ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




วิเคราะห์ผู้จัดการมรดกจำนองที่ดิน ทุจริต,กองมรดก, ทายาท,(ฎีกา 5902/2567)

 คำพิพากษาศาลฎีกา 5902/2567, คดีผู้จัดการมรดก, จำนองมรดกโดยไม่อนุญาต, สิทธิจำนองในมรดก, ความผิดผู้จัดการมรดกทุจริต, ทายาทรับภาระหนี้, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353, มาตรา 354, มาตรา 83, เจตนาไม่สุจริต, โจทก์ทายาท, การวิเคราะห์คำพิพากษา, IRAC คดี 5902/2567

 ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ 

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกรณีที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกนำที่ดินมรดกไปจดทะเบียนจำนองโดยไม่ได้รับความยินยอมจากทายาท โจทก์ทั้งสามจึงถูกผูกพันให้รับผิดชำระหนี้หากจำเลยไม่ชำระ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สิทธิจำนองเป็นบุริมสิทธิที่ติดทรัพย์และมีผลต่อกองมรดก ทายาท และการจดจำนองโดยเจตนาไม่สุจริตถือเป็นการทุจริตหน้าที่ผู้จัดการมรดก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบมาตรา 354, 83

บทนำนี้สรุปใจความสำคัญของคดีไว้ครบถ้วนและเป็นจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนสำหรับผู้อ่าน ก่อนเข้าสู่การวิเคราะห์เชิงลึก

เนื้อหาแบบสรุปข้อเท็จจริง / คำวินิจฉัย / ขยายความประเด็นทางกฎหมาย

ข้อเท็จจริงสำคัญ

โจทก์ทั้งสามเป็นบุตรของนายนพดล (ซึ่งเป็นมรดกตามพินัยกรรมของนายประเสริฐ) และได้รับการรับรองบุตร

เมื่อผู้ตาย (นายประเสริฐ) ถึงแก่ความตาย มีพินัยกรรมยกทรัพย์มรดก (รวมที่ดินพิพาท) ให้แก่บุตรในลักษณะหนึ่ง

ศาลได้พิพากษาแต่งตั้งจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดก

จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาท (ครั้งที่ 1) เป็นจำนวน 6,000,000 บาท โดยไม่ได้ขอความยินยอมจากโจทก์ทั้งสาม

โจทก์ทั้งสามในภายหลังได้ฟ้องให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามมรดกแก่ตน

จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองครั้งที่ 1 แล้วจดทะเบียนจำนองใหม่ (ครั้งที่ 2) เป็นจำนวน 11,350,000 บาท โดยเพิ่มวงเงิน

จำเลยใช้เงินจำนองเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ไม่ได้ใช้เพื่อประโยชน์ของกองมรดก

โจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีอาญาว่ากระทำผิดตาม มาตรา 353, 354, 83

ศาลชั้นต้น พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม มาตรา 353 ประกอบ มาตรา 354, 83 และลงโทษจำคุก

ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลอนุญาตให้ฎีกาเฉพาะประเด็นข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่าง

⚖️ กฎหมายที่ใช้เป็นหลักในการวินิจฉัย

🔹 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353

“ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น หรือได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ตามคำสั่งของศาล แล้วกระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท”

🔹 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354

“ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา 353 ถ้าทรัพย์สินนั้นอยู่ในความครอบครองของผู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท”

🔹 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

“ผู้ใดร่วมกันกระทำความผิด ให้ลงโทษผู้นั้นตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น”

🔹 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722

“ผู้จัดการมรดกไม่อาจทำการใด ๆ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประโยชน์ของกองมรดกได้”

🔹 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง

“คำพิพากษาหรือคำสั่งใดของศาลที่ได้มีแล้ว ย่อมผูกพันคู่ความจนกว่าจะมีการแก้ไข เปลี่ยนแปลง กลับ หรือยกเลิกเสีย”

🧩 5 Keywords แก่นของคดี พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ

1. ผู้จัดการมรดก 

จำเลยทั้งสองได้รับการแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐ มีหน้าที่ต้องรวบรวมทรัพย์มรดกและแบ่งปันให้ทายาทอย่างสุจริต แต่กลับใช้ตำแหน่งนั้นจำนองทรัพย์มรดกเพื่อตนเอง ศาลถือว่าผิดหน้าที่ตามกฎหมายอาญา มาตรา 353

2. การจำนองโดยไม่ยินยอม 

จำเลยนำที่ดินมรดกไปจดทะเบียนจำนองสองครั้ง โดยไม่ขอความเห็นชอบจากทายาทผู้มีสิทธิในทรัพย์นั้น การจำนองดังกล่าวแม้ไม่โอนกรรมสิทธิ์ แต่เป็น “ทรัพยสิทธิติดทรัพย์” ที่สร้างภาระผูกพันแก่กองมรดกและทายาท

3. เจตนาไม่สุจริต 

พฤติการณ์ที่จำเลยทราบดีว่ามีคดีแพ่งและอาญาเกี่ยวกับทรัพย์มรดก แต่ยังคงจดจำนองซ้ำและเพิ่มวงเงินอีกหลายล้านบาท ถือเป็นการกระทำโดยมี “เจตนาไม่สุจริต” เพื่อแสวงหาผลประโยชน์มิชอบ ศาลจึงตีความว่าเป็นการทุจริตโดยตรงตามมาตรา 353

4. สิทธิจำนองติดทรัพย์ 

ศาลอธิบายหลักกฎหมายแพ่งว่า สิทธิจำนองเป็นบุริมสิทธิ์ที่ติดอยู่กับทรัพย์ หากผู้จัดการมรดกไม่ชำระหนี้ ผู้รับจำนองสามารถบังคับจำนองขายทรัพย์ได้ และภาระหนี้จะตกแก่กองมรดกและทายาทผู้สืบสิทธิ์

5. ผลของคำพิพากษาที่ผูกพันคู่ความ

จำเลยอ้างว่าคดีแพ่งยังไม่ถึงที่สุดจึงยังไม่โอนทรัพย์ให้โจทก์ แต่ศาลฎีกาย้ำว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีผลผูกพันคู่ความทันทีตามมาตรา 145 วรรคหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าการละเมิดคำพิพากษาระหว่างระหว่างรออุทธรณ์ก็ถือเป็นพฤติการณ์ไม่สุจริตเช่นกัน

🔍 สรุปภาพรวมทางกฎหมาย

คดีนี้เป็นกรณีศึกษาชัดเจนเกี่ยวกับ “ความรับผิดทางอาญาของผู้จัดการมรดก” ที่นำทรัพย์มรดกไปจำนองโดยไม่ยินยอมจากทายาท ศาลฎีกาใช้หลักกฎหมายอาญา (มาตรา 353, 354, 83) ประกอบหลักกฎหมายแพ่ง (มาตรา 1722 และ มาตรา 145 ว.พ.แพ่ง) เพื่อยืนยันว่า ผู้จัดการมรดกต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต โปร่งใส และไม่อาจอ้างค่าใช้จ่ายหรือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นข้อแก้ตัวได้ หากฝ่าฝืนถือว่ามีความผิดฐานกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต

คำวินิจฉัยศาลฎีกา & ขยายความประเด็นกฎหมาย

หลักการจัดการมรดก & หน้าที่ผู้จัดการมรดก

เมื่อศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว จำเลยมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะรวบรวมทรัพย์มรดก แบ่งมรดก และบริหารทรัพย์มรดกอย่างสุจริต โปร่งใส และเป็นประโยชน์แก่กองมรดกและทายาท

จำเลยไม่อาจใช้อำนาจจัดการทรัพย์มรดกโดยอิสระตามความประสงค์ส่วนตัว

สิทธิจำนองในมรดก & ผลผูกพันกองมรดก

การจดทะเบียนจำนองแม้จะไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ตกอยู่กับผู้รับจำนอง แต่สิทธิจำนองเป็นบุริมสิทธิที่ติดกับตัวทรัพย์

สิทธิจำนองนั้น “ไปกับทรัพย์” และมีผลผูกพันต่อกองมรดกและทายาททั้งปวง

ถ้าผู้รับจำนองไม่รับชำระหนี้ ผู้รับจำนองสามารถบังคับจำนอง ยึดทรัพย์มาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้

เจตนาไม่สุจริต & การแสวงหาประโยชน์มิชอบ

จำเลยทราบดีว่าโจทก์ทั้งสามได้ฟ้องคดีแพ่งเรื่องการโอนที่ดิน และจำเลยก็ทราบว่าเป็นคดีอาญาเกี่ยวกับจำนองครั้งแรก

การจดจำนองครั้งที่สองโดยเพิ่มวงเงินและนำเงินไปใช้ส่วนตัว แสดงถึงเจตนาไม่สุจริต (เพื่อแสวงประโยชน์มิชอบ)

การกระทำเช่นนี้จึงเป็นการผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกโดยทุจริต (ตามประกาศ มาตร 353, 354)

ปฏิเสธข้ออ้างว่าค่าใช้จ่ายและค่าทนายเป็นค่าใช้จ่ายจัดการมรดก

จำเลยอ้างว่าเงินที่ได้จากการจำนองใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี / ค่าทนาย เพื่อเรียกทรัพย์มรดกกลับมา

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยไม่ได้นำพยานแสดงว่าเงินนั้นถูกใช้เพื่อประโยชน์ของกองมรดกจริง และบางรายการเป็นค่าใช้จ่ายจิปาถะทั่วไป ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายจัดการมรดก

จึงไม่ยอมรับคำอ้าง เพราะจำเลยเป็นผู้ต้องพิสูจน์ข้ออ้างดังกล่าว

ปฏิเสธข้อโต้แย้งอื่น

ข้อโต้แย้งเรื่องคดีแพ่งยังไม่ถึงที่สุดนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเมื่อศาลล่างมีคำพิพากษาแล้ว คำพิพากษานั้นมีผลผูกพันตามวิธีพิจารณาคดีแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง

ข้อโต้แย้งอื่นเป็นเรื่องรายละเอียดปลีกย่อย ไม่เป็นประเด็นสาระสำคัญ จึงไม่วินิจฉัยใหม่

ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลล่างให้จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบมาตรา 354, 83 และลงโทษจำคุกเช่นเดียวกับศาลอุทธรณ์

IRAC (Issue / Rule / Application / Conclusion) – แบบขยาย

Issue (ประเด็นปัญหา)

1. จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดก กระทำการจดจำนองที่ดินพิพาทโดยไม่ขอความยินยอมจากทายาท หรือไม่?

2. พฤติการณ์การจดจำนองครั้งที่สองโดยเพิ่มวงเงิน และการใช้เงินเพื่อประโยชน์ส่วนตัว แสดงเจตนาไม่สุจริตหรือไม่?

3. จำเลยอ้างว่าใช้เงินจำนองเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการมรดก ควรรับฟังหรือไม่?

4. ถ้าจำเลยไม่ชำระหนี้ ผู้รับจำนองสามารถบังคับทรัพย์ได้หรือไม่ และทายาท (โจทก์) ต้องรับผิดชำระหนี้หรือไม่?

Rule (กฎหมาย / หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง)

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (เรื่องมรดก, สิทธิจำนอง)

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 (การกระทำของผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นโดยทุจริต), มาตรา 354 (โทษ)

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 (การลงโทษตามบทต่อต่างกัน)

หลักสิทธิจำนอง – สิทธิจำนองเป็นบุริมสิทธิที่ติดทรัพย์ (ไม่มีการเปลี่ยนเจ้าของทรัพย์ได้โดยอัตโนมัติ)

กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง (คำพิพากษาที่ถึงที่สุดมีผลผูกพัน)

Application (การประยุกต์ข้อเท็จจริงกับกฎหมาย)

1. จำเลยเป็นผู้จัดการมรดก ภายใต้คำสั่งศาล จึงต้องปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ด้วยความสุจริต โปร่งใส ไม่ใช้สิทธิจัดการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน

2. การจดจำนองครั้งที่ 1 โดยไม่ได้รับความยินยอมของโจทก์ ทายาท แสดงการกระทำที่ไม่สุจริต

3. จำเลยทราบดีว่าโจทก์ได้ฟ้องคดีแพ่งและอาญาที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาท แต่ยังจดจำนองครั้งที่ 2 โดยเพิ่มวงเงินอีก ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาแสวงหาผลประโยชน์แก่ตน

4. จำเลยอ้างใช้เงินจำนองเป็นค่าใช้จ่ายจัดการมรดก แต่จำเลยไม่ได้นำหลักฐานแสดงว่าเป็นการใช้เพื่อประโยชน์กองมรดกจริง และบางรายการเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไป จึงไม่รับฟัง

5. เนื่องจากสิทธิจำนองติดทรัพย์ ผู้รับจำนองสามารถบังคับจำนองได้หากจำเลยไม่ชำระ

6. เนื่องจากจำเลยได้ละเมิดหน้าที่โดยทุจริต ทายาท (โจทก์) ต้องรับภาระชำระหนี้ตามสิทธิจำนอง

Conclusion (บทสรุปทางกฎหมาย)

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบมาตรา 354, 83 และลงโทษตามที่ศาลล่างตัดสิน จำเลยไม่อาจอ้างเหตุใช้เงินจำนองเป็นค่าใช้จ่ายจัดการมรดกได้ และสิทธิจำนองในที่ดินพิพาทยังผูกพันกองมรดกและทายาท โจทก์ต้องรับภาระหนี้จำนองหากจำเลยไม่ชำระ และผู้รับจำนองมีสิทธิบังคับจำนองยึดทรัพย์ได้

คำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริง / กฎหมาย (2 ประเด็น) พร้อมคำตอบ

คำถาม 1:

ในขณะที่จำเลยจดทะเบียนจำนองครั้งที่ 2 จำเลยทราบหรือไม่ว่าโจทก์ได้ฟ้องคดีแพ่งและอาญาเกี่ยวกับที่ดินพิพาทอยู่แล้ว และเจตนาเช่นนั้นมีผลอย่างไรในคำพิพากษา?

