โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดก
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ผู้จัดการมรดก, ทำนิติกรรมเป็นปฏิปักษ์, กองมรดก, ความยินยอมทายาท *ศาลฎีกาวินิจฉัยจำเลยที่ 1 มีสิทธิโอนที่ดินมรดกส่วนของตนโดยชอบ ไม่เป็นการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก และไม่อาจเพิกถอนการโอนที่ดินให้จำเลยที่ 2 ได้ เนื่องจากพยานหลักฐานฝ่ายจำเลยมีน้ำหนักมากกว่า* คดีนี้มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า มีเหตุเพิกถอนนิติกรรมโอนมรดกที่ดินและนิติกรรมการให้ที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ โดยพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 และ 1719 เห็นว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทั้งผู้จัดการมรดกและทายาท มีสิทธิโอนที่ดินมรดกส่วนของตนตามหน้าที่โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากศาล จึงไม่ถือเป็นการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก โจทก์ทั้งเจ็ดไม่อาจฟ้องเพิกถอนการโอนดังกล่าวได้ สำหรับการโอนที่ดินให้จำเลยที่ 2 หลังจากที่จำเลยที่ 1 ได้รับโอนที่ดินส่วนตนไปแล้วโดยสุจริต และไม่มีการคัดค้านจากทายาทคนอื่น ทั้งนี้ โจทก์ที่ 1 ถึง 6 ได้ขายสิทธิในที่ดินให้จำเลยทั้งสองและได้รับเงินครบถ้วนแล้ว ส่วนโจทก์ที่ 7 ได้รับแบ่งทรัพย์ตามสิทธิ ศาลเห็นว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักมากกว่า จึงไม่อาจเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินดังกล่าวได้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และไม่ต้องวินิจฉัยฎีกาในประเด็นอื่นเพิ่มเติม คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1653/2567 บทบัญญัติของ ป.พ.พ. มาตรา 1722 ที่ว่าผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกหาได้ไม่ เว้นแต่พินัยกรรมจะอนุญาตไว้ หรือได้รับอนุญาตจากศาล เป็นกรณีที่ใช้บังคับเฉพาะผู้จัดการมรดกที่มิได้เป็นทายาท แต่สำหรับจำเลยที่ 1 นอกจากเป็นผู้จัดการมรดกของ ส. ตามคำสั่งศาลแล้วยังเป็นหนึ่งในทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของ ส. การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของ ส. ให้แก่ตนเองเป็นส่วนตัวในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกในที่ดินพิพาทด้วย จึงเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่มีอยู่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากทายาทหรือได้รับอนุญาตจากศาล จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการอันเป็นการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1722 อันจะมีผลทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150
โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดกเฉพาะส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 24055 ตำบลบ้านร่อม อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสวน ผู้ตาย โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัว กับให้เพิกถอนนิติกรรมการยกให้ที่ดินดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และเพิกถอนนิติกรรมของจำเลยที่ 2 ที่แบ่งแยกโฉนดที่ดินเลขที่ 24055 เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 25608 จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 4 ถึงแก่ความตาย นางถนอมยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดกเฉพาะส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 24055 ระหว่างจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสวน กับจำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัว ซึ่งทำเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2555 เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งทำเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2558 และเพิกถอนนิติกรรมของจำเลยที่ 2 ที่แบ่งแยกโฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 25608 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งเจ็ด โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับนิติกรรมการโอนที่ดินมรดกเฉพาะส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 24055 ซึ่งทำเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2555 และนิติกรรมการให้ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งทำเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2558 ให้เพิกถอนเฉพาะส่วนที่เป็นของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 7 คิดเป็น 6 ส่วน จาก 11 ส่วน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่มิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งเจ็ด จำเลยที่ 1 นางสาวสุดใจหรือสมใจ (ถึงแก่ความตายไปก่อน) นายประเสริฐ และนายสมจิตหรือสมจิตต์ รวม 11 คน เป็นบุตรของนางสวน นางสวนถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2519 มีทรัพย์มรดกเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 24047 เนื้อที่ 11 ไร่ 2 งาน ซึ่งเป็นที่นา และในปี 2520 มีการโอนทางมรดกให้ทายาททั้ง 10 คน ถือกรรมสิทธิ์รวมแล้ว กับที่ดินโฉนดเลขที่ 24055 หรือเดิมโฉนดเลขที่ 1519 เนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 40 ตารางวา ที่พิพาท ซึ่งใช้เป็นที่ปลูกบ้านอยู่อาศัยและนางสวนถือกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ที่ 7 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2554 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางสวน วันที่ 4 มกราคม 2555 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 และวันที่ 12 มิถุนายน 2558 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินเฉพาะส่วนให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 โดยเสน่หา ไม่มีค่าตอบแทน เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 โจทก์ที่ 7 และจำเลยที่ 2 ยื่นคำขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ดินโฉนดเลขที่ 24055 ซึ่งในการรังวัดที่ดินได้เนื้อที่ 3 ไร่ 31.7 ตารางวา มากกว่าตามหลักฐานเดิม กับหักที่ดินเป็นสาธารณประโยชน์ (คลองชลประทาน สาย 1 ขวา 24 ขวา) 49.5 ตารางวา และในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม โจทก์ที่ 7 ได้เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 50.1 ตารางวา จำเลยที่ 2 ได้เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 32.1 ตารางวา คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยทั้งสองว่า มีเหตุเพิกถอนนิติกรรมการโอนมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 24055 เฉพาะส่วนของนางสวนเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2555 และนิติกรรมการให้ที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2558 เฉพาะส่วนที่เป็นของโจทก์ทั้งเจ็ด คิดเป็น 6 ส่วน จาก 11 ส่วน ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ เห็นว่า บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 ที่ว่า ผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกหาได้ไม่ เว้นแต่พินัยกรรมจะได้อนุญาตไว้ หรือได้รับอนุญาตจากศาล เป็นกรณีที่ใช้บังคับเฉพาะผู้จัดการมรดกที่มิได้เป็นทายาท แต่สำหรับจำเลยที่ 1 นอกจากเป็นผู้จัดการมรดกของนางสวนตามคำสั่งศาลแล้วยังเป็นหนึ่งในทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของนางสวน การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของนางสวนให้แก่ตนเองเป็นส่วนตัวในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกในที่ดินพิพาทด้วย จึงเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากทายาทหรือได้รับอนุญาตจากศาล จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการอันเป็นการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 อันจะมีผลทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 แต่อย่างใด โจทก์ทั้งเจ็ดจึงไม่อาจที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินมรดกเฉพาะส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 24055 ซึ่งจำเลยที่ 1 ดำเนินการไปเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2555 ตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2558 นั้น เห็นว่า เมื่อทายาททุกคนต่างรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอจัดการมรดกของนางสวน แล้วจำเลยที่ 1 นำคำสั่งศาลไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลยที่ 1 เป็นส่วนตัวเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2555 หลังจากนั้นอีกกว่า 3 ปี จำเลยที่ 1 จึงจดทะเบียนโอนให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2558 โดยไม่ปรากฏว่ามีการกระทำใดที่ไม่สุจริต แล้วหลังจากจำเลยทั้งสองครอบครองปลูกสร้างบ้านอยู่อาศัย ไม่มีทายาทคนใดโต้แย้งคัดค้านเลยว่าจำเลยที่ 1 จัดการทรัพย์มรดกไปโดยไม่ชอบ จึงเชื่อได้ว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 ได้ขายสิทธิในที่ดินพิพาทส่วนของแต่ละคนให้แก่จำเลยทั้งสองและได้รับเงินไปครบถ้วนแล้ว จำเลยทั้งสองได้แบ่งทรัพย์มรดกในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 7 รับไปตามสิทธิครบถ้วนแล้ว พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งเจ็ด โจทก์ทั้งเจ็ดไม่อาจที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งทำเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2558 ได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยทั้งสองในประเด็นอื่นไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลเปลี่ยนแปลงแล้ว และฎีกาของโจทก์ทั้งเจ็ดส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 6 ฟังไม่ขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยข้อที่โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาเกินคำขออีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดเสียทั้งหมด ให้โจทก์ทั้งเจ็ดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 10,000 บาท 1. คำพิพากษาศาลฎีกา ผู้จัดการมรดก 2. โอนที่ดินมรดก ป.พ.พ. มาตรา 1722 3. ผู้จัดการมรดก ทายาท 4. เพิกถอนนิติกรรม โอนที่ดิน 5. ปัญหามรดก ที่ดินศาลฎีกา 6. สิทธิทายาท มรดก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1653/2567 โดยสรุป: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 กำหนดว่า ผู้จัดการมรดกไม่สามารถทำนิติกรรมที่ขัดต่อกองมรดกได้ เว้นแต่พินัยกรรมหรือศาลจะอนุญาต กรณีนี้จำเลยที่ 1 นอกจากเป็นผู้จัดการมรดกของนางสวน ยังเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกที่ดินด้วย จึงโอนที่ดินส่วนของตนให้ตัวเองได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากศาล ไม่ถือเป็นการทำนิติกรรมที่ขัดต่อกองมรดก จึงไม่เป็นโมฆะ โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องเพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 24055 โดยศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนนิติกรรม แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แก้คำพิพากษาให้เพิกถอนเฉพาะส่วนที่เป็นของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่า การโอนที่ดินของจำเลยที่ 1 เป็นไปตามกฎหมาย เมื่อพยานหลักฐานแสดงว่าโจทก์ทราบและยินยอมในกระบวนการ และไม่ได้โต้แย้งขัดขวาง ศาลจึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งหมด การอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722, มาตรา 150 และมาตรา 1719 ดังนี้: 1. มาตรา 1722 – ข้อห้ามผู้จัดการมรดกทำธุรกรรมขัดกับกองมรดก มาตรานี้กำหนดว่า ผู้จัดการมรดกไม่สามารถทำนิติกรรมใด ๆ ที่ตนมีส่วนได้เสียซึ่งขัดต่อประโยชน์ของกองมรดก เว้นแต่จะมีการอนุญาตไว้ในพินัยกรรมหรือได้รับอนุญาตจากศาล ซึ่งหลักการนี้มุ่งป้องกันการกระทำที่ผู้จัดการมรดกอาจแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนจากทรัพย์มรดก อย่างไรก็ดี หากผู้จัดการมรดกเป็นหนึ่งในทายาทและมีสิทธิรับมรดกตามกฎหมาย มาตรานี้อาจไม่ใช้บังคับอย่างเข้มงวดตามแนวทางที่ศาลวินิจฉัย 2. มาตรา 150 – นิติกรรมที่เป็นโมฆะ มาตรานี้กำหนดว่านิติกรรมใด ๆ ที่กระทำไปโดยขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี นิติกรรมนั้นจะถือเป็นโมฆะ หมายความว่า นิติกรรมนั้นจะไม่มีผลทางกฎหมายตั้งแต่แรก ดังนั้น หากผู้จัดการมรดกทำนิติกรรมขัดกับกองมรดก เช่นโอนทรัพย์มรดกให้ตนเองโดยไม่มีสิทธิ มรดกนั้นอาจถูกเพิกถอนได้ 3. มาตรา 1719 – อำนาจของผู้จัดการมรดก มาตรานี้ให้อำนาจผู้จัดการมรดกในการจัดการทรัพย์มรดกแทนทายาท เช่น การเก็บทรัพย์สิน การชำระหนี้สิน และการจัดแบ่งทรัพย์สินตามสิทธิของทายาท แต่ผู้จัดการมรดกต้องปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและไม่แสวงหาประโยชน์ส่วนตนเกินสมควร ทั้งนี้ ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่หลักในการบริหารจัดการทรัพย์มรดกตามที่กำหนดไว้ในพินัยกรรมหรือตามกฎหมาย ผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกหาได้ไม่ เว้นแต่พินัยกรรมจะอนุญาตไว้ หรือได้รับอนุญาตจากศาล ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1722 นั้นต้องเป็นกรณีที่นำมาใช้บังคับเฉพาะผู้จัดการมรดกที่มิได้เป็นทายาทเท่านั้น แต่สำหรับผู้จัดการมรดกที่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย การจดทะเบียนโอนที่ดินเฉพาะส่วนที่ผู้ตายยกให้เป็นการส่วนตัวจึงเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่มีอยู่โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากทายาทหรือได้รับอนุญาตจากศาล จึงไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก *******ผู้จัดการมรดกไม่สามารถทำนิติกรรมที่ขัดต่อกองมรดกได้ เว้นแต่พินัยกรรมหรือศาลจะอนุญาต บทนำ บทบาทของผู้จัดการมรดกมีความสำคัญในการรักษาทรัพย์สินของผู้ตายและจัดการแบ่งมรดกตามสิทธิของทายาท โดยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722 ได้กำหนดข้อจำกัดไว้อย่างชัดเจนว่า "ผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกมิได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลหรือพินัยกรรมระบุไว้" บทบัญญัตินี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันการใช้อำนาจที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งหรือความเสียหายต่อกองมรดกและทายาทรายอื่น บทความนี้จะอธิบายหลักการดังกล่าว พร้อมนำเสนอคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาเปรียบเทียบให้เห็นความชัดเจน หลักการตามกฎหมาย •มาตรา 1722 กำหนดว่าผู้จัดการมรดกไม่สามารถทำนิติกรรมที่อาจขัดต่อประโยชน์ของกองมรดกได้ เช่น การโอนทรัพย์สินของกองมรดกมาเป็นของตนเอง เว้นแต่กรณีที่: oพินัยกรรมได้ระบุอนุญาตไว้อย่างชัดเจน oได้รับอนุญาตจากศาลในการดำเนินการนั้น การฝ่าฝืนมาตรา 1722 จะส่งผลให้นิติกรรมนั้นตกเป็น โมฆะ ตาม มาตรา 150 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1480/2563: ในคดีนี้ ผู้จัดการมรดกโอนที่ดินมรดกให้ตนเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ศาลพิจารณาว่าผู้รับโอนที่ดินต่อมาได้สิทธิโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว จึงไม่สามารถเพิกถอนสิทธิดังกล่าวได้ *ฎีกาย่อ: เมื่อผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมและศาลชั้นต้นตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้ตนเองในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาท โดยการกระทำดังกล่าวเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ ไม่ขัดต่อกองมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 และ 1722 และไม่ตกเป็นโมฆะตามมาตรา 150 แม้โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทจะไม่ได้รับมรดกดังกล่าว แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องดำเนินการแยกต่างหาก จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ซึ่งรับโอนโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 3 กระทำโดยไม่สุจริต การนำสืบพยานที่นอกเหนือจากคำฟ้องจึงไม่อาจรับฟังได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 86 และ 87 (1) เนื่องจากโจทก์ทั้งสี่ยังไม่ได้จดทะเบียนสิทธิในที่ดินพิพาท การอ้างสิทธิในที่ดินดังกล่าวต่อจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 และ 1300 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 2 กับ 3 หรือจำเลยที่ 3 กับ 4 และเมื่อกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยที่ 3 โดยเด็ดขาดแล้ว การเพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 กับ 2 จึงไม่มีประโยชน์ ศาลฎีกาเห็นว่าผลคำพิพากษาควรมีผลไปถึงจำเลยที่ 1 และ 2 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) และ 252 • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1653/2567: ศาลวินิจฉัยว่าบทบัญญัติของมาตรา 1722 ใช้บังคับเฉพาะผู้จัดการมรดกที่มิได้เป็นทายาท แต่หากผู้จัดการมรดกเป็นทายาทด้วย การทำนิติกรรมที่เกี่ยวข้องกับมรดกอาจไม่ถือว่าเป็นการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก ฎีกาย่อ: บทบัญญัติของ ป.พ.พ. มาตรา 1722 ที่ว่าผู้จัดการมรดกจะทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกหาได้ไม่ เว้นแต่พินัยกรรมจะอนุญาตไว้ หรือได้รับอนุญาตจากศาล เป็นกรณีที่ใช้บังคับเฉพาะผู้จัดการมรดกที่มิได้เป็นทายาท แต่สำหรับจำเลยที่ 1 นอกจากเป็นผู้จัดการมรดกของ ส. ตามคำสั่งศาลแล้วยังเป็นหนึ่งในทายาทที่มีสิทธิรับมรดกของ ส. การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของ ส. ให้แก่ตนเองเป็นส่วนตัวในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกในที่ดินพิพาทด้วย จึงเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่มีอยู่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากทายาทหรือได้รับอนุญาตจากศาล จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการอันเป็นการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1722 อันจะมีผลทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7933/2557: ในกรณีที่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความถูกต้องของพินัยกรรม ศาลพิจารณาว่าการจัดการมรดกตามพินัยกรรมที่ยังมีข้อโต้แย้งอยู่นั้น ไม่สามารถดำเนินการได้จนกว่าจะมีการพิสูจน์ความถูกต้องของพินัยกรรม ฎีกาย่อ: ผู้ร้องที่ 1 ขอจัดการมรดกตามพินัยกรรม ผู้คัดค้านอ้างว่าพินัยกรรมดังกล่าวเป็นพินัยกรรมปลอม จึงเป็นข้อโต้เถียงกันอยู่ รับฟังเป็นยุติไม่ได้ว่าพินัยกรรมปลอมหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญและเป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลชั้นต้นต้องวินิจฉัย เพราะหากฟังได้ว่าเป็นพินัยกรรมปลอม ผู้ร้องที่ 1 ก็มิใช่ผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องที่ 1 มีหน้าที่นำสืบ ส่วนผู้คัดค้านย่อมนำสืบหักล้างความมีอยู่ของพินัยกรรม การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้ผู้คัดค้านสืบพยาน จึงเป็นการมิชอบ เป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 851/2547: ผู้จัดการมรดกมีสิทธิฟ้องขอแบ่งที่ดินที่เป็นมรดกเพื่อแบ่งปันให้ทายาทต่อไป การกระทำดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการปฏิปักษ์ต่อกองมรดก ฎีกาย่อ: ป.พ.พ. มาตรา 1719 บัญญัติว่า "ผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่ที่จะทำการอันจำเป็นเพื่อให้การเป็นไปตามคำสั่งแจ้งชัดหรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรม และเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไปหรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก" ตามบทบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่รวบรวมทรัพย์มรดกเพื่อแบ่งปันแก่ทายาท เมื่อ ส. เจ้ามรดกเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทคนหนึ่ง โจทก์ทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของ ส. ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้แบ่งที่ดินพิพาทได้เพื่อนำที่ดินส่วนที่เป็นมรดกดังกล่าวมาแบ่งปันให้ทายาทต่อไป • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3790/2560: ในกรณีที่มีการร้องขอถอนผู้จัดการมรดกเนื่องจากละเลยหน้าที่หรือมีเหตุสมควร ศาลพิจารณาว่าการกระทำของผู้จัดการมรดกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกหรือทายาท อาจเป็นเหตุให้ศาลสั่งถอนผู้จัดการมรดกได้ ฎีกาย่อ:
คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งให้ผู้ร้องคัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ทั้งผู้คัดค้านที่ 2 และฝ่ายผู้ร้องคัดค้านที่ 1 ต่างยื่นคำร้องขอให้ถอนอีกฝ่ายออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่า มีเหตุสมควรที่จะถอนผู้ร้องคัดค้านที่ 1 หรือผู้คัดค้านที่ 2 ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกเพราะเหตุละเลยไม่ทำตามหน้าที่หรือมีเหตุอย่างอื่นที่สมควรหรือไม่ การที่ผู้ร้องคัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ตกลงท้ากันให้ศาลชั้นต้นชี้ขาดว่าที่ดินมรดกของผู้ตายเป็นสินส่วนตัวหรือสินสมรสของผู้ตาย เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยอันมีผลให้คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถูกถอนออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก โดยมิใช่เหตุตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ จึงมิใช่เป็นการตกลงกันเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีนี้โดยตรง เป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันเป็นคดีอื่นต่างหาก การที่ศาลชั้นต้นไม่ดำเนินการไต่สวนคำร้องขอแต่กลับพิจารณาตามคำท้าหรือข้อตกลงของคู่ความทั้งสองฝ่าย ถือเป็นการที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามกฎหมาย เห็นควรให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำสั่งใหม่ให้ถูกต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (2) ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
บทสรุป
หลักการตามมาตรา 1722 มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการใช้อำนาจของผู้จัดการมรดกเพื่อป้องกันการทำนิติกรรมที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อกองมรดกและทายาทรายอื่น ผู้จัดการมรดกจึงต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายอย่างเคร่งครัด ตัวอย่างคำพิพากษาที่นำเสนอข้างต้นช่วยชี้ให้เห็นถึงผลของการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและย้ำถึงความสำคัญของการขออนุญาตจากศาลหรือการดำเนินการตามพินัยกรรม ข้อควรระวัง: การกระทำใด ๆ ที่อาจขัดต่อกองมรดกควรปรึกษาทนายความหรือศาลก่อน เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายอย่างเคร่งครัด
|