

คู่สมรสและการแบ่งมรดกของคู่สมรส | การสมรสเป็นโมฆะ คู่สมรสและการแบ่งมรดกของคู่สมรส | การสมรสเป็นโมฆะ คู่สมรสเป็นทายาทโดยธรรมของคู่สมรสที่เสียชีวิต ส่วนแบ่งมรดกเป็นไปตามกฎหมาย ถ้าการสมรสเป็นโมฆะมีผลกับมรดกของคู่สมรสที่ตายอย่างไร? มีสิทธิรับมรดกหรือไม? บุตรที่เกิดมามีสิทธิรับมรดกของบิดาที่ตายหรือไม่? มาตรา 1629 "ทายาทโดยธรรมมีหกลำดับเท่านั้น และภายใต้บังคับแห่งมาตรา 1630 วรรค 2 แต่ละลำดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดั่งต่อไปนี้ คือ มาตรา 1625 "ถ้าผู้ตายเป็นผู้สมรสแล้ว การคิดส่วนแบ่งและการปันทรัพย์สินระหว่างผู้ตายกับคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นนั้นให้เป็นไปดั่งนี้ มาตรา 1635 "ลำดับและส่วนแบ่งของคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ในการรับมรดกของผู้ตายนั้น ให้เป็นไปดั่งต่อไปนี้ มาตรา 1547 "บิดาจะจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอมของเด็กและมารดาเด็ก" คู่สมรส แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ ข้อสังเกต คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 991/2501 โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาจำเลยก่อนใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เกิดบุตร 6 คน โจทก์มีสินเดิมเงินสด 30 บาท จำเลยไม่มีอะไร เกิดสินสมรสคือที่บ้าน 1 แปลง เรือนพร้อมครัว 1 หลัง ยุ้ง 1 หลังราคาประมาณ 30,000 บาท และจักรยาน 1 คันราคา 400 บาท เกวียนพร้อมโค 1 คู่ราคา 2,800 บาท เงินสดฝากคนอื่นไว้ 20,000 บาทเมื่อ 8 ปีมานี้จำเลยบังอาจหมิ่นประมาทด่าบิดามารดาโจทก์ ทำร้ายโจทก์ ขับไล่โจทก์และบุตรออกจากบ้านไปอาศัยคนอื่นอยู่ แรก ๆ จำเลยยังส่งเสียให้การศึกษาบุตร ต่อมาเพิกเฉย และมีภรรยาใหม่ โจทก์จึงฟ้องขอหย่า แบ่งสินสมรสและให้โจทก์เป็นผู้ปกครองบุตร ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร จำเลยให้การว่า โจทก์หนีไปอยู่ที่อื่น จึงถือว่าโจทก์หย่าขาดจากจำเลยโจทก์จำเลยมีบุตรด้วยกันเพียง 5 คน โจทก์ไม่มีสินเดิมส่วนจำเลยมีสินเดิม ซึ่งที่บ้านเป็นสินเดิมด้วย ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากันจำเลยปลูกเรือน 1 หลัง แต่ขายแล้ว ส่วนทรัพย์สินอื่นตามที่โจทก์อ้างไม่มี ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรมากเกินสมควร นางยอดเรือนร้องสอดเป็นจำเลยร่วมอ้างว่าเรือนพร้อมครัว 1 หลังยุ้ง 1 หลังเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้องสอด โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดกัน ที่บ้าน 1 แปลงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลย ให้แบ่ง 3 ส่วน โจทก์ได้ 1 ส่วน จำเลยได้ 2 ส่วน เรือนและยุ้งจำเลยกับนางยอดเรือนถือกรรมสิทธิ์คนละครึ่งส่วนของจำเลยเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลย ให้แบ่ง 3 ส่วน โจทก์ได้ 1 ส่วน จำเลยได้ 2 ส่วน การแบ่งไม่ตกลงให้ประมูลหรือขายทอดตลาดแบ่งเงินกัน ให้จำเลยเป็นผู้ปกครองบุตร หากไม่ประสงค์เช่นนี้ให้โจทก์ปกครองและให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 150 บาทจนกว่าบุตรบรรลุนิติภาวะ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยทะเลาะวิวาทกันโจทก์แยกไปอยู่ที่อื่น ขณะนั้นเป็นเวลาที่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ใช้บังคับแล้วเหตุที่จะขาดจากสามีภรรยาจึงต้องใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เมื่อโจทก์ร้างไปแล้ว จำเลยขายที่ดินสินสมรสแล้วนำเงินไปซื้อที่ดินพิพาทแทนมาที่ดินพิพาทก็ต้องเป็นสินสมรส ส่วนเรือนและยุ้ง จำเลยและนางยอดเรือนช่วยกันปลูก จึงเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้มาระหว่างโจทก์จำเลยร้างกันโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอแบ่งเป็นสินสมรส และเรื่องค่าขึ้นศาลจำเลยจะพึงชำระต้องถือตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี พิพากษาแก้ไม่ให้แบ่งส่วนสินสมรสจากเรือนและยุ้งให้โจทก์ และคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่จำเลยเสียเกินมา ง. สามีสละภริยาไปบวชเป็นพระภิกษุสามเณร หรือภริยาสละสามีไปบวชชี ถือว่าขาดจากการสมรส กฎหมายลักษณะผัวเมีย อนุญาตให้ชายมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายได้หลายคนในเวลาเดียวกัน ทั้งได้จัดลำดับชั้นของภริยาตามวิธีการที่ชายได้หญิงนั้นมา แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ เมียกลางเมือง หมายถึง หญิงอันบิดามารดากุมมือยกให้เป็นภริยาของชายซึ่งถือว่าเป็นภริยาหลวง ส่วนอีก 2 ประเภท คือ เมียกลางนอก หรืออนุภริยา และเมียกลางทาสี หรือสาสภริยา การที่ฐานะลดหลั่นกันลงมาตามวิธีการที่ชายได้หญิงนั้นมาเป็นภริยา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7254/2539 ตามกฎหมายลักษณะผัวเมียอนุญาตให้ชายมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายได้หลายคนในเวลาเดียวกันทั้งได้จัดลำดับชั้นของภริยาตามวิธีการที่ชายได้หญิงนั้นมาเป็นภริยาออกเป็น3ประเภทด้วยกันได้แก่เมียกลางเมืองเมียกลางนอกหรืออนุภรรยาและเมียกลางทาษีหรือทาษภรรยาสำหรับเมียกลางเมืองนั้นหมายถึงหญิงอันบิดามารดากุมมือยกให้เป็นภริยาของชายซึ่งถือเป็นภริยาหลวงส่วนภริยาอีก2ประเภทก็มีฐานะลดหลั่นกันลงมาตามวิธีการที่ชายได้หญิงนั้นมาเป็นภริยาหรือตามลักษณะที่ชายเลี้ยงดูเชิดชูหญิงว่าเป็นภริยาแต่ไม่ว่าจะเป็นภริยาในลำดับชั้นใดก็ตามต่างก็ถือว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยกันทั้งสิ้นดังนั้นแม้ข้อเท็จจริงจะไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าบิดามารดาของโจทก์จะได้กุมมือยกโจทก์ให้เป็นภริยาของผู้ตายก็ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์มิได้เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ผู้ตายกับโจทก์ได้อยู่กินกันฉันสามีภริยามาตั้งแต่ปี2464ก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ5เดิมมีผลบังคับใช้และมีบุตรด้วยกันถึง6คนและตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ5แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ.2519มาตรา5บัญญัติว่าบทบัญญัติบรรพ5แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ท้ายพระราชบัญญัตินี้ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการหมั้นการสมรสฯลฯที่ได้มีอยู่แล้วในวันใช้บังคับบทบัญญัติบรรพ5แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ท้ายพระราชบัญญัตินี้เมื่อมีข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายกับโจทก์อยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยเปิดเผยเป็นที่รู้กันทั่วไปและมิได้ทิ้งร้างกันแต่อย่างใดผู้ตายกับโจทก์จึงยังเป็นสามีภริยากันเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ตลอดมาส่วนจำเลยนั้นเพิ่งอยู่กินกับผู้ตายเมื่อปี2491ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ5เดิมใช้บังคับแล้วแม้จำเลยกับผู้ตายจะมีบุตรด้วยกัน4คนแต่เมื่อรับฟังได้ว่าผู้ตายกับโจทก์ยังเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้วการที่ผู้ตายได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยอีกเช่นนี้การสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ตายจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ5ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ.2519มาตรา1452และมาตรา1496ที่ใช้บังคับในขณะนั้น โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นางจรัสลักษณ์ เป็นผู้ฟ้องคดีแทน โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของพลตำรวจจัตวามงคล จึระเศรษฐ โดยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาตั้งแต่ปี 2462 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2533 พลตำรวจจุตวามงคลถึงแก่ความตาย ต่อมาโจทก์ทราบว่าพลตำรวจจุตวามงคลได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลย เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2528 ในขณะที่พลตำรวจจัตวามงคลมีโจทก์เป็นคู่สมรสอยู่ตามสำเนาทะเบียนการสมรสท้ายฟ้องหมายเลข 4 การจดทะเบียนสมรสดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1495 ขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างพลตำรวจจัตวามงคลกับจำเลยเป็นโมฆะและให้เจ้าพนักงานสำนักงานทะเบียนห้วยขวางจดทะเบียนเพิกถอนการสมรสดังกล่าว จำเลยให้การว่า โจทก์มิใช่ภริยาตามกฎหมายของพลตำรวจจัตวามงคลจีระเศรษฐ เพราะตามกฎหมายลักษณะผัวเมียนั้นระบุในหมวด ก. ว่าอันลักษณะเมียนั้นมีสามประการ ประการหนึ่ง หญิงอันบิดามารดากุมมือให้เป็นเมียชาย ได้ชื่อว่าเป็นเมียกลางเมือง ประการหนึ่งชายขอหญิงมาเลี้ยงเป็นอนุภรรยาหลั่นเมียหลวง ได้ชื่อว่าเป็นเมียกลางนอกประการหนึ่ง หญิงใดทุกข์ยากชายช่วยไถ่ถอนได้มาเห็นหมดหน้าเสี่ยงเป็นเมีย ได้ชื่อว่าเมียกลางทาษี โจทก์เป็นเพียงคนรับใช้ในบ้านของพลตำรวจจัตวามงคล ไม่มีบิดามารดาไม่ได้รับการศึกษา ถึงแม้จะได้กับพลตำรวจจัตวามงคลก็ไม่ได้รับการยกย่องแต่อย่างใด จึงไม่เข้าลักษณะเมียตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย พระราชบัญญัติเลิกร้างกับโจทก์มาเป็นเวลานานแล้ว จำเลยกับพลตำรวจจัตวามงคลอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยเปิดเผยตั้งแต่ปี 2493 และจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายเมื่อวันที่ 29ตุลาคม 2528 หนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องเป็นเอกสารเท็จ ผู้รับมอบอำนาจจึงไม่มีอำนาจฟ้อง และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การสมรสระหว่างพลตำรวจจัตวามงคลจีระเศรษฐกับจำเลยเป็นโมฆะ คำขออื่นให้ยก จำเลย อุทธรณ์ จำเลย ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าพลตำรวจจัตวามงคล จีระเศรษฐ ผู้ตาย ได้โจทก์เป็นภริยาตั้งแต่ปี 2462 และมีบุตรด้วยกัน 6 คน ต่อมา ปี 2491 ผู้ตายได้จำเลยเป็นภริยาอีกคนหนึ่งและมีบุตรด้วยกัน 4 คน แต่มิได้จดทะเบียนสมรสกัน ต่อมาวันที่ 29 ตุลาคม 2528 ผู้ตายจึงได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลย วันที่ 12 มิถุนายน 2533 ผู้ตายได้ถึงแก่ความตาย ต่อมาทั้งโจทก์และจำเลยได้ไปยื่นขอรับบำเหน็จตกทอดของผู้ตาย ทางกรมบัญชีกลางจึงให้ทั้งโจทก์และจำเลยไปดำเนินคดีทางศาลว่าผู้ใดเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยมีว่า ขณะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับพลตำรวจจัตวามงคล จีระเศรษฐ ผู้ตายนั้น โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายอยู่หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาประการแรกว่า การสมรสก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เดิม ใช้บังคับ จะชอบด้วยกฎหมายนั้นต้องให้บิดามารดาทั้งสองฝ่ายรับทราบโดยกุมมือยกฝ่ายหญิงให้แก่ฝ่ายชาย แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่ามีการกระทำดังกล่าวระหว่างผู้ตายกับโจทก์จึงถือว่าผู้ตายและโจทก์ไม่ได้เป็นสามีภริยากันตามกฎหมายลักษณะผัวเมียนั้น เห็นว่า ตามกฎหมายลักษณะผัวเมียอนุญาตให้ชายมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายได้หลายคนในเวลาเดียวกัน ทั้งได้จัดลำดับชั้นของภริยาตามวิธีการที่ชายได้หญิงนั้นมาเป็นภริยาออกเป็น 3 ประเภทด้วยได้ ได้แก่ เมียกลางเมือง เมียกลางนอกหรืออนุภรรยาและเมียกลางทาษีหรือทาษภรรยา สำหรับเมียกลางเมืองนั้นหมายถึง หญิงอันบิดามารดากุมมือยกให้เป็นภริยาของชายซึ่งถือเป็นภริยาหลวง ส่วนภริยาอีก 2 ประเภทก็มีฐานะลดหลั่นกันลงมาตามวิธีการที่ชายได้หญิงนั้นมาเป็นภริยา หรือตามลักษณะที่ชายเลี้ยงดูชูเชิดหญิงว่าเป็นภริยา แต่ไม่ว่าจะเป็นภริยาในลำดับชั้นใดก็ตามต่างก็ถือว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยกันทั้งสิ้นดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะไม่ปรากฏชัดแจ้งว่า บิดามารดาของโจทก์จะได้กุมมือยกโจทก์ให้เป็นภริยาของผู้ตาย