด 62649 เป็นของจำเลยทั้งสองเท่านั้น ธุรกรรมโอนและจำนองภายหลังย่อมอยู่ในอำนาจเจ้าของ ไม่ใช่การทำให้กองมรดกเสียหาย • จึงไม่เข้า มาตรา 1722 และไม่ถึงขั้น “ยักย้ายมรดก” ให้ถูกกำจัดจากมรดกตามมาตรา 1605 5.4 การสิ้นสุดสิทธิหน้าที่ของผู้จัดการมรดก • ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย สิทธิเฉพาะตัวในตำแหน่งย่อมสิ้นสุด ทายาทผู้เข้าแทนไม่รับช่วงภาระ “ต้องกระทำการแบ่งแทน” • ศาลจึงใช้วิธี “แสดงกรรมสิทธิ์” ให้โจทก์ที่ 3 ในโฉนด 49023 เป็นเจ้าของ 1/2 ตามบันทึก แล้วดำเนินการทางทะเบียนต่อไปตาม ป.ที่ดิน มาตรา 61 5.5 ป.ที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด กับกลไกปฏิบัติ • เมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอน/แก้ไข พนักงานที่ดินต้องดำเนินการตามวิธีที่อธิบดีกำหนด • คดีนี้จึงไม่ต้องอาศัยคำพิพากษาแทนเจตนา (มาตรา 213 วรรคสอง) เพราะเป็นเรื่อง “การเพิกถอนจดทะเบียน” ที่กฎหมายที่ดินกำหนดช่องทางไว้ชัดเจน 6) คำพิพากษา • เพิกถอนการโอน น.ส.3ก. เลขที่ 37 ระหว่างจำเลยที่ 1 (ผู้จัดการมรดก) กับจำเลยที่ 2 เฉพาะส่วนของโจทก์ โดยให้โจทก์ทั้งสามมีสิทธิคนละ 1/5 • ให้โจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของโฉนด 49023 จำนวน 1/2 • คำขอเกี่ยวกับโฉนด 62649 และคำขออื่นให้ยก 7) ข้อคิดทางกฎหมาย • ทำ “บันทึกแบ่งมรดกเป็นหนังสือ” ให้ชัด ลงชื่อทุกฝ่าย ช่วยลดข้อพิพาท และฟ้องบังคับได้ตาม มาตรา 1750 • เพิกถอนการโอนให้ “จำกัดเฉพาะส่วนสิทธิ” ของผู้ฟ้อง เพื่อไม่กระทบสิทธิทายาทอื่น • ตรวจบันทึกให้ดีว่าแปลงใดเป็นของใคร หากบันทึกกำหนดสิทธิชัด ทายาทที่มีสิทธิย่อมทำธุรกรรมได้ ไม่เป็นการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก • ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย อำนาจหน้าที่สิ้นสุด ต้องใช้วิธี “แสดงกรรมสิทธิ์” แทนการบังคับให้ทายาทผู้เข้าแทนไปแบ่งปัน • เมื่อศาลสั่งเพิกถอนจดทะเบียน ให้เดินเรื่องผ่านพนักงานที่ดินตาม ป.ที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด IRAC Issue (ปัญหาข้อกฎหมาย) 1. บันทึก จ.17 เป็น “การแบ่งปันมรดกโดยสัญญาที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1750 หรือไม่ และมีผลผูกพันเพียงใด 2. การโอน น.ส.3ก. ให้จำเลยที่ 2 โดยผู้จัดการมรดกชอบด้วยอำนาจหรือไม่ ควรเพิกถอนได้ในขอบเขตใด 3. ธุรกรรมเกี่ยวกับโฉนด 62649 และ 49023 มีผลอย่างไรภายใต้บันทึก และเข้าห้ามตามมาตรา 1722 หรือไม่ 4. เมื่อผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย จะบังคับให้ทายาทผู้เข้าแทนกระทำการแบ่งปันแทนได้หรือไม่ และต้องใช้ช่องทางกฎหมายใดเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษา Rule (กฎเกณฑ์) • ป.พ.พ. มาตรา 1750 วรรคสอง: การแบ่งปันโดยสัญญาจะฟ้องบังคับได้ต้องมี “หลักฐานเป็นหนังสือ” ลงชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด/ผู้แทน • ป.พ.พ. มาตรา 1722: ผู้จัดการมรดกห้ามทำนิติกรรมปฏิปักษ์ต่อกองมรดก • ป.พ.พ. มาตรา 213 วรรคสอง: คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ใช้ในหนี้ที่เป็นการทำนิติกรรม • ป.ที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด: คำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอน/แก้ไข ให้พนักงานที่ดินดำเนินการตามวิธีอธิบดี Application (การปรับใช้) • จ.17 ทำต่อหน้าผู้ใหญ่บ้าน ลงชื่อทายาททุกฝ่ายและผู้จัดการมรดก จึงเข้าเงื่อนไข “หลักฐานเป็นหนังสือ” และมีผลผูกพันตาม มาตรา 1750 • การโอน น.ส.3ก. ให้จำเลยที่ 2 ขัดบันทึก จึงเป็นการปราศจากอำนาจ เพิกถอนได้ตามส่วนสิทธิของโจทก์เท่านั้น เพราะจำเลยทั้งสองก็มีสิทธิตามบันทึกด้วย • โฉนด 62649 ถูกกำหนดให้เป็นสิทธิของจำเลยทั้งสอง ธุรกรรมภายหลังจึงไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก (ไม่เข้า มาตรา 1722) และไม่เป็นเหตุให้ถูกกำจัดจากมรดก (มาตรา 1605) • โฉนด 49023 บันทึกให้โจทก์ที่ 3 กับจำเลยที่ 2 คนละ 1/2 แต่ยังไม่แบ่งจริง เมื่อผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย อำนาจหน้าที่สิ้นสุด ไม่บังคับทายาทผู้เข้าแทนให้แบ่งแทน จึงพิพากษา “แสดงกรรมสิทธิ์” แทน • การเพิกถอนจดทะเบียนให้พนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษา (มาตรา 61 วรรคแปด) ไม่ต้องใช้คำพิพากษาแทนเจตนา (มาตรา 213 วรรคสอง) Conclusion (ข้อสรุป) • บันทึก จ.17 มีผลผูกพันเป็นการแบ่งปันมรดกตามกฎหมาย • เพิกถอนโอน น.ส.3ก. เฉพาะส่วนสิทธิของโจทก์ • ธุรกรรมเกี่ยวกับโฉนด 62649 ชอบด้วยสิทธิของจำเลยทั้งสอง ไม่กระทบกองมรดก • โฉนด 49023 พิพากษาให้โจทก์ที่ 3 มีกรรมสิทธิ์ 1/2 และใช้กลไก ป.ที่ดิน มาตรา 61 ในการจดทะเบียนให้เป็นไปตามคำพิพากษา แนวคำถาม - ธงคำตอบ ✅ คำถามที่ 1 โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นลายลักษณ์อักษรต่อหน้าผู้ใหญ่บ้าน โดยลงลายมือชื่อรับรองทุกฝ่าย แต่ในภายหลัง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกกลับโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 เพียงคนเดียวโดยไม่แบ่งให้โจทก์ตามที่ตกลงกัน ทั้งที่มีบันทึกดังกล่าวเป็นหลักฐานและโจทก์ได้นำสืบอ้างถึงข้อตกลงนี้ต่อศาล จำเลยโต้แย้งว่าโจทก์นำสืบเกินฟ้องและข้อตกลงดังกล่าวไม่ใช่การแบ่งมรดกทางกฎหมาย โจทก์มีสิทธิบังคับตามข้อตกลงนั้นหรือไม่ และการนำสืบของโจทก์เป็นการนำสืบเกินฟ้องหรือไม่ ✅ คำตอบ บันทึกตกลงแบ่งมรดกดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาแบ่งปันมรดกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคสอง เพราะเป็นข้อตกลงที่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของทายาททุกฝ่าย รวมทั้งผู้จัดการมรดกในฐานะตัวแทนกองมรดก จึงมีผลผูกพันเช่นเดียวกับการแบ่งมรดกโดยสมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้โจทก์จะมิได้อ้างรายละเอียดของบันทึกดังกล่าวในคำฟ้อง แต่ได้อ้างถึงสิทธิในมรดกและเรียกให้แบ่งมรดกตามสิทธิ จึงถือว่าการอ้างบันทึกดังกล่าวไม่ได้ทำให้เกิดการนำสืบเกินฟ้อง เนื่องจากข้อเท็จจริงตามบันทึกเป็นประเด็นเกี่ยวข้องกับสภาพแห่งสิทธิที่โจทก์ย่อมต้องแสดงเพื่อพิสูจน์สิทธิของตน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อตกลงนี้จึงใช้บังคับได้ โจทก์มีสิทธิบังคับตามข้อตกลง และมิใช่กรณีที่โจทก์นำสืบเกินฟ้องหรือนอกประเด็น ✅ คำถามที่ 2 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ได้โอนที่ดินมรดกให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 นำไปจำนองต่อบุคคลภายนอกโดยอ้างว่าที่ดินนั้นผู้ตายยกให้จำเลยที่ 2 ตั้งแต่ยังมีชีวิตและจำเลยที่ 2 เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูผู้ตาย เมื่อมีบันทึกตกลงแบ่งมรดกภายหลัง และจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายภายหลังการโอน โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนและให้บังคับแบ่งมรดกตามบันทึกสัญญาหรือไม่ และคำขอจะสิ้นสุดลงเพราะผู้จัดการมรดกตายหรือไม่ ✅ คำตอบ ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่รักษาทรัพย์มรดกและแบ่งมรดกตามสิทธิของทายาท เมื่อมีบันทึกแบ่งมรดกที่ลงลายมือชื่อทุกฝ่ายและมีผลตามกฎหมาย ผู้จัดการมรดกไม่มีอำนาจโอนที่ดินเกินส่วนที่ตนมีสิทธิ จึงถือเป็นการโอนโดยปราศจากอำนาจ สำหรับการเพิกถอนการโอนหลังผู้จัดการมรดกตาย ไม่เป็นอุปสรรคต่อสิทธิของโจทก์ เพราะ ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด บัญญัติให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาในการเพิกถอนหรือแก้ไขการจดทะเบียน แม้ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตายแล้ว ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ยังคงมีสิทธิฟ้องเพิกถอนโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นสิทธิของตนและบังคับให้เป็นไปตามบันทึกได้ แต่ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเข้าเป็นคู่ความแทนผู้จัดการมรดกกระทำแทนการจัดการมรดกได้ เพราะหน้าที่ดังกล่าวเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จัดการมรดก จึงเพิกถอนเฉพาะในส่วนสิทธิที่โจทก์พึงได้ ✅ คำถามที่ 3 ที่ดินพิพาทแปลงหนึ่งตกลงแบ่งให้เฉพาะโจทก์ที่ 3 กับจำเลยที่ 2 เท่านั้นตามบันทึกแบ่งมรดก และยังไม่มีการแบ่งทรัพย์ตามบันทึกดังกล่าว ขณะที่จำเลยที่ 1 ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย ฝ่ายโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ขอให้ศาลสั่งแบ่งส่วนในแปลงดังกล่าวให้ด้วย โดยอ้างว่าทรัพย์ยังแบ่งไม่เสร็จ และขอให้ศาลให้จำเลยที่ 2 ผู้เข้าแทนผู้จัดการมรดก ดำเนินการแบ่งทรัพย์ในฐานะผู้จัดการมรดกแทน จำเลยคัดค้านว่าไม่อาจให้จำเลยที่ 2 แบ่งได้เพราะตนเป็นเพียงทายาท มิใช่ผู้จัดการมรดก การแบ่งมรดกควรเป็นอย่างไร ✅ คำตอบ หน้าที่และอำนาจของผู้จัดการมรดกในการจัดการและแบ่งทรัพย์เป็นสิทธิเฉพาะตัวตามกฎหมาย เมื่อผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย อำนาจดังกล่าวย่อมสิ้นสุดลงทันที และบุคคลผู้เข้าแทนโดยฐานะทายาทไม่สามารถทำหน้าที่ผู้จัดการมรดกแทนได้ เว้นแต่ได้รับการแต่งตั้งใหม่โดยศาล อีกทั้งในบันทึกแบ่งมรดกได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นสิทธิของโจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 เท่านั้น โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องส่วนในแปลงนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ถือเพียงว่าโจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของในที่ดินดังกล่าวตามส่วนที่ตกลง คือ 1 ใน 2 และไม่สามารถบังคับให้จำเลยที่ 2 แบ่งแทนผู้จัดการมรดกได้ ทั้งนี้เพราะอำนาจดังกล่าวตกไปพร้อมกับผู้จัดการมรดกเดิมตามกฎหมาย มิใช่หน้าที่ที่ถ่ายโอนแก่ทายาทโดยอัตโนมัติ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3886/2566 แม้ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามมิได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 โดยแจ้งชัดเป็นสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ แต่โจทก์ทั้งสามก็กล่าวอ้างสภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายในฐานะทายาทโดยธรรม การที่โจทก์ทั้งสามนำสืบถึงข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 เกี่ยวเนื่องกับประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องในการที่โจทก์ทั้งสามขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายแบ่งแยกที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละหนึ่งส่วนตามกฎหมาย จึงมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการขอให้บังคับแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย หาใช่เป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสามนำสืบแตกต่างกับฟ้องหรือนอกฟ้องนอกประเด็น การที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นหนังสือและต่างได้ลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 กรณีต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1750 วรรคหนึ่งและวรรคสอง โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองจึงต้องผูกพันต่อกันและได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในบันทึกที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงกันนั้น การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ให้แก่จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามตามสิทธิอันพึงมีพึงได้แก่โจทก์ทั้งสามตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย ดังนั้น โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิฟ้องร้องให้บังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้ แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แก่ผู้ใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ป.ที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด บัญญัติว่า "ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด" ดังนั้น โจทก์ทั้งสามจึงสามารถนำคำพิพากษาของศาลไปให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาได้ และการเพิกถอนดังกล่าวมิใช่หนี้ที่เป็นการทำนิติกรรมที่ศาลจะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 213 วรรคสอง จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ให้แก่ตนเองแล้วจำเลยที่ 1 จดทะเบียนให้จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 แต่เพียงผู้เดียว จากนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองไว้แก่สหกรณ์การเกษตร ป. เป็นการกระทำภายหลังวันที่ 6 สิงหาคม 2560 ที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายกัน โดยที่บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 ในส่วนของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 นั้น เฉพาะแต่จำเลยทั้งสองเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งสองย่อมสามารถกระทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ได้ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกทำนิติกรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกของผู้ตายที่ผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมนั้นหาได้ไม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1722 และมิใช่กรณีที่จำเลยที่ 2 ยักย้ายทรัพย์มรดกของผู้ตายส่วนที่ตนจะได้โดยรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทอื่นที่ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605 โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 กลับสู่กองมรดกของผู้ตายและบังคับให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองได้ ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 49023 บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ. 17 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ให้แก่โจทก์ที่ 3 และที่ 2 และยังไม่มีการแบ่งปันให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายและจำเลยที่ 1 ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย ดังนั้น สิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมสิ้นสุดลงเพราะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จัดการมรดก แม้จำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 ได้ในฐานะทายาทของจำเลยที่ 1 แต่ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 2 ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนแบ่งปันที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 49023 แทนจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ได้ เพราะกรณีเช่นนี้เป็นสิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 คงพิพากษาได้แต่เพียงแสดงกรรมสิทธิ์ว่าโจทก์ที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 49023 จำนวน 1 ใน 2 ส่วน เมื่อที่ดินพิพาทดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันมรดกของผู้ตาย โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธิแบ่งส่วนเอาจากที่ดินพิพาทดังกล่าวได้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้กำจัดจำเลยที่ 2 ไม่ให้มีสิทธิรับมรดกของนางสว่าง ให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 และที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสว่างและจำเลยที่ 2 โดยให้จำเลยที่ 1 ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 กลับสู่กองมรดกของนางสว่าง ให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าว หากจำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสาม ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสว่างแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 และ 49023 ให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละหนึ่งส่วนตามกฎหมาย หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ถูกจำกัดมิให้รับมรดกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 และ 49023 ของนางสว่างผู้ตาย ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 และที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยทั้งสองกลับสู่กองมรดกของนางสว่าง ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ตามสัดส่วนที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิได้รับในฐานะทายาทเป็นเนื้อที่คนละ 1 ใน 4 ส่วน คิดจากเนื้อที่ 12 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา เป็นเนื้อที่คนละ 3 ไร่ 40 ตารางวา จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 ให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 4 ส่วน คิดจากเนื้อที่ 1 งาน 29 ตารางวา เป็นเนื้อที่คนละ 32.25 ตารางวา โดยปลอดภาระจำนอง หากจำเลยที่ 2 ไม่ไถ่ถอนจำนอง ให้โจทก์ทั้งสามไถ่ถอนจำนองได้เองโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 49023 ให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 4 ส่วน คิดจากเนื้อที่ 3 งาน 24 ตารางวา เป็นเนื้อที่คนละ 81 ตารางวา หากจำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความให้ 6,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 และที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยทั้งสองกลับสู่กองมรดกของนางสว่าง ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสามในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 คนละ 1 ใน 5 ส่วนของทรัพย์มรดก ในที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 คนละ 1 ใน 5 ส่วนของทรัพย์มรดกโดยปลอดภาระจำนอง หากจำเลยที่ 2 ไม่ไถ่ถอนจำนอง ให้โจทก์ทั้งสามไถ่ถอนจำนองได้เองโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และในที่ดินโฉนดเลขที่ 49023 คนละ 1 ใน 5 ส่วนของทรัพย์มรดก หากจำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ทั้งสามฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ก่อนศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกา จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ทายาทของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ 2 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันโดยเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 กับนางสว่าง ผู้ตาย ซึ่งจำเลยที่ 1 กับผู้ตายจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2538 ขณะผู้ตายถึงแก่ความตาย ผู้ตายมีชื่อในทะเบียนที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 กับมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 และ 49023 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาททั้งสามแปลง วันที่ 29 พฤษภาคม 2560 จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโดยคำสั่งศาล หลังจากนั้นวันที่ 13 มิถุนายน 2560 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ให้แก่ตน ครั้นวันที่ 1 กันยายน 2560 จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ต่อจากนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 2 จำนองที่ดินพิพาทดังกล่าวไว้แก่สหกรณ์การเกษตรปฏิรูปที่ดินสุวรรณภูมิสอง จำกัด