

สัญญาว่าจ้างติดตามทรัพย์กองมรดกเรียกส่วนแบ่งเป็นโมฆะ สัญญาว่าจ้างติดตามทรัพย์กองมรดกเรียกส่วนแบ่งเป็นโมฆะ ตามข้อเท็จจริงว่าภายหลังจากที่นายสาธิตถึงแก่ความตาย บรรดาทายาทของนายสาธิตได้แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ขณะที่จำเลย(ทายาทผู้ตาย)ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ติดตามทรัพย์มรดกของผู้ตาย บรรดาทายาทมีปัญหากันเรื่องทรัพย์มรดกอยู่ก่อนแล้ว โจทก์เบิกความยอมรับว่า โจทก์รับที่จะดำเนินการติดตาม ตรวจสอบ เจรจา ไกล่เกลี่ยเพื่อขอแบ่งทรัพย์มรดกจากทายาทคนอื่นที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับจำเลย หากต้องมีการฟ้องคดีในศาลโจทก์จะเป็นผู้จัดหาทนายความ จ่ายค่าทนายความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี สัญญาว่าจ้างระหว่างโจทก์และจำเลย จึงมิได้เป็นเพียงการว่าจ้างให้โจทก์ติดตามทรัพย์มรดกของนายสาธิตเท่านั้น หากแต่เป็นการให้โจทก์มีอำนาจในการเจรจาไกล่เกลี่ยฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญาเพื่อให้จำเลยได้มาซึ่งส่วนแบ่งทรัพย์มรดก โดยให้โจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายค่าดำเนินการต่าง ๆ ไปก่อน ทั้งตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวยังระบุถึงค่าตอบแทนที่โจทก์จะได้รับว่าคิดเป็นเงิน 30 เปอร์เซ็นต์ ของทรัพย์มรดกส่วนที่จำเลยได้รับ แต่ถ้าดำเนินการไม่สำเร็จ โจทก์จะไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนี้ ค่าตอบแทน 30 เปอร์เซ็นต์ ที่โจทก์จะได้รับจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใดจึงไม่แน่นอนหากแต่ผันแปรไปตามจำนวนทรัพย์มรดกส่วนที่จำเลยได้รับ และหากจำเลยไม่ได้รับทรัพย์มรดก โจทก์ก็จะไม่ได้รับค่าตอบแทน อันมีลักษณะเป็นการที่โจทก์เข้ามามีส่วนได้เสียทางทรัพย์สินในกองมรดกของผู้ตายผ่านทางส่วนแบ่งทรัพย์มรดกที่จำเลยจะได้รับ เมื่อโจทก์มิได้เป็นทนายความ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นญาติกับผู้ตายจึงเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ในทรัพย์มรดกของผู้อื่นโดยที่โจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง วัตถุประสงค์แห่งสัญญาว่าจ้างดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะโจทก์ย่อมไม่อาจเรียกให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายและค่าบริการที่สืบเนื่องมาจากสัญญาว่าจ้างที่เป็นโมฆะซึ่งไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1585/2566 สัญญาว่าจ้างติดตามทรัพย์มรดก และบันทึกข้อตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายและค่าบริการมีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) สัญญาว่าจ้างติดตามทรัพย์มรดกอันมีลักษณะเป็นการที่โจทก์เข้ามามีส่วนได้เสียทางทรัพย์สินในกองมรดกผ่านทางส่วนแบ่งทรัพย์มรดกที่จำเลยจะได้รับ โดยโจทก์มิได้เป็นทนายความ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นญาติกับเจ้ามรดกหรือจำเลย เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ในทรัพย์มรดกของผู้อื่นโดยที่โจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้ไม่ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายแต่วัตถุประสงค์แห่งสัญญาว่าจ้างดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 88,797,587.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 74,742,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และของต้นเงิน 3,000,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การ แก้ไขคำให้การ ฟ้องแย้งและแก้ไขฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์คืนเงิน 6,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 14,649,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ฟ้องแย้งของจำเลยให้ยกเสีย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องทั้งสองศาล และค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องแย้งในชั้นอุทธรณ์ ให้ตกเป็นพับทั้งสิ้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติในเบื้องต้นว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้ดำเนินการติดตามทรัพย์มรดกของนายสาธิต บิดา ตกลงจ่ายค่าดำเนินการให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 30 ของทรัพย์มรดกส่วนของจำเลยที่ติดตามมาได้ แต่ถ้าดำเนินการไม่สำเร็จจะไม่คิดค่าใช้จ่าย พร้อมกับมอบอำนาจให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการติดตาม รวบรวมทรัพย์มรดก โจทก์จัดให้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยและทำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งมรดกโดยโจทก์จัดหาทนายความและออกค่าใช้จ่ายให้จำเลย จำเลยได้รับส่วนแบ่งจากกองมรดกเป็นที่ดิน 5 แปลง ต่อมาโจทก์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ค่าบริการโดยจำเลยตกลงจ่ายให้โจทก์เป็นเงิน 9,000,000 บาท แบ่งชำระเป็น 3 งวด และจำเลยชำระเงินแก่โจทก์แล้ว 6,000,000 บาท มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ศาลอุทธรณ์มีอำนาจหยิบยกปัญหาว่าสัญญาว่าจ้างโจทก์ติดตามทรัพย์มรดกของนายสาธิต และบันทึกข้อตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายและค่าบริการมีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนขึ้นวินิจฉัยได้หรือไม่ นั้น เห็นว่า ถึงแม้จำเลยจะให้การต่อสู้แต่เพียงว่า สัญญาว่าจ้างโจทก์ติดตามทรัพย์มรดกของนายสาธิต มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนตกเป็นโมฆะ โดยมิได้ให้การชัดแจ้งว่า ขณะทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ติดตามทรัพย์มรดกนายสาธิต จำเลยมีคดีพิพาทหรือฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับส่วนแบ่งทรัพย์มรดกของนายสาธิตกับทายาทคนอื่นเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา หรือโจทก์จัดหาทนายความและออกค่าใช้จ่ายให้จำเลยเป็นความฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีกับทายาทอื่นก็ตาม แต่ปัญหาว่าสัญญาว่าจ้างโจทก์ติดตามทรัพย์มรดกของนายสาธิตและบันทึกข้อตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายและค่าบริการ มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อไปว่า สัญญาว่าจ้างโจทก์ติดตาม ทรัพย์มรดกของนายสาธิต และบันทึกข้อตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายและค่าบริการมีผลบังคับตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ถึงแม้ขณะจำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ติดตามทรัพย์มรดกของนายสาธิตในวันที่ 24 พฤษภาคม 2558 จำเลยยังไม่มีคดีฟ้องร้องกับทายาทคนอื่น ๆ เกี่ยวกับทรัพย์มรดกของนายสาธิต แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าภายหลังจากที่นายสาธิตถึงแก่ความตาย บรรดาทายาทของนายสาธิตได้แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกคือ นายชาญณรงค์และจำเลย ฝ่ายที่สองคือ นางสาวเจียมจิตร์ นางสาวสุนิสา นางสาววนิดา นางสาวสุภาพร และนายวสันต์ โดยในปี 2555 นายชาญณรงค์และนางศิริวรรณ ภริยาได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวสันต์และนางสาวเจียมจิตร์ ในข้อหายักยอกโฉนดที่ดิน 11 ฉบับ โดยมีการโต้เถียงกันเกี่ยวกับที่ดินตามโฉนดที่ดินทั้ง 11 แปลง ว่าเป็นทรัพย์มรดกของนายสาธิตหรือไม่ตามสำเนาคำฟ้องคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 922/2556 ของศาลแขวงนนทบุรี ซึ่งต่อมาในปี 2556 เมื่อนายชาญณรงค์และจำเลยยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกของนายสาธิต นายวสันต์และนางสาวเจียมจิตร์ทายาทอีกฝ่ายหนึ่งก็ยื่นคำร้องคัดค้านเข้ามาในคดี จนในที่สุดศาลฎีกามีคำพิพากษาลงวันที่ 30 ธันวาคม 2558 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยและนายวสันต์ร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนายสาธิต อันแสดงให้เห็นว่า ขณะที่จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ติดตามทรัพย์มรดกของนายสาธิต จำเลยและบรรดาทายาทคนอื่นของนายสาธิตมีปัญหากันเรื่องทรัพย์มรดกของนายสาธิตอยู่ก่อนแล้ว แม้ตามบันทึกข้อตกลงจะระบุเพียงว่า ให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการติดตามทรัพย์มรดกก็ตาม แต่ในวันที่ 8 มิถุนายน 2559 อันเป็นเวลาภายหลังจากทำสัญญาว่าจ้างโจทก์เพียง 15 วัน จำเลยได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์มีอำนาจดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมายซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่กองมรดก หรือโต้แย้งสิทธิ หรือหน้าที่ของทายาทของนายสาธิตทั้งทางแพ่งและทางอาญา รวมทั้งให้มีอำนาจเข้าร่วมประชุมทายาทของนายสาธิตในการจัดการทรัพย์มรดกพร้อมกับระบุให้โจทก์มีอำนาจ 1. รวบรวมทรัพย์ที่ได้มาทั้งหมด แบ่งออกเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน ให้จำเลยและนายชาญณรงค์ ส่วนค่าดำเนินการของโจทก์ให้หัก 30 เปอร์เซ็นต์ จากส่วนที่จำเลยได้รับมา ส่วนค่าดำเนินการต่าง ๆ โจทก์จะเป็นผู้ชำระเองทั้งหมด รวมถึงการขอตรวจสอบ...วางเงิน วางค่าใช้จ่ายต่อศาล... และให้มีอำนาจถอนการแจ้งความ ร้องทุกข์ กล่าวโทษ คำร้อง คำขอ คำแถลง คำบอกกล่าวหรือถ้อยคำดังกล่าวข้างต้นได้ด้วย 2. ฟ้องร้องดำเนินคดีและดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีแพ่ง คดีอาญา คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เข้าเป็นโจทก์ร่วม/จำเลยร่วมกับพนักงานอัยการ ยื่นคำให้การ แก้ต่าง ฟ้องแย้ง ร้องสอด ตลอดจนชั้นบังคับคดี เบิกความต่อศาลและดำเนินกระบวนพิจารณาใดไปในทางจำหน่ายสิทธิได้ด้วย... จนกว่าคดีจะถึงที่สุด และ 3. ให้โจทก์มีอำนาจในการแต่งตั้งทนายความคนเดียวหรือหลายคนโดยให้ทนายความที่ได้รับแต่งตั้งดำเนินคดีไปในทางจำหน่ายสิทธิ... รวมถึงการเพิกถอนการแต่งตั้งทนายความด้วย ซึ่งโจทก์เองก็เบิกความยอมรับว่า โจทก์รับที่จะดำเนินการติดตาม ตรวจสอบ เจรจา ไกล่เกลี่ยเพื่อขอแบ่งทรัพย์มรดกจากนางสาวเจียมจิตร์ นายวสันต์และทายาทคนอื่นที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับจำเลยและนายชาญณรงค์ โดยโจทก์จะดำเนินการต่าง ๆ หากต้องมีการฟ้องคดีในศาลโจทก์จะเป็นผู้จัดหาทนายความ จ่ายค่าทนายความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี โดยจำเลยและนายชาญณรงค์จะต้องจ่ายค่าจ้างและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้โจทก์ตามที่ตกลงกัน สัญญาว่าจ้างระหว่างโจทก์และจำเลย จึงมิได้เป็นเพียงการว่าจ้างให้โจทก์ติดตามทรัพย์มรดกของนายสาธิตเท่านั้น หากแต่เป็นการให้โจทก์มีอำนาจในการเจรจาไกล่เกลี่ยฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญาเพื่อให้จำเลยได้มาซึ่งส่วนแบ่งทรัพย์มรดก โดยให้โจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายค่าดำเนินการต่าง ๆ ไปก่อน ทั้งตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวยังระบุถึงค่าตอบแทนที่โจทก์จะได้รับว่าคิดเป็นเงิน 30 เปอร์เซ็นต์ ของทรัพย์มรดกส่วนที่จำเลยได้รับ แต่ถ้าดำเนินการไม่สำเร็จ โจทก์จะไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนี้ ค่าตอบแทน 30 เปอร์เซ็นต์ ที่โจทก์จะได้รับจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใดจึงไม่แน่นอนหากแต่ผันแปรไปตามจำนวนทรัพย์มรดกส่วนที่จำเลยได้รับ และหากจำเลยไม่ได้รับทรัพย์มรดก โจทก์ก็จะไม่ได้รับค่าตอบแทน อันมีลักษณะเป็นการที่โจทก์เข้ามามีส่วนได้เสียทางทรัพย์สินในกองมรดกของนายสาธิตผ่านทางส่วนแบ่งทรัพย์มรดกที่จำเลยจะได้รับ เมื่อปรากฏว่าโจทก์มิได้เป็นทนายความ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นญาติกับนายสาธิตหรือจำเลย จึงเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ในทรัพย์มรดกของผู้อื่นโดยที่โจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้ไม่ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย แต่วัตถุประสงค์แห่งสัญญาว่าจ้างดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 และโจทก์ย่อมไม่อาจเรียกให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายและค่าบริการที่สืบเนื่องมาจากสัญญาว่าจ้างที่เป็นโมฆะซึ่งไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในข้ออื่น ๆ อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ |