
| วิเคราะห์ผู้จัดการมรดกจำนองที่ดิน ทุจริต,กองมรดก, ทายาท,(ฎีกา 5902/2567) ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกรณีที่จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกนำที่ดินมรดกไปจดทะเบียนจำนองโดยไม่ได้รับความยินยอมจากทายาท โจทก์ทั้งสามจึงถูกผูกพันให้รับผิดชำระหนี้หากจำเลยไม่ชำระ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สิทธิจำนองเป็นบุริมสิทธิที่ติดทรัพย์และมีผลต่อกองมรดก ทายาท และการจดจำนองโดยเจตนาไม่สุจริตถือเป็นการทุจริตหน้าที่ผู้จัดการมรดก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบมาตรา 354, 83 บทนำนี้สรุปใจความสำคัญของคดีไว้ครบถ้วนและเป็นจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนสำหรับผู้อ่าน ก่อนเข้าสู่การวิเคราะห์เชิงลึก เนื้อหาแบบสรุปข้อเท็จจริง / คำวินิจฉัย / ขยายความประเด็นทางกฎหมาย ข้อเท็จจริงสำคัญ • โจทก์ทั้งสามเป็นบุตรของนายนพดล (ซึ่งเป็นมรดกตามพินัยกรรมของนายประเสริฐ) และได้รับการรับรองบุตร • เมื่อผู้ตาย (นายประเสริฐ) ถึงแก่ความตาย มีพินัยกรรมยกทรัพย์มรดก (รวมที่ดินพิพาท) ให้แก่บุตรในลักษณะหนึ่ง • ศาลได้พิพากษาแต่งตั้งจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดก • จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาท (ครั้งที่ 1) เป็นจำนวน 6,000,000 บาท โดยไม่ได้ขอความยินยอมจากโจทก์ทั้งสาม • โจทก์ทั้งสามในภายหลังได้ฟ้องให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามมรดกแก่ตน • จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองครั้งที่ 1 แล้วจดทะเบียนจำนองใหม่ (ครั้งที่ 2) เป็นจำนวน 11,350,000 บาท โดยเพิ่มวงเงิน • จำเลยใช้เงินจำนองเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ไม่ได้ใช้เพื่อประโยชน์ของกองมรดก • โจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีอาญาว่ากระทำผิดตาม มาตรา 353, 354, 83 • ศาลชั้นต้น พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม มาตรา 353 ประกอบ มาตรา 354, 83 และลงโทษจำคุก • ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน • จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลอนุญาตให้ฎีกาเฉพาะประเด็นข้อเท็จจริง • ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่าง ⚖️ กฎหมายที่ใช้เป็นหลักในการวินิจฉัย 🔹 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 “ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น หรือได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ตามคำสั่งของศาล แล้วกระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท” 🔹 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 “ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา 353 ถ้าทรัพย์สินนั้นอยู่ในความครอบครองของผู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท” 🔹 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 “ผู้ใดร่วมกันกระทำความผิด ให้ลงโทษผู้นั้นตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น” 🔹 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 “ผู้จัดการมรดกไม่อาจทำการใด ๆ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประโยชน์ของกองมรดกได้” 🔹 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง “คำพิพากษาหรือคำสั่งใดของศาลที่ได้มีแล้ว ย่อมผูกพันคู่ความจนกว่าจะมีการแก้ไข เปลี่ยนแปลง กลับ หรือยกเลิกเสีย” 🧩 5 Keywords แก่นของคดี พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ 1. ผู้จัดการมรดก จำเลยทั้งสองได้รับการแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐ มีหน้าที่ต้องรวบรวมทรัพย์มรดกและแบ่งปันให้ทายาทอย่างสุจริต แต่กลับใช้ตำแหน่งนั้นจำนองทรัพย์มรดกเพื่อตนเอง ศาลถือว่าผิดหน้าที่ตามกฎหมายอาญา มาตรา 353 2. การจำนองโดยไม่ยินยอม จำเลยนำที่ดินมรดกไปจดทะเบียนจำนองสองครั้ง โดยไม่ขอความเห็นชอบจากทายาทผู้มีสิทธิในทรัพย์นั้น การจำนองดังกล่าวแม้ไม่โอนกรรมสิทธิ์ แต่เป็น “ทรัพยสิทธิติดทรัพย์” ที่สร้างภาระผูกพันแก่กองมรดกและทายาท 3. เจตนาไม่สุจริต พฤติการณ์ที่จำเลยทราบดีว่ามีคดีแพ่งและอาญาเกี่ยวกับทรัพย์มรดก แต่ยังคงจดจำนองซ้ำและเพิ่มวงเงินอีกหลายล้านบาท ถือเป็นการกระทำโดยมี “เจตนาไม่สุจริต” เพื่อแสวงหาผลประโยชน์มิชอบ ศาลจึงตีความว่าเป็นการทุจริตโดยตรงตามมาตรา 353 4. สิทธิจำนองติดทรัพย์ ศาลอธิบายหลักกฎหมายแพ่งว่า สิทธิจำนองเป็นบุริมสิทธิ์ที่ติดอยู่กับทรัพย์ หากผู้จัดการมรดกไม่ชำระหนี้ ผู้รับจำนองสามารถบังคับจำนองขายทรัพย์ได้ และภาระหนี้จะตกแก่กองมรดกและทายาทผู้สืบสิทธิ์ 5. ผลของคำพิพากษาที่ผูกพันคู่ความ จำเลยอ้างว่าคดีแพ่งยังไม่ถึงที่สุดจึงยังไม่โอนทรัพย์ให้โจทก์ แต่ศาลฎีกาย้ำว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีผลผูกพันคู่ความทันทีตามมาตรา 145 วรรคหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าการละเมิดคำพิพากษาระหว่างระหว่างรออุทธรณ์ก็ถือเป็นพฤติการณ์ไม่สุจริตเช่นกัน 🔍 สรุปภาพรวมทางกฎหมาย คดีนี้เป็นกรณีศึกษาชัดเจนเกี่ยวกับ “ความรับผิดทางอาญาของผู้จัดการมรดก” ที่นำทรัพย์มรดกไปจำนองโดยไม่ยินยอมจากทายาท ศาลฎีกาใช้หลักกฎหมายอาญา (มาตรา 353, 354, 83) ประกอบหลักกฎหมายแพ่ง (มาตรา 1722 และ มาตรา 145 ว.พ.แพ่ง) เพื่อยืนยันว่า ผู้จัดการมรดกต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต โปร่งใส และไม่อาจอ้างค่าใช้จ่ายหรือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นข้อแก้ตัวได้ หากฝ่าฝืนถือว่ามีความผิดฐานกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต คำวินิจฉัยศาลฎีกา & ขยายความประเด็นกฎหมาย หลักการจัดการมรดก & หน้าที่ผู้จัดการมรดก • เมื่อศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว จำเลยมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะรวบรวมทรัพย์มรดก แบ่งมรดก และบริหารทรัพย์มรดกอย่างสุจริต โปร่งใส และเป็นประโยชน์แก่กองมรดกและทายาท • จำเลยไม่อาจใช้อำนาจจัดการทรัพย์มรดกโดยอิสระตามความประสงค์ส่วนตัว สิทธิจำนองในมรดก & ผลผูกพันกองมรดก • การจดทะเบียนจำนองแม้จะไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ตกอยู่กับผู้รับจำนอง แต่สิทธิจำนองเป็นบุริมสิทธิที่ติดกับตัวทรัพย์ • สิทธิจำนองนั้น “ไปกับทรัพย์” และมีผลผูกพันต่อกองมรดกและทายาททั้งปวง • ถ้าผู้รับจำนองไม่รับชำระหนี้ ผู้รับจำนองสามารถบังคับจำนอง ยึดทรัพย์มาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ เจตนาไม่สุจริต & การแสวงหาประโยชน์มิชอบ • จำเลยทราบดีว่าโจทก์ทั้งสามได้ฟ้องคดีแพ่งเรื่องการโอนที่ดิน และจำเลยก็ทราบว่าเป็นคดีอาญาเกี่ยวกับจำนองครั้งแรก • การจดจำนองครั้งที่สองโดยเพิ่มวงเงินและนำเงินไปใช้ส่วนตัว แสดงถึงเจตนาไม่สุจริต (เพื่อแสวงประโยชน์มิชอบ) • การกระทำเช่นนี้จึงเป็นการผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกโดยทุจริต (ตามประกาศ มาตร 353, 354) ปฏิเสธข้ออ้างว่าค่าใช้จ่ายและค่าทนายเป็นค่าใช้จ่ายจัดการมรดก • จำเลยอ้างว่าเงินที่ได้จากการจำนองใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี / ค่าทนาย เพื่อเรียกทรัพย์มรดกกลับมา • ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยไม่ได้นำพยานแสดงว่าเงินนั้นถูกใช้เพื่อประโยชน์ของกองมรดกจริง และบางรายการเป็นค่าใช้จ่ายจิปาถะทั่วไป ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายจัดการมรดก • จึงไม่ยอมรับคำอ้าง เพราะจำเลยเป็นผู้ต้องพิสูจน์ข้ออ้างดังกล่าว ปฏิเสธข้อโต้แย้งอื่น • ข้อโต้แย้งเรื่องคดีแพ่งยังไม่ถึงที่สุดนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเมื่อศาลล่างมีคำพิพากษาแล้ว คำพิพากษานั้นมีผลผูกพันตามวิธีพิจารณาคดีแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง • ข้อโต้แย้งอื่นเป็นเรื่องรายละเอียดปลีกย่อย ไม่เป็นประเด็นสาระสำคัญ จึงไม่วินิจฉัยใหม่ ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลล่างให้จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบมาตรา 354, 83 และลงโทษจำคุกเช่นเดียวกับศาลอุทธรณ์ IRAC (Issue / Rule / Application / Conclusion) – แบบขยาย Issue (ประเด็นปัญหา) 1. จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดก กระทำการจดจำนองที่ดินพิพาทโดยไม่ขอความยินยอมจากทายาท หรือไม่? 2. พฤติการณ์การจดจำนองครั้งที่สองโดยเพิ่มวงเงิน และการใช้เงินเพื่อประโยชน์ส่วนตัว แสดงเจตนาไม่สุจริตหรือไม่? 3. จำเลยอ้างว่าใช้เงินจำนองเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการมรดก ควรรับฟังหรือไม่? 