และในวันที่ 1 กันยายน 2560 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ให้จำเลยที่ 2 สำหรับคำขอบังคับของโจทก์ทั้งสามที่ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 หากจำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสาม ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามจึงมิอาจขอให้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้ โจทก์ทั้งสามมิได้อุทธรณ์ คำขอให้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่า สำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 เป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย และจำเลยที่ 2 ถูกกำจัดมิให้รับมรดกของผู้ตายหรือไม่ เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 และโฉนดเลขที่ 49023 และ 62649 เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสามนำสืบโดยได้ความจากคำเบิกความของนายเลิศศักดิ์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน พยานโจทก์ทั้งสามว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2560 โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองไปพบนายเลิศศักดิ์และตกลงแบ่งมรดกของผู้ตาย นายเลิศศักดิ์เป็นผู้ทำบันทึกโดยโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้านายเลิศศักดิ์ตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 ซึ่งจำเลยที่ 1 เบิกความรับข้อเท็จจริงในข้อนี้ว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2560 จำเลยที่ 1 ได้ทำข้อตกลงเจรจาแบ่งปันที่ดินพิพาทด้วยความสมัครใจที่ทำการผู้ใหญ่บ้านตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 และจำเลยที่ 2 ก็เบิกความรับในข้อนี้เช่นกันว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2560 จำเลยที่ 2 เดินทางไปที่ทำการผู้ใหญ่บ้านและได้ลงลายมือชื่อในบันทึกตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 หากผู้ตายยกที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้จำเลยที่ 2 ตามที่ผู้ตายได้แจ้งแก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูผู้ตายดังที่จำเลยทั้งสองนำสืบแล้ว จำเลยทั้งสองคงไม่ไปทำความตกลงกับโจทก์ทั้งสามเกี่ยวกับที่ดินพิพาททั้งสามแปลงตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 เป็นแน่ พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองไปตกลงกับโจทก์ทั้งสามเช่นนี้ บ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองยอมรับว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย อีกทั้งเมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จำเลยที่ 1 ก็ระบุตามคำร้องขอว่าผู้ตายมีทรัพย์มรดกคือที่ดินพิพาททั้งสามแปลงดังที่ปรากฏตามคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังเบิกความตอบทนายความโจทก์ทั้งสามถามค้านว่า หลังจากที่จำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้แบ่งทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่โจทก์ทั้งสามสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2560 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จำเลยทั้งสองกับโจทก์ทั้งสามทำบันทึกตกลงกันตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย ส่วนปัญหาที่ว่าบันทึกที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงกันตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 เป็นการตกลงแบ่งปันที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่นั้น แม้ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามมิได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงตามสำเนาหนังสือดังกล่าวโดยแจ้งชัดเป็นสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ แต่โจทก์ทั้งสามก็กล่าวอ้างสภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายในฐานะทายาทโดยธรรม การที่โจทก์ทั้งสามนำสืบถึงข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 จึงเกี่ยวเนื่องกับประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องในการที่โจทก์ทั้งสามขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายแบ่งแยกที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละหนึ่งส่วนตามกฎหมาย จึงมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการขอให้บังคับแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย หาใช่เป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสามนำสืบแตกต่างกับฟ้องหรือนอกฟ้องนอกประเด็นดังที่จำเลยทั้งสองแก้ฎีกาไม่ เมื่อพิจารณาบันทึกตามสำเนาหนังสือดังกล่าวซึ่งมีสาระสำคัญว่า ที่นาแปลงเลขที่ 37 หมายเลขระวาง 5739 IV เป็นที่ น.