
| ฟ้องหย่าเพราะภรรยาแจ้งความสามีไม่ได้ ศาลชี้สิทธิเลี้ยงดูยังมีอยู่(ฎีกา 2109/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคดีฟ้องหย่าที่สามีอ้างว่าภรรยาแจ้งความดำเนินคดีและร้องเรียนตนจนเกิดความเดือดร้อน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ภรรยามีสิทธิร้องเรียนเพื่อปกป้องสิทธิในฐานะคู่สมรสและมีสิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูได้ตามกฎหมาย แม้ไม่ได้ยื่นฟ้องหย่า การใช้สิทธิโดยสุจริตเพื่อป้องกันตนจากการถูกทำร้ายหรือปกป้องศักดิ์ศรีไม่ถือเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยา 🔹 สรุปข้อเท็จจริงของคดี โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย จดทะเบียนสมรสกันหลายครั้งและไม่มีบุตรด้วยกัน ต่อมาระหว่างใช้ชีวิตคู่เกิดการทะเลาะและทำร้ายร่างกายกัน จำเลยภริยาได้แจ้งความดำเนินคดีแก่โจทก์สองครั้ง 1. คดีแรก – ทำร้ายร่างกายและใช้ความรุนแรงในครอบครัว (ศาลลงโทษจำคุก 4 เดือน ปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 2 ปี) 2. คดีที่สอง – โจทก์เอาไปเสียซึ่งเอกสารของจำเลย ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมเพื่อกู้เงินไปใช้ส่วนตัว (ศาลลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน ปรับ 7,000 บาท รอการลงโทษ 2 ปี) ต่อมา จำเลยร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ (ตำรวจ) ทำให้โจทก์ถูกลงโทษกักยาม 3 วัน โจทก์จึงฟ้องหย่าโดยอ้างว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง และยังฟ้องอ้างเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (2) (3) (4/2) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้หย่า แต่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษกลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ⚖️ กฎหมายหลักที่ศาลใช้ในคำพิพากษาฎีกานี้ 🔸 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (6) “สามีหรือภริยาอาจฟ้องหย่าได้ เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้ประพฤติเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรงถึงขนาดไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยสามัญ” ศาลฎีกาใช้มาตรานี้เป็นฐานในการวินิจฉัยว่า การที่ภรรยาร้องเรียนหรือแจ้งความดำเนินคดีสามี ไม่ถือว่าเป็นการประพฤติเป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นสามีภริยา หากเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิตามกฎหมาย และเพื่อตอบโต้การกระทำที่ละเมิดต่อสิทธิของตน 🧩 5 ข้อความ (Key Words หลักของคดี 2109/2567) 1️. “การแจ้งความโดยสุจริตไม่ใช่เหตุหย่า” ภรรยาที่แจ้งความดำเนินคดีสามีจากพฤติกรรมรุนแรงหรือทุจริต เป็นการใช้สิทธิทางกฎหมายอย่างสุจริต ศาลถือว่าเป็นการป้องกันสิทธิ ไม่ใช่การเป็นปฏิปักษ์ตาม มาตรา 1516 (6) ➡ ขยายความ: หากคู่สมรสถูกกระทำละเมิด การร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่หรือผู้บังคับบัญชาเป็นการป้องกันตน ไม่ถือว่าเป็นการทำลายครอบครัว 2️. “ผู้กระทำผิดก่อน ไม่มีสิทธิฟ้องหย่า” หากฝ่ายหนึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความร้าวฉาน เช่น ทำร้าย หรือ ปลอมเอกสาร ย่อมไม่อาจอ้างเหตุนั้นมาฟ้องหย่าได้ ➡ ขยายความ: ศาลย้ำหลักว่า “ผู้ก่อเหตุละเมิดก่อน ไม่อาจอาศัยเหตุนั้นเป็นประโยชน์แก่ตน” เพื่อรักษาความเป็นธรรมในครอบครัว 3️. “สิทธิเรียกค่าเลี้ยงดูยังคงอยู่ แม้ไม่ฟ้องหย่า” ภรรยาที่ไม่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดู ยังคงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูได้ ตาม มาตรา 1598/38 และ 1461 วรรคสอง แม้ยังไม่สิ้นสุดการสมรส ➡ ขยายความ: สิทธิอุปการะเลี้ยงดูเป็นสิทธิส่วนบุคคล ไม่อาจสละหรือโอน และเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจากสถานะคู่สมรส 4️. “แยกกันอยู่โดยฝ่ายเดียว ไม่เข้าเหตุหย่า” การแยกกันอยู่ที่เกิดจากการกระทำของฝ่ายหนึ่ง เช่น สามีทำร้ายร่างกาย หรือ ตัดการติดต่อเอง ไม่ถือเป็นการแยกกันอยู่โดยสมัครใจทั้งสองฝ่ายตาม มาตรา 1516 (4/2) ➡ ขยายความ: ศาลตีความเงื่อนไข “แยกกันอยู่” อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายผิดใช้เป็นข้ออ้างเลิกสมรสโดยไม่ชอบ 5️. “ร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาไม่ถือเป็นปฏิปักษ์” ภรรยาที่ร้องเรียนพฤติกรรมสามีต่อผู้บังคับบัญชา เช่น เรื่องชู้สาวหรือทุจริต ถือว่าใช้สิทธิปกป้องศักดิ์ศรีและความมั่นคงของครอบครัว ไม่ใช่เหตุหย่า ➡ ขยายความ: การร้องเรียนในฐานะภรรยาชอบด้วยกฎหมายเป็นการใช้สิทธิตาม มาตรา 1461 เพื่อป้องกันไม่ให้สามีประพฤติละเมิดต่อหน้าที่ในครอบครัว 🏛️ สรุปสาระสำคัญ ศาลฎีกาในคดี 2109/2567 เน้นย้ำหลักการว่า “การใช้สิทธิตามกฎหมายโดยสุจริตของคู่สมรส ไม่เป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้” และ “สิทธิอุปการะเลี้ยงดู เป็นสิทธิที่คู่สมรสฝ่ายเสียเปรียบยังคงมีได้ แม้ยังไม่สิ้นสุดการสมรส” เป็นแนววินิจฉัยสำคัญที่ยืนยันหลัก ความเป็นธรรม และ ศักดิ์ศรีของภรรยาในครอบครัว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (6), 1461, และ 1598/38. 🔹 ประเด็นทางกฎหมายที่ต้องวินิจฉัย 1. จำเลยมีสิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูหรือไม่ หากยังไม่ได้ฟ้องหย่า 2. การที่ภรรยาแจ้งความดำเนินคดีและร้องเรียนสามีเข้าข่ายเป็น “การเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (6) หรือไม่ 🔹 คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า • สิทธิเรียกค่าเลี้ยงดู ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะเมื่อมีการฟ้องหย่า หากฝ่ายหนึ่งไม่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดูตามหน้าที่ สามารถฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูได้ตาม มาตรา 1598/38 • การร้องเรียนหรือแจ้งความของจำเลยเป็นการ ใช้สิทธิโดยสุจริต เพื่อป้องกันตนและรักษาสิทธิในครอบครัว ไม่ใช่การกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อสามีภริยา • โจทก์เป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงก่อน ทั้งทำร้ายร่างกายและปลอมเอกสาร จึงไม่อาจอ้างการกระทำของจำเลยว่าเป็นเหตุหย่าได้ • การแยกกันอยู่เกิดจากโจทก์ฝ่ายเดียว ไม่เข้าข้อยกเว้นตาม มาตรา 1516 (4/2) ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ ยกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ชำระค่าทนายความชั้นฎีกาแก่จำเลย 20,000 บาท 🔹 การวิเคราะห์และขยายความทางกฎหมาย 1. หน้าที่อุปการะเลี้ยงดู ตาม มาตรา 1461 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกันตามความสามารถและฐานะของตน” ศาลชี้ว่า หน้าที่นี้มีอยู่ตลอดระยะเวลาการสมรส ไม่ต้องรอให้มีการฟ้องหย่า และถ้าฝ่ายหนึ่งละเลยไม่ทำ อีกฝ่ายสามารถเรียกค่าเลี้ยงดูได้ทันที 2. การใช้สิทธิโดยสุจริต ภริยาที่ถูกทำร้ายร่างกายย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการป้องกันตน โดยการแจ้งความหรือร้องเรียนเป็น การใช้สิทธิตามกฎหมายโดยสุจริต ไม่ใช่การทำลายความสัมพันธ์คู่สมรส 3. การฟ้องหย่าด้วยเหตุเป็นปฏิปักษ์ มาตรา 1516 (6) ระบุว่า การฟ้องหย่าต้องมีเหตุที่คู่สมรสอีกฝ่าย “กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง” ศาลฎีกาอธิบายว่า หากฝ่ายฟ้องมีส่วนผิดในเหตุนั้น เช่น เป็นผู้ทำร้ายก่อนหรือก่อเหตุเอง จะไม่สามารถอ้างเหตุหย่านี้ได้ 4. ความยุติธรรมและศีลธรรมในชีวิตคู่ ศาลย้ำหลัก “มโนธรรมและศักดิ์ศรี” ของคู่สมรส โดยเฉพาะสามีที่เป็นข้าราชการตำรวจ ต้องรักษาแบบอย่างความซื่อสัตย์และความเคารพในสิทธิมนุษยชนของคู่ชีวิต 🔹 สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • สิทธิเลี้ยงดูของคู่สมรสเป็นสิทธิตามกฎหมาย ไม่ต้องรอให้มีการฟ้องหย่า • การแจ้งความเพื่อปกป้องตนจากความรุนแรงในครอบครัวถือเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต ไม่ใช่เหตุฟ้องหย่า • คู่สมรสที่เป็นฝ่ายก่อเหตุรุนแรงเอง ย่อมไม่อาจอ้างความผิดของอีกฝ่ายเป็นเหตุหย่าได้ • การครองเรือนต้องอาศัยความซื่อสัตย์ เคารพ และมีเมตตาต่อกัน 🔹 IRAC Analysis Issue (ประเด็นปัญหา): โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (2), (3), (4/2) และ (6) หรือไม่ Rule (หลักกฎหมาย): • มาตรา 1461 วรรคสอง: สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน • มาตรา 1516: เหตุหย่าตามกฎหมาย เช่น กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง • มาตรา 1598/38: คู่สมรสฝ่ายใดไม่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดูย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ Application (การประยุกต์ใช้): โจทก์เป็นฝ่ายทำร้ายร่างกายภริยาและปลอมเอกสารเพื่อประโยชน์ตนเอง จำเลยเพียงใช้สิทธิร้องเรียนและแจ้งความโดยสุจริตเพื่อป้องกันสิทธิและศักดิ์ศรี ไม่ใช่การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อคู่สมรส อีกทั้งการแยกกันอยู่เป็นความประสงค์ของโจทก์ฝ่ายเดียว Conclusion (ข้อสรุป): โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตามมาตรา 1516 ทุกข้อ ศาลฎีกาพิพากษายืนให้ยกฟ้อง 🔹 คำถาม–คำตอบทางข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย คำถามที่ 1: ภริยาสามารถร้องเรียนหรือแจ้งความสามีได้หรือไม่ หากถูกทำร้ายร่างกาย? คำตอบ: ทำได้ เพราะเป็นการใช้สิทธิป้องกันตนโดยสุจริตตามกฎหมาย มิใช่การกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา คำถามที่ 2: สิทธิเรียกค่าเลี้ยงดูของภริยาเกิดขึ้นเมื่อใด? คำตอบ: เกิดขึ้นเมื่อไม่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดูอย่างเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องรอให้มีการฟ้องหย่า ตามมาตรา 1598/38 แห่ง ป.พ.พ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2109/2567 สิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูหาใช่เป็นสิทธิที่เกิดขึ้นเมื่อมีการฟ้องหย่าไม่ เมื่อฝ่ายภริยาคือจำเลยไม่ได้ทำงานประจำและมีรายได้ไม่แน่นอนย่อมเป็นฝ่ายที่ควรได้รับการอุปการะเลี้ยงดู แต่ไม่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดู จึงมีสิทธิที่จะขอให้ฝ่ายสามีคือโจทก์ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการครองชีพได้ และการที่จำเลยมีหนังสือร้องเรียนโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องความประพฤติส่วนตัวโจทก์ ซึ่งจำเลยในฐานะภริยาชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ย่อมมีความชอบธรรมที่จะป้องกันหรือขัดขวางมิให้โจทก์กับหญิงอื่นมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวต่อกันอันเป็นเหตุให้ครอบครัวเดือดร้อนได้ การร้องเรียนของจำเลยจึงเป็นความถูกต้องชอบธรรมที่จำเลยจักกระทำเพื่อคุ้มครองสิทธิที่จำเลยคิดว่าจำเลยควรได้ เป็นการร้องขอความช่วยเหลือตามสิทธิแห่งกฎหมาย เนื่องจากโจทก์ซึ่งเป็นสามีไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด จึงไม่ถือว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ แม้การเป็นสามีภริยากันคือการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในทุกวัน ซึ่งอาจมีการกระทบกระทั่งหรือทะเลาะกันบ้าง แต่ความเป็นสามีภริยาไม่ก่อให้เกิดสิทธิการทำร้ายร่างกายคู่สมรส เมื่อสามีทำร้ายร่างกายภริยา สามีย่อมกระทำผิดกฎหมายอาญาในเรื่องการทำร้ายร่างกายผู้อื่น การที่จำเลยแจ้งความดำเนินคดีแก่โจทก์จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตเพื่อปกป้องสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรี มิได้มีเจตนาให้โจทก์รับโทษจำคุกหรือออกจากราชการ โจทก์จะอ้างเหตุดังกล่าวว่าเป็นกรณีจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงย่อมไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (6) และไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (2) (3) ด้วยเช่นกัน อีกทั้งจำเลยยังมิได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์แต่เป็นความประสงค์ของโจทก์เพียงฝ่ายเดียว กรณีจึงไม่เข้าเหตุหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4/2) โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกัน ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย จดทะเบียนสมรสวันที่ 21 ธันวาคม 2541 และจดทะเบียนหย่าวันที่ 28 มิถุนายน 2542 หลังจากนั้นจดทะเบียนสมรสกันอีกครั้งเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2542 ไม่มีบุตรด้วยกัน ระหว่างอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา จำเลยแจ้งความดำเนินคดีแก่โจทก์ 2 คดี คดีแรกเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2557 และวันที่ 2 พฤษภาคม 2557 โจทก์ทำร้ายร่างกายจำเลย จำเลยแจ้งความดำเนินคดีแก่โจทก์ข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ และกระทำความรุนแรงในครอบครัว พนักงานอัยการฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 352/2559 ของศาลจังหวัดกันทรลักษ์ โจทก์ให้การรับสารภาพ ศาลลงโทษจำคุก 4 เดือน และปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และคดีที่ 2 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2556 ถึงวันที่ 2 มกราคม 2557 โจทก์เอาไปเสียซึ่งเอกสารบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน และหนังสือสำคัญการเปลี่ยนชื่อตัวของจำเลยไป แล้วปลอมลายมือชื่อจำเลยในเอกสารคำขอและหนังสือกู้สามัญของสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจศรีสะเกษ จำกัด จำเลยแจ้งความดำเนินคดีแก่โจทก์ข้อหาเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม พนักงานอัยการฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1036/2559 ของศาลจังหวัดศรีสะเกษ โจทก์ให้การรับสารภาพ ศาลลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 7,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ต่อมาวันที่ 4 ตุลาคม 2559 จำเลยร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ กล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิดวินัย คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาความผิดของโจทก์เห็นสมควรให้ลงทัณฑ์ กักยาม 3 วัน มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (6) หรือไม่ เห็นว่า เหตุฟ้องหย่าอันมิใช่เกิดจากความยินยอมพร้อมใจของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 นั้น โจทก์ต้องพิสูจน์ให้ศาลเชื่อได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายประพฤติตนไม่สมควรหรือกระทำการอันเข้าเงื่อนไขที่มาตรา 1516 กำหนด แต่จากพฤติการณ์ของโจทก์จะเห็นได้ว่า ระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยาด้วยกันโจทก์เป็นฝ่ายก่อเหตุให้เกิดความระหองระแหงในครอบครัวด้วยการที่โจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่นหลายคน และไม่อุปการะเลี้ยงดูจำเลยตามหน้าที่ของสามี ซึ่งวัตถุประสงค์ของการสมรสก็เพื่อให้ชายหญิงได้อยู่กินกันฉันสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 วรรคหนึ่ง ทั้งวรรคสองบัญญัติให้สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกันตามความสามารถและฐานะตน และมาตรา 1598/38 บัญญัติว่า ค่าอุปการะเลี้ยงดูระหว่างสามีภริยา... นั้น ย่อมเรียกจากกันได้ในเมื่อฝ่ายที่ควรได้รับอุปการะเลี้ยงดูไม่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดูหรือได้รับการอุปการะเลี้ยงดูไม่เพียงพอแก่อัตภาพ... จึงเป็นบทบัญญัติคุ้มครองแก่สามีภริยาให้ฝ่ายที่มีฐานะดีต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่ง มิฉะนั้น อีกฝ่ายย่อมมีสิทธิฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (6) แต่ถ้าไม่ประสงค์จะฟ้องหย่าก็สามารถฟ้องเรียกเฉพาะค่าเลี้ยงดูได้ตามมาตรา 1598/38 ดังนั้น สิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจึงหาใช่เป็นสิทธิที่เกิดขึ้นเมื่อมีการฟ้องหย่าไม่ เมื่อฝ่ายภริยาคือจำเลยไม่ได้ทำงานประจำและมีรายได้ไม่แน่นอน ย่อมเป็นฝ่ายที่ควรได้รับอุปการะเลี้ยงดู แต่ไม่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดู จึงมีสิทธิที่จะขอให้ฝ่ายสามีคือโจทก์ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการครองชีพได้ ด้วยความรักที่มีต่อโจทก์ แม้จำเลยจะถูกโจทก์ฟ้องหย่าหรือนอกใจจำเลยก็ตาม จำเลยก็ไม่เคยคิดที่จะฟ้องหย่าโจทก์หรือมีความประสงค์ที่จะหย่าขาดจากโจทก์แต่อย่างใด จำเลยต้องการให้โจทก์กลับมาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาและขอให้โจทก์กลับมารับผิดชอบดูแลเลี้ยงดูจำเลยตามหน้าที่ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องขอให้ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ช่วยเหลือ การที่จำเลยมีหนังสือร้องเรียนโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องความประพฤติส่วนตัวโจทก์ซึ่งจำเลยในฐานะภริยาชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ย่อมมีความชอบธรรมที่จะป้องกันหรือขัดขวางมิให้โจทก์กับหญิงอื่นมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวต่อกันอันเป็นเหตุให้ครอบครัวเดือดร้อนได้ ทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวระหว่างโจทก์กับจำเลยมีสาเหตุเกิดแต่โจทก์เป็นสำคัญ ประกอบกับเรื่องที่จำเลยร้องเรียนนั้นมีมูล ดังจะเห็นได้ว่าคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาความผิดของโจทก์เห็นสมควรให้ลงทัณฑ์ กักยาม 3 วัน นอกจากนี้การที่จำเลยฟ้องร้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวกรณิศ ศาลพิพากษาตามยอมให้นางสาวกรณิศชำระค่าทดแทนแก่จำเลย 450,000 บาท นั้น แสดงให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำเพื่อรักษาสิทธิในครอบครัวเพื่อมิให้นางสาวกรณิศเข้ามาเกี่ยวข้องกับโจทก์ซึ่งเป็นสามีชอบด้วยกฎหมายของจำเลยอันจะทำให้เกิดความร้าวฉานในครอบครัว กรณีจึงมีมูลความจริงอันเป็นเหตุให้จำเลยต้องร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ การร้องเรียนของจำเลยจึงเป็นความถูกต้องชอบธรรมที่จำเลยจักกระทำเพื่อคุ้มครองสิทธิที่จำเลยคิดว่าจำเลยควรได้ เป็นการร้องขอความช่วยเหลือตามสิทธิแห่งกฎหมาย เนื่องจากโจทก์ซึ่งเป็นสามีไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด จึงไม่ถือว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ ส่วนพฤติการณ์ของจำเลยที่แจ้งความดำเนินคดีอาญาที่มีโทษจำคุกแก่โจทก์ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ และกระทำความรุนแรงในครอบครัว เป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 352/2559 ของศาลจังหวัดกันทรลักษ์ กับฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม อันเป็นความผิดที่มิอาจยอมความได้ เป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1036/2559 ของศาลจังหวัดศรีสะเกษ เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่โจทก์เดือดร้อนเกินควรหรือไม่นั้น เห็นว่า สามีหรือภริยาที่จะอ้างเหตุฟ้องหย่าว่าอีกฝ่ายทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงนี้ จะต้องไม่มีส่วนร่วมที่จะต้องรับผิดในการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ดังกล่าวนั้นด้วย มิฉะนั้นจะนำมาเป็นเหตุฟ้องหย่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ เมื่อต้นเหตุแห่งการฟ้องหย่าในคดีนี้ เกิดจากโจทก์ลงมือทำร้ายร่างกายจำเลยถึง 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 โจทก์ใช้เท้าซึ่งสวมรองเท้าหนังถีบจำเลยที่บริเวณหน้าอก และแขนซ้ายหลายครั้ง เป็นเหตุให้จำเลยล้มกระแทกพื้น ครั้งที่ 2 โจทก์ใช้มือตบหน้าและตีแขน ใช้เท้าซึ่งสวมรองเท้าหนังถีบจำเลยที่บริเวณลำตัว เป็นเหตุให้จำเลยล้มกระแทกพื้น โดยกระทำต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ และโจทก์เอาไปเสียซึ่งเอกสารบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน และหนังสือสำคัญการเปลี่ยนชื่อตัวของจำเลยไป แล้วปลอมลายมือชื่อจำเลยในเอกสารคำขอและหนังสือกู้สามัญของสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจศรีสะเกษ จำกัด เพื่อนำเงินไปใช้ส่วนตัวกับนางสาวกรณิศ แม้การเป็นสามีภริยากันคือการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในทุกวัน ซึ่งอาจมีการกระทบกระทั่งหรือทะเลาะกันบ้าง แต่ความเป็นสามีภริยาไม่ก่อให้เกิดสิทธิการทำร้ายร่างกายคู่สมรส เมื่อสามีทำร้ายร่างกายภริยา สามีย่อมทำผิดกฎหมายอาญาในเรื่องการทำร้ายร่างกายผู้อื่น ต้องได้รับโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ทั้งนี้เป็นไปตามหลักการที่ว่าบุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน โจทก์ควรมีมโนธรรมว่าโจทก์กับจำเลยเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานถึง 20 ปี ควรสงสารให้ความเห็นอกเห็นใจจำเลย มิใช่ทำร้ายร่างกายหรือกระทำการอันเป็นการบั่นทอนสภาพจิตใจของจำเลยเช่นนี้ การกระทำของโจทก์เป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อขนบธรรมเนียมและประเพณีของสังคมไทย ซึ่งชายหญิงที่อยู่กินฉันสามีภริยาตามกฎหมายต้องซื่อสัตย์ รักใคร่ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทก์รับราชการตำรวจเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ดูแลทุกข์สุขของประชาชนย่อมตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า การทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจและการปลอมและใช้เอกสารปลอมเป็นความผิดอาญาแผ่นดินมีโทษถึงจำคุก แต่โจทก์ก็ยังก่อให้เกิดขึ้นโดยมุ่งประสงค์ให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่อาจทนรับได้ โจทก์ต่างหากที่สมควรเป็นฝ่ายหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น หาใช่ให้จำเลยเป็นฝ่ายหลีกเลี่ยงไม่เอาความกับโจทก์แต่ประการใดไม่ จำเลยเป็นผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวและถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน การที่จำเลยแจ้งความดำเนินคดีแก่โจทก์จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตเพื่อปกป้องสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรี มิได้มีเจตนาจะให้โจทก์รับโทษจำคุกหรือออกจากราชการ โจทก์จะอ้างเหตุดังกล่าวว่าเป็นกรณีจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงย่อมไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (6) ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ดี เมื่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีไม่เข้าเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (6) ทั้งมีการสืบพยานจนเสร็จสิ้นปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษชอบที่จะวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับเหตุหย่าอื่น ๆ ที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยด้วย แม้ฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยจะไม่ได้โต้แย้งชัดเจนในประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว แต่เมื่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษยังมิได้วินิจฉัย เพื่อมิให้คดีล่าช้าศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (2) (3) (4/2) ด้วยหรือไม่ เห็นว่า ที่โจทก์อ้างว่าการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินสมควรต่อชื่อเสียงและอาชีพของโจทก์ โดยจำเลยไปร้องเรียนถึงขั้นประสงค์ให้โจทก์ออกจากราชการ และจำเลยกล่าวหาเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรงในอาชีพข้าราชการตำรวจตามที่ปรากฏในเอกสารที่จำเลยร้องเรียนโจทก์นั้น เมื่อพิจารณาถึงต้นเหตุของการที่จำเลยไปร้องเรียนหรือแจ้งความดำเนินคดีโจทก์ก็เนื่องมาจากพฤติกรรมของโจทก์เองทั้งสิ้น จำเลยเพียงใช้สิทธิที่จำเลยมีตามกฎหมายโดยสุจริตเท่านั้น โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (2) (3) ส่วนที่โจทก์อ้างว่าโจทก์กับจำเลยทะเลาะกันจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้และได้ตกลงสมัครใจแยกกันอยู่ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน เป็นระยะเวลาเกินกว่า 3 ปี แล้วนั้น เห็นว่า โจทก์เบิกความว่า โจทก์ตกลงแยกทางกับจำเลยโดยไม่ติดต่อและพูดคุยกันอีกหลังจากที่จำเลยดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2558 ซึ่งจำเลยได้เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า เหตุที่ไม่ได้มีการติดต่อพูดคุยกันอีกเนื่องมาจากโจทก์ตัดการสื่อสารกับจำเลยทั้งหมด แม้ว่าจำเลยกับโจทก์จะมีปัญหากัน จำเลยก็ยังไม่ประสงค์ที่จะหย่ากับโจทก์เพราะยังรักโจทก์อยู่ ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงเหตุการณ์ในช่วงปี 2558 แล้ว เป็นช่วงเวลาที่โจทก์มีปัญหาเรื่องผู้หญิงอื่นจึงทะเลาะกับจำเลยอย่างรุนแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกายกัน จนจำเลยแจ้งความดำเนินคดีแก่โจทก์ข้อหาทำร้ายร่างกายและการปลอมและใช้เอกสารปลอม โจทก์โกรธมากจึงตัดขาดกับจำเลยและไม่ติดต่อพูดคุยกันอีก แสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยมิได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์แต่เป็นความประสงค์ของโจทก์เพียงฝ่ายเดียว กรณีจึงไม่เข้าเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) เช่นกัน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลย พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 20,000 บาท แทนจำเลย ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้น ซึ่งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวยังไม่ได้สั่งคืนในคำพิพากษาให้เป็นพับ
🧑⚖️ ฟ้องหย่า – สิทธิเลี้ยงดู – ทำร้ายร่างกาย : ศาลฎีกาวางหลักคุ้มครองความเป็นธรรมในครอบครัว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2109/2567 เป็นคดีตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงหลัก “ความเป็นธรรมในชีวิตสมรส” และ “สิทธิเลี้ยงดูของคู่สมรสฝ่ายเสียเปรียบ” อย่างชัดเจน เมื่อสามีฟ้องหย่าภรรยา โดยอ้างว่าเธอเป็นผู้ทำให้ตนเสียชื่อเสียงและกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นสามีภริยา เพราะภรรยาได้ร้องเรียนและแจ้งความดำเนินคดีต่อเขา แต่ศาลฎีกากลับวินิจฉัยในทางตรงข้าม ศาลพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า การที่ภรรยาแจ้งความนั้นเกิดจากการที่สามีเคย ทำร้ายร่างกาย และยังนำเอกสารของภรรยาไปปลอมเพื่อกู้ยืมเงิน การกระทำของภรรยาจึงเป็นเพียงการ ปกป้องสิทธิของตนเองโดยสุจริต ไม่ใช่การทำลายความสัมพันธ์ในครอบครัว ศาลฎีกาชี้ชัดว่า “การแจ้งความหรือร้องเรียนของภรรยา เพื่อป้องกันตนจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของสามี ไม่ถือเป็นการประพฤติเป็นปฏิปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (6)” นอกจากนี้ ศาลยังเน้นว่า แม้ภรรยายังไม่ฟ้องหย่ากลับ แต่เธอยังมี สิทธิเลี้ยงดู ตามมาตรา 1461 และ 1598/38 เพราะสิทธิในการได้รับอุปการะเลี้ยงดูเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจากสถานะคู่สมรส ไม่จำเป็นต้องรอให้ศาลพิพากษาหย่าก่อน และเป็นสิทธิที่ไม่อาจโอนหรือสละได้ แม้คู่สมรสฝ่ายใดจะยินยอมก็ตาม คำพิพากษานี้จึงตอกย้ำหลักสำคัญว่า “ผู้กระทำผิดก่อน ไม่มีสิทธิฟ้องหย่า” และ “สิทธิเลี้ยงดูไม่อาจถูกตัดทอนโดยการอ้างเหตุฝ่ายเดียว” แนววินิจฉัยเช่นนี้ช่วยปกป้องศักดิ์ศรีของคู่สมรสที่ถูกกระทำ และสะท้อนความตั้งใจของศาลฎีกาในการคุ้มครองผู้เสียเปรียบในครอบครัวจากการถูกละเมิดทั้งทางกายและทางสิทธิ หากคู่สมรสฝ่ายหนึ่งละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้ความรุนแรงในครอบครัว ฝ่ายที่ถูกกระทำย่อมมีสิทธิใช้กระบวนการทางกฎหมาย ทั้ง การฟ้องหย่า หรือการขอ ค่าเลี้ยงดู เพื่อปกป้องสิทธิของตนได้โดยชอบธรรม — เพราะการหย่าที่เป็นธรรม ต้องตั้งอยู่บนความจริง ไม่ใช่บนการกล่าวโทษของฝ่ายผิด
|



.jpg)