4. ถ้าจำเลยไม่ชำระหนี้ ผู้รับจำนองสามารถบังคับทรัพย์ได้หรือไม่ และทายาท (โจทก์) ต้องรับผิดชำระหนี้หรือไม่? Rule (กฎหมาย / หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง) • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (เรื่องมรดก, สิทธิจำนอง) • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 (การกระทำของผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นโดยทุจริต), มาตรา 354 (โทษ) • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 (การลงโทษตามบทต่อต่างกัน) • หลักสิทธิจำนอง – สิทธิจำนองเป็นบุริมสิทธิที่ติดทรัพย์ (ไม่มีการเปลี่ยนเจ้าของทรัพย์ได้โดยอัตโนมัติ) • กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง (คำพิพากษาที่ถึงที่สุดมีผลผูกพัน) Application (การประยุกต์ข้อเท็จจริงกับกฎหมาย) 1. จำเลยเป็นผู้จัดการมรดก ภายใต้คำสั่งศาล จึงต้องปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ด้วยความสุจริต โปร่งใส ไม่ใช้สิทธิจัดการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน 2. การจดจำนองครั้งที่ 1 โดยไม่ได้รับความยินยอมของโจทก์ ทายาท แสดงการกระทำที่ไม่สุจริต 3. จำเลยทราบดีว่าโจทก์ได้ฟ้องคดีแพ่งและอาญาที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาท แต่ยังจดจำนองครั้งที่ 2 โดยเพิ่มวงเงินอีก ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาแสวงหาผลประโยชน์แก่ตน 4. จำเลยอ้างใช้เงินจำนองเป็นค่าใช้จ่ายจัดการมรดก แต่จำเลยไม่ได้นำหลักฐานแสดงว่าเป็นการใช้เพื่อประโยชน์กองมรดกจริง และบางรายการเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไป จึงไม่รับฟัง 5. เนื่องจากสิทธิจำนองติดทรัพย์ ผู้รับจำนองสามารถบังคับจำนองได้หากจำเลยไม่ชำระ 6. เนื่องจากจำเลยได้ละเมิดหน้าที่โดยทุจริต ทายาท (โจทก์) ต้องรับภาระชำระหนี้ตามสิทธิจำนอง Conclusion (บทสรุปทางกฎหมาย) ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบมาตรา 354, 83 และลงโทษตามที่ศาลล่างตัดสิน จำเลยไม่อาจอ้างเหตุใช้เงินจำนองเป็นค่าใช้จ่ายจัดการมรดกได้ และสิทธิจำนองในที่ดินพิพาทยังผูกพันกองมรดกและทายาท โจทก์ต้องรับภาระหนี้จำนองหากจำเลยไม่ชำระ และผู้รับจำนองมีสิทธิบังคับจำนองยึดทรัพย์ได้ คำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริง / กฎหมาย (2 ประเด็น) พร้อมคำตอบ คำถาม 1: ในขณะที่จำเลยจดทะเบียนจำนองครั้งที่ 2 จำเลยทราบหรือไม่ว่าโจทก์ได้ฟ้องคดีแพ่งและอาญาเกี่ยวกับที่ดินพิพาทอยู่แล้ว และเจตนาเช่นนั้นมีผลอย่างไรในคำพิพากษา? คำตอบ: จำเลยทราบดีว่าโจทก์ทั้งสามได้ฟ้องคดีแพ่งเพื่อขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน และคดีอาญาเกี่ยวกับจำนองครั้งแรก (ซึ่งมีมูลเหตุมาจากการจำนองครั้งแรก) อยู่แล้ว แต่จำเลยยังจดจำนองครั้งที่ 2 โดยเพิ่มวงเงิน และนำเงินไปใช้ส่วนตัว การกระทำเช่นนี้จึงแสดงให้เห็นถึง เจตนาไม่สุจริต และการแสวงหาประโยชน์มิชอบ ซึ่งถือเป็นการทุจริตในการจัดการมรดก ถูกศาลฎีกานำมาวินิจฉัยและถือเป็นเหตุให้จำเลยผิดตามมาตรา 353 คำถาม 2: จำเลยอ้างว่าเงินที่ได้จากการจำนองใช้เป็นค่าใช้จ่ายจัดการมรดก (เช่น ค่าทนาย, ต่อสู้คดี) เหตุใดศาลฎีกาจึงไม่รับฟังข้ออ้างนี้? คำตอบ: ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเป็นผู้ต้องพิสูจน์ข้ออ้างดังกล่าว แต่จำเลยไม่ได้นำพยานหลักฐานที่ชัดเจนมาแสดงว่าเงินจำนองนั้นถูกใช้เพื่อประโยชน์ของกองมรดกจริง และรายการหลายรายการเป็นค่าใช้จ่ายจิปาถะทั่วไป มิใช่ค่าใช้จ่ายจำเป็นในการจัดการมรดก ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้โดยละเอียดว่าไม่สมควรรับฟัง และศาลฎีกาก็เห็นว่าไม่มีเหตุให้วินิจฉัยซ้ำ จึงปฏิเสธข้ออ้างของจำเลย บทสรุปข้อคิดทางกฎหมาย • ผู้จัดการมรดกต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต โปร่งใส และคำนึงถึงประโยชน์ของกองมรดกและทายาท • การจำนองทรัพย์มรดกโดยไม่ได้รับความยินยอมจากทายาทเป็นการละเมิดสิทธิของทายาท • สิทธิจำนองแม้ไม่ทำให้กรรมสิทธิ์เปลี่ยนมือ แต่เป็นสิทธิบุริมสิทธิที่ติดทรัพย์และมีผลต่อกองมรดก • เจตนาไม่สุจริต (การแสวงหาประโยชน์มิชอบ) เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้จัดการมรดกถูกกล่าวโทษตามกฎหมายอาญา • จำเลยมีภาระพิสูจน์ข้ออ้าง (เช่น ค่าใช้จ่ายจัดการมรดก) หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ ข้ออ้างไม่เป็นที่รับฟัง • ทายาทอาจถูกผูกพันต่อหนี้จำนองของผู้จัดการมรดก หากผู้จัดการไม่ชำระ และผู้รับจำนองสามารถบังคับทรัพย์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5902/2567 จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกนำที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกในส่วนที่โจทก์ทั้งสามจะได้รับตามพินัยกรรมไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ของจำเลยทั้งสองถึงสองครั้งโดยไม่ได้รับความเห็นชอบหรือยินยอมจากโจทก์ทั้งสามย่อมก่อให้เกิดทรัพยสิทธิจำนองในที่ดินพิพาท แม้การจำนองจะไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตกเป็นของผู้จำนอง