คำตอบ:

จำเลยทราบดีว่าโจทก์ทั้งสามได้ฟ้องคดีแพ่งเพื่อขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน และคดีอาญาเกี่ยวกับจำนองครั้งแรก (ซึ่งมีมูลเหตุมาจากการจำนองครั้งแรก) อยู่แล้ว แต่จำเลยยังจดจำนองครั้งที่ 2 โดยเพิ่มวงเงิน และนำเงินไปใช้ส่วนตัว การกระทำเช่นนี้จึงแสดงให้เห็นถึง เจตนาไม่สุจริต และการแสวงหาประโยชน์มิชอบ ซึ่งถือเป็นการทุจริตในการจัดการมรดก ถูกศาลฎีกานำมาวินิจฉัยและถือเป็นเหตุให้จำเลยผิดตามมาตรา 353

คำถาม 2:

จำเลยอ้างว่าเงินที่ได้จากการจำนองใช้เป็นค่าใช้จ่ายจัดการมรดก (เช่น ค่าทนาย, ต่อสู้คดี) เหตุใดศาลฎีกาจึงไม่รับฟังข้ออ้างนี้?

คำตอบ:

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเป็นผู้ต้องพิสูจน์ข้ออ้างดังกล่าว แต่จำเลยไม่ได้นำพยานหลักฐานที่ชัดเจนมาแสดงว่าเงินจำนองนั้นถูกใช้เพื่อประโยชน์ของกองมรดกจริง และรายการหลายรายการเป็นค่าใช้จ่ายจิปาถะทั่วไป มิใช่ค่าใช้จ่ายจำเป็นในการจัดการมรดก ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้โดยละเอียดว่าไม่สมควรรับฟัง และศาลฎีกาก็เห็นว่าไม่มีเหตุให้วินิจฉัยซ้ำ จึงปฏิเสธข้ออ้างของจำเลย

บทสรุปข้อคิดทางกฎหมาย

ผู้จัดการมรดกต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต โปร่งใส และคำนึงถึงประโยชน์ของกองมรดกและทายาท

การจำนองทรัพย์มรดกโดยไม่ได้รับความยินยอมจากทายาทเป็นการละเมิดสิทธิของทายาท

สิทธิจำนองแม้ไม่ทำให้กรรมสิทธิ์เปลี่ยนมือ แต่เป็นสิทธิบุริมสิทธิที่ติดทรัพย์และมีผลต่อกองมรดก

เจตนาไม่สุจริต (การแสวงหาประโยชน์มิชอบ) เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้จัดการมรดกถูกกล่าวโทษตามกฎหมายอาญา

จำเลยมีภาระพิสูจน์ข้ออ้าง (เช่น ค่าใช้จ่ายจัดการมรดก) หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ ข้ออ้างไม่เป็นที่รับฟัง

ทายาทอาจถูกผูกพันต่อหนี้จำนองของผู้จัดการมรดก หากผู้จัดการไม่ชำระ และผู้รับจำนองสามารถบังคับทรัพย์ได้


ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 “ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น หรือทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”  มาตรา 354 “ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 352 หรือมาตรา 353 ได้กระทำในฐานที่ผู้กระทำความผิดเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งของศาล หรือตามพินัยกรรม หรือในฐานเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”  มาตรา 83 (ตัวการร่วม) “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น”  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (บรรพ 6 มรดก) มาตรา 1722 “ผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกหาได้ไม่ เว้นแต่พินัยกรรมจะได้อนุญาตไว้ หรือได้รับอนุญาตจากศาล”  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง (หลัก “คำพิพากษาผูกพันคู่ความ”) “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการอุทธรณ์ฎีกา และการพิจารณาใหม่ คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆ ให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่ง นับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่ง จนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย ถ้าหากมี”


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5902/2567

จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกนำที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกในส่วนที่โจทก์ทั้งสามจะได้รับตามพินัยกรรมไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ของจำเลยทั้งสองถึงสองครั้งโดยไม่ได้รับความเห็นชอบหรือยินยอมจากโจทก์ทั้งสามย่อมก่อให้เกิดทรัพยสิทธิจำนองในที่ดินพิพาท แม้การจำนองจะไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตกเป็นของผู้จำนอง แต่สิทธิจำนองเป็นบุริมสิทธิ์ที่ติดไปกับตัวทรัพย์มีผลผูกพันต่อกองมรดกและทายาททั้งปวง หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามสัญญาจำนอง หนี้เหล่านั้นจะตกเป็นภาระแก่กองมรดกและทายาทรวมทั้งโจทก์ทั้งสามต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญาจำนองแทนจำเลยทั้งสอง ก่อนจดทะเบียนจำนองครั้งแรก จำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกให้โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสามในฐานะผู้สืบมรดกของทายาทตามพินัยกรรม และก่อนที่จำเลยทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทครั้งที่สอง จำเลยทั้งสองก็ทราบแล้วว่าโจทก์ทั้งสามฟ้องคดีอาญาจำเลยทั้งสองอันมีมูลเหตุสืบเนื่องจากจำเลยทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทครั้งแรกแล้ว แต่จำเลยทั้งสองยังคงจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทครั้งที่สองโดยเพิ่มวงเงินจำนองให้สูงขึ้นไปอีกแล้วนำเงินที่ได้จากการจำนองมาใช้ประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสองย่อมแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาไม่สุจริต อันถือได้ว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งของศาล กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่น

โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353, 354, 83

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบมาตรา 354 (ที่ถูกต้องระบุมาตรา 83 ด้วย) จำคุกคนละ 2 ปี

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติตามที่คู่ความไม่ได้ฎีกาโต้แย้งกันว่า โจทก์ทั้งสามเป็นบุตรของนายนพดล กับนางสกินะ ซึ่งอยู่กินฉันสามีภรรยาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน โจทก์ทั้งสามเป็นผู้สืบสันดานของนายนพดลที่ให้การรับรองบุตรแล้ว เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2543 นายประเสริฐ ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกส่วนหนึ่ง รวมทั้งที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1664 เฉพาะส่วนเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา พร้อมบ้านหลังใหญ่ให้แก่นายนพดล วันที่ 22 พฤศจิกายน 2549 นายประเสริฐถึงแก่ความตาย ศาลมีคำพิพากษาตั้งจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐ ต่อมาจำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดมีนบุรีขอให้กำจัดนายนพดลมิให้รับมรดกของนายประเสริฐด้วยเหตุปิดบังพินัยกรรม คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้กำจัดนายนพดลมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร วันที่ 18 กันยายน 2560 โจทก์ทั้งสามมีหนังสือทวงถามจำเลยทั้งสองให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมของนายประเสริฐที่ตกทอดแก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสองได้รับแล้วเพิกเฉย และวันที่ 19 ตุลาคม 2560 โจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลจังหวัดมีนบุรีขอให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนที่นายนพดลมีสิทธิได้รับตามพินัยกรรมทั้งหมดให้แก่โจทก์ทั้งสาม และวันที่ 11 มีนาคม 2562 ศาลจังหวัดมีนบุรีมีคำพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสามสามารถสืบมรดกจากนายนพดลตามสิทธิที่ได้รับมรดกของนายประเสริฐ คดีถึงที่สุด วันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมของจำเลยทั้งสองต่อนายสุรชัย ครั้งแรก เป็นเงิน 6,000,000 บาท โจทก์ทั้งสามกับพวกฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลจังหวัดมีนบุรีในความผิดข้อหายักยอก คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองแต่ให้รอการลงโทษจำคุกเฉพาะจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2562 จำเลยทั้งสองจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทและจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทใหม่ ครั้งที่สอง เป็นเงิน 11,350,000 บาท ซึ่งโจทก์ทั้งสามนำมาเป็นมูลฟ้องคดีนี้

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาตั้งจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐแล้วจำเลยทั้งสองไม่อาจจัดการมรดกให้เป็นไปทางใดทางหนึ่งได้ตามอำเภอใจจักต้องทำหน้าที่ผู้จัดการมรดกภายใต้กรอบและหลักเกณฑ์ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้ โดยประการที่สำคัญจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องรวบรวมทรัพย์มรดกทั้งหลายของนายประเสริฐนำมาแบ่งปันแก่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกให้เป็นไปตามกฎหมายและตามพินัยกรรมของนายประเสริฐโดยจักต้องกระทำเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกด้วยความสุจริต โปร่งใสและเปิดเผยเพื่อไม่ให้เป็นที่คลางแคลงใจแก่ทายาท การที่จำเลยทั้งสองนำที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยทั้งสองต่อนายสุรชัยโดยโจทก์ทั้งสามไม่ได้รู้เห็นยินยอมย่อมก่อให้เกิดทรัพยสิทธิจำนองในที่ดินพิพาทนั้น แม้การจำนองจะไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตกเป็นของผู้จำนอง แต่สิทธิจำนองเป็นบุริมสิทธิที่ติดไปกับตัวทรัพย์จำนองมีผลผูกพันต่อกองมรดกและทายาททั้งปวง ดังนั้น หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้เงินกู้ยืมตามสัญญาจำนองหนี้เหล่านั้นก็จะตกเป็นภาระแก่กองมรดกและทายาท รวมทั้งโจทก์ทั้งสามซึ่งสืบมรดกจากนายนพดลที่มีสิทธิจะได้รับมรดกที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมของนายประเสริฐในอันจะต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญาจำนองให้แก่ผู้รับจำนองแทนจำเลยทั้งสอง มิฉะนั้นผู้รับจำนองอาจใช้สิทธิฟ้องร้องบังคับจำนองยึดที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามสัญญาจำนองได้ นอกจากนี้ยังได้ความจากพยานหลักฐานที่โจทก์ทั้งสามนำสืบมาว่า เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2560 โจทก์ทั้งสามในฐานะผู้สืบมรดกจากนายนพดลยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลจังหวัดมีนบุรีขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและส่งมอบทรัพย์สินอันเป็นทรัพย์มรดกในส่วนที่นายนพดลมีสิทธิจะได้รับตามพินัยกรรมทั้งหมดให้แก่โจทก์ทั้งสาม และวันที่ 11 มีนาคม 2562 ศาลจังหวัดมีนบุรีมีคำพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสามสามารถสืบมรดกจากนายนพดลมีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรมของนายประเสริฐและให้จำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมส่งมอบทรัพย์สินอันเป็นทรัพย์มรดกในส่วนที่นายนพดลมีสิทธิจะได้รับตามพินัยกรรมทั้งหมดให้แก่โจทก์ทั้งสาม ประกอบกับจำเลยที่ 2 เบิกความยอมรับว่า ก่อนจดทะเบียนจำนองครั้งแรก จำเลยที่ 2 ทราบเรื่องที่โจทก์ทั้งสามยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับเรื่องขอสืบมรดกจากนายนพดลที่มีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรมของนายประเสริฐแล้ว จำเลยที่ 2 ยังจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทโดยไม่ได้แจ้งและไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งสาม อีกทั้งได้ความตามทางนำสืบของโจทก์ทั้งสามว่า หลังจากจำเลยทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมแก่นายสุรชัยครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 แล้ว ต่อมาวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 โจทก์ทั้งสามกับพวกฟ้องจำเลยทั้งสองกับพวกในข้อหาร่วมกันโกงเจ้าหนี้และร่วมกันทำผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลโดยทุจริตจากการที่จำเลยทั้งสองนำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองครั้งแรกดังกล่าว ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1525/2561 ของศาลจังหวัดมีนบุรี แสดงว่าก่อนจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทครั้งแรกจำเลยที่ 2 ทราบเรื่องที่โจทก์ทั้งสามยื่นฟ้องคดีแพ่งเพื่อขอสืบมรดกจากนายนพดลที่มีสิทธิจะได้รับมรดกตามพินัยกรรมของนายประเสริฐแล้วยังฝ่าฝืนนำที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่จะตกแก่โจทก์ทั้งสามไปจดทะเบียนจำนองต่อนายสุรชัย และก่อนจำเลยทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินครั้งที่สองจำเลยทั้งสองก็ทราบแล้วว่าโจทก์ทั้งสามกับพวกฟ้องจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นคดีอาญาอันมีมูลเหตุสืบเนื่องมาจากการที่จำเลยทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทครั้งแรกแล้ว แต่จำเลยทั้งสองยังคงจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทครั้งที่สองโดยเพิ่มวงเงินจำนองให้สูงขึ้นไปอีก พฤติกรรมของจำเลยทั้งสองเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของทายาทและโจทก์ทั้งสามแล้ว ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า เหตุที่ยังไม่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามเนื่องจากคดีที่โจทก์ทั้งสามฟ้องขอสืบมรดกของนายนพดลตามพินัยกรรมยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลสูงยังไม่ถึงที่สุด และจำเลยทั้งสองเชื่อว่าจะชนะคดีสามารถนำทรัพย์มรดกส่วนนั้นมาแบ่งปันให้แก่ทายาทคนอื่นได้นั้น เห็นว่า ขณะจำเลยทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทครั้งที่สองนั้นจำเลยทั้งสองทราบผลคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.1745/2560 ของศาลจังหวัดมีนบุรี ที่พิพากษาให้โจทก์ทั้งสามสืบมรดกจากนายนพดลมีสิทธิจะได้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมของนายประเสริฐ และให้จำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสามแล้ว แม้ขณะนั้นคดียังไม่ถึงที่สุดแต่ผลแห่งคำพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรีดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาคดีนั้น นับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษานั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย ถ้าหากมี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยทั้งสองนี้จึงรับฟังไม่ได้ ในทางตรงข้ามการที่จำเลยทั้งสองไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสามตามคำพิพากษากลับนำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองครั้งที่สองในวงเงินที่สูงขึ้นจากการจำนองครั้งที่หนึ่งอีกหลายล้านบาทซึ่งเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้แก่กองมรดก ทายาทและโจทก์ทั้งสาม ย่อมแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาไม่สุจริตอย่างชัดเจน ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองนำเงินที่ได้จากการจำนองทั้งสองครั้งมาเป็นค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีและค่าทนายความ เพื่อติดตามเอาทรัพย์มรดกมาแบ่งปันให้แก่ทายาทอันเป็นประโยชน์แก่กองมรดกและทายาทถือเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการมรดกโดยชอบ และโจทก์ทั้งสามนำสืบไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองนำเงินที่ได้จากการจำนองไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมิไช่กรณีเป็นผู้จัดการมรดกกระทำผิดหน้าที่ของตนโดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินนั้น เห็นว่า ค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีและค่าทนายความดังกล่าวจำเลยทั้งสองนำมาใช้ในการต่อสู้คดีที่ถูกโจทก์ทั้งสามกับทายาทอื่นฟ้องทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาเพื่อขอแบ่งปันทรัพย์มรดกและขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดเกี่ยวกับการประพฤติผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกเกือบทั้งสิ้น อันเป็นการต่อสู้คดีเพื่อปฏิเสธไม่แบ่งปันทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมให้แก่ทายาทตามหน้าที่ของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดก โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่จำเลยทั้งสองบันทึกไว้ ก็เป็นค่าใช้จ่ายจิปาถะสารพัดไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับการจัดการมรดกแต่อย่างใดดังที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าชอบแล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายและค่าทนายความดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการมรดกโดยชอบที่กองมรดกจะต้องรับผิดชอบชำระหนี้นั้น และรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองนำเงินที่ได้จากการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาททั้งสองครั้งมาใช้ในการจัดการมรดกดังที่จำเลยทั้งสองฎีกากล่าวอ้างและนำสืบมา พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า เมื่อศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐแล้ว ต่อมาศาลมีคำพิพากษากำจัดนายนพดลมิให้รับมรดกตามพินัยกรรมของนายประเสริฐและมีคำพิพากษาให้โจทก์ทั้งสามเป็นผู้สืบมรดกจากนายนพดลมีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรมของนายประเสริฐ แต่จำเลยทั้งสองไม่แบ่งปันทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมให้แก่โจทก์ทั้งสามกลับนำที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์มรดกในส่วนที่โจทก์ทั้งสามจะได้รับตามพินัยกรรมนั้นไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ของจำเลยทั้งสองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบหรือยินยอมจากโจทก์ทั้งสามแล้วนำเงินที่ได้จากการจำนองมาใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสองเองอันถือได้ว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งของศาลกระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่น เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบมาตรา 354, 83 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยทั้งสองนอกจากนี้เป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยไม่เป็นข้อสาระสำคัญและไม่มีผลให้เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาจึงไม่วินิจฉัยให้

พิพากษายืน


คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1. ฎีกา 2295/2565 (ผู้จัดการมรดกขายที่ดินโดยมิชอบ)

ในคดีคำพิพากษาศาลฎีกา 2295/2565 จำเลยที่ 1 ถูกศาลสั่งให้เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย และในฐานะผู้จัดการมรดกได้นำที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกไปจดทะเบียนขาย (โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่บุคคลที่ 3) โดยไม่ได้รับความยินยอมจากทายาทหรือผู้มีสิทธิรับมรดกอื่น ๆ โจทก์ (ซึ่งเป็นทายาท) ฟ้องให้เพิกถอนการโอนดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นการกระทำที่มิชอบเพราะจำเลยใช้สิทธิผู้จัดการมรดกเพื่อประโยชน์ตนเอง

ศาลฎีกาพิจารณาว่า แม้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 ผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่ “ทำการอันจำเป็นเพื่อให้การเป็นไปตามคำสั่ง แจ้งชัด หรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรม และเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป หรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท” แต่สิทธินี้มิได้หมายความว่า ผู้จัดการมรดกจะทำการใด ๆ ก็ได้ โดยเฉพาะหากเป็นการแปลงทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์ส่วนตนโดยไม่เป็นไปเพื่อแบ่งปันแก่ทายาท การโอนที่ดินโดยจำเลยที่ 1 ในกรณีนี้ถือเป็นการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนอย่างชัดเจน ศาลจึงรับฟังคำขอเพิกถอนการโอน (เพิกถอนโฉนด การจดทะเบียน) ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ถือว่าการโอนนั้น “ไม่ผูกพันทายาท” และจำเลยที่ 3 ซึ่งได้โอนจากผู้จัดการมรดกนั้น ก็ถือว่าไม่มีสิทธิดีกว่าโจทก์ (ทายาท)

เปรียบเทียบกับ ฎีกา 5902/2567

ในทั้งสองคดี ผู้จัดการมรดกได้กระทำการนิติกรรมกับทรัพย์มรดก (ขายใน 2295/2565 จำนองใน 5902/2567) โดยมิได้รับความยินยอมจากทายาท

ทั้งสองคดีวินิจฉัยประเด็น “ประโยชน์ตนเอง vs ประโยชน์กองมรดก / ทายาท” เป็นแกนกลาง

ใน 5902/2567 ศาลฎีกายังเพิ่มแง่ของ เจตนาไม่สุจริต / การแสวงหาประโยชน์มิชอบ มาพิจารณาเป็นองค์ประกอบสำคัญ ขณะที่ใน 2295/2565 ศาลให้ความสำคัญในการเพิกถอนนิติกรรมที่ทำโดยมิชอบ

ข้อแตกต่างคือ คดี 5902/2567 มีลักษณะเป็นการจำนองซ้ำซ้อนและวงเงินสูงกว่า ซึ่งสะท้อนพฤติการณ์ซับซ้อนยิ่งกว่า

2. ฎีกา 416/2563 (ความรับผิดของผู้จัดการมรดกที่โอนทรัพย์)

ในคำพิพากษาศาลฎีกา 416/2563 มีข้อเท็จจริงว่า ผู้จัดการมรดกได้ทำการโอนทรัพย์สินมรดกบางส่วนออกไปจากกองมรดกก่อนการแบ่งมรดก โดยมิได้รับอนุญาตจากทายาทหรือศาล หลังจากนั้น ทายาทร้องเรียนว่าเป็นการละเมิดหน้าที่ผู้จัดการมรดก ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิจารณาแล้ว และจำเลยฎีกามายังศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หลักทั่วไปผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างสุจริต และหากจะทำการโอนทรัพย์มรดก (ซึ่งเป็นนิติกรรมที่อาจเป็นการทำให้ทรัพย์สินมรดกลดลงหรือไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะจัดแบ่ง) จำเป็นต้องเป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์ของกองมรดก หรือเพื่อแบ่งปันให้แก่ทายาท มิใช่เพื่อประโยชน์ของตนเอง และต้องมีหลักฐานชัดเจน การกระทำโอนที่มิชอบนั้นจำเลยมีความรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่กองมรดก / ทายาท

ในคำพิพากษานั้นศาลยังได้อ้างบทบัญญัติมาตรา 1728 (บัญชีทรัพย์มรดก) และบทห้ามตามมาตรา 1722 (ผู้จัดการมรดกไม่อาจทำธุรกรรมที่ตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์) เพื่อยืนยันว่า หากผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์มรดกให้แก่ตนเองโดยไม่มีเหตุสนับสนุน เช่น เป็นทายาทและได้รับอนุญาต ก็ถือว่าทำผิดหน้าที่

เปรียบเทียบกับ ฎีกา 5902/2567

ข้อเท็จจริงใกล้เคียงคือ ผู้จัดการมรดกทำธุรกรรมกับทรัพย์มรดกโดยมิชอบ

ทั้งสองคดีใช้บทห้ามใน มาตรา 1722 และบทบัญญัติเกี่ยวกับนิติกรรมที่ปฏิปักษ์

ใน 5902/2567 คดีซับซ้อนกว่า มีการจำนองซ้ำและวงเงินเพิ่ม รวมถึงข้ออ้างเรื่องค่าใช้จ่ายจัดการมรดก ที่ศาลปฏิเสธ ขณะที่ใน 416/2563 ศาลมุ่งประเด็นหลักคือการโอนที่มิชอบโดยไม่มีหลักฐานสนับสนุน

3. ฎีกา 1971/2551 (ผู้จัดการมรดกขายทรัพย์มรดกโดยไม่รับความยินยอม)

ในคำพิพากษาศาลฎีกา 1971/2551 ศาลพิจารณาข้อเท็จจริงที่ผู้จัดการมรดกได้นำทรัพย์สินมรดก (อาจเป็นที่ดิน)ไปขายโดยมิได้ขอความยินยอมจากทายาท และทายาทไม่ทราบเรื่อง การขายนั้นมีบุคคลภายนอกที่ซื้อโดยสุจริตมายื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนการขายหรือให้คืนทรัพย์มรดก

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้จัดการมรดกจะขายทรัพย์มรดกโดยมิได้รับความยินยอมหรือมิได้เป็นไปเพื่อการแบ่งปันแก่ทายาท (หรือเพื่อประโยชน์กองมรดก) ถือว่าเป็นการกระทำที่มิชอบ และผู้ซื้อภายนอกแม้จะได้จ่ายค่าตอบแทนหรือจดทะเบียนอาจไม่อาจยึดถือทรัพย์ได้เหนือสิทธิของทายาท ศาลจึงมีอำนาจให้เพิกถอนการขายหรือให้คืนทรัพย์มรดกแก่ทายาท

เปรียบเทียบกับ ฎีกา 5902/2567

ในทั้งสองคดี ผู้จัดการมรดกกระทำการนิติกรรมกับทรัพย์มรดกโดยไม่ขออนุญาต/ยินยอมจากทายาท

ใน 5902/2567 เป็นการจำนองซึ่งเป็นภาระผูกพันทรัพย์ (ไม่ใช่การโอน) แต่หลัก “มิชอบ / ไม่เป็นประโยชน์แก่กองมรดก / เจตนาแสวงหาประโยชน์ตนเอง” ยังคงเป็นแกนวิจารณ์

ฎีกา 1971/2551 ช่วยยืนยันแนวหลักว่า ผู้จัดการมรดกไม่มีอำนาจจัดการทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์ตนเองโดยไม่คำนึงถึงสิทธิทายาท

4. ฎีกา 2220/2552 (โอนทรัพย์มรดกให้แก่ตนเองโดยไม่เป็นปฏิปักษ์ของกองมรดก)

คำพิพากษาศาลฎีกา 2220/2552 เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกและได้โอนทรัพย์มรดกบางส่วนให้แก่ตนเองในฐานะที่เป็นทายาทอยู่แล้ว ข้อเท็จจริงคือ จำเลยที่ 1 มีสถานะเป็นทายาทของผู้ตายด้วย และโอนทรัพย์มรดกภายใต้เงื่อนไขที่มิได้เป็นการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก (เช่น โอนให้เป็นส่วนของตนที่มีสิทธิรับมรดกตามปกติ)

ศาลฎีกาพิจารณาว่า เมื่อผู้จัดการมรดกเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกอยู่แล้ว และการโอนที่ตนเองรับนั้นไม่ขัดแย้งกับการแบ่งมรดก / ไม่ลดทรัพย์มรดกเกินสิทธิของตน การโอนดังกล่าวอาจถือว่า ไม่เป็นการปฏิปักษ์ ต่อกองมรดกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 และไม่ถูกเพิกถอนโดยอัตโนมัติ

ศาลยืนยันเงื่อนไขสำคัญว่า การโอนในลักษณะนี้ต้องไม่มีผลให้ทรัพย์มรดกลดลงเกินสิทธิของทายาทผู้อื่น และต้องโปร่งใส ไม่ปรากฏเจตนาแสวงหาประโยชน์เหนือสิทธิของผู้อื่น

เปรียบเทียบกับ ฎีกา 5902/2567

ประเด็นที่ใกล้เคียงคือ “ผู้จัดการมรดกโอน / จัดการทรัพย์ที่ตนมีส่วนได้เสียได้หรือไม่”

แต่ใน 5902/2567 ผู้จัดการมรดกมิได้โอนให้ตนเองในฐานะทายาทโดยตรงเท่านั้น แต่จดจำนองโดยไม่อนุญาต และเจตนาไม่สุจริตเป็นองค์ประกอบสำคัญ

ฎีกา 2220/2552 ช่วยชี้ให้เห็นว่า หากการโอน / จำนองเป็นไปในขอบเขตของสิทธิที่ทายาทมี และไม่มีเจตนาแสวงหาประโยชน์มิชอบ อาจไม่ถูกปฏิบัติเป็นการละเมิดหน้าที่

5. ฎีกา 4419/2562 (การตั้งผู้จัดการมรดกร่วม / ดุลพินิจศาล)

ในคดีคำพิพากษาศาลฎีกา 4419/2562 มีข้อเท็จจริงว่าผู้ร้อง (ซึ่งเป็นผู้ร้องขอตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดก) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย แต่มีผู้คัดค้าน (ผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลอื่น) ขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกแทน และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดกร่วม (ผู้ร้อง + ผู้คัดค้าน)

โจทก์ (ผู้ร้อง) อุทธรณ์ และฎีกามายังศาลฎีกา โดยโต้แย้งว่า คำสั่งตั้งผู้จัดการมรดกร่วมควรยกเลิก ศาลฎีกาพิจารณาว่า การตั้งผู้จัดการมรดก (หรือร่วมกัน) เป็นดุลพินิจของศาลตาม พฤติการณ์แห่งคดี ไม่ใช่เป็นบทบัญญัติบังคับให้ศาลต้องตั้งตามคำร้องเสมอไป (แม้ผู้ร้องไม่เป็นบุคคลต้องห้ามตามมาตรา 1718) โดยศาลจะต้องพิจารณาถึงประโยชน์แก่กองมรดก และความเหมาะสมตามข้อเท็จจริง

ในคดีนี้ศาลฎีกาเห็นพ้องกับความเห็นของศาลชั้นล่างว่าการตั้งผู้จัดการมรดกร่วมเป็นการพิจารณาโดยรอบคอบ ฎีกาฟังไม่ขึ้น

เปรียบเทียบกับ ฎีกา 5902/2567

แม้ประเด็นหลักของ 5902 ไม่ใช่เรื่องการตั้งผู้จัดการมรดก แต่ตัวบทกฎหมายผู้จัดการมรดก (การได้มา / ตำแหน่ง / ดุลพินิจ) เป็นฐานสำคัญ

 

ฎีกา 4419 ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่า แม้ผู้ร้องอาจได้สิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก แต่ศาลอาจใช้ดุลพินิจเลือกคนอื่นตามประโยชน์กองมรดก




คดีมรดก ร้องศาลตั้งผู้จัดการมรดก

พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง & ความสามารถผู้ทำพินัยกรรม(ฎีกา 6522/2561)
ผู้จัดการมรดกยักยอกเงิน & จัดการที่ดินมรดก (ฎีกา 1543/2568)
สัญญาประนีประนอม & สิทธิผู้จัดการมรดกเสียงข้างมาก (ฎีกา 3001/2568)
สิทธิทายาท & การแบ่งมรดกโดยจับฉลาก, ทายาทไม่เข้าร่วมประชุม (ฎีกา 2128/2567)
อำนาจผู้จัดการมรดกร่วม & ฟ้องเรียกทรัพย์, มาตรา 1726, (ฎีกา 2628/2567)
คดีมรดก อายุความมรดก 10 ปี, สิทธิทายาท, แบ่งมรดก, (ฎีกา 9992/2560)
บังคับแบ่งมรดก & เพิกถอนโอน,ผู้จัดการมรดก, (ฎีกา 3886/2566)
(ฎีกาที่ 2656/2567) ภาษีการรับมรดก & คำนวณมูลค่าทรัพย์สิน
(ฎีกาที่ 3681/2567) : อำนาจผู้จัดการมรดกร่วมในการฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนสู่กองมรดก
(ฎีกาที่ 8200/2567) เพิกถอนโฉนดที่ดินและการจัดการมรดก: การบังคับคดีและผลทางกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4043/2567 การตั้งผู้จัดการมรดกและการคัดค้านสิทธิของทายาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4044/2567: พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ ความสมบูรณ์และผลทางกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5560/2567: มรดกไม่มีทายาทตกเป็นของแผ่นดิน และสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งเงินฝาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5668/2567: การเพิกถอนพินัยกรรมและหลักเกณฑ์ความชอบด้วยกฎหมายของอุทธรณ์
พินัยกรรมผิดแบบเอกสารลับยังสมบูรณ์ได้ หากครบเงื่อนไขพินัยกรรมธรรมดา – คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3001/2538
โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกได้รับรองแล้ว(ฎีกา 7272/2562)
ผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์มรดกและความรับผิดตามกฎหมาย(ฎีกาที่ 416/2563)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1480/2563: การโอนมรดกและอำนาจผู้จัดการมรดก
สรุปคดีมรดก & เพิกถอนโอนที่ดิน,เพิกถอนนิติกรรม,(ฎีกา 1028/2564)
สิทธิรับมรดก ทายาทโดยธรรม & สินสมรส(ฎีกา 755/2565)
การจัดการมรดกไม่ชอบไม่อาจถือว่าการจัดการมรดกสิ้นลงแล้ว
ทายาทฟ้องทายาทให้แบ่งทรัพย์มรดก สิทธิฟ้องแบ่งมรดกเมื่อพ้นอายุความ
พินัยกรรมของผู้ตายที่ห้ามโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตกเป็นโมฆะ, ข้อห้ามในพินัยกรรมเป็นโมฆะ, ผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม
ถอนผู้จัดการมรดก, การปันมรดกเสร็จสิ้นแล้ว, การจัดการศาลจ้าวไม่เป็นมรดก, ศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊วเป็นกุศลสถาน
ที่ดินของรัฐ มรดกของผู้ตาย, ที่ดินนิคมสหกรณ์, สิทธิทำประโยชน์ในที่ดิน, สิทธิเหนือพื้นดิน, การเพิกถอนโฉนดที่ดิน,
การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทในกองมรดก, การเพิกถอนนิติกรรมในทรัพย์มรดก, การขายทรัพย์มรดกเพื่อชำระหนี้, ผู้จัดการมรดกกับสิทธิและหน้าที่
มรดกตกทอด, การเพิกถอนการสละมรดก, อายุความในการฟ้องคดีมรดก, สิทธิเรียกร้องแทนลูกหนี้
หนังสือแต่งตั้งผู้รับโอนประโยชน์ในเงินทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์ไม่ถือเป็นพินัยกรรม, เงินสงเคราะห์สมาชิกสหกรณ์, สิทธิผู้รับโอนประโยชน์ในเงินสงเคราะห์
นิติกรรมซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นคนต่างด้าว, คดีมรดกที่ดินของคนต่างด้าว, อายุความคดีมรดก, การยักยอกทรัพย์มรดก
พินัยกรรมยกมรดกให้พี่น้องร่วมบิดามารดา, สิทธิของผู้สืบสันดานในการรับมรดกแทนที่, การฟ้องเรียกค่าเช่าจากทรัพย์สินมรดก
การกำจัดทายาทมิให้รับมรดก, สิทธิรับมรดกของผู้สืบสันดานเมื่อทายาทถูกกำจัด, การเพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์มรดก
เพิกถอนโอนมรดก & สิทธิทายาท (ฎีกา 1023/2566)
ผู้จัดการมรดกและการโอนทรัพย์มรดก, พินัยกรรมด้วยวาจา ป.พ.พ. มาตรา 1663, การครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาท
สิทธิทายาทในมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง, ทายาทตายก่อนแบ่งมรดก, รับมรดกแทนที่ มาตรา 1639,
สิทธิการฟ้องขอแบ่งมรดกของทายาท, การเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินมรดก, สินสมรสหลังคู่สมรสเสียชีวิต
สัญญาประกันชีวิต, สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก, ผู้ทำประกันชีวิตและผู้รับผลประโยชน์ตายพร้อมกัน
การจัดการหนี้สินในกองมรดก, สิทธิของเจ้าหนี้กองมรดก, ที่ดินมรดกและการบังคับคดี
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดก
ผู้จัดการมรดกปฏิบัติผิดหน้าที่-ทายาทผู้มีสิทธิฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกได้
ผู้จัดการมรดกร่วมถึงแก่ความตายต้องทำอย่างไร, ฟ้องซ้อน คืออะไร, แต่งตั้งผู้จัดการมรดก
ผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่เพียงทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป
การจัดการทรัพย์มรดกในฐานะผู้จัดการมรดกตามหน้าที่ที่จำเป็น
คำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกปิดบังทรัพย์มรดกมีผลอย่างไร
ทายาทมิได้ฟ้องเรียกร้องมรดกภายใน 1 ปี
ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน ผู้มีส่วนได้เสีย
สามีไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้มีส่วนได้เสียเป็นผู้จัดการมรดกได้
ทรัพย์มรดกยังไม่ได้แบ่งให้แก่ทายาททุกคน-การจัดการทรัพย์มรดกยังไม่เสร็จสิ้น
ผู้จัดการมรดกไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มีผลอย่างไร?
ฟ้องผู้จัดการมรดกนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลงเกินห้าปีขาดอายุความ
ผู้จัดการมรดกไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกยื่นต่อศาลถูกเพิกถอนได้
อายุความคดีมรดก เจ้าหนี้ฟ้องคดีมรดกเกินหนึ่งปี
คดีของโจทก์ขาดอายุความการจัดการมรดก
บุตรบุญธรรมเป็นผู้สืบสันดานเหมือนบุตรชอบด้วยกฎหมาย
บุตรนอกกฎหมายซึ่งผู้ตายรับรองแล้วเป็นผู้สืบสันดาน
มารดาขายที่ดินซึ่งผู้เยาว์มีส่วนแบ่งไม่ต้องขอศาล
นายอำเภอคือผู้มีอำนาจจัดทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง
ความรับผิดของผู้จัดการมดกภายหลังการเสียชีวิต
ผู้จัดการมรดกร่วมนำทรัพย์มรดกหาประโยชน์แก่ตน
ผู้สืบสันดาน คือใคร? ต่างกับทายาท อย่างไร?
คู่สมรสและการแบ่งมรดกของคู่สมรส | การสมรสเป็นโมฆะ
อายุความคดีมรดก และอายุความเกี่ยวกับการจัดการมรดก
(ฎีกา 2150/2561) – สิทธิร้องถอนผู้จัดการมรดกก่อนปันมรดก(ฎีกา 2150/2561)
การปันมรดกเสร็จสิ้นลงแล้วการถอนผู้จัดการมรดกย่อมพ้นกำหนดเวลา
สามีมิได้จดทะเบียนสมรสไม่ถือเป็นทายาทของภริยาผู้ตาย
อำนาจหน้าที่จัดการศพพระภิกษุผู้มรณภาพไม่มีทรัพย์สิน
สามีไม่จดทะเบียนสมรสขอถอนผู้จัดการมรดก มีกรรมสิทธิ์รวม
ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะทำหน้าที่ผู้จัดการมรดก
อำนาจฟ้องขอแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย
ทายาททุกคนมอบหมายให้ครอบครองที่ดินแทนทายาททุกคนเพื่อประโยชน์ร่วม
ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา 1300
ทายาทโดยธรรมย่อมมีสิทธิเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์มรดกตามส่วนที่จะพึงได้
สิทธิรับมรดกที่ยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาห้ามยกเป็นข้อต่อสู้ผู้รับโอนโดยสุจริต
ผู้จัดการมรดกทำนิติกรรมซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก
ฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์มรดกเมื่อล่วงพ้นกำหนดอายุความแล้ว
ผู้คัดค้านไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในการขอจัดการมรดก
ทายาทมีส่วนเท่ากันออกค่าใช้จ่ายจัดการทำศพ
ความเหมาะสมในการเป็นผู้จัดการมรดก
ผู้จัดการมรดกครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่น
สิทธิของบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมายในการรับมรดกของบุตรนอกกฎหมาย
หนังสือสัญญาแบ่งมรดกตกเป็นโมฆะหรือไม่?
อำนาจและหน้าที่ในการจัดการทำศพและลำดับก่อนหลัง
พินัยกรรมมีเงื่อนไขบังคับก่อน
ผู้จัดการมรดกฟ้องแทนทายาทโดยธรรมอื่น
คู่สมรสที่จดทะเบียนหย่าแล้วเป็นผู้จัดการมรดกได้หรือไม่
การสละมรดกมีผลย้อนหลังไปถึงเวลาเจ้ามรดกตายจึงขาดความเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
แม้กองมรดกมีผู้จัดการมรดกแล้วทายาทก็ยังมีสิทธิฟ้อง
พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองไม่ได้ทำต่อหน้าพยานตกเป็นโมฆะ
บุตรนอกสมรสและบิดานอกกฎหมายมีสิทธิรับมรดกต่อกันอย่างไร
ผู้จัดการมรดก | ทายาทผู้ถูกตัดมิให้รับมรดก
ผู้จัดการมรดกเรียกให้เจ้าของรวมส่งมอบโฉนดที่ดิน
การจัดการมรดกยังไม่สิ้นสุดลงอายุความ 5 ปียังไม่เริ่มนับ
สิทธิรับมรดกก่อนหลัง
คำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ
อายุความฟ้องคดีแพ่งอันเนื่องจากคดียักยอกทรัพย์มรดก
เมื่อแบ่งมรดกเสร็จแล้วความเป็นทายาทสิ้นสุดลง-อายุความมรดก
การแบ่งมรดกที่ดินมือเปล่าไม่มีเอกสารสิทธิ
คดีมรดกต้องเป็นคดีที่ทายาทด้วยกันพิพาทกันเรื่องสิทธิในส่วนแบ่งมรดก
ขอให้ศาลสั่งถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก
ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ความรับผิดของผู้ตาย