ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดก, การฟ้องแบ่งมรดกของผู้ตาย, การยกอายุความในคดีมรดก, สินสมรสและสินส่วนตัวในกองมรดก

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

 เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดก, การฟ้องแบ่งมรดกของผู้ตาย, การยกอายุความในคดีมรดก, สินสมรสและสินส่วนตัวในกองมรดก

*ศาลฎีกาเพิกถอนการโอนมรดกไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 มีสิทธิในฐานะภริยาและทายาทโดยธรรม ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 ไม่ใช่ทายาทโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลพิพากษาคืนทรัพย์มรดกบางส่วนสู่กองมรดกตามกฎหมาย*

โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องขอเพิกถอนการโอนมรดกของผู้ตายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยระบุว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งไม่ใช่ทายาทโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า:

1.สถานะทรัพย์สิน:

oที่ดินโฉนดเลขที่ 123 เป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย ตามหนังสือยกให้โดยไม่มีค่าตอบแทน

oบ้านเลขที่ 4 ถูกสร้างใหม่หลังจากผู้ตายถึงแก่ความตาย ถือเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1

oที่ดินโฉนดเลขที่ 24990 เป็นสินส่วนตัวของผู้ตายที่ได้รับจากบิดาก่อนสมรส

2.สถานะทายาท:

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย เนื่องจากไม่มีหลักฐานรับรองตามกฎหมาย

3.อายุความมรดก:

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่อาจอ้างอายุความมรดกต่อสู้ได้ เพราะไม่ใช่ทายาทโดยชอบด้วยกฎหมาย

4.คำพิพากษา:

ศาลให้เพิกถอนการโอนที่ดินบางส่วนกลับคืนกองมรดก พร้อมยืนยันสิทธิจำเลยที่ 1 ในฐานะภริยาและทายาทโดยธรรม โดยคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองชอบด้วยเหตุผลทางกฎหมาย

สรุปสาระสำคัญ: การโอนทรัพย์สินที่เป็นมรดกต้องเป็นไปตามสิทธิของทายาทที่ชอบด้วยกฎหมาย และทรัพย์สินที่ได้มาในลักษณะส่วนตัวจะไม่ถูกแบ่งปันในฐานะมรดก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1023/2566

การฟ้องเรียกทรัพย์ใด ๆ เป็นของตนทั้งหมด หากพิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่ง เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ได้รับแต่ส่วนแบ่งนั้นก็ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (2) เมื่อส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายมีเพียงกึ่งหนึ่งในที่ดินโฉนดเลขที่ 22874 และ 60 ศาลย่อมพิพากษาเพิกถอนเฉพาะส่วนที่ดินกึ่งหนึ่งกลับคืนสู่กองมรดกของผู้ตายได้

เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นย่อมตกทอดแก่ทายาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 จำเลยที่ 1 จัดการโอนมรดกทั้งหมดให้ตนเอง รวมทั้งจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย แต่เป็นบุคคลภายนอก จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่อาจยกอายุความมรดกขึ้นต่อสู้ได้ โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการรับโอนมรดกของผู้ตายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แสดงว่าโจทก์มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทรัพย์มรดกของผู้ตายกลับคืนกองมรดกเพื่อแบ่งปันระหว่างทายาท จึงเป็นคดีมรดก ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่ยังมิได้แบ่งปันกันโดยชอบ การที่จำเลยที่ 1 มีชื่อในโฉนดที่ดินเลขที่ 24990 ถือว่าจำเลยที่ 1 ครอบครองแทนทายาทคนอื่นด้วย จึงไม่อาจอ้างการครอบครองขึ้นต่อสู้โจทก์และโจทก์ร่วมได้ คดีของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ขาดอายุความ

จำเลยที่ 1 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกผู้ตาย อยู่ในฐานะทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1629 วรรคสอง ประกอบมาตรา 1635 (2) ที่ดินโฉนดเลขที่ 22874 และ 60 เป็นสินสมรสระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในฐานะสินสมรสกึ่งหนึ่ง และในฐานะทายาทผู้รับมรดกอีกกึ่งหนึ่งรวมเป็นสามในสี่ส่วนของที่ดินดังกล่าว สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 24990 และ 123 เป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย จำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งกึ่งหนึ่งของที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกดังกล่าว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 24990 และ 123 ซึ่งเป็นสินส่วนตัวของผู้ตายทั้งแปลง และเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 22874 และ 60 ซึ่งเป็นสินสมรสของผู้ตายกับจำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง จึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 225 และมาตรา 252

 

คำพิพากษาศาลฎีกา 1023/2566, เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดก, สิทธิในทรัพย์สินมรดกตามกฎหมายแพ่ง, สินสมรสและสินส่วนตัวในกองมรดก, การฟ้องแบ่งมรดกของผู้ตาย,บทบาทของศาลฎีกาในคดีมรดก, ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับมรดก, มาตรา 142 (2) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง, การยกอายุความในคดีมรดก, ทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629,

 

คำถามที่ 1:

กรณีใดที่ศาลสามารถพิพากษาให้โจทก์ได้รับเพียงส่วนแบ่งในทรัพย์สินที่เป็นมรดก แม้โจทก์จะฟ้องเรียกร้องให้ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของตน?

คำตอบ:

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (2) ศาลสามารถพิพากษาให้โจทก์ได้รับเพียงส่วนแบ่งในทรัพย์สินมรดก หากศาลเห็นว่าโจทก์ควรได้เพียงส่วนแบ่งนั้น ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายมีเพียงกึ่งหนึ่งในที่ดิน ศาลอาจพิพากษาเพิกถอนเฉพาะส่วนที่ดินกึ่งหนึ่งกลับคืนสู่กองมรดกของผู้ตายได้ แม้โจทก์จะเรียกร้องให้ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของตนเอง

คำถามที่ 2:

จำเลยที่ไม่ใช่ทายาทโดยชอบด้วยกฎหมายสามารถอ้างอายุความเพื่อคัดค้านการฟ้องขอเพิกถอนการโอนมรดกได้หรือไม่?

คำตอบ:

จำเลยที่ไม่ใช่ทายาทโดยชอบด้วยกฎหมายไม่สามารถอ้างอายุความมรดกขึ้นต่อสู้ได้ เนื่องจากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาทโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยที่ไม่ใช่ทายาทได้รับโอนทรัพย์มรดกโดยไม่ชอบ โจทก์สามารถฟ้องเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้ และคดีมรดกนี้จะไม่ขาดอายุความในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของทายาทโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

คำถามที่ 1: กรณีใดที่ศาลสามารถพิพากษาให้โจทก์ได้รับเพียงส่วนแบ่งในทรัพย์สินที่เป็นมรดก แม้โจทก์จะฟ้องเรียกร้องให้ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของตน? คำตอบ: ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (2) ศาลสามารถพิพากษาให้โจทก์ได้รับเพียงส่วนแบ่งในทรัพย์สินมรดก หากศาลเห็นว่าโจทก์ควรได้เพียงส่วนแบ่งนั้น ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายมีเพียงกึ่งหนึ่งในที่ดิน ศาลอาจพิพากษาเพิกถอนเฉพาะส่วนที่ดินกึ่งหนึ่งกลับคืนสู่กองมรดกของผู้ตายได้ แม้โจทก์จะเรียกร้องให้ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของตนเอง คำถามที่ 2: จำเลยที่ไม่ใช่ทายาทโดยชอบด้วยกฎหมายสามารถอ้างอายุความเพื่อคัดค้านการฟ้องขอเพิกถอนการโอนมรดกได้หรือไม่? คำตอบ: จำเลยที่ไม่ใช่ทายาทโดยชอบด้วยกฎหมายไม่สามารถอ้างอายุความมรดกขึ้นต่อสู้ได้ เนื่องจากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาทโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยที่ไม่ใช่ทายาทได้รับโอนทรัพย์มรดกโดยไม่ชอบ โจทก์สามารถฟ้องเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้ และคดีมรดกนี้จะไม่ขาดอายุความในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของทายาทโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

****โจทก์ฟ้องขอบังคับให้กำจัดจำเลยที่ 1 จากการรับมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 22874, 24990, 60 และ 123 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 4 ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสี่แปลงและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสาม หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างการพิจารณา นางยุพา พี่ร่วมบิดามารดาของผู้ตายยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม โจทก์และจำเลยทั้งสามไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้กำจัดจำเลยที่ 1 มิให้รับมรดกของผู้ตายในที่ดินโฉนดเลขที่ 22874, 24990, 60 และ 123 พร้อมบ้านเลขที่ 4 ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันไปจดทะเบียนเพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 22874, 24990, 60 และ 123 พร้อมบ้านเลขที่ 4 รวม 4 แปลง โดยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสาม หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์และโจทก์ร่วม โดยกำหนดค่าทนายความแก่โจทก์และโจทก์ร่วมคนละ 20,000 บาท

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 22874 และ 60 ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งทำเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2560 และวันที่ 9 มีนาคม 2561 ตามลำดับ กึ่งหนึ่ง กลับคืนสู่กองมรดกของผู้ตาย ให้ยกคำขอของโจทก์และโจทก์ร่วมที่ให้กำจัดจำเลยที่ 1 ไม่ให้รับมรดกของผู้ตาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ที่เสียเกินมาแก่จำเลยทั้งสาม 200 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

โจทก์และจำเลยทั้งสามฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า โจทก์ โจทก์ร่วม และนายธนโชค ผู้ตายเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ซึ่งผู้ตายจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 วันที่ 27 มกราคม 2520 โดยรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 มาเลี้ยงดูในฐานะบุตรและได้แจ้งเกิด เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ผู้ตายถึงความตาย จากนั้นวันที่ 30 สิงหาคม 2560 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 22874 ให้แก่จำเลยที่ 2 ทั้งยังจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 24990 ให้แก่จำเลยทั้งสามถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันทางมรดก ต่อมาวันที่ 9 มีนาคม 2561 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 60 และ 123 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 2 ทางมรดก รายงานผลการตรวจวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางสายเลือดของหน่วยนิติเวชศาสตร์และพิษวิทยา ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ใช่มารดาของจำเลยที่ 2 และที่ 3

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 123 บ้านเลขที่ 4 และที่ดินโฉนดเลขที่ 24990 เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ตายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีหนังสือสัญญาให้ที่ดินระบุว่า โจทก์ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ดังกล่าวให้แก่ผู้ตายโดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทนแต่อย่างใด และโจทก์เบิกความยืนยันว่า ยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่ผู้ตายเพื่อตอบแทนที่ผู้ตายดูแลมารดา แม้ว่าผู้ตายจะได้ที่ดินดังกล่าวมาในระหว่างสมรส แต่ไม่ปรากฏว่าหนังสือยกให้ระบุเป็นสินสมรส จึงต้องฟังว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 123 เป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย สำหรับบ้านเลขที่ 4 ในที่ดินดังกล่าว โจทก์เบิกความว่า ก่อนหน้าที่นายดำรงจะรื้อถอนบ้านเลขที่ 6 ซึ่งอยู่ติดกับบ้านเลขที่ 4 จำเลยที่ 1 ได้ก่อสร้างอาคารขึ้นใหม่เป็นการก่อสร้างชิดแนวเขตทำให้ผนังด้านที่ติดกับบ้านนายดำรงไม่มีการฉาบด้านนอก ภายหลังจากที่นายดำรงรื้อถอนอาคารยังไม่แล้วเสร็จ จำเลยที่ 1 ต้องการให้ช่างฉาบปูนด้านนอกอาคารดังกล่าว เหตุที่นายดำรงรื้อถอนอาคารไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากเกิดปัญหาการรื้อเสาตอม่อของอาคารจำเลยที่ 1 รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายดำรง การรื้อถอนจึงยากลำบากเพราะอาคารของจำเลยที่ 1 จะทรุดตัวได้ แต่ตกลงกันไม่ได้ทางฝ่ายจำเลยที่ 1 จึงยื่นฟ้องเมื่อปี 2561 ให้นายดำรงยอมให้ช่างของจำเลยที่ 1 เข้าไปในที่ดิน และเรียกค่าเสียหาย แสดงว่าบ้านเลขที่ 4 หลังดังกล่าวได้ถูกรื้อไปและจำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารใหม่แล้วในระยะเวลาที่ไม่นานภายหลังจากที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายไปแล้วเมื่อปี 2559 ทั้งยังไม่ปรากฏว่าโจทก์ โจทก์ร่วมหรือทายาทอื่นทักท้วงถือว่าเป็นการให้ความยินยอม และไม่ได้ความว่าโจทก์หรือทายาทอื่นออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ ประกอบกับแบบบันทึกการสอบสวนขอจดทะเบียนโอนมรดก ข้อ 4 ระบุว่า โอนมรดกเฉพาะที่ดิน ไม่เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้าง เมื่ออาคารปลูกขึ้นใหม่ ดังนี้บ้านเลขที่ 4 เดิมที่จะต้องถูกบังคับให้เพิกถอนการโอนมรดกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 จึงไม่มีอยู่แล้ว ดังนั้น จึงต้องฟังว่า บ้านเลขที่ 4 ที่ปลูกสร้างขึ้นมาใหม่ มิใช่สินส่วนตัวของผู้ตาย แต่เป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ที่ปลูกสร้างขึ้นมาเองในภายหลัง สำหรับที่ดินตามโฉนดเลขที่ 24990 ปรากฏตามใบไต่สวนว่าผู้ตายได้รับการให้ที่ดินมาจากบิดาเมื่อประมาณปี 2499 ก่อนสมรสกับจำเลยที่ 1 ส่วนการที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าได้ที่ดินมาในระหว่างสมรสโดยผู้ตายไม่ได้บอกว่าได้มาจากบิดามารดา เพียงแต่บอกให้ช่วยกันทำเพื่อใช้หนี้ธนาคาร เมื่อพิจารณาสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดินด้านหลังได้ความว่า ผู้ตายได้ทำสัญญาจำนองที่ดินดังกล่าวกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2531 จึงเป็นหนี้ที่ก่อขึ้นภายหลังจากที่ผู้ตายได้รับการให้ที่ดินดังกล่าว เพียงแต่เพิ่งได้รับเอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดภายหลังจากสมรสแล้วเท่านั้น ดังนั้น จึงต้องฟังว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ 24990 เป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามต่อไปว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้วหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 บัญญัติ "เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น" มาตรา 1547 บัญญัติว่า "เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน จะเป็นบุตรชอบด้วยต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร" และมาตรา 1555 บัญญัติว่า "ในคดีฟ้องขอให้รับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชาย เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้... (7) เมื่อมีพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเป็นบุตรพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเป็นบุตรนั้น ให้พิจารณาข้อเท็จจริงที่แสดงความเกี่ยวข้องฉันบิดากับบุตรซึ่งปรากฏในระหว่างตัวเด็กกับครอบครัวที่เด็กอ้างว่าตนสังกัดอยู่ เช่น บิดาให้การศึกษา ให้ความอุปการะเลี้ยงดู หรือยอมให้เด็กนั้นใช้ชื่อสกุลของตนหรือโดยเหตุประการอื่น..." ทั้งนี้การที่จะเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ประการแรก จะต้องเป็นบุตรนอกกฎหมาย ซึ่งหมายถึง เด็กที่เกิดจากบิดามารดาที่มิได้จดทะเบียนสมรสกัน แต่ทางนำสืบจำเลยที่ 1 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า การไปแจ้งสูติบัตร ผู้ตายเป็นผู้ไปแจ้งเพียงลำพัง และนำเด็กมามอบให้แก่จำเลยที่ 1 โดยบอกว่าเป็นบุตรของผู้ตาย ทั้งตามเอกสารดังกล่าวช่องหมายเลข 2 ปรากฏชื่อมารดาว่าวราพร (จำเลยที่ 1) ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะหากฟังข้อเท็จจริงดังที่จำเลยที่ 1 เบิกความย่อมรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ใช่มารดาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 และผู้ตายมีหญิงอื่นจนเกิดบุตรทั้งสองคนย่อมเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตครอบครัวที่จำเลยที่ 1 ผู้เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายจะยอมรับบุตรของภริยาน้อยอย่างง่ายดายดังที่เบิกความ ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะเป็นบุตรของผู้ตายกับหญิงอื่นที่มิได้จดทะเบียนสมรสกับผู้ตายอันจะเป็นกรณีที่ผู้ตายรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสาม คดีฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตรหรือบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่าที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 22874 และ 60 เป็นสินสมรสที่โจทก์และโจทก์ร่วมจะสามารถขอให้เพิกถอนได้เฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายให้กลับคืนสู่กองมรดกได้หรือไม่ เห็นว่า การฟ้องเรียกทรัพย์ใด ๆ เป็นของตนทั้งหมด หากพิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่ง เมื่อศาลเห็นสมควรศาลจะพิพากษาให้โจทก์ได้รับแต่ส่วนแบ่งนั้นก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (2) ทั้งนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 9 เห็นว่า ส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายมีเพียงกึ่งหนึ่งในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว ศาลย่อมพิพากษาเพิกถอนเฉพาะส่วนที่ดินกึ่งหนึ่งกลับคืนสู่กองมรดกของผู้ตายนั้นชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมต่อไปมีว่า จำเลยที่ 1 ต้องถูกกำจัดไม่ให้รับมรดกของผู้ตายหรือไม่ พิจารณาจากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับผู้ตายตั้งแต่ปี 2520 ร่วมทำมาหากินประกอบอาชีพทำสวนครอบครองที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงตลอดมา ผู้ตายแจ้งการเกิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่าผู้ตายเป็นบิดา จำเลยที่ 1 เป็นมารดา เลี้ยงดูให้ความรักใคร่เอ็นดูอย่างมาก โดยมีฐานะทางทะเบียนราษฎรว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตร จนกระทั่งผู้ตายถึงแก่ความตายนานกว่า 30 ปี โจทก์ โจทก์ร่วม และญาติทุกคนให้การยอมรับ ทั้งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกิจกรรมของครอบครัวตลอดมา ดูแลมารดาของโจทก์ และโจทก์ร่วมในช่วงชราและเจ็บป่วย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายก็ไม่ปรากฏว่าทายาทคนใดติดตามสอบถามถึงทรัพย์มรดกของผู้ตายเป็นเวลานาน ทำให้จำเลยที่ 1 เข้าใจว่าทรัพย์มรดกของผู้ตายควรตกแก่บุคคลในครอบครัวของผู้ตาย จึงได้ดำเนินการโอนที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยแสดงเอกสารหลักฐานตามที่ได้รับทราบจากเจ้าพนักงานที่ดิน มีการประกาศให้โต้แย้ง เจ้าพนักงานที่ดินไม่ได้สอบถามว่าเป็นแม่ลูกกันหรือไม่ จึงไม่ได้บอก และไม่เคยมีผู้ใดกล่าวอ้างว่า ใบสูติบัตรเป็นเอกสารที่ไม่ถูกต้องแต่อย่างใด ฟังว่าจำเลยที่ 1 เข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่าทรัพย์มรดกเป็นของผู้ตายซึ่งให้การยอมรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตรตลอดมา 30 กว่าปี จึงเป็นการดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่ที่ดิน และขั้นตอนทางราชการแล้วสามารถโอนมรดกได้โดยชอบ จึงน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ไปดำเนินการโอนที่ดินพิพาทตามความเข้าใจของตน เป็นการจัดการแบ่งทรัพย์ของผู้ตาย โดยเข้าใจว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกของผู้ตายโดยชอบ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินของผู้ตายต่อให้แก่บุคคลอื่น พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 จงใจยักย้ายทรัพย์มรดกของผู้ตายโดยฉ้อฉล หรือรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์แก่โจทก์ โจทก์ร่วมและทายาทอื่นอันจะเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถูกกำจัดมิให้รับมรดกของผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1605 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยนั้นชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามข้อสุดท้ายว่า คดีโจทก์และโจทก์ร่วมขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 เมื่อจำเลยที่ 1 ได้จัดการโอนมรดกทั้งหมดให้ตนเองรวมทั้งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย แต่เป็นเพียงบุคคลภายนอก จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่อาจยกอายุความมรดกขึ้นต่อสู้ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนจำเลยที่ 1 นั้น โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการรับโอนมรดกของผู้ตายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แสดงว่าโจทก์มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทรัพย์มรดกของผู้ตาย กลับคืนกองมรดกเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายระหว่างทายาท จึงเป็นคดีมรดก เมื่อได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่ยังมิได้แบ่งปันกันโดยชอบ การที่จำเลยที่ 1 มีชื่อในโฉนดที่ดินเลขที่ 24990 ดังกล่าว จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองแทนทายาทคนอื่นด้วย ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งมีชื่อถือในโฉนดที่ดินเลขที่ 22874, 24990, 60 และเลขที่ 123 ซึ่งจำเลยที่ 2 รับโอนมาจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 มีชื่อถือในโฉนดที่ดินเลขที่ 24990 ซึ่งรับโอนมาจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุคคลภายนอก จึงเป็นการครอบครองแทนเช่นกัน ไม่อาจอ้างการครอบครองขึ้นต่อสู้โจทก์และโจทก์ร่วมได้ คดีของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง จำเลยที่ 1 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกผู้ตาย จึงอยู่ในฐานะทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 วรรคสอง ประกอบมาตรา 1635 (2) ที่ดินโฉนดเลขที่ 22874 และ 60 ซึ่งฟังว่าเป็นสินสมรสระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในฐานะสินสมรสกึ่งหนึ่ง และในฐานะทายาทผู้รับมรดกอีกกึ่งหนึ่งของกองมรดกผู้ตาย ดังนั้น จำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับสามในสี่ส่วนของที่ดินดังกล่าว สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 24990 และ 123 ซึ่งฟังว่าเป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งกึ่งหนึ่งของที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกดังกล่าว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 24990 และ 123 ซึ่งเป็นสินส่วนตัวของผู้ตายทั้งแปลง และเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 22874 และ 60 เป็นสินสมรสของผู้ตายกับจำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง จึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 225 และมาตรา 252