แต่สิทธิจำนองเป็นบุริมสิทธิ์ที่ติดไปกับตัวทรัพย์มีผลผูกพันต่อกองมรดกและทายาททั้งปวง หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามสัญญาจำนอง หนี้เหล่านั้นจะตกเป็นภาระแก่กองมรดกและทายาทรวมทั้งโจทก์ทั้งสามต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญาจำนองแทนจำเลยทั้งสอง ก่อนจดทะเบียนจำนองครั้งแรก จำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกให้โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสามในฐานะผู้สืบมรดกของทายาทตามพินัยกรรม และก่อนที่จำเลยทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทครั้งที่สอง จำเลยทั้งสองก็ทราบแล้วว่าโจทก์ทั้งสามฟ้องคดีอาญาจำเลยทั้งสองอันมีมูลเหตุสืบเนื่องจากจำเลยทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทครั้งแรกแล้ว แต่จำเลยทั้งสองยังคงจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทครั้งที่สองโดยเพิ่มวงเงินจำนองให้สูงขึ้นไปอีกแล้วนำเงินที่ได้จากการจำนองมาใช้ประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสองย่อมแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาไม่สุจริต อันถือได้ว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งของศาล กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่น โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353, 354, 83 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบมาตรา 354 (ที่ถูกต้องระบุมาตรา 83 ด้วย) จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติตามที่คู่ความไม่ได้ฎีกาโต้แย้งกันว่า โจทก์ทั้งสามเป็นบุตรของนายนพดล กับนางสกินะ ซึ่งอยู่กินฉันสามีภรรยาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน โจทก์ทั้งสามเป็นผู้สืบสันดานของนายนพดลที่ให้การรับรองบุตรแล้ว เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2543 นายประเสริฐ ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกส่วนหนึ่ง รวมทั้งที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1664 เฉพาะส่วนเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา พร้อมบ้านหลังใหญ่ให้แก่นายนพดล วันที่ 22 พฤศจิกายน 2549 นายประเสริฐถึงแก่ความตาย ศาลมีคำพิพากษาตั้งจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐ ต่อมาจำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดมีนบุรีขอให้กำจัดนายนพดลมิให้รับมรดกของนายประเสริฐด้วยเหตุปิดบังพินัยกรรม คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้กำจัดนายนพดลมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร วันที่ 18 กันยายน 2560 โจทก์ทั้งสามมีหนังสือทวงถามจำเลยทั้งสองให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมของนายประเสริฐที่ตกทอดแก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสองได้รับแล้วเพิกเฉย และวันที่ 19 ตุลาคม 2560 โจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลจังหวัดมีนบุรีขอให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนที่นายนพดลมีสิทธิได้รับตามพินัยกรรมทั้งหมดให้แก่โจทก์ทั้งสาม และวันที่ 11 มีนาคม 2562 ศาลจังหวัดมีนบุรีมีคำพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสามสามารถสืบมรดกจากนายนพดลตามสิทธิที่ได้รับมรดกของนายประเสริฐ คดีถึงที่สุด วันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 จำเลยทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมของจำเลยทั้งสองต่อนายสุรชัย ครั้งแรก เป็นเงิน 6,000,000 บาท โจทก์ทั้งสามกับพวกฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลจังหวัดมีนบุรีในความผิดข้อหายักยอก คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองแต่ให้รอการลงโทษจำคุกเฉพาะจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2562 จำเลยทั้งสองจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทและจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทใหม่ ครั้งที่สอง เป็นเงิน 11,350,000 บาท ซึ่งโจทก์ทั้งสามนำมาเป็นมูลฟ้องคดีนี้ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาตั้งจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐแล้วจำเลยทั้งสองไม่อาจจัดการมรดกให้เป็นไปทางใดทางหนึ่งได้ตามอำเภอใจจักต้องทำหน้าที่ผู้จัดการมรดกภายใต้กรอบและหลักเกณฑ์ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้ โดยประการที่สำคัญจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องรวบรวมทรัพย์มรดกทั้งหลายของนายประเสริฐนำมาแบ่งปันแก่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกให้เป็นไปตามกฎหมายและตามพินัยกรรมของนายประเสริฐโดยจักต้องกระทำเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกด้วยความสุจริต โปร่งใสและเปิดเผยเพื่อไม่ให้เป็นที่คลางแคลงใจแก่ทายาท การที่จำเลยทั้งสองนำที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยทั้งสองต่อนายสุรชัยโดยโจทก์ทั้งสามไม่ได้รู้เห็นยินยอมย่อมก่อให้เกิดทรัพยสิทธิจำนองในที่ดินพิพาทนั้น แม้การจำนองจะไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตกเป็นของผู้จำนอง แต่สิทธิจำนองเป็นบุริมสิทธิที่ติดไปกับตัวทรัพย์จำนองมีผลผูกพันต่อกองมรดกและทายาททั้งปวง ดังนั้น หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้เงินกู้ยืมตามสัญญาจำนองหนี้เหล่านั้นก็จะตกเป็นภาระแก่กองมรดกและทายาท รวมทั้งโจทก์ทั้งสามซึ่งสืบมรดกจากนายนพดลที่มีสิทธิจะได้รับมรดกที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมของนายประเสริฐในอันจะต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญาจำนองให้แก่ผู้รับจำนองแทนจำเลยทั้งสอง มิฉะนั้นผู้รับจำนองอาจใช้สิทธิฟ้องร้องบังคับจำนองยึดที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามสัญญาจำนองได้ นอกจากนี้ยังได้ความจากพยานหลักฐานที่โจทก์ทั้งสามนำสืบมาว่า เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2560 โจทก์ทั้งสามในฐานะผู้สืบมรดกจากนายนพดลยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลจังหวัดมีนบุรีขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและส่งมอบทรัพย์สินอันเป็นทรัพย์มรดกในส่วนที่นายนพดลมีสิทธิจะได้รับตามพินัยกรรมทั้งหมดให้แก่โจทก์ทั้งสาม และวันที่ 11 มีนาคม 2562 ศาลจังหวัดมีนบุรีมีคำพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสามสามารถสืบมรดกจากนายนพดลมีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรมของนายประเสริฐและให้จำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมส่งมอบทรัพย์สินอันเป็นทรัพย์มรดกในส่วนที่นายนพดลมีสิทธิจะได้รับตามพินัยกรรมทั้งหมดให้แก่โจทก์ทั้งสาม ประกอบกับจำเลยที่ 2 เบิกความยอมรับว่า ก่อนจดทะเบียนจำนองครั้งแรก จำเลยที่ 2 ทราบเรื่องที่โจทก์ทั้งสามยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับเรื่องขอสืบมรดกจากนายนพดลที่มีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรมของนายประเสริฐแล้ว จำเลยที่ 2 ยังจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทโดยไม่ได้แจ้งและไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งสาม อีกทั้งได้ความตามทางนำสืบของโจทก์ทั้งสามว่า หลังจากจำเลยทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืมแก่นายสุรชัยครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 แล้ว ต่อมาวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 โจทก์ทั้งสามกับพวกฟ้องจำเลยทั้งสองกับพวกในข้อหาร่วมกันโกงเจ้าหนี้และร่วมกันทำผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลโดยทุจริตจากการที่จำเลยทั้งสองนำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองครั้งแรกดังกล่าว ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1525/2561 ของศาลจังหวัดมีนบุรี แสดงว่าก่อนจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทครั้งแรกจำเลยที่ 2 ทราบเรื่องที่โจทก์ทั้งสามยื่นฟ้องคดีแพ่งเพื่อขอสืบมรดกจากนายนพดลที่มีสิทธิจะได้รับมรดกตามพินัยกรรมของนายประเสริฐแล้วยังฝ่าฝืนนำที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่จะตกแก่โจทก์ทั้งสามไปจดทะเบียนจำนองต่อนายสุรชัย และก่อนจำเลยทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินครั้งที่สองจำเลยทั้งสองก็ทราบแล้วว่าโจทก์ทั้งสามกับพวกฟ้องจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นคดีอาญาอันมีมูลเหตุสืบเนื่องมาจากการที่จำเลยทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทครั้งแรกแล้ว แต่จำเลยทั้งสองยังคงจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทครั้งที่สองโดยเพิ่มวงเงินจำนองให้สูงขึ้นไปอีก พฤติกรรมของจำเลยทั้งสองเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของทายาทและโจทก์ทั้งสามแล้ว ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า เหตุที่ยังไม่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามเนื่องจากคดีที่โจทก์ทั้งสามฟ้องขอสืบมรดกของนายนพดลตามพินัยกรรมยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลสูงยังไม่ถึงที่สุด และจำเลยทั้งสองเชื่อว่าจะชนะคดีสามารถนำทรัพย์มรดกส่วนนั้นมาแบ่งปันให้แก่ทายาทคนอื่นได้นั้น เห็นว่า ขณะจำเลยทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทครั้งที่สองนั้นจำเลยทั้งสองทราบผลคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.1745/2560 ของศาลจังหวัดมีนบุรี ที่พิพากษาให้โจทก์ทั้งสามสืบมรดกจากนายนพดลมีสิทธิจะได้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมของนายประเสริฐ และให้จำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสามแล้ว แม้ขณะนั้นคดียังไม่ถึงที่สุดแต่ผลแห่งคำพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรีดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาคดีนั้น นับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษานั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย ถ้าหากมี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยทั้งสองนี้จึงรับฟังไม่ได้ ในทางตรงข้ามการที่จำเลยทั้งสองไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสามตามคำพิพากษากลับนำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองครั้งที่สองในวงเงินที่สูงขึ้นจากการจำนองครั้งที่หนึ่งอีกหลายล้านบาทซึ่งเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้แก่กองมรดก ทายาทและโจทก์ทั้งสาม ย่อมแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาไม่สุจริตอย่างชัดเจน ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองนำเงินที่ได้จากการจำนองทั้งสองครั้งมาเป็นค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีและค่าทนายความ เพื่อติดตามเอาทรัพย์มรดกมาแบ่งปันให้แก่ทายาทอันเป็นประโยชน์แก่กองมรดกและทายาทถือเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการมรดกโดยชอบ และโจทก์ทั้งสามนำสืบไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองนำเงินที่ได้จากการจำนองไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมิไช่กรณีเป็นผู้จัดการมรดกกระทำผิดหน้าที่ของตนโดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินนั้น เห็นว่า ค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีและค่าทนายความดังกล่าวจำเลยทั้งสองนำมาใช้ในการต่อสู้คดีที่ถูกโจทก์ทั้งสามกับทายาทอื่นฟ้องทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาเพื่อขอแบ่งปันทรัพย์มรดกและขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดเกี่ยวกับการประพฤติผิดหน้าที่ผู้จัดการมรดกเกือบทั้งสิ้น อันเป็นการต่อสู้คดีเพื่อปฏิเสธไม่แบ่งปันทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมให้แก่ทายาทตามหน้าที่ของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดก โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่จำเลยทั้งสองบันทึกไว้ ก็เป็นค่าใช้จ่ายจิปาถะสารพัดไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับการจัดการมรดกแต่อย่างใดดังที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าชอบแล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายและค่าทนายความดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการมรดกโดยชอบที่กองมรดกจะต้องรับผิดชอบชำระหนี้นั้น และรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองนำเงินที่ได้จากการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาททั้งสองครั้งมาใช้ในการจัดการมรดกดังที่จำเลยทั้งสองฎีกากล่าวอ้างและนำสืบมา พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า เมื่อศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐแล้ว ต่อมาศาลมีคำพิพากษากำจัดนายนพดลมิให้รับมรดกตามพินัยกรรมของนายประเสริฐและมีคำพิพากษาให้โจทก์ทั้งสามเป็นผู้สืบมรดกจากนายนพดลมีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรมของนายประเสริฐ แต่จำเลยทั้งสองไม่แบ่งปันทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมให้แก่โจทก์ทั้งสามกลับนำที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์มรดกในส่วนที่โจทก์ทั้งสามจะได้รับตามพินัยกรรมนั้นไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ของจำเลยทั้งสองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบหรือยินยอมจากโจทก์ทั้งสามแล้วนำเงินที่ได้จากการจำนองมาใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสองเองอันถือได้ว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งของศาลกระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่น เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบมาตรา 354, 83 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยทั้งสองนอกจากนี้เป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยไม่เป็นข้อสาระสำคัญและไม่มีผลให้เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาจึงไม่วินิจฉัยให้ พิพากษายืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1. ฎีกา 2295/2565 (ผู้จัดการมรดกขายที่ดินโดยมิชอบ) ในคดีคำพิพากษาศาลฎีกา 2295/2565 จำเลยที่ 1 ถูกศาลสั่งให้เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย และในฐานะผู้จัดการมรดกได้นำที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกไปจดทะเบียนขาย (โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่บุคคลที่ 3) โดยไม่ได้รับความยินยอมจากทายาทหรือผู้มีสิทธิรับมรดกอื่น ๆ โจทก์ (ซึ่งเป็นทายาท) ฟ้องให้เพิกถอนการโอนดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นการกระทำที่มิชอบเพราะจำเลยใช้สิทธิผู้จัดการมรดกเพื่อประโยชน์ตนเอง ศาลฎีกาพิจารณาว่า แม้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 ผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่ “ทำการอันจำเป็นเพื่อให้การเป็นไปตามคำสั่ง แจ้งชัด หรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรม และเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป หรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท” แต่สิทธินี้มิได้หมายความว่า ผู้จัดการมรดกจะทำการใด ๆ ก็ได้ โดยเฉพาะหากเป็นการแปลงทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์ส่วนตนโดยไม่เป็นไปเพื่อแบ่งปันแก่ทายาท การโอนที่ดินโดยจำเลยที่ 1 ในกรณีนี้ถือเป็นการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนอย่างชัดเจน ศาลจึงรับฟังคำขอเพิกถอนการโอน (เพิกถอนโฉนด การจดทะเบียน) ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ถือว่าการโอนนั้น “ไม่ผูกพันทายาท” และจำเลยที่ 3 ซึ่งได้โอนจากผู้จัดการมรดกนั้น ก็ถือว่าไม่มีสิทธิดีกว่าโจทก์ (ทายาท) เปรียบเทียบกับ ฎีกา 5902/2567 • ในทั้งสองคดี ผู้จัดการมรดกได้กระทำการนิติกรรมกับทรัพย์มรดก (ขายใน 2295/2565 จำนองใน 5902/2567) โดยมิได้รับความยินยอมจากทายาท • ทั้งสองคดีวินิจฉัยประเด็น “ประโยชน์ตนเอง vs ประโยชน์กองมรดก / ทายาท” เป็นแกนกลาง • ใน 5902/2567 ศาลฎีกายังเพิ่มแง่ของ เจตนาไม่สุจริต / การแสวงหาประโยชน์มิชอบ มาพิจารณาเป็นองค์ประกอบสำคัญ ขณะที่ใน 2295/2565 ศาลให้ความสำคัญในการเพิกถอนนิติกรรมที่ทำโดยมิชอบ • ข้อแตกต่างคือ คดี 5902/2567 มีลักษณะเป็นการจำนองซ้ำซ้อนและวงเงินสูงกว่า ซึ่งสะท้อนพฤติการณ์ซับซ้อนยิ่งกว่า 2. ฎีกา 416/2563 (ความรับผิดของผู้จัดการมรดกที่โอนทรัพย์) ในคำพิพากษาศาลฎีกา 416/2563 มีข้อเท็จจริงว่า ผู้จัดการมรดกได้ทำการโอนทรัพย์สินมรดกบางส่วนออกไปจากกองมรดกก่อนการแบ่งมรดก โดยมิได้รับอนุญาตจากทายาทหรือศาล หลังจากนั้น ทายาทร้องเรียนว่าเป็นการละเมิดหน้าที่ผู้จัดการมรดก ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิจารณาแล้ว และจำเลยฎีกามายังศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หลักทั่วไปผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างสุจริต และหากจะทำการโอนทรัพย์มรดก (ซึ่งเป็นนิติกรรมที่อาจเป็นการทำให้ทรัพย์สินมรดกลดลงหรือไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะจัดแบ่ง) จำเป็นต้องเป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์ของกองมรดก หรือเพื่อแบ่งปันให้แก่ทายาท มิใช่เพื่อประโยชน์ของตนเอง และต้องมีหลักฐานชัดเจน การกระทำโอนที่มิชอบนั้นจำเลยมีความรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่กองมรดก / ทายาท ในคำพิพากษานั้นศาลยังได้อ้างบทบัญญัติมาตรา 1728 (บัญชีทรัพย์มรดก) และบทห้ามตามมาตรา 1722 (ผู้จัดการมรดกไม่อาจทำธุรกรรมที่ตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์) เพื่อยืนยันว่า หากผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์มรดกให้แก่ตนเองโดยไม่มีเหตุสนับสนุน เช่น เป็นทายาทและได้รับอนุญาต ก็ถือว่าทำผิดหน้าที่ เปรียบเทียบกับ ฎีกา 5902/2567 • ข้อเท็จจริงใกล้เคียงคือ ผู้จัดการมรดกทำธุรกรรมกับทรัพย์มรดกโดยมิชอบ • ทั้งสองคดีใช้บทห้ามใน มาตรา 1722 และบทบัญญัติเกี่ยวกับนิติกรรมที่ปฏิปักษ์ • ใน 5902/2567 คดีซับซ้อนกว่า มีการจำนองซ้ำและวงเงินเพิ่ม รวมถึงข้ออ้างเรื่องค่าใช้จ่ายจัดการมรดก ที่ศาลปฏิเสธ ขณะที่ใน 416/2563 ศาลมุ่งประเด็นหลักคือการโอนที่มิชอบโดยไม่มีหลักฐานสนับสนุน 3. ฎีกา 1971/2551 (ผู้จัดการมรดกขายทรัพย์มรดกโดยไม่รับความยินยอม) ในคำพิพากษาศาลฎีกา 1971/2551 ศาลพิจารณาข้อเท็จจริงที่ผู้จัดการมรดกได้นำทรัพย์สินมรดก (อาจเป็นที่ดิน)ไปขายโดยมิได้ขอความยินยอมจากทายาท และทายาทไม่ทราบเรื่อง การขายนั้นมีบุคคลภายนอกที่ซื้อโดยสุจริตมายื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนการขายหรือให้คืนทรัพย์มรดก ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้จัดการมรดกจะขายทรัพย์มรดกโดยมิได้รับความยินยอมหรือมิได้เป็นไปเพื่อการแบ่งปันแก่ทายาท (หรือเพื่อประโยชน์กองมรดก) ถือว่าเป็นการกระทำที่มิชอบ และผู้ซื้อภายนอกแม้จะได้จ่ายค่าตอบแทนหรือจดทะเบียนอาจไม่อาจยึดถือทรัพย์ได้เหนือสิทธิของทายาท ศาลจึงมีอำนาจให้เพิกถอนการขายหรือให้คืนทรัพย์มรดกแก่ทายาท เปรียบเทียบกับ ฎีกา 5902/2567 • ในทั้งสองคดี ผู้จัดการมรดกกระทำการนิติกรรมกับทรัพย์มรดกโดยไม่ขออนุญาต/ยินยอมจากทายาท • ใน 5902/2567 เป็นการจำนองซึ่งเป็นภาระผูกพันทรัพย์ (ไม่ใช่การโอน) แต่หลัก “มิชอบ / ไม่เป็นประโยชน์แก่กองมรดก / เจตนาแสวงหาประโยชน์ตนเอง” ยังคงเป็นแกนวิจารณ์ • ฎีกา 1971/2551 ช่วยยืนยันแนวหลักว่า ผู้จัดการมรดกไม่มีอำนาจจัดการทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์ตนเองโดยไม่คำนึงถึงสิทธิทายาท 4. ฎีกา 2220/2552 (โอนทรัพย์มรดกให้แก่ตนเองโดยไม่เป็นปฏิปักษ์ของกองมรดก) คำพิพากษาศาลฎีกา 2220/2552 เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกและได้โอนทรัพย์มรดกบางส่วนให้แก่ตนเองในฐานะที่เป็นทายาทอยู่แล้ว ข้อเท็จจริงคือ จำเลยที่ 1 มีสถานะเป็นทายาทของผู้ตายด้วย และโอนทรัพย์มรดกภายใต้เงื่อนไขที่มิได้เป็นการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก (เช่น โอนให้เป็นส่วนของตนที่มีสิทธิรับมรดกตามปกติ) ศาลฎีกาพิจารณาว่า เมื่อผู้จัดการมรดกเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกอยู่แล้ว และการโอนที่ตนเองรับนั้นไม่ขัดแย้งกับการแบ่งมรดก / ไม่ลดทรัพย์มรดกเกินสิทธิของตน การโอนดังกล่าวอาจถือว่า ไม่เป็นการปฏิปักษ์ ต่อกองมรดกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 และไม่ถูกเพิกถอนโดยอัตโนมัติ ศาลยืนยันเงื่อนไขสำคัญว่า การโอนในลักษณะนี้ต้องไม่มีผลให้ทรัพย์มรดกลดลงเกินสิทธิของทายาทผู้อื่น และต้องโปร่งใส ไม่ปรากฏเจตนาแสวงหาประโยชน์เหนือสิทธิของผู้อื่น เปรียบเทียบกับ ฎีกา 5902/2567 • ประเด็นที่ใกล้เคียงคือ “ผู้จัดการมรดกโอน / จัดการทรัพย์ที่ตนมีส่วนได้เสียได้หรือไม่” • แต่ใน 5902/2567 ผู้จัดการมรดกมิได้โอนให้ตนเองในฐานะทายาทโดยตรงเท่านั้น แต่จดจำนองโดยไม่อนุญาต และเจตนาไม่สุจริตเป็นองค์ประกอบสำคัญ • ฎีกา 2220/2552 ช่วยชี้ให้เห็นว่า หากการโอน / จำนองเป็นไปในขอบเขตของสิทธิที่ทายาทมี และไม่มีเจตนาแสวงหาประโยชน์มิชอบ อาจไม่ถูกปฏิบัติเป็นการละเมิดหน้าที่ 5. ฎีกา 4419/2562 (การตั้งผู้จัดการมรดกร่วม / ดุลพินิจศาล) ในคดีคำพิพากษาศาลฎีกา 4419/2562 มีข้อเท็จจริงว่าผู้ร้อง (ซึ่งเป็นผู้ร้องขอตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดก) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย แต่มีผู้คัดค้าน (ผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลอื่น) ขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกแทน และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดกร่วม (ผู้ร้อง + ผู้คัดค้าน) โจทก์ (ผู้ร้อง) อุทธรณ์ และฎีกามายังศาลฎีกา โดยโต้แย้งว่า คำสั่งตั้งผู้จัดการมรดกร่วมควรยกเลิก ศาลฎีกาพิจารณาว่า การตั้งผู้จัดการมรดก (หรือร่วมกัน) เป็นดุลพินิจของศาลตาม พฤติการณ์แห่งคดี ไม่ใช่เป็นบทบัญญัติบังคับให้ศาลต้องตั้งตามคำร้องเสมอไป (แม้ผู้ร้องไม่เป็นบุคคลต้องห้ามตามมาตรา 1718) โดยศาลจะต้องพิจารณาถึงประโยชน์แก่กองมรดก และความเหมาะสมตามข้อเท็จจริง ในคดีนี้ศาลฎีกาเห็นพ้องกับความเห็นของศาลชั้นล่างว่าการตั้งผู้จัดการมรดกร่วมเป็นการพิจารณาโดยรอบคอบ ฎีกาฟังไม่ขึ้น เปรียบเทียบกับ ฎีกา 5902/2567 • แม้ประเด็นหลักของ 5902 ไม่ใช่เรื่องการตั้งผู้จัดการมรดก แต่ตัวบทกฎหมายผู้จัดการมรดก (การได้มา / ตำแหน่ง / ดุลพินิจ) เป็นฐานสำคัญ
• ฎีกา 4419 ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่า แม้ผู้ร้องอาจได้สิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก แต่ศาลอาจใช้ดุลพินิจเลือกคนอื่นตามประโยชน์กองมรดก |



.jpg)

.jpg)