ส. 3 แบ่งออกเป็น 5 ส่วนให้แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสอง ที่สวนเป็นโฉนดเลขที่ 59 ระวาง 5739 IV 6206 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ให้แก่โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 และโฉนดเลขที่ 62649 พร้อมบ้านเลขที่ 37 แบ่งให้จำเลยทั้งสอง ซึ่งที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวตรงกับที่พิพาททั้งสามแปลง โดยปรากฏตามสำเนาหนังสือดังกล่าวว่ามีการลงลายมือชื่อของนายเลิศศักดิ์ผู้ใหญ่บ้านและลายมือชื่อของโจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสอง โดยเฉพาะในช่องลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 นั้นมีการระบุไว้ว่าเป็นผู้จัดการมรดกด้วย อันแสดงถึงฐานะของจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายยังเป็นผู้จัดการมรดกที่เป็นตัวแทนของทายาทอื่นของผู้ตายด้วย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นหนังสือและต่างได้ลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือดังที่ปรากฏตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 กรณีต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "การแบ่งปันทรัพย์มรดกนั้น อาจทำได้โดยทายาทต่างเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัด หรือโดยการขายทรัพย์มรดกแล้วเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งกันระหว่างทายาท" และวรรคสอง บัญญัติว่า "ถ้าการแบ่งปันมิได้เป็นไปตามวรรคก่อนแต่ได้ทำโดยสัญญาจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ เว้นแต่จะมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญในกรณีเช่นนี้ให้นำมาตรา 850, 852 แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยประนีประนอมยอมความมาใช้บังคับโดยอนุโลม" ดังนั้น บันทึกที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงกันตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายซึ่งได้ทำโดยสัญญาอันมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดและลงลายมือชื่อของตนซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดไว้เป็นสำคัญ ตามวรรคสองแห่งบทบัญญัติดังกล่าว โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองจึงต้องผูกพันต่อกันและได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในบันทึกที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงกันนั้น การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ให้แก่จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามตามสิทธิอันพึงมีพึงได้แก่โจทก์ทั้งสามตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย ดังนั้น โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิฟ้องร้องให้บังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้ แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แก่ผู้ใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด บัญญัติว่า "ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด" ดังนั้น โจทก์ทั้งสามจึงสามารถนำคำพิพากษาของศาลไปให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาได้ และการเพิกถอนดังกล่าวมิใช่หนี้ที่เป็นการทำนิติกรรมที่ศาลจะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคสอง แม้จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาก็หากระทบกระทั่งถึงสิทธิที่โจทก์ทั้งสามจะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวไม่ แต่เมื่อจำเลยทั้งสองในฐานะทายาทของผู้ตายมีสิทธิในที่ดินพิพาทดังกล่าวตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายคนละ 1 ใน 5 ส่วน เช่นเดียวกับโจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 5 ส่วน นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 62649 ให้แก่ตนเองแล้วจำเลยที่ 1 จดทะเบียนให้จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 แต่เพียงผู้เดียว จากนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองไว้แก่สหกรณ์การเกษตรปฏิรูปที่ดินสุวรรณภูมิสอง จำกัด เป็นการกระทำภายหลังวันที่ 6 สิงหาคม 2560 ที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายกัน โดยที่บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 ในส่วนของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 นั้น เฉพาะแต่จำเลยทั้งสองเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งสองย่อมสามารถกระทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ได้ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกทำนิติกรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกของผู้ตายที่ผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมนั้นหาได้ไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 และมิใช่กรณีที่จำเลยที่ 2 ยักย้ายทรัพย์มรดกของผู้ตาย ส่วนที่ตนจะได้โดยรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทอื่นที่ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1605 ดังที่โจทก์ทั้งสามฎีกา ดังนั้น โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 กลับสู่กองมรดกของผู้ตายและบังคับให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองได้ ฎีกาของโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่สำหรับที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 49023 ซึ่งตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 นั้น แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ให้แก่โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 49023 ยังไม่มีการแบ่งปันให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายและจำเลยที่ 1 ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย ดังนั้น สิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมสิ้นสุดลงเพราะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จัดการมรดก แม้จำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 ได้ในฐานะทายาทของจำเลยที่ 1 แต่ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 2 ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนแบ่งปันที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 49023 แทนจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ได้ เพราะกรณีเช่นนี้เป็นสิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 คงพิพากษาได้แต่เพียงแสดงกรรมสิทธิ์ว่าโจทก์ที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 49023 จำนวน 1 ใน 2 ส่วน เมื่อที่ดินพิพาทดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันมรดกของผู้ตาย โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธิแบ่งส่วนเอาจากที่ดินพิพาทดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 เป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1 ส่วนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 และ 49023 เป็นสินสมรสระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1 ต้องแบ่งให้จำเลยที่ 1 ก่อนครึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1625 (1) ประกอบมาตรา 1533 และเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายครึ่งหนึ่งแล้วจึงแบ่งมรดกให้แก่โจทก์ทั้งสามต่อไปนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ทั้งสามต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง อนี่ง ที่จำเลยทั้งสองแก้ฎีกาว่า โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิใช่ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดก จึงเป็นอุทลุมนั้น เป็นการขอให้ศาลฎีกาเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ซึ่งต้องกระทำโดยการยื่นเป็นคำฟ้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิใช่ขอมาในคำแก้ฎีกา จึงไม่เป็นประเด็นที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยให้ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสว่าง แสงสระคู กับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 เฉพาะส่วนที่เป็นสิทธิของโจทก์ทั้งสาม โดยให้โจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินดังกล่าวคนละ 1 ใน 5 ส่วน ให้โจทก์ที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 49023 1 ใน 2 ส่วน คำขอเกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 62649 และคำขออื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2562 — “ครอบครองเป็นส่วนสัด” ก็เป็นการแบ่งมรดกตาม ม.1750 วรรคหนึ่ง Quick Summary: คดีนี้ย้ำหลักสำคัญของ ป.พ.พ. ม.1750 วรรคหนึ่ง ว่า “การแบ่งปันทรัพย์มรดก” กระทำได้โดยทายาทต่าง “เข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัด” โดยไม่จำต้องทำสัญญาขายแล้วเอาเงินมาแบ่งเสมอไป ข้อเท็จจริงคือทายาทตกลงกันให้ที่ดินมรดกตกแก่จำเลยแต่ผู้เดียว และจำเลยได้ดำเนินการออกโฉนด/แบ่งแยกที่ดินรวมถึงแปลงพิพาทร่วมด้วย แสดงให้เห็นพฤติการณ์ “เข้าครอบครองเป็นส่วนสัด” ซึ่งเพียงพอตามแบบของกฎหมายในวรรคหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ โจทก์ไม่อาจฟ้องให้ผิดต่อข้อตกลงเดิมเพื่อเรียกคืนหรือแบ่งต่างไปจากที่ตกลงแล้วได้ หลักจากคดีนี้ช่วยให้ผู้ปฏิบัติทราบว่า หากมีข้อตกลงชัดเจนบวกการปฏิบัติที่สอดคล้อง (ครอบครองเป็นส่วนสัด/เดินเอกสารที่ดินให้สะท้อนส่วนแบ่ง) ศาลยอมรับว่าเป็น “การแบ่งมรดกสำเร็จรูป” โดยตัวบทเอง ไม่ต้องพึ่งการขายทอดตลาดหรือทำสัญญาแบ่งเป็นลายลักษณ์อักษรเสมอไป ทั้งยังสอดรับกับแนว 3886/2566 ที่ถือเอา “เอกสาร/พฤติการณ์การแบ่ง” เป็นแกนในการยืนยันสิทธิของทายาทแต่ละฝ่ายและจำกัดการเพิกถอน/บังคับได้เท่าที่ส่วนสิทธินั้น ๆ เท่านั้น. 2) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6905/2560 — วิธีแบ่งมรดกแบบ “ใส่ชื่อถือรวมตามสัดส่วน” แทนการขาย Quick Summary: ศาลฎีกาวินิจฉัยชัดว่า ม.1750 วรรคหนึ่ง เปิดทางให้แบ่งปันได้สองวิธีหลัก คือ (1) ทายาทเข้าครอบครองเป็นส่วนสัด หรือ (2) ขายทรัพย์มรดกแล้วนำเงินมาแบ่ง ในคดีนี้ ผู้จัดการมรดกพยายามแบ่งที่ดินหลายแปลงแต่ตกลงไม่ได้ว่าจะได้แปลงใด จึงแจ้งให้ทายาทไป “ใส่ชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนด” ตามสัดส่วนตามสิทธิที่จะได้รับตามพินัยกรรม พร้อมทั้งสามารถขอให้ศาลสั่งแทนการแสดงเจตนาได้ หากบางฝ่ายไม่ยอมไปดำเนินการ ศาลย้ำว่ากลไก “ใส่ชื่อถือรวม” เป็นรูปแบบ “เข้าครอบครองเป็นส่วนสัด” ในทางนิติกรรมทะเบียนที่ดิน และยังไม่จำต้องขายทอดตลาด จึงลดความขัดแย้งและปกป้องมูลค่าทรัพย์มรดก แนวนี้สอดคล้องกับ 3886/2566 ที่ศาลยึดหลักเอกสาร/ข้อตกลงแบ่งมรดกและให้ความสำคัญกับ “วิธีการแบ่งที่เป็นไปตามกฎหมาย” มากกว่าการยึดติดรูปแบบเดียว (ขายแบ่งเงิน) และเมื่อมีเครื่องมือให้ศาลสั่งแทนได้ ยิ่งตอกย้ำว่า การแบ่งมรดกมิใช่จะล้มเหลวเพียงเพราะมีผู้คัดค้าน แต่ต้องกลับไปดูเจตนาร่วม + แบบการแบ่งที่กฎหมายรองรับ. 3) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15721/2558 — “ถ้อยคำต่อที่ดิน” ไม่ใช่การสละมรดก แต่เป็น “ประนีประนอม” บังคับได้ Quick Summary: ประเด็นสำคัญคือทายาทหลายฝ่ายให้ถ้อยคำต่อพนักงานที่ดินว่าไม่ประสงค์รับมรดกแปลงหนึ่งและยินยอมให้สามีเจ้ามรดกเป็นผู้ขอรับมรดกเพียงผู้เดียว ต่อมาโอนให้จำเลย ข้อถกเถียงคือถ้อยคำนั้นเป็น “การสละมรดก” (ม.1612, 1613) หรือไม่ ศาลถือว่า “การสละมรดก” ต้องเป็นการสละส่วนของตนโดยไม่ระบุเจาะจงให้ใคร แต่กรณีนี้ถ้อยคำมีลักษณะ “ยินยอมให้บุคคลหนึ่งรับมรดกแทน” จึงเป็น “ประนีประนอมยอมความ” ที่มีผลบังคับได้ตาม ม.850, ม.852 และเชื่อมกับ ม.1750 วรรคสอง ในแง่ “สัญญาแบ่งมรดก” ที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ/ลงชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หลักนี้ทรงพลังอย่างยิ่งเมื่อเทียบ 3886/2566 ซึ่งศาลอาศัย “บันทึกแบ่งมรดกลายลักษณ์อักษร ลงลายมือชื่อทุกฝ่าย” เป็นฐานเพื่อยืนยันสิทธิของทายาทและจำกัดอำนาจผู้จัดการมรดกที่จะโอนเกินสิทธิ การทำเอกสารถูกต้อง ย่อมสร้างผลผูกพันในชั้นแบ่งและชั้นจดทะเบียน—และยังเป็นรากฐานสำหรับการเพิกถอนเฉพาะส่วนตามสิทธิในกรณีโอนผิดส่วนต่อไป. 4) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128/2567 — แบ่งมรดกด้วย “การจับฉลาก/ตกลงเป็นหนังสือ” ต้องมีลายมือชื่อทุกฝ่าย Quick Summary: แก่นของคดีนี้คือการแบ่งมรดกโดยตกลงกัน (เช่น จับฉลากเลือกแปลง) ซึ่งเข้าลักษณะ “สัญญาแบ่งมรดก” ตาม ม.1750 วรรคสอง ซึ่งกฎหมายกำหนด “แบบ” เคร่งครัด—จะฟ้องบังคับไม่ได้ เว้นแต่มี “หลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือตัวแทน” คดีนี้ศาลย้ำว่าถ้าขาดลายมือชื่อครบถ้วน หรือเอกสารไม่สะท้อนเจตนาทุกฝ่าย การอ้างข้อตกลงดังกล่าวในศาลย่อมไม่สำเร็จ จึงเป็นบทเรียนเชิงปฏิบัติที่ตรงกับแนว 3886/2566 ซึ่งเอกสาร จ.17 มีลายมือชื่อโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสอง รวมทั้งระบุฐานะผู้จัดการมรดก ทำให้คำขอเพิกถอน/บังคับแบ่งเป็นผลเฉพาะส่วนได้ คำพิพากษานี้ช่วยคัดกรอง “เอกสารแบ่งมรดกคุณภาพ” สำหรับนักปฏิบัติ: ต้องครบองค์ประกอบเอกสาร–ลายมือชื่อ–ระบุทรัพย์และส่วนแบ่งชัด พร้อมเชื่อมต่อไปยังการจดทะเบียนภายใต้กฎหมายที่ดินในภายหลัง มิฉะนั้นจะติดขัดในชั้นฟ้องบังคับ. 5) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1480/2563 — ขอบเขต “อำนาจผู้จัดการมรดก” และการโอนให้ตนเอง
Quick Summary: ประเด็นที่นักกฎหมายพบเสมอคือ ผู้จัดการมรดกจะโอนทรัพย์มรดกให้ตนเองได้หรือไม่ และต้องมีความยินยอมของทายาทอื่นเพียงใด คดีนี้อธิบายขอบเขตอำนาจภายใต้ ม.1719, 1722 ป.พ.พ. ว่าผู้จัดการมรดกมีหน้าที่จัดการทรัพย์เพื่อประโยชน์กองมรดกและทายาทโดยรวม มิใช่ใช้ตำแหน่งเอื้อประโยชน์เกินส่วน หากการโอนให้ตนสอดคล้องสิทธิฐานะ “ทายาทร่วม” และไม่เป็นการทำนิติกรรมปฏิปักษ์ต่อกองมรดก/สิทธิทายาทอื่น ก็อาจกระทำได้โดยชอบ อย่างไรก็ดี หากการโอนขัดต่อข้อตกลงแบ่งมรดกที่เป็นหนังสือซึ่งผูกพันทุกฝ่าย (เช่นใน 3886/2566) การโอนดังกล่าวย่อม “ปราศจากอำนาจ” ในส่วนสิทธิของทายาทอื่นและเปิดช่องให้ “เพิกถอนเฉพาะส่วน” ตามสิทธิได้ แนวคดีนี้จึงใช้คู่กัน: เมื่อมีเอกสารแบ่งมรดกตาม ม.1750 แล้ว การโอนภายหลังต้องเดินตามส่วนสิทธิ มิฉะนั้นจะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกเพิกถอนและกระทบธุรกรรมต่อเนื่อง (เช่น จำนอง) ในภายหลัง. ![]() |





.jpg)
.jpg)