ก็ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์มิได้เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายด้วยเหตุดังที่จำเลยยกขึ้นฎีกา ที่จำเลยฎีกาประการต่อมาว่า ผู้ตายได้ทิ้งร้างโจทก์มาอยู่กับจำเลยเป็นเวลา 40 ปีเศษแล้ว จึงทำให้การเป็นสามีภริยาระหว่างผู้ตายกับโจทก์ก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ใช้บังคับสิ้นสุดลง โดยไม่ต้องจดทะเบียนการหย่าอีก ผู้ตายกับโจทก์จึงมิได้เป็นสามีภริยากันในขณะที่ผู้ตายจดทะเบียนสมรสกับจำเลยนั้น เห็นว่า ผู้ตายกับโจทก์ได้อยู่กินกันฉันสามีภริยามาตั้งแต่ปี 2462 ก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เดิมมีผลบังคับใช้ และมีบุตรด้วยกันถึง 6 คน ซึ่งคนที่ 1และที่ 2 ถึงแก่ความตายแล้ว คนที่ 3 อายุ 63 ปี คนที่ 4 อายุ 59 ปีคนที่ 5 อายุ 54 ปี และคนที่ 6 อายุ 50 ปี และตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 5 บัญญัติไว้ว่าบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ท้ายพระราชบัญญัตินี้ ไม่กระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของการหมั้นการสมรส ฯลฯ ที่ได้มีอยู่แล้วในวันใช้บังคับบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ ท้ายพระราชบัญญัตินี้ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.4 ที่ผู้ตายทำขึ้นเพื่อยกที่ดินให้แก่บุตรเมื่อปี 2495 มีข้อความระบุว่า โจทก์เป็นภริยาผู้ตายตามหนังสือให้ความยินยอมเอกสารหมาย จ.5 ที่ผู้ตายทำขึ้นเมื่อปี 2506 เพื่อให้โจทก์ทำนิติกรรมจำนองกับบุคคลอื่นก็ระบุว่าโจทก์เป็นภริยาและหนังสืออนุสรณ์ในงานณาปนกิจศพของนางชุ่มโพธิประดิษฐ ซึ่งเป็นพี่ของผู้ตายเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2513ได้มีการลำดับญาติในตระกูลเดียวกันระบุว่าโจทก์เป็นภริยาผู้ตายนอกจากนี้ตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.7 ซึ่งผู้ตายมีชื่อเป็นหัวหน้าครอบครัว ก็มีชื่อโจทก์อยู่ในลำดับ 2 โดยมีฐานะเป็นภริยาหัวหน้าครอบครัว ทั้งปรากฏตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.8ถึง จ.12 ประกอบคำเบิกความของนายสมควร บุตรโจทก์กับผู้ตายว่า เป็นภาพถ่ายของโจทก์กับผู้ตายนั่งคู่กันให้บุตรหลานรดน้ำเนื่องในวันเกิดของผู้ตาย โดยถ่ายหลังจากปี 2528 แสดงว่าผู้ตายกับโจทก์อยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยเปิดเผย เป็นที่รู้จักกันทั่วไปและมิได้ทิ้งร้างกันแต่อย่างใด ผู้ตายกับโจทก์จึงยังเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ตลอดมา ส่วนจำเลยนั้นเพิ่งอยู่กินกับผู้ตายเมื่อปี 2491 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม ใช้บังคับแล้ว แม้จำเลยกับผู้ตายจะมีบุตรด้วยกัน 4 คน แต่เมื่อรับฟังได้ว่าผู้ตายกับโจทก์ยังเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว การที่ผู้ตายได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยอีกเช่นนี้ การสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ตายจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 1452 และ มาตรา 1496ที่ใช้บังคับในขณะนั้น พิพากษายืน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 "ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้" มาตรา 1495 "การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ" ข้อสังเกต มีดังนี้ 3. ป.พ.พ. ยรรพ 5 ใหม่ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2519 ถึงวันที่ 26 กันยายน 2533 ข้อสังเกต มีดังนี้ 4. ป.พ.พ. บรรพ 5 ซึ่งแก้ไขหหม่ ปี 2533 ใช้บังคัยตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2533 มีการแก้ไขเพื่มเติมรวม 77 มาตรา มาตรา 1437 "การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น ข. ถ้าคู่หมั้นไม่ว่าชายหรือหญิงตายก่อนสมรส หญิงหรือฝ่ายหญิงไม่ต้องคืนของหมั้นหรือสินสอดแก่ฝ่ายชาย มาตรา 1441 "ถ้าคู่หมั้นฝ่ายหนึ่งตายก่อนสมรส อีกฝ่ายหนึ่งจะเรียกร้องค่าทดแทนมิได้ ส่วนของหมั้นหรือสินสอดนั้นไม่ว่าชายหรือหญิงตาย หญิงหรือฝ่ายหญิงไม่ต้องคึนให้แก่ฝ่ายชาย" ค. การสมรสซ้อนตกเป็นโมฆะ ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิกล่าวอ้างขึ้นได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องให้ศาลมีคำพิพากษา แม้คู่สมรสจะทำการสมรสซ้อนโดยสุจริตก็ไม่มีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง มาตรา 1497 "การสมรสที่เป็นโมฆะ เพราะฝ่าฝืน มาตรา 1452 บุคคลผู้มีส่วนได้เสียคนใดคนหนึ่งจะกล่าวอ้างขึ้น หรือจะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะก็ได้" ง. ลดอายุผู้รับบุตรบุญธรรมลงเหลือเพียง 25 ปี การนมรสที่เป็นโมฆะเพราะฝ่าฝืนมาตารา 1449 ถ้าคู่สมรสฝ่ายใดได้สมรสโดยสุจริต ฝ่ายนั้นมีสิทธิเรียกค่าทดแทนได้ และถ้าการสมรสที่เป็นโมฆะนั้นทำให้ฝ่ายที่ได้สมรสโดยสุจริตต้องยากจนลงเพราะไม่มีรายได้พอจากทรัพย์สิน หรือจากการงานที่เคยทำอยู่ก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด หรือก่อนที่จะได้รู้ว่าการสมรสของตนเป็นโมฆะแล้วแต่กรณีฝ่ายนั้นมีสิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพได้ด้วย สิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพในกรณีนี้ในนำมาตรา 1526 วรรคหนึ่ง และมาตรา 1528 มาใช้บังคับโดยอนุโลม สิทธิเรียกร้องค่าทดแทน หรือค่าเลี้ยงชีพตามวรรคสาม มีกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดสำหรับกรณีการสมรสเป็นโมฆะเพราะฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 หรือมาตารา 1458 หรือนับแต่วันที่รู้ถึงเหตุที่ทำให้การสมรสเป็นโมฆะ สำหรับกรณีการสมรสเป็นโมฆะเพราะฝ่าฝืนมาตรา 1452" มาตารา 1499/1 "ในกรณีที่การสมรสเป็นโมฆะ ข้อตกลงระหว่างคู่สมรสว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรคนใด หรือฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายจะเป็นผู้ออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นจำนวนเท่าใด ให้ทำเป็นหนังสือ หากตกลงกันไม่ได้ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด ในการพิจารณาชี้ขาด ถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุที่จะถอนอำนาจปกครองของคู่สมรสนั้นได้ตามมาตรา 1582 ศาลจะถอนอำนาจปกครองของคู่สมรสและสั่งให้บุคคลภายนอกเป็นผู้ปกครองก็ได้ ทั้งนี้ ให้ศาลคำนึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของบุตรนั้นเป็นสำคัญ และให้นำความใน มตรา 1521 มาใช้บังคับโดยอนุโลม" มาตรา 1500 "การสมรสที่เป็นโมฆะไม่กระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตซึ่งได้มาก่อนมีการบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรสตามมาตรา 1497/1" ข้อสังเกต การสมรสระหว่างโจทก์กับผู้ตายถูกศาลพิพากษาเพิกถอนไปแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4163/2532 โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกในฐานะภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกจำเลยให้การต่อสู้ว่าการจดทะเบียนสมรสของโจทก์กับเจ้ามรดกเป็นไปโดยทุจริตและคดีโจทก์ขาดอายุความ ในวันนัดชี้สองสถาน คู่ความยอมรับข้อเท็จจริงกันว่า ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาเพิกถอนการสมรสดังกล่าวไปแล้ว แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทำการสมรสโดยสุจริตหรือไม่ ข้อเท็จจริงส่วนนี้จึงยังไม่ยุติ ซึ่งหากข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ทำการสมรสโดยสุจริตแล้ว โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิได้รับมรดกของเจ้ามรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1499ส่วนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยว่าโจทก์กับเจ้ามรดกสมรสกันโดยไม่สุจริต ก็ไม่ปรากฏการวินิจฉัยของศาลฎีกาในข้อนี้แต่อย่างใด ทั้งยังมีประเด็นเรื่องอายุความอีกด้วย ดังนี้การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานกับพิพากษาคดีไป และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงเป็นการไม่ชอบและเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา มีเหตุสมควรต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนาวาเอกหลวงพินิจกลไก จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนาวาเอกหลวงพินิจกลไกระหว่างอยู่กินกัน นาวาเอกหลวงพินิจกลไกได้โอนขายและโอนที่ดินหลายโฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ หลังจากนั้นนาวาเอกหลวงพินิจกลไกถึงแก่ความตาย ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาให้เพิกถอนการโอนทั้งหมด ทรัพย์ทั้งหมดจึงตกเป็นมรดกของนาวาเอกหลวงพินิจกลไก โจทก์ในฐานะภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นทายาทมีสิทธิรับส่วนแบ่งมรดก ขอให้จำเลยจัดการแบ่งมรดกให้แก่โจทก์จำเลยให้การว่าโจทก์กับนาวาเอกหลวงพินิจกลไกสมคบกันกระทำการทุจริตไปจดทะเบียนสมรสโดยแจ้งความเท็จว่า นาวาเอกหลวงพินิจกลไกไม่มีคู่สมรสต่อมาได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ 466/2527 วินิจฉัยว่า การจดทะเบียนสมรสของโจทก์เป็นโมฆะ โจทก์ไม่ใช่ทายาท ไม่มีสิทธิรับมรดก ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง ในวันนัดชี้สองสถาน โจทก์จำเลยแถลงรับกันว่า นาวาเอกหลวงพินิจกลไกได้โอนที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ก่อนนาวาเอกหลวงพินิจกลไกถึงแก่ความตายจริง จำเลยเคยฟ้องโจทก์ต่อศาลแพ่งขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างนาวาเอกหลวงพินิจกลไกกับโจทก์และให้เพิกถอนการสมรสระหว่างคนทั้งสองด้วย คดีดังกล่าวถึงที่สุด โดยศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนการโอนและเพิกถอนการสมรสศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดชี้สองสถาน และวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนาวาเอกหลวงพินิจกลไก จึงไม่ใช่ทายาทและไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาว่าโจทก์เป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกนาวาเอกหลวงพินิจกลไกตามฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกในฐานะเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกจำเลยให้การต่อสู้ว่าการจดทะเบียนสมรสของโจทก์กับเจ้ามรดกเป็นไปโดยทุจริตและคดีของโจทก์ขาดอายุความ ในวันนัดชี้สองสถานคู่ความยอมรับกันว่า การสมรสดังกล่าวถูกศาลพิพากษาเพิกถอนไปแล้วแต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทำการสมรสโดยสุจริตหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1499 บัญญัติว่าเหตุที่การสมรสเป็นโมฆะไม่เป็นผลให้ชายหรือหญิงผู้สมรสโดยสุจริตเสื่อมสิทธิที่ได้มาเพราะการสมรสนั้น เช่นนี้ หากฟังได้ว่าโจทก์ทำการสมรสโดยสุจริตโจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับมรดกของเจ้ามรดก แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวยังไม่ยุติ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำพิพากษาฎีกาที่566/2527 เท่ากับศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์และนาวาเอกหลวงพินิจกลไกสมรสกันโดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1499 นั้นก็ไม่ปรากฏในคำวินิจฉัยของศาลฎีกาในคดีดังกล่าวว่าโจทก์ทำการสมรสโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบ เมื่อข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ทำการสมรสโดยสุจริตหรือไม่ยังไม่ยุติทั้งยังมีประเด็นเรื่องอายุความฟ้องร้องอีกด้วย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดชี้สองสถานกับพิพากษาคดีไปและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงเป็นการไม่ชอบ และเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา มีเหตุสมควรที่จะต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่" พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี |