ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




สิทธิทายาท & การแบ่งมรดกโดยจับฉลาก, ทายาทไม่เข้าร่วมประชุม (ฎีกา 2128/2567)

คำพิพากษาศาลฎีกา 2128/2567, ทายาท, การแบ่งมรดก, จับฉลากแบ่งมรดก, สิทธิครอบครองมรดก, ป.พ.พ. มาตรา 1750, มาตรา 1745, มาตรา 1746, ฟ้องขับไล่, สิทธิฟ้องแบ่งมรดก, อำนาจฟ้อง, ศาลฎีกาวินิจฉัย, นิติศาสตร์มรดก

  ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ 

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการแบ่งมรดกโดยวิธีจับฉลากในกรณีที่ทายาทบางคนไม่เข้าร่วมประชุม ผู้จัดการมรดกได้กระทำการแบ่งและโอนที่ดินให้แก่ทายาทอื่นโดยมิชอบตามบทบัญญัติ ป.พ.พ. มาตรา 1750 ในวรรคสอง ซึ่งกำหนดว่า ถ้าแบ่งมรดกโดยสัญญาไม่เป็นไปตามมาตรานั้น หากไม่มีเอกสารลงลายมือชื่อไว้ก็ฟ้องบังคับไม่ได้ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่า ที่ดินยังคงเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง แม้จะจดทะเบียนโอนแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์สมบูรณ์ของผู้โอน และโจทก์ผู้ฟ้องไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่หรือเรียกค่าเสียหายได้

ข้อเท็จจริงสำคัญ

เจ้าของเดิม (นายไพศาล) ถึงแก่ความตายในปี 2548

มีทายาทโดยธรรม 10 คน รวมโจทก์และจำเลย

ผู้จัดการมรดกคือ เฉลิมชัย และ เฉลิมพร

ในวันที่ 30 สิงหาคม 2558 ผู้จัดการมรดกได้นัดประชุมทายาทเพื่อแบ่งมรดกโดยจับฉลาก

จำเลย (ทายาทคนหนึ่ง) ไม่มาประชุม

ที่ประชุมมอบหมายให้เฉลิมพรเป็นผู้จับฉลากแทน

ผลการจับฉลาก: โจทก์ได้ที่ดิน 3 แปลง (น.ส.3 ก. เลขที่ 1685, 2093, 2094)

ผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนที่ดิน 2093 และ 2094 ให้แก่โจทก์

จำเลยยังครอบครองที่ดินแปลง 1685, 2093, 2094 โดยปลูกยางพารา

โจทก์ฟ้องให้ขับไล่ จำเลย, ส่งมอบที่ดิน, ชดใช้ค่าเสียหาย ฯลฯ

ศาลชั้นต้นยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับคำพิพากษา ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่

จำเลยฎีกาได้รับอนุญาต

ประเด็นปัญหาที่ศาลฎีกาวินิจฉัย

1. โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายหรือไม่

2. การแบ่งมรดกโดยจับฉลาก (โดยไม่มีทายาททุกคนเข้าร่วม) ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 1750 หรือไม่

3. ผลของการจดทะเบียนโอนที่ดินในแปลงที่พิพาท (แม้จดแล้ว) ถือเป็นกรรมสิทธิ์ชอบด้วยกฎหมายแก่ผู้ได้รับโอนหรือไม่

4. ข้อจำกัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และ 55 ว่าโจทก์เรียกร้องเกินกว่าสิ่งที่ฟ้องไว้หรือไม่

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

ศาลฎีกาพิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์

เห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่หรือเรียกค่าเสียหาย

แม้จะมีการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ในบางแปลง แต่ที่ดินเหล่านั้นยังเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง

จำเลยซึ่งเป็นทายาทยังมีสิทธิเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์เท่าเทียมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1745 และ 1746

การแบ่งมรดกโดยจับฉลากที่ทำโดยผู้จัดการมรดก โดยไม่ได้มีทายาททุกคนเข้าร่วมนั้น มิชอบด้วย มาตรา 1750

โจทก์ฟ้องเกินกว่าที่คำฟ้องร้องขอ คือเป็นการขอแบ่งมรดกในส่วนที่ยังอยู่ระหว่างแบ่ง ซึ่งเป็นการเกินอำนาจตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142

คำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำสั่งให้แบ่งใหม่ของอุทธรณ์จึงไม่ชอบ

ศาลพิพากษายกฟ้อง และให้คืนค่าขึ้นศาลบางส่วนแก่โจทก์

🏛️ มาตรากฎหมายหลักที่ใช้วินิจฉัยในคดีนี้

1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750

→ เป็นมาตราหลักที่ศาลฎีกาใช้วินิจฉัย “ความชอบด้วยกฎหมายของการแบ่งมรดก”

โดยเฉพาะวรรคสองที่กำหนดว่า “ถ้าการแบ่งมิได้เป็นไปตามวรรคก่อน แต่ได้ทำโดยสัญญา จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ เว้นแต่จะมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด”

➤ ศาลจึงตัดสินว่า “การจับฉลากแบ่งมรดกโดยไม่มีเอกสารลงลายมือชื่อของทายาททุกคน” ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

🔑 5 Keywords สำคัญที่สุดของคดีนี้ พร้อมคำอธิบายขยายความ

1. การแบ่งมรดกโดยมิชอบ 

การแบ่งทรัพย์มรดกต้องเป็นไปตามมาตรา 1750 หากเป็นการตกลงโดยสัญญา เช่น การจับฉลาก ต้องมีเอกสารลงลายมือชื่อของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง มิฉะนั้นจะไม่สามารถฟ้องบังคับได้ การแบ่งที่ไม่มีหลักฐานดังกล่าวถือเป็นโมฆะ

➡️ คดีนี้ศาลชี้ชัดว่า การจับฉลากโดยไม่มีทายาทครบทุกคนและไม่มีเอกสารลงชื่อ ไม่ก่อให้เกิดผลทางกฎหมาย

2. สิทธิของทายาทร่วม 

ตามมาตรา 1745 และ 1746 ทายาททุกคนมีสิทธิร่วมในทรัพย์มรดกจนกว่าจะมีการแบ่งอย่างถูกต้อง หากการแบ่งไม่ชอบ ที่ดินยังถือเป็นทรัพย์มรดกร่วม จำเลยจึงยังมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่พิพาท

➡️ สะท้อนหลักว่า การเป็นทายาททำให้มีสิทธิครอบครองทรัพย์ร่วมจนกว่าจะมีการแบ่งถูกต้องตามกฎหมาย

3. ผู้จัดการมรดกแบ่งทรัพย์โดยไม่ชอบ 

ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ใช่ตัดสินใจแทนทายาททุกคน การจัดประชุมโดยไม่ให้ทายาทบางคนเข้าร่วม และมอบหมายให้ผู้อื่นจับฉลากแทน ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ

➡️ ศาลชี้ว่าผู้จัดการมรดกไม่อาจแบ่งมรดกโดยพลการ ต้องยึดหลักการยินยอมร่วมกันของทายาททุกคน

4. ไม่มีอำนาจฟ้อง 

เมื่อการแบ่งมรดกไม่ชอบ โจทก์จึงไม่อาจถือว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทได้ การฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากทายาทร่วมจึงเป็นการฟ้องโดยไม่มีอำนาจ

➡️ หลักกฎหมายสำคัญ: โจทก์ต้องมีสถานะเป็นเจ้าของโดยชอบก่อนจึงจะมีอำนาจฟ้องในคดีทรัพย์สินได้

5. การโอนที่ดินโดยไม่ชอบ 

แม้ผู้จัดการมรดกจะจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์แล้ว แต่การโอนนั้นเกิดจากการแบ่งมรดกที่ไม่ชอบ ผลของการโอนจึงไม่ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์แก่ผู้รับโอน เพราะทรัพย์ยังเป็นมรดกร่วม

➡️ ศาลยืนยันว่า “การจดทะเบียนโอน” ไม่อาจทำให้กรรมสิทธิ์สมบูรณ์ หากกระบวนการแบ่งมรดกไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

🧭 สรุปสาระสำคัญ

คดีนี้เน้นย้ำว่า “การแบ่งมรดกต้องเป็นไปตามรูปแบบกฎหมาย ไม่สามารถใช้วิธีตกลงกันเองโดยไม่มีหลักฐาน”

แม้มีการโอนที่ดินและเอกสารราชการประกอบ แต่ถ้าการแบ่งไม่ครบเงื่อนไขทางกฎหมาย ทรัพย์นั้นก็ยังถือเป็นมรดกร่วมอยู่ดี

โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ และผู้จัดการมรดกต้องระมัดระวังในการดำเนินการแบ่งทรัพย์ เพื่อไม่ให้เกิดข้อพิพาทภายหลัง

การวิเคราะห์ประเด็นกฎหมาย 

สิทธิทายาทตามมาตรา 1745–1746

ป.พ.พ. มาตรา 1745 และ 1746 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า ผู้ที่ยังมิได้รับส่วนแบ่งมรดก ยังคงมีสิทธิในทรัพย์มรดก

ถึงแม้มีการจดทะเบียนโอนทรัพย์ให้แก่บุคคลอื่น ผู้โอนก็ไม่อาจอ้างว่าเป็นเจ้าของสมบูรณ์ในส่วนที่ยังไม่ได้แบ่ง

ในกรณีนี้ จำเลยยังมีส่วนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เท่าเทียมกับโจทก์

เงื่อนไขการแบ่งมรดกตามมาตรา 1750

วรรคหนึ่ง: ทายาทอาจแบ่งมรดกโดยแต่ละคนเข้าครอบครองเป็นส่วนสัด หรือโดยการขายทรัพย์มรดกแล้วแบ่งเงิน

วรรคสอง: ถ้าแบ่งมรดกโดยสัญญา (ไม่เป็นไปตามสองแบบข้างต้น) จะฟ้องบังคับไม่ได้ เว้นแต่ มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ที่ต้องรับผิด

การแบ่งมรดกโดยจับฉลากถือเป็น “สัญญา” ในแง่การตกลงกันระหว่างทายาท

ถ้าไม่มีเอกสารลงลายมือชื่อของทุกฝ่ายที่ต้องรับผิด (หรือผู้แทน) จะไม่สามารถฟ้องบังคับได้

ในคดีนี้ ผู้จัดการมรดกจัดจับฉลากโดยมิได้ให้จำเลยเข้าร่วม จึงไม่มีเอกสารลงชื่อจากจำเลย เป็นการแบ่งที่ไม่ชอบตามกฎหมาย

สิทธิฟ้องของทายาท / อำนาจฟ้อง

โจทก์ต้องมีอำนาจฟ้องคำร้องตามที่ฟ้องไว้เท่านั้น

โจทก์ในคดีนี้ฟ้องขับไล่ ส่งมอบ และเรียกค่าเสียหาย แต่ข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นไปในทางแบ่งมรดก ที่เป็นสิทธิทายาทโดยตรง ซึ่งไม่ใช่สิทธิเฉพาะเจ้าของเดิม

ยิ่งไปกว่านั้น การที่โจทก์อ้างสิทธิเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นการเกินสิทธิที่ฟ้องไว้ ถือเป็นเกินอำนาจฟ้อง (impermissible claim) ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142

และตาม มาตรา 55 ของ ป.วิ.พ. ข้อโต้แย้งของจำเลยเกี่ยวกับสิทธิของจำเลยต่อโจทก์ ยังไม่ถือเป็นข้อโต้แย้งที่ศาลต้องพิจารณา ถ้าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ผลของการโอนที่ดินโดยผู้จัดการมรดก

การโอนโดยผู้จัดการมรดกที่ไม่ชอบด้วยเงื่อนไขตาม มาตรา 1750 ไม่มีผลให้ผู้ได้รับโอนมีสิทธิสมบูรณ์

ที่ดินยังคงเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง

ผู้ที่ยังมิได้รับส่วนแบ่งมรดก (เช่น จำเลย) ยังคงมีสิทธิในการครอบครอง / ใช้ประโยชน์ในที่ดิน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1360

โจทก์จึงไม่อาจอ้างสิทธิเป็นเจ้าของเต็มที่มาฟ้องขับไล่หรือเรียกค่าเสียหาย

ข้อจำกัดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 / 55

มาตรา 142 ห้ามการพิจารณาเกินสิ่งที่ปฏิเสธหรือให้ไว้ในคำฟ้อง (ultra petita)

มาตรา 55 กำหนดว่า ข้อโต้แย้งของจำเลยเฉพาะที่เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของจำเลยต่อโจทก์เท่านั้น ที่ศาลจะพิจารณา

ในคดีนี้ ข้ออ้างของโจทก์ (ขับไล่ / ค่าเสียหาย) ถือว่าเกินอำนาจฟ้อง และไม่อยู่ในขอบเขตที่ศาลจะพิจารณา

IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion)

Issue (ปัญหากฎหมาย):

1. โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่ / เรียกค่าเสียหายตามที่ฟ้องไว้หรือไม่

2. การแบ่งมรดกโดยจับฉลากที่จัดขึ้นโดยผู้จัดการมรดก โดยไม่ให้ทายาททุกคนเข้าร่วมหรือไม่มีเอกสารลงลายมือชื่อ ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1750 หรือไม่

3. การโอนที่ดินโดยผู้จัดการมรดก (แม้จดทะเบียนแล้ว) มีผลให้ผู้โอนเป็นเจ้าของสมบูรณ์หรือไม่

Rule (หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง):

ป.พ.พ. มาตรา 1745, 1746: ทายาทที่ยังมิได้แบ่งมรดกยังมีสิทธิในทรัพย์มรดก

ป.พ.พ. มาตรา 1750 (วรรคหนึ่ง/วรรคสอง): วิธีแบ่งมรดก และเงื่อนไขการแบ่งโดยสัญญา

ป.วิ.พ. มาตรา 142: ห้ามศาลพิจารณาเกินไปกว่าคำฟ้อง

ป.วิ.พ. มาตรา 55: ข้อโต้แย้งที่ศาลพิจารณาได้

ป.พ.พ. มาตรา 1360: สิทธิครอบครอง / ใช้ประโยชน์ในทรัพย์ที่เป็นทรัพย์มรดกร่วม

หลักนิติศาสตร์พื้นฐาน: การโอนที่ดินต้องชอบตามเงื่อนไขกฎหมาย

Application (การใช้กฎหมายกับข้อเท็จจริง):

โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน / ขอให้ขับไล่ จำเลยโดยชอบ

แต่ตามข้อเท็จจริง จำเลยยังมิได้รับการแบ่งมรดก จึงยังมีสิทธิในที่ดินตามมาตรา 1745–1746

การจับฉลากแบ่งมรดกเป็นการตกลงระหว่างทายาท (สัญญา) แต่ไม่มีเอกสารลงลายมือชื่อจำเลย จึงไม่ชอบตาม มาตรา 1750 วรรคสอง

การโอนที่ดินให้แก่โจทก์โดยผู้จัดการมรดกไม่อันตรธานสิทธิทายาทที่ยังไม่แบ่ง

โจทก์ฟ้องขับไล่ / เรียกค่าเสียหายเป็นการเกินอำนาจคำฟ้อง → ขัดกับ มาตรา 142

ข้ออ้างของจำเลยเกี่ยวกับสิทธิ-หน้าที่ไม่ได้ถูกพิจารณาในคำฟ้อง จึงไม่ใช่ข้อโต้แย้งซึ่งศาลพิจารณาตาม มาตรา 55

Conclusion (บทสรุปทางกฎหมาย):

โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่หรือเรียกค่าเสียหายตามที่ยื่นฟ้องไว้ การแบ่งมรดกโดยจับฉลากที่จัดขึ้นโดยผู้จัดการมรดกโดยไม่มีเอกสารลงชื่อของทุกฝ่ายไม่ชอบตามมาตรา 1750 การโอนที่ดินแม้จดทะเบียนแล้วก็ไม่มีผลให้ผู้โอนเป็นเจ้าของเต็มที่ เพราะทรัพย์ยังเป็นมรดกร่วมที่ยังไม่ได้แบ่ง ศาลฎีกาจึงพิพากษายกฟ้องโจทก์

ตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1745, 1746, 1750, 1360

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142, 55

สรุปข้อคิดทางกฎหมาย

การแบ่งมรดกที่ไม่เป็นไปตามวิธีที่กฎหมายกำหนด (โดยไม่มีเอกสารลงชื่อ) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ที่ดินที่ถูก “แบ่ง-โอน” โดยผู้จัดการมรดกในกรณีที่แบ่งมรดกไม่ถูกต้อง ยังคงเป็นทรัพย์มรดกร่วม

ทายาทที่ยังไม่ได้รับส่วนแบ่ง ยังคงมีสิทธิในทรัพย์มรดก และสามารถขอให้แบ่งเมื่อใดก็ได้

ฝ่ายผู้ฟ้องต้องระวังไม่ฟ้องเกินอำนาจ (ultra petita) เพราะศาลจะไม่รับพิจารณา

การจัดการมรดกโดยผู้จัดการมรดกต้องคำนึงถึงสิทธิของทายาททุกคน ไม่สามารถทิ้งให้บางคนถูกตัดออก

บทส่งท้าย / แนวทางประยุกต์

เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่มีผู้จัดการมรดกและต้องการแบ่งทรัพย์มรดก การกำหนดวิธีแบ่งและจัดทำเอกสารลงลายมือชื่อของทุกฝ่ายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันข้อพิพาทในภายหลัง หากไม่สามารถตกลงได้ ควรฟ้องแบ่งมรดกให้ชัดเจนตามที่กฎหมายกำหนด และหลีกเลี่ยงการใช้วิธีที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น การจับฉลากโดยไม่มีเอกสาร

🔹ประเด็นคำถาม–คำตอบที่ 1

คำถาม:

การแบ่งมรดกโดยผู้จัดการมรดกที่จัดให้มี “การจับฉลากแบ่งที่ดิน” โดยที่ทายาทบางคนไม่ได้เข้าร่วมประชุม และไม่มีเอกสารลงลายมือชื่อของทายาททุกคน จะถือว่าเป็นการแบ่งมรดกที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?

คำตอบ:

ไม่ถือเป็นการแบ่งมรดกที่ชอบด้วยกฎหมายตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคสอง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การแบ่งมรดกอาจทำได้ 3 วิธี คือ

1. ทายาทแต่ละคนเข้าครอบครองทรัพย์เป็นส่วนสัดด้วยความยินยอม

2. ขายทรัพย์มรดกแล้วแบ่งเงินที่ขายได้

3. แบ่งโดยสัญญา ซึ่งจะฟ้องบังคับไม่ได้ เว้นแต่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด

ในคดีนี้ ผู้จัดการมรดกจัดประชุมจับฉลากแบ่งมรดกโดยจำเลย (ซึ่งเป็นทายาท) ไม่เข้าร่วม และไม่มีเอกสารลงชื่อของจำเลยไว้เป็นหลักฐาน การแบ่งมรดกดังกล่าวจึงไม่เป็นไปตามมาตรา 1750 วรรคสอง ถือเป็นการแบ่งมรดกโดยมิชอบ แม้ผู้จัดการมรดกจะได้จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์แล้วก็ตาม ที่ดินยังคงเป็นทรัพย์มรดกร่วมที่ยังไม่ได้แบ่งอย่างถูกต้อง

🔹ประเด็นคำถาม–คำตอบที่ 2

คำถาม:

โจทก์ที่ได้รับโอนที่ดินจากผู้จัดการมรดกมีอำนาจฟ้องขับไล่ทายาทอีกคนหนึ่ง (จำเลย) ออกจากที่ดินมรดก และเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่?

คำตอบ:

ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะที่ดินดังกล่าวยังเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ศาลฎีกาอธิบายว่า แม้ผู้จัดการมรดกจะจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์แล้ว แต่เนื่องจากการแบ่งมรดกไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม มาตรา 1750 ที่ดินจึงยังคงเป็นทรัพย์มรดกที่ทายาททุกคนรวมถึงจำเลยมีส่วนกรรมสิทธิ์อยู่ด้วย ตาม มาตรา 1745 และ 1746

ทายาทแต่ละคนมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินร่วมกันตาม มาตรา 1360 วรรคหนึ่ง

ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวมาฟ้องขับไล่หรือเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ และถือว่าเป็นการฟ้องเกินสิทธิในคำฟ้อง อันขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142

ศาลฎีกาจึงพิพากษายกฟ้อง และวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องในคดีนี้


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128/2567

ป.พ.พ. มาตรา 1750 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า การแบ่งปันทรัพย์มรดกนั้น อาจทำได้โดยทายาทต่างเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัด หรือโดยการขายทรัพย์มรดกแล้วเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งปันกันระหว่างทายาท วรรคสอง บัญญัติว่า ถ้าการแบ่งมิได้เป็นไปตามวรรคก่อน แต่ได้ทำโดยสัญญา จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ เว้นแต่จะมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ ในกรณีเช่นนี้ให้นำมาตรา 850, 852 แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยประนีประนอมยอมความมาใช้บังคับโดยอนุโลม เห็นว่า การแบ่งปันทรัพย์มรดกนั้น ป.พ.พ. บรรพ 6 ลักษณะ 4 หมวด 3 บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ตามหลักกฎหมายดังกล่าวแบ่งได้ 3 วิธี กล่าวคือ 1) โดยทายาทต่างเข้าครอบครองเป็นส่วนสัด ด้วยการแบ่งตัวทรัพย์ตามความยินยอมโดยตรงหรือโดยปริยายและต่างเข้าครอบครองตามทรัพย์มรดกที่ได้รับแบ่งนั้น กรณีนี้ไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือก็บังคับได้ 2) โดยการขายทรัพย์มรดกแล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งปันกันระหว่างทายาท กรณีเกิดจากทายาทผู้มีสิทธิในทรัพย์มรดกไม่อาจแบ่งตัวทรัพย์กันได้ การขายอาจตกลงกันว่าให้ประมูลกันระหว่างทายาท หรือประกาศขายหรือถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ต้องนำคดีมาฟ้องเรียกให้แบ่งมรดกโดยขอให้ศาลพิพากษาให้แบ่งระหว่างเจ้าของรวม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 และ 3) การแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยสัญญาที่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ มิเช่นนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ยืนยันตามที่บรรยายฟ้องว่า ฉ. และ ล. ในฐานะผู้จัดการมรดกได้นัดประชุมทายาทโดยธรรมของ พ. เพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก ในวันนัดมีโจทก์ และทายาททุกคนยกเว้นจำเลยมาประชุมโดยพร้อมกัน ที่ประชุมตกลงให้มีการจับฉลากแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาททุกคนในสัดส่วนเท่า ๆ กัน เมื่อจำเลยไม่มาประชุม ที่ประชุมจึงมอบหมายให้ ล. เป็นผู้จับฉลากแทน เมื่อการแบ่งปันทรัพย์มรดกโดย ฉ. และ ล. ในฐานะผู้จัดการมรดกนั้น มิชอบด้วย ป.พ.พ. บรรพ 6 ลักษณะ 4 หมวด 3 ที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะตามหลักกฎหมายข้างต้น แม้ ฉ. และ ล. ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์แล้ว ที่พิพาทก็ยังเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งซึ่งจำเลยผู้เป็นทายาทด้วยกันย่อมมีส่วนกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทเท่ากันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1745, 1746 และย่อมมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่พิพาทได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1360 วรรคหนึ่ง โจทก์ไม่อาจอ้างความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ กรณีตามคำฟ้องถือว่ายังไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของจำเลยต่อโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ทั้งข้ออ้างอันเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องมิใช่เรื่องขอแบ่งมรดกในอันที่ศาลจะพิจารณาพิพากษาให้ได้ เพราะเป็นการเกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1685, 2093 และ 2094 กับส่งมอบการครอบครองที่ดินทั้งสามแปลงคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากไม่ยอมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไป ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย 70,000 บาท แก่โจทก์ และค่าขาดประโยชน์เดือนละ 70,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินและส่งมอบที่ดินทั้งสามแปลงคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว มีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและนัดฟังคำพิพากษา

โจทก์และจำเลยยื่นคำโต้แย้งคัดค้านคำสั่งให้งดสืบพยาน

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์วางเงินค่าขึ้นศาลรวม 20,000 บาท ศาลชั้นต้นยกคำร้อง

โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาและจำเลยอุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ และพิพากษายืนในเรื่องค่าขึ้นศาล ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความว่า โจทก์และจำเลยเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไพศาลกับนางซิวย่อง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาด้วยกัน 10 คน ขณะนายไพศาลมีชีวิตอยู่มีที่ดินหลายแปลง บางแปลงใส่ชื่อบุตรและคนอื่นเป็นเจ้าของแทน โดยที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1685 ใส่ชื่อโจทก์ไว้แทน ส่วนที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 2093 และ 2094 ใส่ชื่อนายเฉลิมเดช บุตรนายไพศาลแทน เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 นายไพศาลถึงแก่ความตาย ต่อมาวันที่ 6 มิถุนายน 2548 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนายเฉลิมชัยและนายเฉลิมพรร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนายไพศาล วันที่ 30 สิงหาคม 2558 นายเฉลิมชัยและนายเฉลิมพรในฐานะผู้จัดการมรดกได้นัดประชุมทายาทโดยธรรมของนายไพศาลเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก ในวันนัดมีโจทก์และทายาททุกคนยกเว้นจำเลยมาประชุมโดยพร้อมกัน ที่ประชุมตกลงให้มีการจับฉลากแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาททุกคนในสัดส่วนเท่า ๆ กัน ผลการจับฉลากโจทก์ได้ที่ดิน 3 แปลง ได้แก่ ที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1685, 2093 และ 2094 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2562 นายเฉลิมชัยและนายเฉลิมพรในฐานะผู้จัดการมรดกได้จดทะเบียนโอนที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 2093 และ 2094 ให้แก่โจทก์ จำเลยครอบครองทำประโยชน์โดยปลูกต้นยางพาราในที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1685, 2093 และ 2094

พิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า การแบ่งปันทรัพย์มรดกนั้น อาจทำได้โดยทายาทต่างเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัดหรือโดยการขายทรัพย์มรดกแล้วเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งปันกันระหว่างทายาท วรรคสอง บัญญัติว่า ถ้าการแบ่งมิได้เป็นไปตามวรรคก่อน แต่ได้ทำโดยสัญญา จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ เว้นแต่จะมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ ในกรณีเช่นนี้ให้นำมาตรา 850, 852 แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยประนีประนอมยอมความมาใช้บังคับโดยอนุโลม ดังนี้ เห็นว่า การแบ่งปันทรัพย์มรดกนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 ลักษณะ 4 หมวด 3 บัญญัติไว้โดยเฉพาะตามหลักกฎหมายดังกล่าวแบ่งได้ 3 วิธี กล่าวคือ 1) โดยทายาทต่างเข้าครอบครองเป็นส่วนสัด ด้วยการแบ่งตัวทรัพย์ตามความยินยอมโดยตรงหรือโดยปริยายและต่างเข้าครอบครองตามทรัพย์มรดกที่ได้รับแบ่งนั้น กรณีนี้ไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ก็บังคับได้ 2) โดยการขายทรัพย์มรดกแล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งปันกันระหว่างทายาท กรณีเกิดจากทายาทผู้มีสิทธิในทรัพย์มรดกไม่อาจแบ่งตัวทรัพย์กันได้ การขายอาจตกลงกันว่าให้ประมูลกันระหว่างทายาท หรือประกาศขาย หรือถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ต้องนำคดีมาฟ้องเรียกให้แบ่งมรดกโดยขอให้ศาลพิพากษาให้แบ่งระหว่างเจ้าของรวมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 และ 3) การแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยสัญญาที่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ มิฉะนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ เช่นนี้ เมื่อโจทก์ยืนยันตามที่บรรยายฟ้องว่า นายเฉลิมชัยและนายเฉลิมพร ในฐานะผู้จัดการมรดกได้นัดประชุมทายาทโดยธรรมของนายไพศาลเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก ในวันนัดมีโจทก์และทายาททุกคนยกเว้นจำเลยมาประชุมโดยพร้อมกัน ที่ประชุมตกลงให้มีการจับฉลากแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาททุกคนในสัดส่วนเท่า ๆ กัน เมื่อจำเลยไม่มาประชุม ที่ประชุมจึงมอบหมายให้นายเฉลิมพรเป็นผู้จับฉลากแทน ผลการจับฉลากโจทก์ได้ที่ดิน 3 แปลง ได้แก่ ที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1685, 2093 และ 2094 เนื้อที่ 42 ไร่ 2 งาน 53 ตารางวา 8 ไร่ 2 งาน 60 ตารางวา และ 6 ไร่ 53 ตารางวา ตามลำดับ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2562 นายเฉลิมชัยและนายเฉลิมพรในฐานะผู้จัดการมรดกได้จดทะเบียนโอนที่พิพาท น.ส.3 ก. เลขที่ 2093 และ 2094 ให้แก่โจทก์ โดยจำเลยให้การปฏิเสธว่า เป็นการแบ่งโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยครอบครองทำประโยชน์แต่เพียงผู้เดียวย่อมมีสิทธิดีกว่าโจทก์อันเป็นการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1748 เยี่ยงนี้ เมื่อการแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยนายเฉลิมชัยและนายเฉลิมพรในฐานะผู้จัดการมรดกนั้น มิชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 ลักษณะ 4 หมวด 3 ที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะตามหลักกฎหมายข้างต้น แม้นายเฉลิมชัยและนายเฉลิมพรในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์แล้ว ที่พิพาทก็ยังเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งซึ่งจำเลยผู้เป็นทายาทด้วยกันย่อมมีส่วนกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทเท่ากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1745, 1746 และย่อมมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่พิพาทได้ตาม มาตรา 1360 วรรคหนึ่ง โจทก์ไม่อาจอ้างความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ กรณีตามคำฟ้องถือว่ายังไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของจำเลยต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ทั้งข้ออ้างอันเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องมิใช่เรื่องขอแบ่งมรดกในอันที่ศาลจะพิจารณาพิพากษาให้ได้ เพราะเป็นการเกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้องซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยข้ออื่นอีก การให้สืบพยานโจทก์และจำเลยต่อไปหาเป็นประโยชน์แก่คดีแต่ประการใดไม่ ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบด้วยเหตุปัจจัยและผลแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามชั้นศาลนอกจากที่สั่งคืนในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ


ตัวอย่างฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้อง 

ฎีกาที่ 1452/2504 (แบ่งมรดกตาม มาตรา 1750 – เข้าครอบครองเป็นสัดส่วน)

ข้อเท็จจริงสำคัญ:

โจทก์กับจำเลยเป็นทายาทรับมรดกร่วมกันของเจ้ามรดก ได้ตกลงแบ่งทรัพย์มรดกและเข้าครอบครองทรัพย์เป็นสัดส่วนกันไปแล้ว โดยไม่มีข้อพิพาทเพิ่มเติม ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต่อมาพยายามเรียกร้องให้แบ่งใหม่ในวิธีอื่น

ประเด็นกฎหมาย:

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกและเข้าครอบครองเป็นสัดส่วนตามที่ตกลงกันไว้ ถือเป็นการแบ่งมรดกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นวิธีที่กฎหมายอนุญาตไว้ การฟ้องให้เปลี่ยนแปลงการแบ่งภายหลังจึงไม่อาจทำได้ (ไม่อาจเรียกร้องส่วนแบ่งใหม่เกินจากที่ตกลงไว้เดิม) 

ข้อเปรียบเทียบกับ คดี 2128/2567:

ใน 2128/2567 จุดอ่อนคือ การแบ่งโดย “จับฉลาก” โดยไม่มีเอกสารลงชื่อทุกฝ่าย จึงไม่ชอบตามวรรคสองของ มาตรา 1750

แต่ใน 1452/2504 เป็นกรณีที่ตกลงแบ่งและเข้าครอบครองกันเป็นสัดส่วนกันแล้ว ซึ่งเป็นกรณีที่กฎหมายรองรับเต็มที่

เปรียบเทียบได้ว่า ถ้ากรณีใดสามารถตกลงและปฏิบัติตามกฎหมาย (เอกสาร / ครอบครองตามสัดส่วน) จะได้รับการคุ้มครอง ในขณะที่วิธีที่ไม่ครบตามเงื่อนไขกลับไม่ชอบ

ฎีกาที่ 8371/2557 (ที่ดินยังไม่พ้นสภาพเป็นทรัพย์มรดก)

ข้อเท็จจริงสำคัญ:

ในคดีนี้ ทายาทและผู้โต้แย้งมีประเด็นว่า ที่ดินพิพาทได้ถูกแบ่งและครอบครองเป็นสัดส่วนแล้ว (ซึ่งตามข้ออ้างของโจทก์) หรือยังอยู่ในสภาพทรัพย์มรดกรวมอยู่ก่อนแบ่งกันไม่ได้แน่ชัด ผู้พิพากษาต้องวินิจฉัยว่า เงื่อนไข “ครอบครองเป็นส่วนสัด” ได้มีความชัดเจนเพียงพอหรือไม่

ประเด็นกฎหมาย:

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เงื่อนไขการแบ่งมรดกโดยเข้าครอบครองเป็นสัดส่วนนั้น ต้องมีลักษณะที่ “ชัดเจน” ว่าทายาทแต่ละคนครอบครองส่วนใด มีอาณาเขตที่แน่นอนและแยกได้ เมื่อข้อเท็จจริงจากการนำพยานไม่เพียงพอ จึงยังไม่เป็นการแบ่งมรดกที่ถูกต้อง ที่ดินจึงยังคงเป็นทรัพย์มรดกอยู่โดยยังไม่ได้แบ่ง จะต้องวินิจฉัยต่อไปตามหลัก มาตรา 1750 และ มาตรา 1748 วรรคหนึ่ง (สิทธิทายาทที่ยังมิได้แบ่ง) 

ข้อเปรียบเทียบกับ 2128/2567:

คดี 2128/2567 มีลักษณะที่ทายาทบางคนไม่เข้าร่วม และไม่มีเอกสารลงชื่อ ทำให้ไม่มี “ความชัดเจน” ในการแบ่ง

คดี 8371/2557 เป็นตัวอย่างกรณีที่แม้มีข้ออ้างว่าแบ่งแล้ว แต่ศาลหาพยานไม่เพียงพอ ก็ยังไม่ยกให้เกิดผลแบ่ง

ทั้งสองคดีสะท้อนแนวทางศาลในการพิจารณาว่า “แค่กล่าวอ้าง” ว่าแบ่งมรดกไม่เพียงพอ ต้องมีพยานหรือหลักฐานสนับสนุน

ฎีกาที่ 12777/2558 (ฟ้องผู้จัดการมรดก – อายุความการแบ่งมรดกหลังเสร็จสิ้น)

ข้อเท็จจริงสำคัญ:

ในคดีแบ่งมรดกที่ทรัพย์มรดกถูกแบ่งเสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีทรัพย์เหลือให้แบ่งอีก การโต้แย้งเกิดขึ้นว่าฟ้องเรียกร้องให้แบ่งเพิ่มเติมได้หรือไม่ หรือว่าขาดอายุความไปแล้ว

ประเด็นกฎหมาย:

ในบทความ “คดีแบ่งทรัพย์มรดก” ได้อ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12777/2558 ซึ่งใช้เป็นตัวอย่างว่าหลังจากแบ่งมรดกเสร็จสิ้นแล้ว หากไม่มีทรัพย์เหลือให้แบ่ง จำเลยอาจอ้างอายุความ 5 ปีนับจากวันที่แบ่งเสร็จสิ้นได้ 

อีกจุดที่มีการอ้างคือ เรื่องแบ่งมรดกโดยจับฉลาก ต้องเป็นการแบ่งที่ชอบตามเงื่อนไขตามมาตรา 1750 และไม่อาจใช้วิธีคะแนนเสียงเอามาตัดสิน 

ข้อเปรียบเทียบกับ 2128/2567:

คดี 2128/2567 ไม่ได้เป็นกรณีแบ่งมรดกแล้วเสร็จสมบูรณ์ แต่เป็นกรณีแบ่งที่ไม่ชอบตามกฎหมาย

แต่การอ้างอายุความหลังแบ่งแล้วเสร็จสามารถเป็นจุดเปรียบเทียบได้ หากในอนาคตมีการอ้างว่าแบ่งแล้วเสร็จสมบูรณ์

และข้อกฎหมายใน 12777/2558 ที่เน้นว่า “แบ่งมรดกต้องเป็นไปตามเงื่อนไขกฎหมาย” ก็เป็นแนวทางเดียวกับที่ศาลฎีกา 2128/2567 ใช้

ฎีกาที่ 3399/2552 (แบ่งมรดกที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ – ครอบครองแทน)

ข้อเท็จจริงสำคัญ:

ที่ดินที่ถูกพิพาทเป็น “ที่ดินมือเปล่า” หรือไม่มีเอกสารสิทธิคู่กับโฉนด แท้ที่จริงผู้เป็นเจ้าของมีเพียงสิทธิครอบครอง เมื่อผู้หนึ่งในทายาท (หรือมารดา) ครอบครองไว้แทนทายาทคนอื่นมาโดยต่อเนื่อง

ประเด็นกฎหมาย:

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การแบ่งมรดกที่ดินมือเปล่าไม่มีเอกสารสิทธิ ทำได้โดยการส่งมอบการครอบครองแก่ทายาท (ครอบครองเป็นสัดส่วน) เมื่อทายาทตกลงกันแล้วว่าใครได้ส่วนใด 

และเมื่อนั้น การครอบครองก็แสดงสิทธิของทายาทส่วนนั้นได้

ข้อเปรียบเทียบกับ 2128/2567:

กรณี 2128/2567 เป็นที่ดินมีโฉนด (น.ส.3 ก.) ที่มีการโอนจดทะเบียนแล้ว

แต่หลักการ “ครอบครองแทน” และ “ตกลงแบ่งโดยการส่งมอบครอบครอง” ใน 3399/2552 เป็นประเด็นที่สามารถนำมาเปรียบเทียบ เมื่อมีการอ้างว่าแบ่งมรดกโดยการครอบครอง

ทั้งสองคดีเพิ่มมิติให้เห็นว่า “เอกสารสิทธิ / โฉนด / จดทะเบียน” มีผลต่อภาพรวมของการพิพากษา

ฎีกาที่ 3296/2563 (ผู้จัดการมรดกไม่แบ่งมรดกตามคำร้อง)

ข้อเท็จจริงสำคัญ:

โจทก์ฟ้องคดีต่อผู้จัดการมรดกที่ได้รับแต่งตั้งให้จัดการมรดกของผู้ตายว่า จำเลยยังมิได้แบ่งมรดกให้แก่โจทก์และน้อง ๆ ตามส่วนที่พึงได้ และมีข้อเรียกร้องให้จำเลยโอนที่ดิน / จัดแบ่งให้แก่โจทก์ตามส่วน

ประเด็นกฎหมาย:

ศาลฎีกาในคดีนี้ได้วินิจฉัยในเรื่อง “หน้าที่ของผู้จัดการมรดก” ซึ่งผู้จัดการมรดกต้องแบ่งมรดกหรือปฏิบัติตามหน้าที่มิให้ละเลย และหากจำเลยไม่แบ่งมรดกก็อาจถูกสั่งให้ทำตามคำร้องของโจทก์ตามมาตรา 1727 ฯลฯ 

ข้อเปรียบเทียบกับ 2128/2567:

ใน 2128/2567 โจทก์ฟ้องผู้จัดการมรดกจัดประชุมแบ่งมรดก แต่การแบ่งไม่ชอบตามกฎหมาย

ใน 3296/2563 เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องผู้จัดการมรดกเพราะมิได้แบ่งมรดกให้ตามสิทธิของทายาท

ทั้งสองคดีสะท้อนบทบาทและความรับผิดชอบของผู้จัดการมรดก และความจำเป็นในการปฏิบัติตามกฎหมายแบ่งมรดก

🏛️ ความชอบด้วยกฎหมายของการแบ่งมรดก – ศาลฎีกายืนยันหลักสำคัญที่ผู้จัดการมรดกต้องรู้

การแบ่งทรัพย์มรดกเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในทางกฎหมาย เพราะเกี่ยวข้องกับสิทธิของทายาททุกคนอย่างเท่าเทียมกัน “ความชอบด้วยกฎหมายของการแบ่งมรดก” จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องตรวจสอบให้ครบถ้วนก่อนดำเนินการ มิฉะนั้นการแบ่งหรือการโอนทรัพย์มรดกอาจถูกศาลวินิจฉัยว่าเป็น “โมฆะ” และไม่ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์แก่ผู้รับโอนได้

ใน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128/2567 ศาลได้วางหลักไว้อย่างชัดเจนว่า การแบ่งมรดกที่ทำโดยการ “จับฉลาก” โดยไม่มีทายาททุกคนเข้าร่วมประชุม และไม่มีเอกสารลงลายมือชื่อของผู้ที่ต้องรับผิด ย่อมไม่เป็นการแบ่งมรดกที่ชอบด้วยกฎหมายตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1750 วรรคสอง

