
พินัยกรรมผิดแบบเอกสารลับยังสมบูรณ์ได้ หากครบเงื่อนไขพินัยกรรมธรรมดา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3001/2538
🔍⚖️ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการตีความพินัยกรรมที่ผู้ตายตั้งใจทำเป็นพินัยกรรมแบบเอกสารลับ แต่ไม่สมบูรณ์ตามแบบ จึงถูกตีความให้เป็นพินัยกรรมแบบธรรมดาแทน ซึ่งศาลเห็นว่าครบองค์ประกอบตามมาตรา 1656 ประกอบมาตรา 136 จึงยังมีผลบังคับตามกฎหมาย และศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม เนื่องจากไม่เป็นบุคคลต้องห้ามและมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตาย
📚 สาระสำคัญของคำพิพากษา ▶️ ข้อเท็จจริงโดยสรุป •ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกของนางแฉล้ม ซึ่งถึงแก่ความตาย •ก่อนเสียชีวิต นางแฉล้มได้ทำพินัยกรรมแบบเอกสารลับ ระบุให้ผู้ร้องเป็นผู้รับพินัยกรรมและเป็นผู้จัดการมรดก •แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกคำร้อง เนื่องจากเห็นว่าพินัยกรรมไม่สมบูรณ์ตามแบบเอกสารลับ
สรุปย่อคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3001/2538 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่ได้เป็นผู้พิมพ์พินัยกรรมตามเอกสารหมาย ร.3 เนื่องจากไม่มีข้อความต่อท้ายชื่อว่า "ผู้พิมพ์" และต้องตีความเป็นคุณแก่ผู้ร้องตามมาตรา 11 จึงไม่เข้าข่ายโมฆะตามมาตรา 1653 วรรคแรก และมาตรา 1705 แม้จะมีความขัดแย้งระหว่างถ้อยคำของผู้ทำพินัยกรรมว่าเป็นผู้เขียน กับข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่านายวีระเป็นผู้พิมพ์ แต่ศาลเห็นว่าพินัยกรรมดังกล่าวมีพฤติการณ์ชัดเจนว่านางแฉล้มเป็นผู้ทำและนำไปแสดงต่อสำนักงานเขตดุสิตเอง จึงรับฟังได้ว่าเป็นพินัยกรรมของผู้ตายจริง แม้พินัยกรรมจะไม่สมบูรณ์ในแบบเอกสารลับ แต่เนื่องจากทำครบถ้วนตามแบบพินัยกรรมธรรมดาตามมาตรา 1656 และมีเจตนาให้ใช้ได้ตามมาตรา 136 จึงยังมีผลสมบูรณ์ ผู้ร้องเป็นผู้รับพินัยกรรมและได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกในพินัยกรรม อีกทั้งไม่เป็นบุคคลต้องห้ามตามมาตรา 1718 ศาลจึงพิพากษาให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามพินัยกรรม
▶️ ประเด็นวินิจฉัยของศาลฎีกา 1.ผู้ร้องเป็นผู้พิมพ์พินัยกรรมหรือไม่ ศาลตีความตามหลัก มาตรา 11 ว่า ต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้ร้อง จึงฟังว่าไม่ได้เป็นผู้พิมพ์ ไม่เข้าข่ายพินัยกรรมโมฆะตามมาตรา 1653 วรรคแรก และ 1705 2.พินัยกรรมที่ทำผิดแบบเอกสารลับ จะถือว่าใช้บังคับได้หรือไม่ ศาลพิเคราะห์ว่าพินัยกรรมดังกล่าว แม้จะไม่สมบูรณ์ตามแบบเอกสารลับ แต่มีลักษณะครบถ้วนตามพินัยกรรมแบบธรรมดาตามมาตรา 1656 และเจตนาของผู้ทำพินัยกรรมก็เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 136 จึงมีผลสมบูรณ์ 3.การแต่งตั้งผู้จัดการมรดก ผู้ร้องได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกในพินัยกรรม มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 1718 ศาลจึงพิพากษากลับให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก
⚖️ วิเคราะห์หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประเด็นทางกฎหมายจากมาตรา 11, 136, 1656 และ 1718 ที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3001/2538 🔍 ขยายความมาตรา 11 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “ในกรณีที่มีความสงสัยในบทบัญญัติแห่งกฎหมายเกี่ยวกับนิติกรรม ให้ตีความตามที่เป็นคุณแก่ผู้เสียหาย” 🧾 ความหมายหลัก มาตรา 11 เป็นบทบัญญัติที่สะท้อนหลักการพื้นฐานของ “ความเป็นธรรม” และ “การคุ้มครองผู้เสียหาย” ในทางแพ่ง โดยมีหลักการว่า: •หากมีความไม่ชัดเจนหรือความคลุมเครือในการตีความบทบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับ นิติกรรม (เช่น พินัยกรรม, สัญญา, หนังสือมอบอำนาจ) •และกรณีนี้มี คู่กรณีที่เป็นผู้เสียหาย หรือผู้ได้รับผลเสียจากการตีความนั้น •ศาลจะต้อง “ตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้เสียหาย” 📌 ตัวอย่างในบริบทพินัยกรรม ในกรณีที่พินัยกรรมมีลักษณะคลุมเครือ เช่น: •ไม่ชัดเจนว่าเป็นพินัยกรรมแบบใด •มีบางส่วนผิดแบบ หรือขาดองค์ประกอบบางประการ หากมีข้อสงสัยว่า พินัยกรรมฉบับนั้น ควรใช้บังคับได้หรือไม่ → มาตรา 11 อนุญาตให้ศาล ตีความให้เกิดผลตามเจตนารมณ์ของผู้ทำพินัยกรรม เพื่อคุ้มครองสิทธิของทายาทหรือผู้รับประโยชน์
🔍 ขยายความมาตรา 136 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “ถ้านิติกรรมที่ทำขึ้นผิดแบบหนึ่ง แต่ชอบด้วยกฎหมายในแบบอื่น ก็ให้ถือว่าใช้ได้ตามแบบที่ชอบนั้น” 🧾 หลักการทางกฎหมาย มาตรา 136 มีเจตนารมณ์เพื่อ คุ้มครองความสมบูรณ์ของนิติกรรม โดย: •ไม่ให้เกิดผลเป็นโมฆะเพียงเพราะผู้ทำพลาดในเรื่อง “รูปแบบ” •หากนิติกรรมนั้น แม้ ผิดแบบหนึ่ง แต่ มีลักษณะถูกต้องครบถ้วนตามอีกแบบหนึ่ง ที่กฎหมายยอมรับ •ให้ถือว่าเป็นนิติกรรมที่สมบูรณ์ และมีผลผูกพันตามกฎหมาย 📌 ตัวอย่างในบริบทพินัยกรรม หากผู้ตายตั้งใจทำพินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับตามมาตรา 1657 แต่เนื่องจากพิมพ์ดีด → ศาลอาจพิจารณาว่า แม้ไม่เข้าองค์ประกอบตาม ม.1657 แต่ครบถ้วนตาม ม.1656 (แบบธรรมดา) ก็สามารถถือว่าเป็นพินัยกรรมแบบธรรมดาได้ตาม มาตรา 136 ✅ จึงยังคงใช้บังคับได้ 📎 การนำไปใช้ในคดีจริง ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3001/2538 ศาลวินิจฉัยว่า แม้พินัยกรรมจะไม่ชอบด้วย มาตรา 1657 (เพราะพิมพ์ดีด) แต่เมื่อครบองค์ประกอบตามมาตรา 1656 และไม่ขัดเจตนาของผู้ตาย จึงเป็นพินัยกรรมที่ใช้ได้โดยอาศัยหลักการตามมาตรา 136
🔍 ขยายความมาตรา 1656 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “พินัยกรรมแบบธรรมดา ต้องทำเป็นหนังสือโดยมีผู้ทำพินัยกรรมลงลายมือชื่อ และมีพยานสองคนลงชื่อรับรองต่อหน้า...” 🧾 ข้อกำหนดสำคัญของพินัยกรรมแบบธรรมดา 1.ต้องทำ เป็นลายลักษณ์อักษร 2.ผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อ 3.มี พยานสองคนอยู่พร้อมหน้ากันกับผู้ทำพินัยกรรม 4.พยานทั้งสองคน ลงลายมือชื่อรับรอง ในขณะที่ผู้ทำลงลายมือชื่อ 💡 วัตถุประสงค์ของบทบัญญัตินี้ เพื่อคุ้มครองเจตนารมณ์ของผู้ทำพินัยกรรม และ ป้องกันการปลอมแปลง เอกสารหรือการแอบอ้าง 📌 ประเด็นที่มักเป็นปัญหา •ผู้ทำพินัยกรรมไม่ลงชื่อเอง → โมฆะ •พยานไม่ได้อยู่พร้อมกัน → ขาดเงื่อนไขข้อสำคัญ •ไม่มีวันเดือนปี → ศาลวินิจฉัยว่าไม่อาจยืนยันความเป็นเอกสารพินัยกรรมได้ 📎 การนำไปใช้ในคดี ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3001/2538: •พินัยกรรมที่ผู้ตายทำขึ้นไม่เข้าองค์ประกอบของ มาตรา 1657 (แบบเขียนเอง) •แต่กลับเป็นไปตามมาตรา 1656 เพราะมีพยานสองคน และลงลายมือชื่อครบ •ศาลจึงถือว่าพินัยกรรมสมบูรณ์ในแบบธรรมดา โดยอาศัย มาตรา 136 เป็นหลักช่วยตีความ
🔍 ขยายความมาตรา 1718 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “บุคคลต่อไปนี้ต้องห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดก...” 🧾 บุคคลต้องห้ามตามมาตรานี้ ได้แก่ 1.ผู้ซึ่งต้องห้ามมิให้ทำพินัยกรรม ตามบทบัญญัติว่าด้วยพินัยกรรม 2.บุคคลที่ถูกถอนสิทธิในการเป็นทายาท เช่น กรณีฆ่าผู้มรณะ 3.บุคคลไร้ความสามารถ หรือ เสมือนไร้ความสามารถ 4.บุคคลซึ่งมีความประพฤติไม่เหมาะสมในการจัดการมรดก 💡 หลักการของมาตรา 1718 เพื่อ ป้องกันมิให้ผู้ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือ ขาดคุณสมบัติทางจริยธรรม มีอำนาจควบคุมการจัดการทรัพย์สินของผู้ตาย ซึ่งอาจกระทบต่อสิทธิของทายาทหรือเจ้าหนี้อื่น 📌 ความเชื่อมโยงกับคดี 3001/2538 แม้จะไม่ได้เป็นประเด็นหลัก แต่หากมีผู้คัดค้านการตั้งผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม โดยอ้างว่าเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติตาม ม.1718 เช่น เคยกระทำความผิดต่อผู้ทำพินัยกรรม หรือเป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ → ศาลสามารถใช้มาตรานี้ในการ เพิกถอนหรือไม่รับรองให้เป็นผู้จัดการมรดก ได้
สรุปการเชื่อมโยงกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3001/2538 ในคดีนี้ ศาลได้อาศัยบทบัญญัติกฎหมายหลายมาตราเพื่อประกอบการวินิจฉัย โดยเริ่มจาก มาตรา 11 ซึ่งศาลนำมาใช้ในการตีความพินัยกรรมในลักษณะที่เป็นคุณแก่ผู้รับประโยชน์ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายจากข้อสงสัยในรูปแบบของพินัยกรรมดังกล่าว ต่อมาคือ มาตรา 136 ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของคดีนี้ เพราะแม้ว่าพินัยกรรมจะผิดแบบตามมาตรา 1657 แต่เมื่อมีลักษณะที่ถูกต้องตามแบบของมาตรา 1656 ศาลจึงวินิจฉัยให้พินัยกรรมนั้นยังคงใช้บังคับได้ตามแบบที่ชอบด้วยกฎหมาย สำหรับ มาตรา 1656 นั้น ศาลได้ใช้ในการตรวจสอบว่า พินัยกรรมที่ทำขึ้นแม้จะเป็นแบบพิมพ์ดีด แต่มีองค์ประกอบครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด จึงถือว่าเป็นพินัยกรรมแบบธรรมดาที่สมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมาย สุดท้ายคือ มาตรา 1718 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพิจารณาคุณสมบัติของผู้จัดการมรดก โดยบทบัญญัตินี้ใช้ในการตรวจสอบว่าผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่ หากปรากฏว่าเป็นบุคคลต้องห้ามก็จะไม่สามารถรับรองให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้
💡 สรุปข้อคิดทางกฎหมาย •แม้พินัยกรรมจะผิดแบบตามที่ตั้งใจไว้ (เช่น เอกสารลับ) แต่หากพินัยกรรมนั้นมีองค์ประกอบถูกต้องตามแบบอื่น (เช่น แบบธรรมดา) ก็สามารถใช้บังคับได้ •การตีความข้อสงสัยควรยึดหลัก “ตีความเป็นคุณ” ตามมาตรา 11 เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้มีสิทธิ์เสียเปรียบโดยไม่เป็นธรรม •ศาลสามารถตีความเจตนาของผู้ทำพินัยกรรมตามพฤติการณ์แวดล้อมและเอกสารประกอบ •ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับพินัยกรรมและผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม ย่อมมีสิทธิขอตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดก หากไม่เป็นบุคคลต้องห้าม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3001/2538 ลายมือชื่อของผู้ร้องอยู่เหนือลายมือชื่อของว. และไม่มีข้อความต่อท้ายว่า"ผู้พิมพ์"ส่วนลายมือชื่อของว.มีข้อความต่อท้ายว่า"ผู้พิมพ์"และว.เบิกความว่าตนเป็นผู้พิมพ์พินัยกรรมทั้งโดยปกติน่าจะพิมพ์คนเดียวกรณีจึงมีข้อสงสัยว่าผู้ร้องเป็นผู้พิมพ์พินัยกรรมด้วยหรือไม่ซึ่งต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้ร้องซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียหายในการนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา11จึงจะฟังว่าผู้ร้องเป็นผู้พิมพ์พินัยกรรมด้วยหาได้ไม่กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1653วรรคแรกอันจะทำให้พินัยกรรมหรือข้อกำหนดในพินัยกรรมเป็นโมฆะตามมาตรา1705เมื่อพินัยกรรมได้ทำผิดแบบพินัยกรรมเอกสารลับอันทำให้ตกเป็นโมฆะแต่พินัยกรรมดังกล่าวก็ได้ทำขึ้นถูกต้องตามแบบพินัยกรรมธรรมดาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1656ทุกประการพฤติการณ์แห่งคดีเป็นที่พึงสันนิษฐานได้ว่าถ้าเดิมทีผู้ทำพินัยกรรมรู้ว่าพินัยกรรมที่ตนทำนั้นไม่สมบูรณ์เป็นพินัยกรรมแบบเอกสารลับก็คงจะได้ตั้งใจให้สมบูรณ์เป็นพินัยกรรมแบบธรรมดากรณีเข้าลักษณะตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา136เดิมพินัยกรรมจึงสมบูรณ์เป็นพินัยกรรมแบบธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1656และตามพินัยกรรมดังกล่าวระบุให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกและเป็นผู้รับพินัยกรรมผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายตามพินัยกรรมทั้งได้ความว่าการจัดการมรดกของผู้ตายมีเหตุขัดข้องในการจัดการผู้ร้องไม่เป็นบุคคลต้องห้ามในการเป็นผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1718จึงสมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามพินัยกรรม
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2535นางแฉล้ม ถึงแก่ความตายเนื่องจากการหายใจล้มเหลวติดเชื้อในกระแสเลือดและเบาหวาน ก่อนตายนางแฉล้มได้ทำพินัยกรรมแบบเอกสารลับยกทรัพย์สินต่าง ๆ ให้ผู้ร้องและตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องได้ไปขอรับมรดกที่ดินตามพินัยกรรมแล้ว แต่มีเหตุขัดข้องในการจัดการ โดยเจ้าพนักงานที่ดินอ้างว่าต้องมีคำสั่งศาลตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกเสียก่อนผู้ร้องเป็นผู้ไม่ต้องห้ามในการเป็นผู้จัดการมรดก ขอให้มีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้องขอ ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นควรวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องในข้อที่ว่า ผู้ร้องลงลายมือชื่อในพินัยกรรมเอกสารหมาย ร.3 ในฐานะเป็นผู้พิมพ์หรือไม่เสียก่อน เห็นว่า ลายมือชื่อของผู้ร้องอยู่เหนือลายมือชื่อของนายวีระ และไม่มีข้อความต่อท้ายว่า"ผู้พิมพ์" ส่วนลายมือชื่อของนายวีระ มีข้อความต่อท้ายว่า"ผู้พิมพ์" และนายวีระเบิกความว่าตนเป็นผู้พิมพ์พินัยกรรมทั้งโดยปกติน่าจะพิมพ์คนเดียว กรณีจึงมีข้อสงสัยว่า ผู้ร้องเป็นผู้พิมพ์พินัยกรรมด้วยหรือไม่ ซึ่งต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้ร้องซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียหายในการนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 จึงจะฟังว่าผู้ร้องเป็นผู้พิมพ์พินัยกรรมด้วยหาได้ไม่ ข้อเท็จจริงน่าเชื่อตามคำเบิกความของผู้ร้องว่านางแฉล้ม ผู้ตายให้ผู้ร้องลงลายมือชื่อในพินัยกรรมเป็นผู้รับพินัยกรรม เมื่อเป็นดังนี้ กรณีก็ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1653วรรคแรก อันจะทำให้พินัยกรรมหรือข้อกำหนดในพินัยกรรมเป็นโมฆะตามมาตรา 1705
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า พินัยกรรมเอกสารหมาย ร.3 เป็นพินัยกรรมที่ผู้ตายทำขั้นและนำไปแสดงต่อสำนักงานเขตดุสิต หรือไม่เห็นว่าแม้การทำพินัยกรรมแบบเอกสารลับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1660 จะทำโดยวิธีเขียนหรือพิมพ์ก็ได้ ผู้เขียนหรือผู้พิมพ์จึงมีความหมายอย่างเดียวกันตามที่ผู้ร้องฎีกาก็ตาม แต่ผู้ใดเป็นผู้เขียนหรือผู้พิมพ์ซึ่งหากเป็นคนละคนกันก็ย่อมแตกต่างและขัดกัน ดังนี้ เมื่อตามทางนำสืบของผู้ร้องและตามพินัยกรรมเอกสารหมาย ร.3 ปรากฎว่านายวีระเป็นผู้พิมพ์หรืออีกนัยหนึ่งเป็นผู้เขียนพินัยกรรม แต่ปรากฎตามซองพินัยกรรมเอกสารหมาย ร.5 ว่า นางแฉล้ม ผู้ทำพินัยกรรมได้ให้ถ้อยคำต่อสำนักงานเขตดุสิตว่าตนเป็นผู้เขียนพินัยกรรม กรณีจึงย่อมเป็นการขัดกันดังที่ศาลล่างวินิจฉัย แต่เห็นว่าลำพังการขัดกันดังกล่าวยังไม่ถึงกับจะทำให้ไม่น่าเชื่อว่าพินัยกรรมเอกสารหมาย ร.3 มิใช่พินัยกรรมที่ นางแฉล้ม ผู้ทำ พินัยกรรมนำไปแสดงและให้ถ้อยคำต่อสำนักงานเขตดุสิต การที่ นางแฉล้ม ผู้ทำ พินัยกรรมให้ถ้อยคำว่าตนเป็นผู้เขียนพินัยกรรมนั้นอาจมีทางเป็นไปได้ว่าจะหมายถึงตนเป็นผู้ทำพินัยกรรมก็ได้ จึงต้องพิจารณาเหตุอื่นประกอบด้วยเมื่อพิเคราะห์พินัยกรรมเอกสารหมาย ร.3 ประกอบกับซองพินัยกรรมเอกสารหมาย ร.5 ปรากฎว่าพินัยกรรมลงวันที่ 13 เมษายน 2529นายแฉล้ม ผู้ทำพินัยกรรมนำพินัยกรรมไปแสดงและให้ถ้อยคำต่อสำนักงานเขตดุสิต วันที่ 15 เมษายน 2529 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังวันทำพินัยกรรมดังกล่าวเพียง 2 วัน ทั้งได้ให้ถ้อยคำว่าเมื่อตนถึงแก่กรรมแล้วให้มอบพินัยกรรมแก่ผู้ร้อง แสดงว่าผู้ร้องต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกตามพินัยกรรม ซึ่งก็สอดคล้องกับพินัยกรรมเอกสารหมาย ร.3 ที่ระบุให้ผู้ร้องเป็นผู้รับพินัยกรรมและผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก จึงน่าเชื่อว่าพินัยกรรมเอกสารหมาย ร.3 เป็นพินัยกรรมที่ นางแฉล้ม ผู้ตาย ทำขึ้นและนำไปแสดงต่อสำนักงานเขตดุสิตตามที่ผู้ร้องนำสืบ
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า เมื่อพินัยกรรมเอกสารหมาย ร.3 ซึ่งเป็นพินัยกรรมแบบเอกสารลับ ผู้ทำพินัยกรรมไม่ได้แจ้งนามและภูมิลำเนาของผู้เขียนให้ทราบอันทำให้ตกเป็นโมฆะแล้ว พินัยกรรมดังกล่าวจะสมบูรณ์เป็นพินัยกรรมแบบธรรมดาหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพินัยกรรมเอกสารหมาย ร.3 ได้ทำผิดแบบพินัยกรรมเอกสารลับอันทำให้ตกเป็นโมฆะแต่พินัยกรรมดังกล่าวก็ได้ทำขึ้นถูกต้องตามแบบพินัยกรรมธรรมดาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656 ทุกประการซึ่งพฤติการณ์แห่งคดีเป็นที่พึงสันนิษฐานได้ว่า ถ้าเดิมทีนางแฉล้มผู้ทำพินัยกรรมรู้ว่าพินัยกรรมที่ตนทำนั้นไม่สมบูรณ์เป็นพินัยกรรมแบบเอกสารลับ ก็คงจะได้ตั้งใจให้สมบูรณ์เป็นพินัยกรรมแบบธรรมดากรณีเข้าลักษณะตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 136 เดิม พินัยกรรมเอกสารหมาย ร.3 จึงสมบูรณ์เป็นพินัยกรรมแบบธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656
ปัญหาข้อสุดท้ายมีว่า สมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพินัยกรรมเอกสารหมาย ร.3 สมบูรณ์เป็นพินัยกรรมแบบธรรมดาดังได้วินิจฉัยมา และตามพินัยกรรมดังกล่าวระบุให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกและเป็นผู้รับพินัยกรรม ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายตามพินัยกรรม ทั้งได้ความตามทางนำสืบของผู้ร้องว่า การจัดการมรดกของผู้ตายมีเหตุขัดข้องในการจัดการ ผู้ร้องไม่เป็นบุคคลต้องห้ามในการเป็นผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 จึงสมควรจะตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามพินัยกรรม
พิพากษากลับ ให้ตั้งนายสุนทรี จินตกวีวัฒน์ เป็นผู้จัดการมรดกของนางแฉล้ม ผู้ตาย ตามพินัยกรรมให้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายต่อไป
🔎 IRAC: วิเคราะห์ฎีกาในกรอบกฎหมาย ✅ Issue (ประเด็นปัญหา): พินัยกรรมที่ทำผิดแบบเอกสารลับจะถือเป็นพินัยกรรมแบบธรรมดาได้หรือไม่ และผู้ร้องมีสิทธิเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ ✅ Rule (บทบัญญัติกฎหมาย): •มาตรา 11: ตีความข้อสงสัยเป็นคุณแก่ผู้เสียหาย •มาตรา 136: ถ้านิติกรรมผิดแบบหนึ่งแต่ถูกอีกแบบหนึ่ง ให้ถือว่าใช้ได้ •มาตรา 1656: พินัยกรรมแบบธรรมดาต้องมีผู้ทำลงลายมือชื่อและพยานสองคน •มาตรา 1718: บุคคลต้องห้ามเป็นผู้จัดการมรดก ✅ Application (การวิเคราะห์ใช้กฎหมาย): •ผู้ร้องไม่ใช่ผู้พิมพ์พินัยกรรมจริง จึงไม่เข้าข่ายทำให้พินัยกรรมโมฆะ •แม้พินัยกรรมแบบเอกสารลับจะมีข้อบกพร่อง แต่ศาลเห็นว่าเจตนาผู้ตายและรูปแบบพินัยกรรมครบถ้วนตามมาตรา 1656 •ผู้ร้องเป็นผู้รับพินัยกรรมและไม่มีลักษณะต้องห้าม ศาลจึงตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดก ✅ Conclusion (บทสรุป): พินัยกรรมที่ทำผิดแบบเอกสารลับยังมีผลสมบูรณ์เป็นพินัยกรรมแบบธรรมดาได้ และผู้ร้องซึ่งมีสิทธิตามพินัยกรรมสามารถได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดก
🌐 English Summary Supreme Court Judgment No. 3001/2538 Summary: This judgment concerns the validity of a will initially intended as a secret will but found to be invalid under that format. However, the Supreme Court ruled it was still valid as an ordinary will under Section 1656 of the Civil and Commercial Code, citing the decedent’s clear intention and proper formalities. The petitioner, named both executor and beneficiary in the will, was not disqualified under Section 1718 and was appointed as the estate administrator accordingly.
|