
โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกได้รับรองแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7272/2562: การพิสูจน์สิทธิของบุตรนอกกฎหมายในการรับมรดก คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการฟ้องคดีเพื่อขอแบ่งมรดก โดยโจทก์อ้างสิทธิในฐานะบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกได้รับรองแล้ว เพื่อให้ตนมีสิทธิเป็นทายาทโดยธรรมตามกฎหมายมรดก ประเด็นสำคัญของคดีนี้คือการพิสูจน์ความเป็นบุตรนอกกฎหมายและการแสดงพฤติการณ์ที่ชัดเจนว่าเจ้ามรดกได้ยอมรับโจทก์เป็นบุตรของตน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างข้อสันนิษฐานจากเอกสารทางทะเบียนราษฎร จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่ได้รับการรับรอง ภาพรวมคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7272/2562 คดีนี้เกิดจากการที่โจทก์อ้างตนเป็นบุตรนอกกฎหมายของเจ้ามรดกและได้รับการรับรองแล้ว ทำให้มีสิทธิเป็นทายาทโดยธรรมในการแบ่งมรดกของเจ้ามรดก โจทก์จึงฟ้องขอให้แบ่งที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสของเจ้ามรดกกับจำเลยที่ 1 และตกเป็นมรดกกึ่งหนึ่งให้แก่ทายาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งมรดกแก่โจทก์ แต่ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาเป็นให้ยกฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานที่เพียงพอในการพิสูจน์ความเป็นบุตรนอกกฎหมายที่ได้รับการรับรอง จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่งมรดก สรุปข้อเท็จจริงของคดี •โจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นบุตรนอกกฎหมายของเจ้ามรดก และเจ้ามรดกได้ยอมรับแล้ว •ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสของเจ้ามรดกกับจำเลยที่ 1 โดยครึ่งหนึ่งเป็นทรัพย์มรดก •ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งทรัพย์มรดกแก่โจทก์ในฐานะทายาท •ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง •ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานเพียงพอในการหักล้างข้อมูลจากทะเบียนราษฎร
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า การเป็นบุตรนอกกฎหมายที่ได้รับการรับรองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 ต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพอ เช่น การแจ้งเกิดโดยเจ้ามรดก การยินยอมให้ใช้นามสกุล การอุปการะเลี้ยงดู และการแสดงออกต่อสาธารณะว่าเป็นบุตร ในคดีนี้ เอกสารทางทะเบียนราษฎรระบุว่าโจทก์เป็นบุตรของบุคคลอื่น ไม่ใช่เจ้ามรดก เอกสารดังกล่าวถือเป็นเอกสารมหาชนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 127 และมีข้อสันนิษฐานว่าเป็นเอกสารที่ถูกต้อง ผู้ที่ต้องการโต้แย้งต้องมีหลักฐานมั่นคงเพียงพอเพื่อหักล้าง โจทก์ไม่สามารถนำพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอมาหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้ อีกทั้งพยานที่นำสืบส่วนใหญ่เป็นญาติฝ่ายมารดาของโจทก์ ไม่มีพยานฝ่ายเจ้ามรดกหรือพยานกลางที่น่าเชื่อถือ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่งมรดก
ประเด็นกฎหมายสำคัญ 1. ภาระการพิสูจน์ความเป็นบุตรนอกกฎหมาย การเป็นบุตรนอกกฎหมายที่ได้รับการรับรองต้องมีการกระทำใด ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าเจ้ามรดกยอมรับ เช่น การแจ้งเกิด การอุปการะเลี้ยงดู การยอมให้ใช้นามสกุล หรือการแสดงออกต่อบุคคลทั่วไปว่าเป็นบุตร 2. หลักฐานทางทะเบียนราษฎรและข้อสันนิษฐาน เอกสารทางทะเบียนราษฎร เช่น สูติบัตรและทะเบียนบ้าน ถือเป็นเอกสารมหาชนที่มีข้อสันนิษฐานว่าเป็นจริง หากมีชื่อบุคคลใดเป็นบิดา ย่อมเชื่อถือได้ตามกฎหมาย เว้นแต่จะมีหลักฐานที่มั่นคงหักล้าง 3. สิทธิในการเป็นทายาทโดยธรรม บุตรนอกกฎหมายที่ได้รับการรับรองมีสิทธิเป็นทายาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1629 (1) แต่หากไม่สามารถพิสูจน์การรับรองได้ ก็จะไม่มีสิทธิในกองมรดก