กฎหมายกำหนดให้การแบ่งมรดกมีได้ 3 ลักษณะเท่านั้น คือ

1. ทายาทแต่ละคนเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัดตามความยินยอม

2. ขายทรัพย์มรดกแล้วแบ่งเงินกัน

3. แบ่งโดยสัญญา ซึ่งต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของทุกฝ่าย

เมื่อการแบ่งโดยจับฉลากในคดีนี้ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าว การแบ่งย่อมไม่ก่อผลผูกพันตามกฎหมาย แม้ผู้จัดการมรดกจะได้จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่ทายาทบางคนแล้วก็ตาม ที่ดินนั้นยังคงเป็นทรัพย์มรดกร่วมของทายาททุกคนตาม มาตรา 1745 และ 1746 ซึ่งแต่ละคนยังมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ในทรัพย์ได้

ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ได้รับโอนที่ดินจากการแบ่งมรดกโดยมิชอบ ไม่อาจอ้างตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง และไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ทายาทร่วมได้ เพราะการโอนนั้นขาด “ความชอบด้วยกฎหมายของการแบ่งมรดก” ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญให้การโอนทรัพย์มีผลสมบูรณ์

คดีนี้จึงเป็นบรรทัดฐานที่ชี้ให้เห็นว่า ผู้จัดการมรดกและทายาทควรดำเนินการแบ่งมรดกโดยยึดหลักกฎหมายอย่างเคร่งครัด ต้องมีเอกสารลงลายมือชื่อของทุกฝ่ายและความยินยอมครบถ้วน เพื่อให้การแบ่งมีผลสมบูรณ์และหลีกเลี่ยงข้อพิพาทในอนาคต

สรุป:

“ความชอบด้วยกฎหมายของการแบ่งมรดก” ไม่ใช่เพียงขั้นตอนทางเทคนิค แต่เป็นหลักประกันสิทธิของทายาททุกคน หากการแบ่งไม่ถูกต้องตามมาตรา 1750 ผลคือการโอนทรัพย์ไม่มีผลสมบูรณ์ และผู้ที่อ้างสิทธิจากการแบ่งดังกล่าวอาจไม่มีอำนาจฟ้องในคดีได้ เช่นเดียวกับที่ศาลฎีกาได้ตัดสินไว้ในคดีหมายเลข 2128/2567




คดีมรดก ร้องศาลตั้งผู้จัดการมรดก

พินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง & ความสามารถผู้ทำพินัยกรรม(ฎีกา 6522/2561)
ผู้จัดการมรดกยักยอกเงิน & จัดการที่ดินมรดก (ฎีกา 1543/2568)
สัญญาประนีประนอม & สิทธิผู้จัดการมรดกเสียงข้างมาก (ฎีกา 3001/2568)
วิเคราะห์ผู้จัดการมรดกจำนองที่ดิน ทุจริต,กองมรดก, ทายาท,(ฎีกา 5902/2567)
อำนาจผู้จัดการมรดกร่วม & ฟ้องเรียกทรัพย์, มาตรา 1726, (ฎีกา 2628/2567)
คดีมรดก อายุความมรดก 10 ปี, สิทธิทายาท, แบ่งมรดก, (ฎีกา 9992/2560)
บังคับแบ่งมรดก & เพิกถอนโอน,ผู้จัดการมรดก, (ฎีกา 3886/2566)
(ฎีกาที่ 2656/2567) ภาษีการรับมรดก & คำนวณมูลค่าทรัพย์สิน
(ฎีกาที่ 3681/2567) : อำนาจผู้จัดการมรดกร่วมในการฟ้องเรียกทรัพย์สินคืนสู่กองมรดก
(ฎีกาที่ 8200/2567) เพิกถอนโฉนดที่ดินและการจัดการมรดก: การบังคับคดีและผลทางกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4043/2567 การตั้งผู้จัดการมรดกและการคัดค้านสิทธิของทายาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4044/2567: พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ ความสมบูรณ์และผลทางกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5560/2567: มรดกไม่มีทายาทตกเป็นของแผ่นดิน และสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งเงินฝาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5668/2567: การเพิกถอนพินัยกรรมและหลักเกณฑ์ความชอบด้วยกฎหมายของอุทธรณ์
พินัยกรรมผิดแบบเอกสารลับยังสมบูรณ์ได้ หากครบเงื่อนไขพินัยกรรมธรรมดา – คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3001/2538
โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกได้รับรองแล้ว(ฎีกา 7272/2562)
ผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์มรดกและความรับผิดตามกฎหมาย(ฎีกาที่ 416/2563)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1480/2563: การโอนมรดกและอำนาจผู้จัดการมรดก
สรุปคดีมรดก & เพิกถอนโอนที่ดิน,เพิกถอนนิติกรรม,(ฎีกา 1028/2564)
สิทธิรับมรดก ทายาทโดยธรรม & สินสมรส(ฎีกา 755/2565)
การจัดการมรดกไม่ชอบไม่อาจถือว่าการจัดการมรดกสิ้นลงแล้ว
ทายาทฟ้องทายาทให้แบ่งทรัพย์มรดก สิทธิฟ้องแบ่งมรดกเมื่อพ้นอายุความ
พินัยกรรมของผู้ตายที่ห้ามโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตกเป็นโมฆะ, ข้อห้ามในพินัยกรรมเป็นโมฆะ, ผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม
ถอนผู้จัดการมรดก, การปันมรดกเสร็จสิ้นแล้ว, การจัดการศาลจ้าวไม่เป็นมรดก, ศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊วเป็นกุศลสถาน
ที่ดินของรัฐ มรดกของผู้ตาย, ที่ดินนิคมสหกรณ์, สิทธิทำประโยชน์ในที่ดิน, สิทธิเหนือพื้นดิน, การเพิกถอนโฉนดที่ดิน,
การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทในกองมรดก, การเพิกถอนนิติกรรมในทรัพย์มรดก, การขายทรัพย์มรดกเพื่อชำระหนี้, ผู้จัดการมรดกกับสิทธิและหน้าที่
มรดกตกทอด, การเพิกถอนการสละมรดก, อายุความในการฟ้องคดีมรดก, สิทธิเรียกร้องแทนลูกหนี้
หนังสือแต่งตั้งผู้รับโอนประโยชน์ในเงินทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์ไม่ถือเป็นพินัยกรรม, เงินสงเคราะห์สมาชิกสหกรณ์, สิทธิผู้รับโอนประโยชน์ในเงินสงเคราะห์
นิติกรรมซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นคนต่างด้าว, คดีมรดกที่ดินของคนต่างด้าว, อายุความคดีมรดก, การยักยอกทรัพย์มรดก
พินัยกรรมยกมรดกให้พี่น้องร่วมบิดามารดา, สิทธิของผู้สืบสันดานในการรับมรดกแทนที่, การฟ้องเรียกค่าเช่าจากทรัพย์สินมรดก
การกำจัดทายาทมิให้รับมรดก, สิทธิรับมรดกของผู้สืบสันดานเมื่อทายาทถูกกำจัด, การเพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์มรดก
เพิกถอนโอนมรดก & สิทธิทายาท (ฎีกา 1023/2566)
ผู้จัดการมรดกและการโอนทรัพย์มรดก, พินัยกรรมด้วยวาจา ป.พ.พ. มาตรา 1663, การครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาท
สิทธิทายาทในมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง, ทายาทตายก่อนแบ่งมรดก, รับมรดกแทนที่ มาตรา 1639,
สิทธิการฟ้องขอแบ่งมรดกของทายาท, การเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินมรดก, สินสมรสหลังคู่สมรสเสียชีวิต
สัญญาประกันชีวิต, สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก, ผู้ทำประกันชีวิตและผู้รับผลประโยชน์ตายพร้อมกัน
การจัดการหนี้สินในกองมรดก, สิทธิของเจ้าหนี้กองมรดก, ที่ดินมรดกและการบังคับคดี
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดก
ผู้จัดการมรดกปฏิบัติผิดหน้าที่-ทายาทผู้มีสิทธิฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกได้
ผู้จัดการมรดกร่วมถึงแก่ความตายต้องทำอย่างไร, ฟ้องซ้อน คืออะไร, แต่งตั้งผู้จัดการมรดก
ผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่เพียงทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป
การจัดการทรัพย์มรดกในฐานะผู้จัดการมรดกตามหน้าที่ที่จำเป็น
คำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกปิดบังทรัพย์มรดกมีผลอย่างไร
ทายาทมิได้ฟ้องเรียกร้องมรดกภายใน 1 ปี
ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน ผู้มีส่วนได้เสีย
สามีไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้มีส่วนได้เสียเป็นผู้จัดการมรดกได้
ทรัพย์มรดกยังไม่ได้แบ่งให้แก่ทายาททุกคน-การจัดการทรัพย์มรดกยังไม่เสร็จสิ้น
ผู้จัดการมรดกไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มีผลอย่างไร?
ฟ้องผู้จัดการมรดกนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลงเกินห้าปีขาดอายุความ
ผู้จัดการมรดกไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกยื่นต่อศาลถูกเพิกถอนได้
อายุความคดีมรดก เจ้าหนี้ฟ้องคดีมรดกเกินหนึ่งปี
คดีของโจทก์ขาดอายุความการจัดการมรดก
บุตรบุญธรรมเป็นผู้สืบสันดานเหมือนบุตรชอบด้วยกฎหมาย
บุตรนอกกฎหมายซึ่งผู้ตายรับรองแล้วเป็นผู้สืบสันดาน
มารดาขายที่ดินซึ่งผู้เยาว์มีส่วนแบ่งไม่ต้องขอศาล
นายอำเภอคือผู้มีอำนาจจัดทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง
ความรับผิดของผู้จัดการมดกภายหลังการเสียชีวิต
ผู้จัดการมรดกร่วมนำทรัพย์มรดกหาประโยชน์แก่ตน
ผู้สืบสันดาน คือใคร? ต่างกับทายาท อย่างไร?
คู่สมรสและการแบ่งมรดกของคู่สมรส | การสมรสเป็นโมฆะ
อายุความคดีมรดก และอายุความเกี่ยวกับการจัดการมรดก
(ฎีกา 2150/2561) – สิทธิร้องถอนผู้จัดการมรดกก่อนปันมรดก(ฎีกา 2150/2561)
การปันมรดกเสร็จสิ้นลงแล้วการถอนผู้จัดการมรดกย่อมพ้นกำหนดเวลา
สามีมิได้จดทะเบียนสมรสไม่ถือเป็นทายาทของภริยาผู้ตาย
อำนาจหน้าที่จัดการศพพระภิกษุผู้มรณภาพไม่มีทรัพย์สิน
สามีไม่จดทะเบียนสมรสขอถอนผู้จัดการมรดก มีกรรมสิทธิ์รวม
ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะทำหน้าที่ผู้จัดการมรดก
อำนาจฟ้องขอแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย
ทายาททุกคนมอบหมายให้ครอบครองที่ดินแทนทายาททุกคนเพื่อประโยชน์ร่วม
ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา 1300
ทายาทโดยธรรมย่อมมีสิทธิเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์มรดกตามส่วนที่จะพึงได้
สิทธิรับมรดกที่ยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาห้ามยกเป็นข้อต่อสู้ผู้รับโอนโดยสุจริต
ผู้จัดการมรดกทำนิติกรรมซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก
ฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์มรดกเมื่อล่วงพ้นกำหนดอายุความแล้ว
ผู้คัดค้านไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในการขอจัดการมรดก
ทายาทมีส่วนเท่ากันออกค่าใช้จ่ายจัดการทำศพ
ความเหมาะสมในการเป็นผู้จัดการมรดก
ผู้จัดการมรดกครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่น
สิทธิของบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมายในการรับมรดกของบุตรนอกกฎหมาย
หนังสือสัญญาแบ่งมรดกตกเป็นโมฆะหรือไม่?
อำนาจและหน้าที่ในการจัดการทำศพและลำดับก่อนหลัง
พินัยกรรมมีเงื่อนไขบังคับก่อน
ผู้จัดการมรดกฟ้องแทนทายาทโดยธรรมอื่น
คู่สมรสที่จดทะเบียนหย่าแล้วเป็นผู้จัดการมรดกได้หรือไม่
การสละมรดกมีผลย้อนหลังไปถึงเวลาเจ้ามรดกตายจึงขาดความเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
แม้กองมรดกมีผู้จัดการมรดกแล้วทายาทก็ยังมีสิทธิฟ้อง
พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองไม่ได้ทำต่อหน้าพยานตกเป็นโมฆะ
บุตรนอกสมรสและบิดานอกกฎหมายมีสิทธิรับมรดกต่อกันอย่างไร
ผู้จัดการมรดก | ทายาทผู้ถูกตัดมิให้รับมรดก
ผู้จัดการมรดกเรียกให้เจ้าของรวมส่งมอบโฉนดที่ดิน
การจัดการมรดกยังไม่สิ้นสุดลงอายุความ 5 ปียังไม่เริ่มนับ
สิทธิรับมรดกก่อนหลัง
คำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ
อายุความฟ้องคดีแพ่งอันเนื่องจากคดียักยอกทรัพย์มรดก
เมื่อแบ่งมรดกเสร็จแล้วความเป็นทายาทสิ้นสุดลง-อายุความมรดก
การแบ่งมรดกที่ดินมือเปล่าไม่มีเอกสารสิทธิ
คดีมรดกต้องเป็นคดีที่ทายาทด้วยกันพิพาทกันเรื่องสิทธิในส่วนแบ่งมรดก
ขอให้ศาลสั่งถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก
ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ความรับผิดของผู้ตาย