

ผู้จัดการมรดกร่วมถึงแก่ความตายต้องทำอย่างไร, ฟ้องซ้อน คืออะไร, แต่งตั้งผู้จัดการมรดก
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ผู้จัดการมรดกร่วมถึงแก่ความตายต้องทำอย่างไร, ฟ้องซ้อน คืออะไร, แต่งตั้งผู้จัดการมรดก ฟ้องซ้อนคืออะไร? ศาลชี้หลักเกณฑ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 และสิทธิการจัดการมรดกเมื่อผู้จัดการมรดกร่วมถึงแก่ความตาย ทำความเข้าใจฟ้องซ้อน: เงื่อนไขตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 และกรณีสิ้นสุดสถานะผู้จัดการมรดกร่วมเมื่อถึงแก่ความตาย พร้อมสิทธิยื่นคำร้องขอเปลี่ยนแปลงคำสั่งแต่งตั้งใหม่ คำฟ้องหรือคำร้องจะถือว่าเป็นฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) ต้องเป็นกรณีที่คู่ความในคดีแรกและคดีหลังมีฐานะเป็นโจทก์เหมือนกัน แม้ผู้คัดค้านที่ 2 เคยยื่นคำคัดค้านเพื่อขอแต่งตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดก แต่ในคดีหมายเลขดำที่ พ 6364/2563 ผู้คัดค้านที่ 2 ถูกผู้คัดค้านที่ 1 ฟ้องในฐานะจำเลย จึงไม่ถือเป็นฟ้องซ้อนตามมาตรา 173 เมื่อศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกร่วมกัน การจัดการต้องดำเนินการร่วมกันโดยเสียงข้างมากตาม ป.พ.พ. มาตรา 1726 หากผู้จัดการมรดกร่วมคนใดถึงแก่ความตาย ความเป็นผู้จัดการมรดกของบุคคลนั้นสิ้นสุดลงตามสภาพ แต่ผู้จัดการมรดกที่เหลือยังคงมีฐานะเป็นผู้จัดการมรดก เพียงแต่ไม่อาจดำเนินการต่อได้ เนื่องจากต้องปฏิบัติตามมาตรา 1726 ดังนั้น กรณีนี้ถือว่ามีเหตุขัดข้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 1713 วรรคหนึ่ง (2) ผู้คัดค้านที่ 2 จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอแต่งตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกเพียงผู้เดียวเพื่อแก้ไขคำสั่งเดิมได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2629/2567 คำฟ้องหรือคำร้องขอใดจะเป็นฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) นั้นคู่ความในคดีแรกและคดีหลังต้องมีฐานะเป็นโจทก์ แม้ผู้คัดค้านที่ 2 จะเคยยื่นคำคัดค้านโดยขอให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ต่อมาผู้คัดค้านที่ 2 จึงยื่นคำร้องขอเป็นคดีนี้ อันถือได้ว่าผู้คัดค้านที่ 2 อยู่ในฐานะโจทก์ดังที่ผู้คัดค้านที่ 1 อ้างในฎีกาก็ตาม แต่คดีหมายเลขดำที่ พ 6364/2563 นั้น ผู้คัดค้านที่ 2 ถูกผู้คัดค้านที่ 1 ฟ้อง ผู้คัดค้านที่ 2 จึงอยู่ในฐานะจำเลย ไม่ต้องด้วยกรณี ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) เมื่อศาลมีคำสั่งตั้งบุคคลหลายคนเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน การทำหน้าที่ของผู้จัดการมรดกจะต้องจัดการร่วมกันโดยถือเอาเสียงข้างมากตาม ป.พ.พ. มาตรา 1726 เมื่อผู้จัดการมรดกร่วมคนใดคนหนึ่งถึงแก่ความตาย ความเป็นผู้จัดการมรดกของบุคคลนั้นย่อมสิ้นสุดลงโดยสภาพ แต่ผู้จัดการมรดกที่เหลือยังคงฐานะผู้จัดการมรดกอยู่ตามคำสั่งศาล เพียงแต่ไม่อาจจัดการมรดกต่อไปได้เท่านั้นเพราะจะฝ่าฝืนต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1726 กรณีมีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1713 วรรคหนึ่ง (2) ผู้คัดค้านที่ 2 ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกเพื่อเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมเข้ามาในคดีนี้ได้ คดีสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของนางนงนาท ผู้ตายร่วมกัน คดีถึงที่สุด ต่อมาวันที่ 18 ธันวาคม 2563 ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นฟ้องผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 2 เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขดำที่ พ 6364/2563 ขอให้เพิกถอนพินัยกรรม เพิกถอนผู้จัดการมรดก และตั้งผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกผู้ตาย คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา ครั้นวันที่ 8 พฤษภาคม 2564 ผู้ร้องถึงแก่ความตาย วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเพียงคนเดียว ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องขอ และมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้ผู้คัดค้านที่ 2 ไปดำเนินการในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ 6364/2563 ของศาลชั้นต้นต่อไป ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเพียงคนเดียว โดยให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ประการแรกมีว่า คำร้องของผู้คัดค้านที่ 2 ที่ขอให้ตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเพียงคนเดียวเป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ พ 6364/2563 ของศาลชั้นต้น หรือไม่ เห็นว่า คำฟ้องหรือคำร้องขอใดจะเป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) นั้น คู่ความในคดีแรกและคดีหลังต้องมีฐานะเป็นโจทก์ แม้ผู้คัดค้านที่ 2 จะเคยยื่นคำคัดค้านโดยขอให้ตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ต่อมาผู้คัดค้านที่ 2 จึงยื่นคำร้องขอเป็นคดีนี้ อันถือได้ว่าผู้คัดค้านที่ 2 อยู่ในฐานะโจทก์ดังที่ผู้คัดค้านที่ 1 อ้างในฎีกาก็ตาม แต่คดีหมายเลขดำที่ พ 6364/2563 นั้น ผู้คัดค้านที่ 2 ถูกผู้คัดค้านที่ 1 ฟ้อง ผู้คัดค้านที่ 2 จึงอยู่ในฐานะจำเลยไม่ต้องด้วยกรณีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำร้องของผู้คัดค้านที่ 2 ไม่เป็นฟ้องซ้อนมานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ประการต่อไปมีว่า ผู้คัดค้านที่ 2 มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเข้ามาในคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลมีคำสั่งตั้งบุคคลหลายคนเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน การทำหน้าที่ของผู้จัดการมรดกจะต้องจัดการร่วมกันโดยถือเอาเสียงข้างมาก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 เมื่อผู้จัดการมรดกร่วมคนใดคนหนึ่งถึงแก่ความตาย ความเป็นผู้จัดการมรดกของบุคคลนั้นย่อมสิ้นสุดลงโดยสภาพ แต่ผู้จัดการมรดกที่เหลือยังคงฐานะผู้จัดการมรดกอยู่ตามคำสั่งศาล เพียงแต่ไม่อาจจัดการมรดกต่อไปได้เท่านั้น เพราะจะฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 กรณีจึงมีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 วรรคหนึ่ง (2) ผู้คัดค้านที่ 2 ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกเพื่อเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมเข้ามาในคดีนี้ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
1. ฟ้องซ้อน คืออะไร 2. การแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเพียงคนเดียว 3. มาตรา 1726 การจัดการมรดก 4. เงื่อนไขฟ้องซ้อน มาตรา 173 5. ผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตาย ต้องทำอย่างไร 6. คำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกใหม่ 7. คดีมรดก ศาลฎีกาวินิจฉัย 8. ความขัดแย้งในการจัดการมรดก เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งแต่งตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันของนางนงนาท ต่อมาผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นฟ้องในคดีหมายเลขดำที่ พ 6364/2563 เพื่อขอเพิกถอนพินัยกรรมและแต่งตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกแทน แต่ในระหว่างการพิจารณาคดี ผู้ร้องถึงแก่ความตาย ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำร้องขอแต่งตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกเพียงผู้เดียว ผู้คัดค้านที่ 1 คัดค้านโดยขอให้ศาลจำหน่ายคดี ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งแต่งตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกเพียงผู้เดียว ผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกา โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำร้องของผู้คัดค้านที่ 2 ไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) เนื่องจากสถานะคู่ความในคดีแตกต่างกัน จึงไม่เข้าข่ายฟ้องซ้อน ศาลฎีกายังวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านที่ 2 มีสิทธิยื่นคำร้องขอแต่งตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกคนเดียวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 และ 1726 เพราะเมื่อผู้จัดการมรดกร่วมถึงแก่ความตาย ผู้จัดการมรดกที่เหลือมีสิทธิยื่นคำร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมได้ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ **การอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 มาตรา 1726 ระบุว่า หากมีการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกร่วมกัน ผู้จัดการมรดกต้องจัดการมรดกร่วมกันโดยถือเสียงข้างมาก เว้นแต่จะมีข้อกำหนดอื่นไว้ในพินัยกรรมหรือคำสั่งศาล การจัดการมรดกโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพียงคนเดียวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในคดีนี้ เมื่อผู้จัดการมรดกร่วม (ผู้ร้อง) ถึงแก่ความตาย ความเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ร้องย่อมสิ้นสุดลงโดยสภาพ แต่ผู้จัดการมรดกที่เหลือ (ผู้คัดค้านที่ 2) ยังคงมีสถานะเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลเดิม เพียงแต่ไม่สามารถดำเนินการจัดการมรดกต่อไปได้ เนื่องจากต้องปฏิบัติร่วมกับผู้จัดการมรดกอื่น จึงเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำร้องขอแต่งตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกเพียงผู้เดียว ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติในมาตรา 1726 2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) มาตรา 173 วรรคสอง (1) กำหนดว่า คำฟ้องหรือคำร้องขอจะเป็น "ฟ้องซ้อน" ก็ต่อเมื่อคู่ความในคดีแรกและคดีหลังต้องมีฐานะเป็นโจทก์ในคดีทั้งสอง และต้องฟ้องในเรื่องสิทธิหรือหน้าที่ที่เป็นข้อพิพาทเดียวกัน ในคดีนี้:** คำร้องของผู้คัดค้านที่ 2 ที่ขอแต่งตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกเพียงผู้เดียว ไม่ถือว่าเป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ พ 6364/2563 เพราะในคดีดังกล่าว ผู้คัดค้านที่ 2 มีสถานะเป็นจำเลย ไม่ใช่โจทก์ ดังนั้น ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าคำร้องนี้ไม่ขัดกับมาตรา 173 บทวิเคราะห์เพิ่มเติม:** มาตรา 1726: กำหนดกลไกการจัดการมรดกเมื่อมีผู้จัดการมรดกร่วม โดยเน้นการจัดการร่วมกันเป็นหลัก แต่เมื่อเกิดเหตุที่ทำให้ผู้จัดการมรดกบางรายไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เช่น การถึงแก่ความตาย ผู้จัดการมรดกที่เหลือสามารถขอให้ศาลแต่งตั้งใหม่เพื่อแก้ไขสถานการณ์ มาตรา 173: เป็นข้อจำกัดเพื่อป้องกันการดำเนินคดีซ้ำซ้อน แต่ในกรณีนี้ ศาลพิจารณาแล้วว่าเงื่อนไขการเป็นฟ้องซ้อนไม่ครบองค์ประกอบ สรุปหลักกฎหมายที่สำคัญ: 1. มาตรา 1726:** เน้นการจัดการมรดกร่วมกัน แต่เปิดทางให้แก้ไขคำสั่งศาลเมื่อเกิดเหตุขัดข้อง 2. มาตรา 173:** กำหนดเงื่อนไขฟ้องซ้อนเพื่อความเป็นธรรมและประสิทธิภาพในการพิจารณาคดี ผลลัพธ์ในคดีนี้:** ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านที่ 2 มีสิทธิขอแต่งตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกเพียงผู้เดียว และคำร้องไม่ถือเป็นฟ้องซ้อน คำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมาย
ฟ้องซ้อน คืออะไร ความหมายของคำว่าฟ้องซ้อน "ฟ้องซ้อน" หมายถึง คดีที่ฟ้องซ้ำซ้อนกับคดีที่เคยฟ้องไว้แล้ว โดยคู่ความและข้อพิพาทในคดีทั้งสองเป็นเรื่องเดียวกัน ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ได้บัญญัติไว้เพื่อป้องกันการดำเนินคดีที่สิ้นเปลืองและไม่จำเป็น มาตรา 173 วรรคสอง (1) กำหนดว่า หากมีการฟ้องคดีต่อศาลใหม่ในเรื่องเดียวกันกับคดีที่อยู่ระหว่างพิจารณา คดีใหม่จะถือว่าเป็นฟ้องซ้อน หากคดีทั้งสอง: 1. คู่ความในคดีทั้งสองมีสถานะเป็นโจทก์หรือจำเลยในเรื่องเดียวกัน 2. สิทธิหรือหน้าที่ที่เป็นข้อพิพาทในคดีทั้งสองตรงกัน ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา: คดีที่ถือว่าเป็นฟ้องซ้อน 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1153/2521 โจทก์ฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยทำขึ้น ต่อมาฟ้องคดีใหม่ในเรื่องเดียวกัน โดยคู่ความและข้อพิพาทตรงกัน ศาลถือว่าเป็นฟ้องซ้อน 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2541/2533 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ ต่อมาฟ้องคดีใหม่ในเรื่องเดียวกัน โดยระบุจำนวนเงินที่ค้างชำระเพิ่มเติม ศาลพิจารณาแล้วว่าเป็นฟ้องซ้อน เพราะสิทธิที่ฟ้องเหมือนเดิม 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3159/2540 โจทก์ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดิน ต่อมาฟ้องใหม่ในเรื่องการเพิกถอนโอนที่ดินแปลงเดิม ศาลเห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกันและถือเป็นฟ้องซ้อน 4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5116/2545 คดีเดิมโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดชอบค่าเสียหายจากอุบัติเหตุ คดีใหม่ฟ้องเพิ่มเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลจากเหตุการณ์เดียวกัน ศาลวินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้อน ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา: คดีที่ไม่ถือว่าเป็นฟ้องซ้อน 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 735/2548 โจทก์ฟ้องคดีแรกขอชำระค่าเช่า ต่อมาฟ้องคดีใหม่ขอขับไล่ผู้เช่าออกจากทรัพย์สิน แม้คู่ความเหมือนเดิม แต่ศาลพิจารณาแล้วว่าข้อพิพาทในคดีทั้งสองแตกต่างกัน 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1028/2551 โจทก์ฟ้องคดีแรกขอชำระหนี้เงินกู้ ต่อมาฟ้องคดีใหม่เกี่ยวกับดอกเบี้ยที่ค้างชำระเพิ่มเติม ศาลวินิจฉัยว่าข้อพิพาทไม่ใช่เรื่องเดียวกัน 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 418/2567 ผู้ร้องขอแต่งตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกในคดีใหม่ แม้มีข้อพิพาทในคดีเดิมเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์มรดก แต่คู่ความในคดีมีสถานะต่างกัน ศาลเห็นว่าไม่เป็นฟ้องซ้อน 4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 987/2562 โจทก์ฟ้องคดีแรกเรื่องสิทธิเหนือทรัพย์สิน ต่อมาฟ้องคดีใหม่เรื่องการละเมิด ศาลเห็นว่าเป็นสิทธิที่ต่างกันและไม่ใช่เรื่องเดียวกัน บทวิเคราะห์ การพิจารณาว่าคดีใดเป็นฟ้องซ้อน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสำคัญสองประการ: 1. คู่ความต้องมีสถานะเหมือนเดิมในคดีทั้งสอง 2. ข้อพิพาทในคดีต้องเป็นเรื่องเดียวกัน ตัวอย่างคำพิพากษาแสดงให้เห็นว่าคดีที่ฟ้องในเรื่องหรือสิทธิแตกต่างกัน แม้คู่ความเหมือนกัน ก็อาจไม่ถือว่าเป็นฟ้องซ้อน หากไม่มีการฟ้องในสิ่งที่ซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็น สรุป การฟ้องซ้อนเป็นสิ่งที่กฎหมายป้องกันเพื่อความมีประสิทธิภาพของการพิจารณาคดี ศาลจะใช้ดุลพินิจพิจารณาตามองค์ประกอบของมาตรา 173 อย่างรอบคอบ ดังนั้น การศึกษาคำพิพากษาศาลฎีกาเปรียบเทียบ จะช่วยให้เข้าใจแนวทางปฏิบัติในเรื่องฟ้องซ้อนอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น การทำหน้าที่ของผู้จัดการมรดก ที่ต้องจัดการร่วมกันโดยถือเอาเสียงข้างมาก หมายถึง กรณีที่มีการแต่งตั้งหรือศาลสั่งให้มีผู้จัดการมรดกหลายคน การตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดการมรดกจะต้องทำโดยความเห็นชอบของผู้จัดการมรดกส่วนใหญ่หรือเสียงข้างมากของผู้จัดการมรดกที่ได้รับการแต่งตั้ง ไม่ใช่การตัดสินใจโดยลำพังของผู้จัดการมรดกคนใดคนหนึ่ง หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 - กำหนดว่า ผู้จัดการมรดกต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังเพื่อประโยชน์ของกองมรดกหรือทายาท - หากมีผู้จัดการมรดกหลายคน การดำเนินการใด ๆ จะต้องเป็นไปตามมติของเสียงข้างมากของผู้จัดการมรดก - หากไม่มีมติที่ชัดเจน หรือมีข้อพิพาท อาจต้องขอคำสั่งจากศาลเพื่อแก้ไขปัญหา 2. มาตรา 1722 - หากผู้จัดการมรดกคนใดดำเนินการไปโดยพลการหรือโดยมิได้รับความเห็นชอบจากผู้จัดการมรดกคนอื่น ๆ (เมื่อจำเป็นต้องจัดการร่วมกัน) การดำเนินการดังกล่าวอาจไม่ผูกพันกับกองมรดก และอาจเป็นการละเมิดหน้าที่ผู้จัดการมรดก หลักการทำงานของเสียงข้างมากของผู้จัดการมรดก -เสียงข้างมาก หมายถึง การตัดสินใจที่ได้รับความเห็นชอบจากผู้จัดการมรดกมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด เช่น หากมีผู้จัดการมรดก 3 คน การตัดสินใจใด ๆ จะต้องได้รับการเห็นชอบจากผู้จัดการมรดกอย่างน้อย 2 คน - หากเสียงข้างมากไม่สามารถตกลงกันได้ เช่น มีเสียงเท่ากันในกรณีที่มีผู้จัดการมรดก 4 คน ศาลอาจเป็นผู้ตัดสินใจตามคำร้องขอของผู้จัดการมรดกหรือทายาท ตัวอย่างการปฏิบัติ - การขายทรัพย์สินในกองมรดก: หากผู้จัดการมรดก 4 คน ต้องการขายทรัพย์สินในกองมรดก เสียงข้างมาก (3 คน) จะต้องเห็นชอบในการดำเนินการนี้ - การจ่ายหนี้สินของเจ้ามรดก: ผู้จัดการมรดกต้องร่วมกันพิจารณาและจัดสรรเงินเพื่อชำระหนี้ หากมีข้อขัดแย้ง เสียงข้างมากจะเป็นตัวกำหนด กรณีที่ผู้จัดการมรดกละเมิดหน้าที่ - หากผู้จัดการมรดกคนใดกระทำการใด ๆ โดยไม่ปรึกษาหรือได้รับความเห็นชอบจากเสียงข้างมาก ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียสามารถร้องขอต่อศาลเพื่อเพิกถอนการกระทำดังกล่าว หรือร้องขอให้ถอดถอนผู้จัดการมรดกที่ละเมิดหน้าที่ การจัดการมรดกร่วมกันโดยยึดเสียงข้างมากจึงเป็นกลไกเพื่อป้องกันความขัดแย้งและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อกองมรดกหรือทายาท โดยเป็นการสร้างความสมดุลในการบริหารจัดการทรัพย์สินที่ผู้จัดการมรดกหลายคนต้องทำงานร่วมกันอย่างมีระบบ |