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 22874 และ 60 ระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งทำเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2560 และวันที่ 9 มีนาคม 2561 ตามลำดับ หนึ่งในสี่ส่วน และเพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 24990 และ 123 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยทั้งสามซึ่งทำเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2560 และระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งทำเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2561 ตามลำดับ กึ่งหนึ่งกลับคืนสู่กองมรดกของผู้ตาย ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ให้เพิกถอนการโอนสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 4 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ




คดีมรดก ร้องศาลตั้งผู้จัดการมรดก

พินัยกรรมของผู้ตายที่ห้ามโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตกเป็นโมฆะ, ข้อห้ามในพินัยกรรมเป็นโมฆะ, ผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม
ถอนผู้จัดการมรดก, การปันมรดกเสร็จสิ้นแล้ว, การจัดการศาลจ้าวไม่เป็นมรดก, ศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊วเป็นกุศลสถาน
ที่ดินของรัฐ มรดกของผู้ตาย, ที่ดินนิคมสหกรณ์, สิทธิทำประโยชน์ในที่ดิน, สิทธิเหนือพื้นดิน, การเพิกถอนโฉนดที่ดิน,
การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทในกองมรดก, การเพิกถอนนิติกรรมในทรัพย์มรดก, การขายทรัพย์มรดกเพื่อชำระหนี้, ผู้จัดการมรดกกับสิทธิและหน้าที่
มรดกตกทอด, การเพิกถอนการสละมรดก, อายุความในการฟ้องคดีมรดก, สิทธิเรียกร้องแทนลูกหนี้
หนังสือแต่งตั้งผู้รับโอนประโยชน์ในเงินทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์ไม่ถือเป็นพินัยกรรม, เงินสงเคราะห์สมาชิกสหกรณ์, สิทธิผู้รับโอนประโยชน์ในเงินสงเคราะห์
นิติกรรมซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นคนต่างด้าว, คดีมรดกที่ดินของคนต่างด้าว, อายุความคดีมรดก, การยักยอกทรัพย์มรดก
พินัยกรรมยกมรดกให้พี่น้องร่วมบิดามารดา, สิทธิของผู้สืบสันดานในการรับมรดกแทนที่, การฟ้องเรียกค่าเช่าจากทรัพย์สินมรดก
การกำจัดทายาทมิให้รับมรดก, สิทธิรับมรดกของผู้สืบสันดานเมื่อทายาทถูกกำจัด, การเพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์มรดก
ผู้จัดการมรดกและการโอนทรัพย์มรดก, พินัยกรรมด้วยวาจา ป.พ.พ. มาตรา 1663, การครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาท
สิทธิทายาทในมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง, ทายาทตายก่อนแบ่งมรดก, รับมรดกแทนที่ มาตรา 1639,
สิทธิการฟ้องขอแบ่งมรดกของทายาท, การเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินมรดก, สินสมรสหลังคู่สมรสเสียชีวิต
สัญญาประกันชีวิต, สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก, ผู้ทำประกันชีวิตและผู้รับผลประโยชน์ตายพร้อมกัน
การจัดการหนี้สินในกองมรดก, สิทธิของเจ้าหนี้กองมรดก, ที่ดินมรดกและการบังคับคดี
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดก
ผู้จัดการมรดกปฏิบัติผิดหน้าที่-ทายาทผู้มีสิทธิฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกได้
ผู้จัดการมรดกร่วมถึงแก่ความตายต้องทำอย่างไร, ฟ้องซ้อน คืออะไร, แต่งตั้งผู้จัดการมรดก
ผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่เพียงทำการอันจำเป็นเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป
ทายาทฟ้องทายาทให้แบ่งทรัพย์มรดก
การจัดการทรัพย์มรดกในฐานะผู้จัดการมรดกตามหน้าที่ที่จำเป็น
คำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกปิดบังทรัพย์มรดกมีผลอย่างไร
ทายาทมิได้ฟ้องเรียกร้องมรดกภายใน 1 ปี
ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน ผู้มีส่วนได้เสีย
สามีไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้มีส่วนได้เสียเป็นผู้จัดการมรดกได้
ทรัพย์มรดกยังไม่ได้แบ่งให้แก่ทายาททุกคน-การจัดการทรัพย์มรดกยังไม่เสร็จสิ้น
บุคคลผู้ต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกของผู้ตาย
ผู้จัดการมรดกไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มีผลอย่างไร?
ฟ้องผู้จัดการมรดกนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลงเกินห้าปีขาดอายุความ
ผู้จัดการมรดกไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกยื่นต่อศาลถูกเพิกถอนได้
อายุความคดีมรดก เจ้าหนี้ฟ้องคดีมรดกเกินหนึ่งปี
คดีของโจทก์ขาดอายุความการจัดการมรดก
บุตรบุญธรรมเป็นผู้สืบสันดานเหมือนบุตรชอบด้วยกฎหมาย
บุตรนอกกฎหมายซึ่งผู้ตายรับรองแล้วเป็นผู้สืบสันดาน
มารดาขายที่ดินซึ่งผู้เยาว์มีส่วนแบ่งไม่ต้องขอศาล
นายอำเภอคือผู้มีอำนาจจัดทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง
ความรับผิดของผู้จัดการมดกภายหลังการเสียชีวิต
ผู้จัดการมรดกร่วมนำทรัพย์มรดกหาประโยชน์แก่ตน
ผู้สืบสันดาน คือใคร? ต่างกับทายาท อย่างไร?
คู่สมรสและการแบ่งมรดกของคู่สมรส | การสมรสเป็นโมฆะ
อายุความคดีมรดก และอายุความเกี่ยวกับการจัดการมรดก
เหตุอันจะร้องขอให้ศาลสั่งถอนผู้จัดการมรดก
การปันมรดกเสร็จสิ้นลงแล้วการถอนผู้จัดการมรดกย่อมพ้นกำหนดเวลา
สามีมิได้จดทะเบียนสมรสไม่ถือเป็นทายาทของภริยาผู้ตาย
อำนาจหน้าที่จัดการศพพระภิกษุผู้มรณภาพไม่มีทรัพย์สิน
สามีไม่จดทะเบียนสมรสขอถอนผู้จัดการมรดก มีกรรมสิทธิ์รวม
ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะทำหน้าที่ผู้จัดการมรดก
อำนาจฟ้องขอแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตาย
ทายาททุกคนมอบหมายให้ครอบครองที่ดินแทนทายาททุกคนเพื่อประโยชน์ร่วม
ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา 1300
ทายาทโดยธรรมย่อมมีสิทธิเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์มรดกตามส่วนที่จะพึงได้
สิทธิรับมรดกที่ยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาห้ามยกเป็นข้อต่อสู้ผู้รับโอนโดยสุจริต
การจัดการมรดกและผู้จัดการมรดก, สินสมรสและสินส่วนตัวในคดีมรดก, อายุความคดีมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733
ผู้จัดการมรดกทำนิติกรรมซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก
ฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์มรดกเมื่อล่วงพ้นกำหนดอายุความแล้ว
ผู้คัดค้านไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในการขอจัดการมรดก
ทายาทมีส่วนเท่ากันออกค่าใช้จ่ายจัดการทำศพ
ความเหมาะสมในการเป็นผู้จัดการมรดก
ผู้จัดการมรดกครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่น
สิทธิของบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมายในการรับมรดกของบุตรนอกกฎหมาย
หนังสือสัญญาแบ่งมรดกตกเป็นโมฆะหรือไม่?
อำนาจและหน้าที่ในการจัดการทำศพและลำดับก่อนหลัง
พินัยกรรมมีเงื่อนไขบังคับก่อน
ผู้จัดการมรดกฟ้องแทนทายาทโดยธรรมอื่น
คู่สมรสที่จดทะเบียนหย่าแล้วเป็นผู้จัดการมรดกได้หรือไม่
การสละมรดกมีผลย้อนหลังไปถึงเวลาเจ้ามรดกตายจึงขาดความเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
แม้กองมรดกมีผู้จัดการมรดกแล้วทายาทก็ยังมีสิทธิฟ้อง
พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองไม่ได้ทำต่อหน้าพยานตกเป็นโมฆะ
บุตรนอกสมรสและบิดานอกกฎหมายมีสิทธิรับมรดกต่อกันอย่างไร
ผู้จัดการมรดก | ทายาทผู้ถูกตัดมิให้รับมรดก
ผู้จัดการมรดกเรียกให้เจ้าของรวมส่งมอบโฉนดที่ดิน
การจัดการมรดกยังไม่สิ้นสุดลงอายุความ 5 ปียังไม่เริ่มนับ
สิทธิรับมรดกก่อนหลัง
คำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ
อายุความฟ้องคดีแพ่งอันเนื่องจากคดียักยอกทรัพย์มรดก
เมื่อแบ่งมรดกเสร็จแล้วความเป็นทายาทสิ้นสุดลง-อายุความมรดก
การแบ่งมรดกที่ดินมือเปล่าไม่มีเอกสารสิทธิ
คดีมรดกต้องเป็นคดีที่ทายาทด้วยกันพิพาทกันเรื่องสิทธิในส่วนแบ่งมรดก
ขอให้ศาลสั่งถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก
ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ความรับผิดของผู้ตาย
แสดงบัญชีเครือญาติเป็นเท็จปิดบังจำนวนทายาท
อายุความคดีมรดกสะดุดหยุดลง การแบ่งทรัพย์มรดกไม่ชอบ
ไม่มีกฎหมายบังคับให้ฟ้องเอาทรัพย์มรดกจากทายาทอื่นที่ครอบครองแทนใน 1 ปี
สัญญาว่าจ้างติดตามทรัพย์กองมรดกเรียกส่วนแบ่งเป็นโมฆะ
คดีฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมปลอมและถูกกำจัดมิให้รับมรดก
โจทก์ฟ้องให้แบ่งทรัพย์มรดกได้แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความหนึ่งปี
ผู้จัดการมรดกแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันฟังคำสั่งศาล
คดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกอายุความ 5 ปี
การแจ้งการเกิดของเด็กในทะเบียนคนเกิดเองว่าเป็นบุตรของตน
ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด
โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกได้รับรองแล้ว
การที่จะเป็นการครอบครองทรัพย์มรดกไว้แทนทายาทอื่น
พินัยกรรมเอกสารลับทำผิดแบบเป็นโมฆะ
การจัดการมรดกไม่ชอบไม่อาจถือว่าการจัดการมรดกสิ้นลงแล้ว