การวิเคราะห์ทางกฎหมาย คดีนี้ชี้ให้เห็นว่า ภาระการพิสูจน์อยู่ที่ผู้ที่อ้างสิทธิเป็นบุตรนอกกฎหมาย การมีเพียงคำบอกเล่าหรือพยานฝ่ายเดียวไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน เช่น สูติบัตรที่มีชื่อบิดา การแจ้งเกิดโดยเจ้ามรดก หรือพยานที่มีความน่าเชื่อถือ เอกสารทางทะเบียนราษฎรเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักสูงในทางกฎหมาย หากจะโต้แย้งต้องมีพยานหลักฐานที่แน่นหนามากพอ เพราะกฎหมายให้ข้อสันนิษฐานว่าเป็นเอกสารที่ถูกต้อง
สรุปข้อคิดทางกฎหมาย •ผู้ที่เป็นบุตรนอกกฎหมาย หากต้องการสิทธิรับมรดก ควรดำเนินการให้มีเอกสารรับรองตั้งแต่ต้นเพื่อลดปัญหาข้อพิพาทในอนาคต •เอกสารทางราชการมีน้ำหนักสูงกว่าคำให้การ หากจะโต้แย้งต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนและเชื่อถือได้ •คดีมรดกมักมีคู่ความหลายฝ่าย หากไม่มีหลักฐานที่เพียงพอ สิทธิในการเป็นทายาทจะถูกปฏิเสธ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7272/2562 โจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกเนื่องจากโจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกได้รับรองแล้ว จึงเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1627, 1629 (1) ดังนั้น โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ให้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามมาตรา 1627 ซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริง 2 ส่วน ส่วนแรกคือ ข้อเท็จจริงที่ว่า โจทก์เป็นบุตรของเจ้ามรดก และส่วนที่สองคือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ของเจ้ามรดกที่รับรองว่าโจทก์เป็นบุตรของตน เช่น เจ้ามรดกเป็นผู้แจ้งเกิดให้แก่โจทก์ว่าโจทก์เป็นบุตรของตน ยอมให้ใช้ชื่อสกุล เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู และส่งเสียให้การศึกษาเล่าเรียน ตลอดจนแนะนำและแสดงออกแก่บุคคลทั่วไปอย่างเปิดเผยว่าโจทก์เป็นบุตร
หลักฐานทางทะเบียนราษฎรระบุว่า โจทก์เป็นบุตรของ ข. กับ บ. สำเนาทะเบียนบ้านซึ่งเป็นเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้น จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 127 โจทก์ต้องมีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักมั่นคงและน่าเชื่อถือมานำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวจึงจะรับฟังได้ตามข้อกล่าวอ้างของโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 11303 เป็นสินสมรสของนายสีกับจำเลยที่ 1 ให้ตกเป็นกองมรดกของนายสีกึ่งหนึ่ง ให้สัญญาจำนองที่ดินของจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ไม่ผูกพันที่ดินส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของนายสี และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้แบ่งทรัพย์มรดกของนายสีแก่โจทก์ตามที่โจทก์ครอบครอง หรือตามเนื้อที่ที่เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำขึ้นตามคำสั่งศาล หากจำเลยที่ 1 เพิกเฉย ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย นายอุทัย ผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 11303 เป็นสินสมรสของนายสี กับจำเลยที่ 1 และให้ตกเป็นกองมรดกของนายสีกึ่งหนึ่ง ให้แบ่งกองมรดกของนายสีให้แก่โจทก์ในฐานะทายาทนายสีตามส่วน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสี เจ้ามรดก มีบุตรด้วยกัน 5 คน เจ้ามรดกถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ดินพิพาท คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 11303 มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เป็นสินสมรสระหว่างเจ้ามรดกกับจำเลยที่ 1 ซึ่งกึ่งหนึ่งของที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกที่ตกทอดแก่ทายาทของเจ้ามรดก
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกามีว่า โจทก์เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกหรือไม่ เห็นว่า โจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกเนื่องจากโจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกได้รับรองแล้ว จึงเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627, 1629 (1) ดังนั้น โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ให้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามมาตรา 1627 ซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริง 2 ส่วน ส่วนแรกคือ ข้อเท็จจริงที่ว่า โจทก์เป็นบุตรของเจ้ามรดก และส่วนที่สองคือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ของเจ้ามรดกที่รับรองว่าโจทก์เป็นบุตรของตน เช่น เจ้ามรดกเป็นผู้แจ้งเกิดให้แก่โจทก์ว่าโจทก์เป็นบุตรของตน ยอมให้ใช้ชื่อสกุล เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูและส่งเสียให้การศึกษาเล่าเรียน ตลอดจนแนะนำและแสดงออกแก่บุคคลทั่วไปอย่างเปิดเผยว่าโจทก์เป็นบุตร ในข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์เป็นบุตรของเจ้ามรดกนั้น ปรากฏจากหลักฐานทางทะเบียนราษฎรว่า โจทก์เป็นบุตรของนายแข้น กับนางบุญชู เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้น จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 โจทก์จึงต้องมีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักมั่นคงและน่าเชื่อถือเพื่อให้รับฟังหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้ แต่พยานโจทก์ทุกปากไม่ได้รู้เห็นการแจ้งเกิดและไม่ทราบเหตุผลที่มีการแจ้งเกิดว่าโจทก์เป็นบุตรของนายแข้น ที่นางแพงศรีพยานโจทก์เบิกความถึงเหตุผลในเรื่องนี้ว่า เหตุที่รายการทะเบียนราษฎรระบุชื่อนายแข้นเป็นบิดาของโจทก์น่าจะเกิดจากความคับแค้นใจของนางบุญชูที่ถูกเจ้ามรดกทิ้งไปมีภริยาใหม่จึงแจ้งดังกล่าว ก็เป็นเหตุผลตามความคิดเห็นของพยานซึ่งไม่เป็นการแน่นอนว่าจะเป็นความจริงเช่นนั้น ตัวโจทก์เองก็ไม่ได้เบิกความถึงเรื่องดังกล่าว ทั้งยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่า นายแข้นเป็นผู้ไปแจ้งต่อนายทะเบียนว่าโจทก์เป็นบุตรของนายแข้นและให้การอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ จึงเห็นได้ว่าหากโจทก์ไม่ใช่บุตรของนายแข้นจริง นายแข้นก็ไม่น่าจะไปแจ้งเช่นนั้นเพราะบุคคลทั่วไปย่อมทราบดีว่าการแจ้งว่าบุคคลใดเป็นบิดาของเด็กเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งทั้งต่อตัวเด็กและบิดาตลอดจนครอบครัว เหตุผลตามที่อ้างจึงผิดปกติวิสัยของวิญญูชนทั่วไปและขัดต่อเหตุผล พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักพอหักล้างสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวได้ ส่วนข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่าเจ้ามรดกรับรองว่าโจทก์เป็นบุตรของตนโดยการยอมให้ใช้ชื่อสกุลนั้น เมื่อปรากฏว่านายแข้นใช้ชื่อสกุลเดียวกับเจ้ามรดก การที่โจทก์ใช้ชื่อสกุลเดียวกับเจ้ามรดกจึงไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานที่แสดงว่าเจ้ามรดกยินยอมให้ใช้ชื่อสกุลของเจ้ามรดก ที่โจทก์กล่าวอ้างว่า เจ้ามรดกอุปการะเลี้ยงดูโจทก์โดยมารับโจทก์ไปอยู่อาศัยด้วยตั้งแต่โจทก์อายุ 16 ปี จนกระทั่งโจทก์สมรส นั้น โจทก์ไม่มีพยานที่เป็นญาติฝ่ายเจ้ามรดกหรือพยานคนกลางมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงในส่วนนี้เลย พยานโจทก์มีเพียงญาติฝ่ายมารดาของโจทก์กับเพื่อนของสามีโจทก์ จึงมีน้ำหนักน้อย ทั้งพยานโจทก์ดังกล่าวก็ไม่ได้รู้เห็นและเบิกความถึงพฤติการณ์ของเจ้ามรดกในเรื่องนี้เลย ส่วนที่โจทก์อ้างพฤติการณ์ของเจ้ามรดกที่ว่า เจ้ามรดกยกที่ดินพิพาทให้โจทก์กับนายประยูรใช้ทำมาหากินเป็นโรงงานขนมจีนนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ฟ้องขับไล่นายประยูรออกจากที่ดินพิพาท ก็ไม่ปรากฏว่ามีการยกข้อเท็จจริงนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้แต่อย่างใด ส่วนที่โจทก์อ้างว่า โจทก์อุปการะเจ้ามรดกกับจำเลยที่ 1 โดยทำประกันชีวิตให้แก่จำเลยที่ 1 นั้นก็ปรากฏตามกรมธรรม์ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกัน โดยโจทก์เกี่ยวข้องเป็นผู้รับประโยชน์เท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่า โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกได้รับรองแล้ว ซึ่งจะมีผลทำให้โจทก์เป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดก โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอแบ่งมรดกของเจ้ามรดก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ |