ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




บังคับแบ่งมรดก & เพิกถอนโอน,ผู้จัดการมรดก, (ฎีกา 3886/2566)

สรุปคำพิพากษาศาลฎีกา 3886/2566 แบ่งปันมรดกตามบันทึกเป็นหนังสือ เพิกถอนโอนที่ดิน น.ส.3ก.

ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการแบ่งปันทรัพย์มรดกตามบันทึกเป็นหนังสือที่ทายาทลงลายมือชื่อร่วมกัน ซึ่งมีผลผูกพันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1750 ศาลวินิจฉัยให้เพิกถอนการโอนที่ดินตาม น.ส.3ก. เฉพาะส่วนสิทธิของโจทก์ และวางหลักว่าผู้จัดการมรดกที่ถึงแก่ความตาย สิทธิและหน้าที่ในฐานะผู้จัดการย่อมสิ้นสุด ไม่อาจบังคับให้ทายาทผู้เข้าเป็นคู่ความแทนกระทำการแบ่งปันแทนได้ พร้อมยืนยันว่าในบางแปลงที่คู่ความตามบันทึกมีสิทธิเท่านั้น (เช่น โฉนด 62649) สามารถทำธุรกรรมได้ ไม่เป็นการกระทบกองมรดก และไม่ถึงขั้นถูกกำจัดมิให้รับมรดกตามมาตรา 1605

1) ข้อเท็จจริงโดยย่อ

ผู้ตายมีที่ดินพิพาท 3 แปลง: น.ส.3ก. เลขที่ 37, โฉนด 62649 และโฉนด 49023

วันที่ 6 ส.ค. 2560 ทายาท (โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสอง) ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งมรดกต่อหน้าผู้ใหญ่บ้านและลงลายมือชื่อทุกฝ่าย

ต่อมา ผู้จัดการมรดก (จำเลยที่ 1) โอน น.ส.3ก. เลขที่ 37 ให้จำเลยที่ 2 และโอนโฉนด 62649 ให้ตนเองแล้วให้จำเลยที่ 2 ซึ่งภายหลังจำเลยที่ 2 นำไปจำนอง

โจทก์ฟ้องเพิกถอนการโอนและให้แบ่งแยกที่ดินตามส่วนที่ควรได้ พร้อมข้ออ้างกำจัดจำเลยที่ 2 ไม่ให้รับมรดก

2) ประเด็นต้องวินิจฉัย

บันทึกลงชื่อร่วมกัน (จ.17) เป็น “การแบ่งปันมรดกโดยสัญญาที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1750 หรือไม่

การโอน น.ส.3ก. เลขที่ 37 โดยผู้จัดการมรดกให้จำเลยที่ 2 ชอบด้วยอำนาจหรือไม่ และเพิกถอนได้เพียงใด

สภาพสิทธิในโฉนด 62649 และ 49023 ตามบันทึก และผลทางกฎหมายต่อธุรกรรมภายหลัง

ผลของการถึงแก่ความตายของผู้จัดการมรดกต่ออำนาจแบ่งปัน

เงื่อนไขการใช้ ป.ที่ดิน มาตรา 61 ในการปฏิบัติตามคำพิพากษา

3) คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 

บันทึก จ.17 เป็นการแบ่งปันมรดกโดยสัญญาที่มีหลักฐานเป็นหนังสือตาม ป.พ.พ. มาตรา 1750 วรรคสอง มีผลผูกพันทุกฝ่าย

โอน น.ส.3ก. เลขที่ 37 โดยจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 เป็นการโอนโดยปราศจากอำนาจ ขัดต่อบันทึก แต่อำนาจเพิกถอนได้ “เฉพาะส่วนสิทธิของโจทก์” เท่านั้น

โฉนด 62649: ตามบันทึกกำหนดให้เป็นสิทธิของจำเลยทั้งสองเท่านั้น ธุรกรรมภายหลังจึงไม่เป็นการกระทบกองมรดก ไม่เป็นนิติกรรมปฏิปักษ์ต่อกองมรดก (มาตรา 1722) และไม่เป็นเหตุ “กำจัดมิให้รับมรดก” (มาตรา 1605)

โฉนด 49023: บันทึกให้โจทก์ที่ 3 กับจำเลยที่ 2 คนละ 1/2 แต่ยังไม่แบ่งจริง และเมื่อผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย สิทธิหน้าที่ในฐานะดังกล่าวสิ้นสุด จึงพิพากษา “แสดงกรรมสิทธิ์” ให้โจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของ 1/2 ไม่อาจบังคับให้ทายาทผู้เข้าแทนทำการแบ่งแทนผู้จัดการ

การเพิกถอนการโอนอาศัย ป.ที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด ให้พนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาได้ ไม่ใช่กรณีให้ถือเอาคำพิพากษาแทนเจตนาตาม ป.พ.พ. มาตรา 213 วรรคสอง

4) กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 (การแบ่งปันมรดกโดยสัญญาที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ), มาตรา 1722 (ห้ามผู้จัดการมรดกทำการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก), มาตรา 213 วรรคสอง (คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา)

ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด (การปฏิบัติตามคำพิพากษาเพิกถอน/แก้ไขการจดทะเบียน)

5) วิเคราะห์ประเด็นสำคัญเชิงลึก 

5.1 “บันทึกแบ่งมรดก” ต้องหน้าตาอย่างไรจึงผูกพัน

มาตรา 1750 วรรคสอง วางหลักว่าหาก “การแบ่งปันโดยสัญญา” มีหลักฐานเป็นหนังสือและลงชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือผู้แทน ย่อมฟ้องบังคับได้

คดีนี้มีบันทึกต่อหน้าผู้ใหญ่บ้าน ลงชื่อทายาททุกฝ่าย และระบุฐานะ “ผู้จัดการมรดก” ของจำเลยที่ 1 ชัดเจน จึงมีผลผูกพันเชิงนิติกรรมยอมความ

5.2 ขอบเขตการเพิกถอน “เฉพาะส่วน”

ศาลย้ำว่าการเพิกถอนการโอน น.ส.3ก. ทำได้เพียง “ส่วนสิทธิของโจทก์” เพราะจำเลยทั้งสองมีสิทธิตามบันทึกคนละ 1/5 ด้วย จึงไม่อาจเพิกถอนเกินส่วน

แนวนี้ช่วยป้องกันการกระทบสิทธิทายาทอื่นเกินจำเป็น และเป็นบรรทัดฐานเรื่องการเยียวยาแบบจำกัดส่วน

5.3 โฉนด 62649 กับข้อยกเว้น “ปฏิปักษ์ต่อกองมรดก”

เมื่อบันทึกกำหนดให้โฉนด 62649 เป็นของจำเลยทั้งสองเท่านั้น ธุรกรรมโอนและจำนองภายหลังย่อมอยู่ในอำนาจเจ้าของ ไม่ใช่การทำให้กองมรดกเสียหาย

จึงไม่เข้า มาตรา 1722 และไม่ถึงขั้น “ยักย้ายมรดก” ให้ถูกกำจัดจากมรดกตามมาตรา 1605

5.4 การสิ้นสุดสิทธิหน้าที่ของผู้จัดการมรดก

ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย สิทธิเฉพาะตัวในตำแหน่งย่อมสิ้นสุด ทายาทผู้เข้าแทนไม่รับช่วงภาระ “ต้องกระทำการแบ่งแทน”

ศาลจึงใช้วิธี “แสดงกรรมสิทธิ์” ให้โจทก์ที่ 3 ในโฉนด 49023 เป็นเจ้าของ 1/2 ตามบันทึก แล้วดำเนินการทางทะเบียนต่อไปตาม ป.ที่ดิน มาตรา 61

5.5 ป.ที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด กับกลไกปฏิบัติ

เมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอน/แก้ไข พนักงานที่ดินต้องดำเนินการตามวิธีที่อธิบดีกำหนด

คดีนี้จึงไม่ต้องอาศัยคำพิพากษาแทนเจตนา (มาตรา 213 วรรคสอง) เพราะเป็นเรื่อง “การเพิกถอนจดทะเบียน” ที่กฎหมายที่ดินกำหนดช่องทางไว้ชัดเจน

6) คำพิพากษา 

เพิกถอนการโอน น.ส.3ก. เลขที่ 37 ระหว่างจำเลยที่ 1 (ผู้จัดการมรดก) กับจำเลยที่ 2 เฉพาะส่วนของโจทก์ โดยให้โจทก์ทั้งสามมีสิทธิคนละ 1/5

ให้โจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของโฉนด 49023 จำนวน 1/2

คำขอเกี่ยวกับโฉนด 62649 และคำขออื่นให้ยก

7) ข้อคิดทางกฎหมาย 

ทำ “บันทึกแบ่งมรดกเป็นหนังสือ” ให้ชัด ลงชื่อทุกฝ่าย ช่วยลดข้อพิพาท และฟ้องบังคับได้ตาม มาตรา 1750

เพิกถอนการโอนให้ “จำกัดเฉพาะส่วนสิทธิ” ของผู้ฟ้อง เพื่อไม่กระทบสิทธิทายาทอื่น

ตรวจบันทึกให้ดีว่าแปลงใดเป็นของใคร หากบันทึกกำหนดสิทธิชัด ทายาทที่มีสิทธิย่อมทำธุรกรรมได้ ไม่เป็นการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก

ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย อำนาจหน้าที่สิ้นสุด ต้องใช้วิธี “แสดงกรรมสิทธิ์” แทนการบังคับให้ทายาทผู้เข้าแทนไปแบ่งปัน

เมื่อศาลสั่งเพิกถอนจดทะเบียน ให้เดินเรื่องผ่านพนักงานที่ดินตาม ป.ที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด

IRAC

Issue (ปัญหาข้อกฎหมาย)

1. บันทึก จ.17 เป็น “การแบ่งปันมรดกโดยสัญญาที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1750 หรือไม่ และมีผลผูกพันเพียงใด

2. การโอน น.ส.3ก. ให้จำเลยที่ 2 โดยผู้จัดการมรดกชอบด้วยอำนาจหรือไม่ ควรเพิกถอนได้ในขอบเขตใด

3. ธุรกรรมเกี่ยวกับโฉนด 62649 และ 49023 มีผลอย่างไรภายใต้บันทึก และเข้าห้ามตามมาตรา 1722 หรือไม่

4. เมื่อผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย จะบังคับให้ทายาทผู้เข้าแทนกระทำการแบ่งปันแทนได้หรือไม่ และต้องใช้ช่องทางกฎหมายใดเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษา

Rule (กฎเกณฑ์)

ป.พ.พ. มาตรา 1750 วรรคสอง: การแบ่งปันโดยสัญญาจะฟ้องบังคับได้ต้องมี “หลักฐานเป็นหนังสือ” ลงชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด/ผู้แทน

ป.พ.พ. มาตรา 1722: ผู้จัดการมรดกห้ามทำนิติกรรมปฏิปักษ์ต่อกองมรดก

ป.พ.พ. มาตรา 213 วรรคสอง: คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ใช้ในหนี้ที่เป็นการทำนิติกรรม

ป.ที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด: คำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอน/แก้ไข ให้พนักงานที่ดินดำเนินการตามวิธีอธิบดี

Application (การปรับใช้)

จ.17 ทำต่อหน้าผู้ใหญ่บ้าน ลงชื่อทายาททุกฝ่ายและผู้จัดการมรดก จึงเข้าเงื่อนไข “หลักฐานเป็นหนังสือ” และมีผลผูกพันตาม มาตรา 1750

การโอน น.ส.3ก. ให้จำเลยที่ 2 ขัดบันทึก จึงเป็นการปราศจากอำนาจ เพิกถอนได้ตามส่วนสิทธิของโจทก์เท่านั้น เพราะจำเลยทั้งสองก็มีสิทธิตามบันทึกด้วย

โฉนด 62649 ถูกกำหนดให้เป็นสิทธิของจำเลยทั้งสอง ธุรกรรมภายหลังจึงไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก (ไม่เข้า มาตรา 1722) และไม่เป็นเหตุให้ถูกกำจัดจากมรดก (มาตรา 1605)

โฉนด 49023 บันทึกให้โจทก์ที่ 3 กับจำเลยที่ 2 คนละ 1/2 แต่ยังไม่แบ่งจริง เมื่อผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย อำนาจหน้าที่สิ้นสุด ไม่บังคับทายาทผู้เข้าแทนให้แบ่งแทน จึงพิพากษา “แสดงกรรมสิทธิ์” แทน

การเพิกถอนจดทะเบียนให้พนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษา (มาตรา 61 วรรคแปด) ไม่ต้องใช้คำพิพากษาแทนเจตนา (มาตรา 213 วรรคสอง)

Conclusion (ข้อสรุป)

บันทึก จ.17 มีผลผูกพันเป็นการแบ่งปันมรดกตามกฎหมาย

เพิกถอนโอน น.ส.3ก. เฉพาะส่วนสิทธิของโจทก์

ธุรกรรมเกี่ยวกับโฉนด 62649 ชอบด้วยสิทธิของจำเลยทั้งสอง ไม่กระทบกองมรดก

โฉนด 49023 พิพากษาให้โจทก์ที่ 3 มีกรรมสิทธิ์ 1/2 และใช้กลไก ป.ที่ดิน มาตรา 61 ในการจดทะเบียนให้เป็นไปตามคำพิพากษา

แนวคำถาม - ธงคำตอบ

✅ คำถามที่ 1

โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นลายลักษณ์อักษรต่อหน้าผู้ใหญ่บ้าน โดยลงลายมือชื่อรับรองทุกฝ่าย แต่ในภายหลัง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกกลับโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 เพียงคนเดียวโดยไม่แบ่งให้โจทก์ตามที่ตกลงกัน ทั้งที่มีบันทึกดังกล่าวเป็นหลักฐานและโจทก์ได้นำสืบอ้างถึงข้อตกลงนี้ต่อศาล จำเลยโต้แย้งว่าโจทก์นำสืบเกินฟ้องและข้อตกลงดังกล่าวไม่ใช่การแบ่งมรดกทางกฎหมาย โจทก์มีสิทธิบังคับตามข้อตกลงนั้นหรือไม่ และการนำสืบของโจทก์เป็นการนำสืบเกินฟ้องหรือไม่

✅ คำตอบ

บันทึกตกลงแบ่งมรดกดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาแบ่งปันมรดกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคสอง เพราะเป็นข้อตกลงที่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของทายาททุกฝ่าย รวมทั้งผู้จัดการมรดกในฐานะตัวแทนกองมรดก จึงมีผลผูกพันเช่นเดียวกับการแบ่งมรดกโดยสมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้โจทก์จะมิได้อ้างรายละเอียดของบันทึกดังกล่าวในคำฟ้อง แต่ได้อ้างถึงสิทธิในมรดกและเรียกให้แบ่งมรดกตามสิทธิ จึงถือว่าการอ้างบันทึกดังกล่าวไม่ได้ทำให้เกิดการนำสืบเกินฟ้อง เนื่องจากข้อเท็จจริงตามบันทึกเป็นประเด็นเกี่ยวข้องกับสภาพแห่งสิทธิที่โจทก์ย่อมต้องแสดงเพื่อพิสูจน์สิทธิของตน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อตกลงนี้จึงใช้บังคับได้ โจทก์มีสิทธิบังคับตามข้อตกลง และมิใช่กรณีที่โจทก์นำสืบเกินฟ้องหรือนอกประเด็น

✅ คำถามที่ 2

จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ได้โอนที่ดินมรดกให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 นำไปจำนองต่อบุคคลภายนอกโดยอ้างว่าที่ดินนั้นผู้ตายยกให้จำเลยที่ 2 ตั้งแต่ยังมีชีวิตและจำเลยที่ 2 เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูผู้ตาย เมื่อมีบันทึกตกลงแบ่งมรดกภายหลัง และจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายภายหลังการโอน โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนและให้บังคับแบ่งมรดกตามบันทึกสัญญาหรือไม่ และคำขอจะสิ้นสุดลงเพราะผู้จัดการมรดกตายหรือไม่

✅ คำตอบ

ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่รักษาทรัพย์มรดกและแบ่งมรดกตามสิทธิของทายาท เมื่อมีบันทึกแบ่งมรดกที่ลงลายมือชื่อทุกฝ่ายและมีผลตามกฎหมาย ผู้จัดการมรดกไม่มีอำนาจโอนที่ดินเกินส่วนที่ตนมีสิทธิ จึงถือเป็นการโอนโดยปราศจากอำนาจ สำหรับการเพิกถอนการโอนหลังผู้จัดการมรดกตาย ไม่เป็นอุปสรรคต่อสิทธิของโจทก์ เพราะ ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด บัญญัติให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาในการเพิกถอนหรือแก้ไขการจดทะเบียน แม้ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตายแล้ว ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ยังคงมีสิทธิฟ้องเพิกถอนโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นสิทธิของตนและบังคับให้เป็นไปตามบันทึกได้ แต่ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเข้าเป็นคู่ความแทนผู้จัดการมรดกกระทำแทนการจัดการมรดกได้ เพราะหน้าที่ดังกล่าวเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จัดการมรดก จึงเพิกถอนเฉพาะในส่วนสิทธิที่โจทก์พึงได้

✅ คำถามที่ 3

ที่ดินพิพาทแปลงหนึ่งตกลงแบ่งให้เฉพาะโจทก์ที่ 3 กับจำเลยที่ 2 เท่านั้นตามบันทึกแบ่งมรดก และยังไม่มีการแบ่งทรัพย์ตามบันทึกดังกล่าว ขณะที่จำเลยที่ 1 ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย ฝ่ายโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ขอให้ศาลสั่งแบ่งส่วนในแปลงดังกล่าวให้ด้วย โดยอ้างว่าทรัพย์ยังแบ่งไม่เสร็จ และขอให้ศาลให้จำเลยที่ 2 ผู้เข้าแทนผู้จัดการมรดก ดำเนินการแบ่งทรัพย์ในฐานะผู้จัดการมรดกแทน จำเลยคัดค้านว่าไม่อาจให้จำเลยที่ 2 แบ่งได้เพราะตนเป็นเพียงทายาท มิใช่ผู้จัดการมรดก การแบ่งมรดกควรเป็นอย่างไร

✅ คำตอบ

หน้าที่และอำนาจของผู้จัดการมรดกในการจัดการและแบ่งทรัพย์เป็นสิทธิเฉพาะตัวตามกฎหมาย เมื่อผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย อำนาจดังกล่าวย่อมสิ้นสุดลงทันที และบุคคลผู้เข้าแทนโดยฐานะทายาทไม่สามารถทำหน้าที่ผู้จัดการมรดกแทนได้ เว้นแต่ได้รับการแต่งตั้งใหม่โดยศาล อีกทั้งในบันทึกแบ่งมรดกได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นสิทธิของโจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 เท่านั้น โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องส่วนในแปลงนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ถือเพียงว่าโจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของในที่ดินดังกล่าวตามส่วนที่ตกลง คือ 1 ใน 2 และไม่สามารถบังคับให้จำเลยที่ 2 แบ่งแทนผู้จัดการมรดกได้ ทั้งนี้เพราะอำนาจดังกล่าวตกไปพร้อมกับผู้จัดการมรดกเดิมตามกฎหมาย มิใช่หน้าที่ที่ถ่ายโอนแก่ทายาทโดยอัตโนมัติ

 

คำพิพากษาศาลฎีกา 3886/2566 แบ่งปันมรดกตามบันทึกเป็นหนังสือ มาตรา 1750 เพิกถอนโอน น.ส.3ก. ได้เฉพาะส่วน โฉนด 62649 เป็นสิทธิจำเลย ไม่เข้ามาตรา 1722 หรือ 1605 ผู้จัดการมรดกสิ้นสิทธิเมื่อถึงแก่ความตาย ต้องเพิกถอนผ่านพนักงานที่ดิน มาตรา 61

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3886/2566

แม้ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามมิได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 โดยแจ้งชัดเป็นสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ แต่โจทก์ทั้งสามก็กล่าวอ้างสภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายในฐานะทายาทโดยธรรม การที่โจทก์ทั้งสามนำสืบถึงข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 เกี่ยวเนื่องกับประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องในการที่โจทก์ทั้งสามขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายแบ่งแยกที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละหนึ่งส่วนตามกฎหมาย จึงมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการขอให้บังคับแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย หาใช่เป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสามนำสืบแตกต่างกับฟ้องหรือนอกฟ้องนอกประเด็น

การที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นหนังสือและต่างได้ลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 กรณีต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1750 วรรคหนึ่งและวรรคสอง โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองจึงต้องผูกพันต่อกันและได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในบันทึกที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงกันนั้น การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ให้แก่จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามตามสิทธิอันพึงมีพึงได้แก่โจทก์ทั้งสามตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย ดังนั้น โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิฟ้องร้องให้บังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้ แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แก่ผู้ใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ป.ที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด บัญญัติว่า "ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด" ดังนั้น โจทก์ทั้งสามจึงสามารถนำคำพิพากษาของศาลไปให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาได้ และการเพิกถอนดังกล่าวมิใช่หนี้ที่เป็นการทำนิติกรรมที่ศาลจะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 213 วรรคสอง

จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ให้แก่ตนเองแล้วจำเลยที่ 1 จดทะเบียนให้จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 แต่เพียงผู้เดียว จากนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองไว้แก่สหกรณ์การเกษตร ป. เป็นการกระทำภายหลังวันที่ 6 สิงหาคม 2560 ที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายกัน โดยที่บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 ในส่วนของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 นั้น เฉพาะแต่จำเลยทั้งสองเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งสองย่อมสามารถกระทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ได้ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกทำนิติกรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกของผู้ตายที่ผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมนั้นหาได้ไม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1722 และมิใช่กรณีที่จำเลยที่ 2 ยักย้ายทรัพย์มรดกของผู้ตายส่วนที่ตนจะได้โดยรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทอื่นที่ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605 โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 กลับสู่กองมรดกของผู้ตายและบังคับให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองได้

ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 49023 บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ. 17 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ให้แก่โจทก์ที่ 3 และที่ 2 และยังไม่มีการแบ่งปันให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายและจำเลยที่ 1 ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย ดังนั้น สิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมสิ้นสุดลงเพราะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จัดการมรดก แม้จำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 ได้ในฐานะทายาทของจำเลยที่ 1 แต่ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 2 ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนแบ่งปันที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 49023 แทนจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ได้ เพราะกรณีเช่นนี้เป็นสิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 คงพิพากษาได้แต่เพียงแสดงกรรมสิทธิ์ว่าโจทก์ที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 49023 จำนวน 1 ใน 2 ส่วน เมื่อที่ดินพิพาทดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันมรดกของผู้ตาย โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธิแบ่งส่วนเอาจากที่ดินพิพาทดังกล่าวได้

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้กำจัดจำเลยที่ 2 ไม่ให้มีสิทธิรับมรดกของนางสว่าง ให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 และที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสว่างและจำเลยที่ 2 โดยให้จำเลยที่ 1 ไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 กลับสู่กองมรดกของนางสว่าง ให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าว หากจำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสาม ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสว่างแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 และ 49023 ให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละหนึ่งส่วนตามกฎหมาย หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ถูกจำกัดมิให้รับมรดกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 และ 49023 ของนางสว่างผู้ตาย ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 และที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยทั้งสองกลับสู่กองมรดกของนางสว่าง ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ตามสัดส่วนที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิได้รับในฐานะทายาทเป็นเนื้อที่คนละ 1 ใน 4 ส่วน คิดจากเนื้อที่ 12 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา เป็นเนื้อที่คนละ 3 ไร่ 40 ตารางวา จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 ให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 4 ส่วน คิดจากเนื้อที่ 1 งาน 29 ตารางวา เป็นเนื้อที่คนละ 32.25 ตารางวา โดยปลอดภาระจำนอง หากจำเลยที่ 2 ไม่ไถ่ถอนจำนอง ให้โจทก์ทั้งสามไถ่ถอนจำนองได้เองโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 49023 ให้โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 4 ส่วน คิดจากเนื้อที่ 3 งาน 24 ตารางวา เป็นเนื้อที่คนละ 81 ตารางวา หากจำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความให้ 6,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 และที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยทั้งสองกลับสู่กองมรดกของนางสว่าง ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสามในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 คนละ 1 ใน 5 ส่วนของทรัพย์มรดก ในที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 คนละ 1 ใน 5 ส่วนของทรัพย์มรดกโดยปลอดภาระจำนอง หากจำเลยที่ 2 ไม่ไถ่ถอนจำนอง ให้โจทก์ทั้งสามไถ่ถอนจำนองได้เองโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และในที่ดินโฉนดเลขที่ 49023 คนละ 1 ใน 5 ส่วนของทรัพย์มรดก หากจำเลยที่ 1 ไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ทั้งสามฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ก่อนศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกา จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ทายาทของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ 2 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันโดยเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 กับนางสว่าง ผู้ตาย ซึ่งจำเลยที่ 1 กับผู้ตายจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2538 ขณะผู้ตายถึงแก่ความตาย ผู้ตายมีชื่อในทะเบียนที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 กับมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 62649 และ 49023 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาททั้งสามแปลง วันที่ 29 พฤษภาคม 2560 จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโดยคำสั่งศาล หลังจากนั้นวันที่ 13 มิถุนายน 2560 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ให้แก่ตน ครั้นวันที่ 1 กันยายน 2560 จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ต่อจากนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 2 จำนองที่ดินพิพาทดังกล่าวไว้แก่สหกรณ์การเกษตรปฏิรูปที่ดินสุวรรณภูมิสอง จำกัด และในวันที่ 1 กันยายน 2560 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ให้จำเลยที่ 2 สำหรับคำขอบังคับของโจทก์ทั้งสามที่ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 หากจำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสาม ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามจึงมิอาจขอให้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้ โจทก์ทั้งสามมิได้อุทธรณ์ คำขอให้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่า สำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 เป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย และจำเลยที่ 2 ถูกกำจัดมิให้รับมรดกของผู้ตายหรือไม่ เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 และโฉนดเลขที่ 49023 และ 62649 เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสามนำสืบโดยได้ความจากคำเบิกความของนายเลิศศักดิ์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน พยานโจทก์ทั้งสามว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2560 โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองไปพบนายเลิศศักดิ์และตกลงแบ่งมรดกของผู้ตาย นายเลิศศักดิ์เป็นผู้ทำบันทึกโดยโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้านายเลิศศักดิ์ตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 ซึ่งจำเลยที่ 1 เบิกความรับข้อเท็จจริงในข้อนี้ว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2560 จำเลยที่ 1 ได้ทำข้อตกลงเจรจาแบ่งปันที่ดินพิพาทด้วยความสมัครใจที่ทำการผู้ใหญ่บ้านตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 และจำเลยที่ 2 ก็เบิกความรับในข้อนี้เช่นกันว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2560 จำเลยที่ 2 เดินทางไปที่ทำการผู้ใหญ่บ้านและได้ลงลายมือชื่อในบันทึกตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 หากผู้ตายยกที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้จำเลยที่ 2 ตามที่ผู้ตายได้แจ้งแก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูผู้ตายดังที่จำเลยทั้งสองนำสืบแล้ว จำเลยทั้งสองคงไม่ไปทำความตกลงกับโจทก์ทั้งสามเกี่ยวกับที่ดินพิพาททั้งสามแปลงตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 เป็นแน่ พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองไปตกลงกับโจทก์ทั้งสามเช่นนี้ บ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองยอมรับว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย อีกทั้งเมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จำเลยที่ 1 ก็ระบุตามคำร้องขอว่าผู้ตายมีทรัพย์มรดกคือที่ดินพิพาททั้งสามแปลงดังที่ปรากฏตามคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังเบิกความตอบทนายความโจทก์ทั้งสามถามค้านว่า หลังจากที่จำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้แบ่งทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่โจทก์ทั้งสามสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2560 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จำเลยทั้งสองกับโจทก์ทั้งสามทำบันทึกตกลงกันตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย ส่วนปัญหาที่ว่าบันทึกที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงกันตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 เป็นการตกลงแบ่งปันที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่นั้น แม้ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามมิได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงตามสำเนาหนังสือดังกล่าวโดยแจ้งชัดเป็นสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ แต่โจทก์ทั้งสามก็กล่าวอ้างสภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิรับมรดกของผู้ตายในฐานะทายาทโดยธรรม การที่โจทก์ทั้งสามนำสืบถึงข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 จึงเกี่ยวเนื่องกับประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องในการที่โจทก์ทั้งสามขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายแบ่งแยกที่ดินพิพาททั้งสามแปลงให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละหนึ่งส่วนตามกฎหมาย จึงมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการขอให้บังคับแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย หาใช่เป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสามนำสืบแตกต่างกับฟ้องหรือนอกฟ้องนอกประเด็นดังที่จำเลยทั้งสองแก้ฎีกาไม่ เมื่อพิจารณาบันทึกตามสำเนาหนังสือดังกล่าวซึ่งมีสาระสำคัญว่า ที่นาแปลงเลขที่ 37 หมายเลขระวาง 5739 IV เป็นที่ น.ส. 3 แบ่งออกเป็น 5 ส่วนให้แก่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสอง ที่สวนเป็นโฉนดเลขที่ 59 ระวาง 5739 IV 6206 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ให้แก่โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 และโฉนดเลขที่ 62649 พร้อมบ้านเลขที่ 37 แบ่งให้จำเลยทั้งสอง ซึ่งที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวตรงกับที่พิพาททั้งสามแปลง โดยปรากฏตามสำเนาหนังสือดังกล่าวว่ามีการลงลายมือชื่อของนายเลิศศักดิ์ผู้ใหญ่บ้านและลายมือชื่อของโจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสอง โดยเฉพาะในช่องลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 นั้นมีการระบุไว้ว่าเป็นผู้จัดการมรดกด้วย อันแสดงถึงฐานะของจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นทายาทโดยธรรมของผู้ตายยังเป็นผู้จัดการมรดกที่เป็นตัวแทนของทายาทอื่นของผู้ตายด้วย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นหนังสือและต่างได้ลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือดังที่ปรากฏตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 กรณีต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "การแบ่งปันทรัพย์มรดกนั้น อาจทำได้โดยทายาทต่างเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัด หรือโดยการขายทรัพย์มรดกแล้วเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งกันระหว่างทายาท" และวรรคสอง บัญญัติว่า "ถ้าการแบ่งปันมิได้เป็นไปตามวรรคก่อนแต่ได้ทำโดยสัญญาจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ เว้นแต่จะมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญในกรณีเช่นนี้ให้นำมาตรา 850, 852 แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยประนีประนอมยอมความมาใช้บังคับโดยอนุโลม" ดังนั้น บันทึกที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงกันตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายซึ่งได้ทำโดยสัญญาอันมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดและลงลายมือชื่อของตนซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดไว้เป็นสำคัญ ตามวรรคสองแห่งบทบัญญัติดังกล่าว โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองจึงต้องผูกพันต่อกันและได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในบันทึกที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงกันนั้น การที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ให้แก่จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจและก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามตามสิทธิอันพึงมีพึงได้แก่โจทก์ทั้งสามตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย ดังนั้น โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิฟ้องร้องให้บังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้ แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย แต่การฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แก่ผู้ใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด บัญญัติว่า "ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด" ดังนั้น โจทก์ทั้งสามจึงสามารถนำคำพิพากษาของศาลไปให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาได้ และการเพิกถอนดังกล่าวมิใช่หนี้ที่เป็นการทำนิติกรรมที่ศาลจะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคสอง แม้จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาก็หากระทบกระทั่งถึงสิทธิที่โจทก์ทั้งสามจะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวไม่ แต่เมื่อจำเลยทั้งสองในฐานะทายาทของผู้ตายมีสิทธิในที่ดินพิพาทดังกล่าวตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายคนละ 1 ใน 5 ส่วน เช่นเดียวกับโจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามย่อมมีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 5 ส่วน นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 62649 ให้แก่ตนเองแล้วจำเลยที่ 1 จดทะเบียนให้จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 แต่เพียงผู้เดียว จากนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองไว้แก่สหกรณ์การเกษตรปฏิรูปที่ดินสุวรรณภูมิสอง จำกัด เป็นการกระทำภายหลังวันที่ 6 สิงหาคม 2560 ที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายกัน โดยที่บันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 ในส่วนของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 นั้น เฉพาะแต่จำเลยทั้งสองเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งสองย่อมสามารถกระทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 ได้ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกทำนิติกรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกของผู้ตายที่ผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมนั้นหาได้ไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 และมิใช่กรณีที่จำเลยที่ 2 ยักย้ายทรัพย์มรดกของผู้ตาย ส่วนที่ตนจะได้โดยรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทอื่นที่ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1605 ดังที่โจทก์ทั้งสามฎีกา ดังนั้น โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 62649 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 กลับสู่กองมรดกของผู้ตายและบังคับให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองได้ ฎีกาของโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่สำหรับที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 49023 ซึ่งตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.17 นั้น แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ให้แก่โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 49023 ยังไม่มีการแบ่งปันให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายและจำเลยที่ 1 ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย ดังนั้น สิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมสิ้นสุดลงเพราะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้จัดการมรดก แม้จำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 1 ได้ในฐานะทายาทของจำเลยที่ 1 แต่ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 2 ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนแบ่งปันที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 49023 แทนจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ได้ เพราะกรณีเช่นนี้เป็นสิทธิและหน้าที่ของจำเลยที่ 1 คงพิพากษาได้แต่เพียงแสดงกรรมสิทธิ์ว่าโจทก์ที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 49023 จำนวน 1 ใน 2 ส่วน เมื่อที่ดินพิพาทดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ตามบันทึกข้อตกลงแบ่งปันมรดกของผู้ตาย โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธิแบ่งส่วนเอาจากที่ดินพิพาทดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 เป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1 ส่วนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 62649 และ 49023 เป็นสินสมรสระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1 ต้องแบ่งให้จำเลยที่ 1 ก่อนครึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1625 (1) ประกอบมาตรา 1533 และเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายครึ่งหนึ่งแล้วจึงแบ่งมรดกให้แก่โจทก์ทั้งสามต่อไปนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ทั้งสามข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ทั้งสามต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง

อนี่ง ที่จำเลยทั้งสองแก้ฎีกาว่า โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิใช่ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดก จึงเป็นอุทลุมนั้น เป็นการขอให้ศาลฎีกาเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ซึ่งต้องกระทำโดยการยื่นเป็นคำฟ้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิใช่ขอมาในคำแก้ฎีกา จึงไม่เป็นประเด็นที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยให้

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 37 ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสว่าง แสงสระคู กับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560 เฉพาะส่วนที่เป็นสิทธิของโจทก์ทั้งสาม โดยให้โจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินดังกล่าวคนละ 1 ใน 5 ส่วน ให้โจทก์ที่ 3 เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 49023 1 ใน 2 ส่วน คำขอเกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 62649 และคำขออื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2562 — “ครอบครองเป็นส่วนสัด” ก็เป็นการแบ่งมรดกตาม ม.1750 วรรคหนึ่ง

Quick Summary: คดีนี้ย้ำหลักสำคัญของ ป.พ.พ. ม.1750 วรรคหนึ่ง ว่า “การแบ่งปันทรัพย์มรดก” กระทำได้โดยทายาทต่าง “เข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัด” โดยไม่จำต้องทำสัญญาขายแล้วเอาเงินมาแบ่งเสมอไป ข้อเท็จจริงคือทายาทตกลงกันให้ที่ดินมรดกตกแก่จำเลยแต่ผู้เดียว และจำเลยได้ดำเนินการออกโฉนด/แบ่งแยกที่ดินรวมถึงแปลงพิพาทร่วมด้วย แสดงให้เห็นพฤติการณ์ “เข้าครอบครองเป็นส่วนสัด” ซึ่งเพียงพอตามแบบของกฎหมายในวรรคหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ โจทก์ไม่อาจฟ้องให้ผิดต่อข้อตกลงเดิมเพื่อเรียกคืนหรือแบ่งต่างไปจากที่ตกลงแล้วได้ หลักจากคดีนี้ช่วยให้ผู้ปฏิบัติทราบว่า หากมีข้อตกลงชัดเจนบวกการปฏิบัติที่สอดคล้อง (ครอบครองเป็นส่วนสัด/เดินเอกสารที่ดินให้สะท้อนส่วนแบ่ง) ศาลยอมรับว่าเป็น “การแบ่งมรดกสำเร็จรูป” โดยตัวบทเอง ไม่ต้องพึ่งการขายทอดตลาดหรือทำสัญญาแบ่งเป็นลายลักษณ์อักษรเสมอไป ทั้งยังสอดรับกับแนว 3886/2566 ที่ถือเอา “เอกสาร/พฤติการณ์การแบ่ง” เป็นแกนในการยืนยันสิทธิของทายาทแต่ละฝ่ายและจำกัดการเพิกถอน/บังคับได้เท่าที่ส่วนสิทธินั้น ๆ เท่านั้น. 

2) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6905/2560 — วิธีแบ่งมรดกแบบ “ใส่ชื่อถือรวมตามสัดส่วน” แทนการขาย

Quick Summary: ศาลฎีกาวินิจฉัยชัดว่า ม.1750 วรรคหนึ่ง เปิดทางให้แบ่งปันได้สองวิธีหลัก คือ (1) ทายาทเข้าครอบครองเป็นส่วนสัด หรือ (2) ขายทรัพย์มรดกแล้วนำเงินมาแบ่ง ในคดีนี้ ผู้จัดการมรดกพยายามแบ่งที่ดินหลายแปลงแต่ตกลงไม่ได้ว่าจะได้แปลงใด จึงแจ้งให้ทายาทไป “ใส่ชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนด” ตามสัดส่วนตามสิทธิที่จะได้รับตามพินัยกรรม พร้อมทั้งสามารถขอให้ศาลสั่งแทนการแสดงเจตนาได้ หากบางฝ่ายไม่ยอมไปดำเนินการ ศาลย้ำว่ากลไก “ใส่ชื่อถือรวม” เป็นรูปแบบ “เข้าครอบครองเป็นส่วนสัด” ในทางนิติกรรมทะเบียนที่ดิน และยังไม่จำต้องขายทอดตลาด จึงลดความขัดแย้งและปกป้องมูลค่าทรัพย์มรดก แนวนี้สอดคล้องกับ 3886/2566 ที่ศาลยึดหลักเอกสาร/ข้อตกลงแบ่งมรดกและให้ความสำคัญกับ “วิธีการแบ่งที่เป็นไปตามกฎหมาย” มากกว่าการยึดติดรูปแบบเดียว (ขายแบ่งเงิน) และเมื่อมีเครื่องมือให้ศาลสั่งแทนได้ ยิ่งตอกย้ำว่า การแบ่งมรดกมิใช่จะล้มเหลวเพียงเพราะมีผู้คัดค้าน แต่ต้องกลับไปดูเจตนาร่วม + แบบการแบ่งที่กฎหมายรองรับ. 

3) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15721/2558 — “ถ้อยคำต่อที่ดิน” ไม่ใช่การสละมรดก แต่เป็น “ประนีประนอม” บังคับได้

Quick Summary: ประเด็นสำคัญคือทายาทหลายฝ่ายให้ถ้อยคำต่อพนักงานที่ดินว่าไม่ประสงค์รับมรดกแปลงหนึ่งและยินยอมให้สามีเจ้ามรดกเป็นผู้ขอรับมรดกเพียงผู้เดียว ต่อมาโอนให้จำเลย ข้อถกเถียงคือถ้อยคำนั้นเป็น “การสละมรดก” (ม.1612, 1613) หรือไม่ ศาลถือว่า “การสละมรดก” ต้องเป็นการสละส่วนของตนโดยไม่ระบุเจาะจงให้ใคร แต่กรณีนี้ถ้อยคำมีลักษณะ “ยินยอมให้บุคคลหนึ่งรับมรดกแทน” จึงเป็น “ประนีประนอมยอมความ” ที่มีผลบังคับได้ตาม ม.850, ม.852 และเชื่อมกับ ม.1750 วรรคสอง ในแง่ “สัญญาแบ่งมรดก” ที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ/ลงชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หลักนี้ทรงพลังอย่างยิ่งเมื่อเทียบ 3886/2566 ซึ่งศาลอาศัย “บันทึกแบ่งมรดกลายลักษณ์อักษร ลงลายมือชื่อทุกฝ่าย” เป็นฐานเพื่อยืนยันสิทธิของทายาทและจำกัดอำนาจผู้จัดการมรดกที่จะโอนเกินสิทธิ การทำเอกสารถูกต้อง ย่อมสร้างผลผูกพันในชั้นแบ่งและชั้นจดทะเบียน—และยังเป็นรากฐานสำหรับการเพิกถอนเฉพาะส่วนตามสิทธิในกรณีโอนผิดส่วนต่อไป. 

4) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128/2567 — แบ่งมรดกด้วย “การจับฉลาก/ตกลงเป็นหนังสือ” ต้องมีลายมือชื่อทุกฝ่าย

Quick Summary: แก่นของคดีนี้คือการแบ่งมรดกโดยตกลงกัน (เช่น จับฉลากเลือกแปลง) ซึ่งเข้าลักษณะ “สัญญาแบ่งมรดก” ตาม ม.1750 วรรคสอง ซึ่งกฎหมายกำหนด “แบบ” เคร่งครัด—จะฟ้องบังคับไม่ได้ เว้นแต่มี “หลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือตัวแทน” คดีนี้ศาลย้ำว่าถ้าขาดลายมือชื่อครบถ้วน หรือเอกสารไม่สะท้อนเจตนาทุกฝ่าย การอ้างข้อตกลงดังกล่าวในศาลย่อมไม่สำเร็จ จึงเป็นบทเรียนเชิงปฏิบัติที่ตรงกับแนว 3886/2566 ซึ่งเอกสาร จ.17 มีลายมือชื่อโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสอง รวมทั้งระบุฐานะผู้จัดการมรดก ทำให้คำขอเพิกถอน/บังคับแบ่งเป็นผลเฉพาะส่วนได้ คำพิพากษานี้ช่วยคัดกรอง “เอกสารแบ่งมรดกคุณภาพ” สำหรับนักปฏิบัติ: ต้องครบองค์ประกอบเอกสาร–ลายมือชื่อ–ระบุทรัพย์และส่วนแบ่งชัด พร้อมเชื่อมต่อไปยังการจดทะเบียนภายใต้กฎหมายที่ดินในภายหลัง มิฉะนั้นจะติดขัดในชั้นฟ้องบังคับ. 

5) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1480/2563 — ขอบเขต “อำนาจผู้จัดการมรดก” และการโอนให้ตนเอง

 

Quick Summary: ประเด็นที่นักกฎหมายพบเสมอคือ ผู้จัดการมรดกจะโอนทรัพย์มรดกให้ตนเองได้หรือไม่ และต้องมีความยินยอมของทายาทอื่นเพียงใด คดีนี้อธิบายขอบเขตอำนาจภายใต้ ม.1719, 1722 ป.พ.พ. ว่าผู้จัดการมรดกมีหน้าที่จัดการทรัพย์เพื่อประโยชน์กองมรดกและทายาทโดยรวม มิใช่ใช้ตำแหน่งเอื้อประโยชน์เกินส่วน หากการโอนให้ตนสอดคล้องสิทธิฐานะ “ทายาทร่วม” และไม่เป็นการทำนิติกรรมปฏิปักษ์ต่อกองมรดก/สิทธิทายาทอื่น ก็อาจกระทำได้โดยชอบ อย่างไรก็ดี หากการโอนขัดต่อข้อตกลงแบ่งมรดกที่เป็นหนังสือซึ่งผูกพันทุกฝ่าย (เช่นใน 3886/2566) การโอนดังกล่าวย่อม “ปราศจากอำนาจ” ในส่วนสิทธิของทายาทอื่นและเปิดช่องให้ “เพิกถอนเฉพาะส่วน” ตามสิทธิได้ แนวคดีนี้จึงใช้คู่กัน: เมื่อมีเอกสารแบ่งมรดกตาม ม.1750 แล้ว การโอนภายหลังต้องเดินตามส่วนสิทธิ มิฉะนั้นจะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกเพิกถอนและกระทบธุรกรรมต่อเนื่อง (เช่น จำนอง) ในภายหลัง. 

 

การวิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3886/2566 ประเด็นมรดกและผู้จัดการมรดก: บันทึกแบ่งมรดกเป็นหนังสือมีผลผูกพันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1750 เพิกถอนโอนที่ดิน น.ส.3ก. ได้เฉพาะส่วนของทายาท โฉนด 62649 เป็นสิทธิจำเลย ไม่เข้ามาตรา 1722 หรือ 1605 สิทธิผู้จัดการมรดกสิ้นสุดเมื่อถึงแก่ความตาย และการเพิกถอนต้องดำเนินการตาม ป.ที่ดิน มาตรา 61



คดีมรดก ร้องศาลตั้งผู้จัดการมรดก

พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง & ความสามารถผู้ทำพินัยกรรม(ฎีกา 6522/2561)
ผู้จัดการมรดกยักยอกเงิน & จัดการที่ดินมรดก (ฎีกา 1543/2568)
สัญญาประนีประนอม & สิทธิผู้จัดการมรดกเสียงข้างมาก (ฎีกา 3001/2568)
วิเคราะห์ผู้จัดการมรดกจำนองที่ดิน ทุจริต,กองมรดก, ทายาท,(ฎีกา 5902/2567)
สิทธิทายาท & การแบ่งมรดกโดยจับฉลาก, ทายาทไม่เข้าร่วมประชุม (ฎีกา 2128/2567)
อำนาจผู้จัดการมรดกร่วม & ฟ้องเรียกทรัพย์, มาตรา 1726, (ฎีกา 2628/2567)
คดีมรดก อายุความมรดก 10 ปี, สิทธิทายาท, แบ่งมรดก, (ฎีกา 9992/2560)
(ฎีกาที่ 2656/2567) ภาษีการรับมรดก & คำนวณมูลค่าทรัพย์สิน
(ฎีกาที่ 3681/2567) : อำนาจผู้จัดการมรดกร่วมในการฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนสู่กองมรดก
(ฎีกาที่ 8200/2567) เพิกถอนโฉนดที่ดินและการจัดการมรดก: การบังคับคดีและผลทางกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4043/2567 การตั้งผู้จัดการมรดกและการคัดค้านสิทธิของทายาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4044/2567: พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ ความสมบูรณ์และผลทางกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5560/2567: มรดกไม่มีทายาทตกเป็นของแผ่นดิน และสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งเงินฝาก article
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5668/2567: การเพิกถอนพินัยกรรมและหลักเกณฑ์ความชอบด้วยกฎหมายของอุทธรณ์ article
พินัยกรรมผิดแบบเอกสารลับยังสมบูรณ์ได้ หากครบเงื่อนไขพินัยกรรมธรรมดา – คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3001/2538
โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกได้รับรองแล้ว(ฎีกา 7272/2562)
ผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์มรดกและความรับผิดตามกฎหมาย(ฎีกาที่ 416/2563)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1480/2563: การโอนมรดกและอำนาจผู้จัดการมรดก
สรุปคดีมรดก & เพิกถอนโอนที่ดิน,เพิกถอนนิติกรรม,(ฎีกา 1028/2564)
สิทธิรับมรดก ทายาทโดยธรรม & สินสมรส(ฎีกา 755/2565)
การจัดการมรดกไม่ชอบไม่อาจถือว่าการจัดการมรดกสิ้นลงแล้ว
ทายาทฟ้องทายาทให้แบ่งทรัพย์มรดก สิทธิฟ้องแบ่งมรดกเมื่อพ้นอายุความ
พินัยกรรมของผู้ตายที่ห้ามโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตกเป็นโมฆะ, ข้อห้ามในพินัยกรรมเป็นโมฆะ, ผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม
ถอนผู้จัดการมรดก, การปันมรดกเสร็จสิ้นแล้ว, การจัดการศาลจ้าวไม่เป็นมรดก, ศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊วเป็นกุศลสถาน
ที่ดินของรัฐ มรดกของผู้ตาย, ที่ดินนิคมสหกรณ์, สิทธิทำประโยชน์ในที่ดิน, สิทธิเหนือพื้นดิน, การเพิกถอนโฉนดที่ดิน,
การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทในกองมรดก, การเพิกถอนนิติกรรมในทรัพย์มรดก, การขายทรัพย์มรดกเพื่อชำระหนี้, ผู้จัดการมรดกกับสิทธิและหน้าที่
มรดกตกทอด, การเพิกถอนการสละมรดก, อายุความในการฟ้องคดีมรดก, สิทธิเรียกร้องแทนลูกหนี้
หนังสือแต่งตั้งผู้รับโอนประโยชน์ในเงินทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์ไม่ถือเป็นพินัยกรรม, เงินสงเคราะห์สมาชิกสหกรณ์, สิทธิผู้รับโอนประโยชน์ในเงินสงเคราะห์
นิติกรรมซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นคนต่างด้าว, คดีมรดกที่ดินของคนต่างด้าว, อายุความคดีมรดก, การยักยอกทรัพย์มรดก
พินัยกรรมยกมรดกให้พี่น้องร่วมบิดามารดา, สิทธิของผู้สืบสันดานในการรับมรดกแทนที่, การฟ้องเรียกค่าเช่าจากทรัพย์สินมรดก
การกำจัดทายาทมิให้รับมรดก, สิทธิรับมรดกของผู้สืบสันดานเมื่อทายาทถูกกำจัด, การเพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์มรดก
เพิกถอนโอนมรดก & สิทธิทายาท (ฎีกา 1023/2566)
ผู้จัดการมรดกและการโอนทรัพย์มรดก, พินัยกรรมด้วยวาจา ป.พ.พ. มาตรา 1663, การครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาท
สิทธิทายาทในมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง, ทายาทตายก่อนแบ่งมรดก, รับมรดกแทนที่ มาตรา 1639,
สิทธิการฟ้องขอแบ่งมรดกของทายาท, การเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินมรดก, สินสมรสหลังคู่สมรสเสียชีวิต
สัญญาประกันชีวิต, สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก, ผู้ทำประกันชีวิตและผู้รับผลประโยชน์ตายพร้อมกัน
การจัดการหนี้สินในกองมรดก, สิทธิของเจ้าหนี้กองมรดก, ที่ดินมรดกและการบังคับคดี
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดก
ผู้จัดการมรดกปฏิบัติผิดหน้าที่-ทายาทผู้มีสิทธิฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกได้
ผู้จัดการมรดกร่วมถึงแก่ความตายต้องทำอย่างไร, ฟ้องซ้อน คืออะไร, แต่งตั้งผู้จัดการมรดก
ผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่เพียงทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป
การจัดการทรัพย์มรดกในฐานะผู้จัดการมรดกตามหน้าที่ที่จำเป็น
คำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกปิดบังทรัพย์มรดกมีผลอย่างไร
ทายาทมิได้ฟ้องเรียกร้องมรดกภายใน 1 ปี
ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน ผู้มีส่วนได้เสีย
สามีไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้มีส่วนได้เสียเป็นผู้จัดการมรดกได้
ทรัพย์มรดกยังไม่ได้แบ่งให้แก่ทายาททุกคน-การจัดการทรัพย์มรดกยังไม่เสร็จสิ้น
ผู้จัดการมรดกไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มีผลอย่างไร?
ฟ้องผู้จัดการมรดกนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลงเกินห้าปีขาดอายุความ
ผู้จัดการมรดกไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกยื่นต่อศาลถูกเพิกถอนได้
อายุความคดีมรดก เจ้าหนี้ฟ้องคดีมรดกเกินหนึ่งปี
คดีของโจทก์ขาดอายุความการจัดการมรดก
บุตรบุญธรรมเป็นผู้สืบสันดานเหมือนบุตรชอบด้วยกฎหมาย
บุตรนอกกฎหมายซึ่งผู้ตายรับรองแล้วเป็นผู้สืบสันดาน
มารดาขายที่ดินซึ่งผู้เยาว์มีส่วนแบ่งไม่ต้องขอศาล
นายอำเภอคือผู้มีอำนาจจัดทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง
ความรับผิดของผู้จัดการมดกภายหลังการเสียชีวิต
ผู้จัดการมรดกร่วมนำทรัพย์มรดกหาประโยชน์แก่ตน
ผู้สืบสันดาน คือใคร? ต่างกับทายาท อย่างไร?
คู่สมรสและการแบ่งมรดกของคู่สมรส | การสมรสเป็นโมฆะ
อายุความคดีมรดก และอายุความเกี่ยวกับการจัดการมรดก
(ฎีกา 2150/2561) – สิทธิร้องถอนผู้จัดการมรดกก่อนปันมรดก(ฎีกา 2150/2561)
การปันมรดกเสร็จสิ้นลงแล้วการถอนผู้จัดการมรดกย่อมพ้นกำหนดเวลา
สามีมิได้จดทะเบียนสมรสไม่ถือเป็นทายาทของภริยาผู้ตาย
อำนาจหน้าที่จัดการศพพระภิกษุผู้มรณภาพไม่มีทรัพย์สิน
สามีไม่จดทะเบียนสมรสขอถอนผู้จัดการมรดก มีกรรมสิทธิ์รวม
ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะทำหน้าที่ผู้จัดการมรดก
อำนาจฟ้องขอแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย
ทายาททุกคนมอบหมายให้ครอบครองที่ดินแทนทายาททุกคนเพื่อประโยชน์ร่วม
ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา 1300
ทายาทโดยธรรมย่อมมีสิทธิเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์มรดกตามส่วนที่จะพึงได้
สิทธิรับมรดกที่ยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาห้ามยกเป็นข้อต่อสู้ผู้รับโอนโดยสุจริต
ผู้จัดการมรดกทำนิติกรรมซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก
ฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์มรดกเมื่อล่วงพ้นกำหนดอายุความแล้ว
ผู้คัดค้านไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในการขอจัดการมรดก
ทายาทมีส่วนเท่ากันออกค่าใช้จ่ายจัดการทำศพ
ความเหมาะสมในการเป็นผู้จัดการมรดก
ผู้จัดการมรดกครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่น
สิทธิของบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมายในการรับมรดกของบุตรนอกกฎหมาย
หนังสือสัญญาแบ่งมรดกตกเป็นโมฆะหรือไม่?
อำนาจและหน้าที่ในการจัดการทำศพและลำดับก่อนหลัง
พินัยกรรมมีเงื่อนไขบังคับก่อน
ผู้จัดการมรดกฟ้องแทนทายาทโดยธรรมอื่น
คู่สมรสที่จดทะเบียนหย่าแล้วเป็นผู้จัดการมรดกได้หรือไม่
การสละมรดกมีผลย้อนหลังไปถึงเวลาเจ้ามรดกตายจึงขาดความเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
แม้กองมรดกมีผู้จัดการมรดกแล้วทายาทก็ยังมีสิทธิฟ้อง
พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองไม่ได้ทำต่อหน้าพยานตกเป็นโมฆะ
บุตรนอกสมรสและบิดานอกกฎหมายมีสิทธิรับมรดกต่อกันอย่างไร
ผู้จัดการมรดก | ทายาทผู้ถูกตัดมิให้รับมรดก
ผู้จัดการมรดกเรียกให้เจ้าของรวมส่งมอบโฉนดที่ดิน
การจัดการมรดกยังไม่สิ้นสุดลงอายุความ 5 ปียังไม่เริ่มนับ
สิทธิรับมรดกก่อนหลัง
คำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ
อายุความฟ้องคดีแพ่งอันเนื่องจากคดียักยอกทรัพย์มรดก
เมื่อแบ่งมรดกเสร็จแล้วความเป็นทายาทสิ้นสุดลง-อายุความมรดก
การแบ่งมรดกที่ดินมือเปล่าไม่มีเอกสารสิทธิ
คดีมรดกต้องเป็นคดีที่ทายาทด้วยกันพิพาทกันเรื่องสิทธิในส่วนแบ่งมรดก
ขอให้ศาลสั่งถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก
ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ความรับผิดของผู้ตาย