
กฎหมายฟ้องชู้ฉบับใหม่ 2568: สิทธิของคู่สมรสทุกเพศในการเรียกค่าทดแทนและฟ้องหย่า ![]() ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
บทนำ บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการแก้ไข “กฎหมายฟ้องชู้” ฉบับใหม่ ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ซึ่งมีผลใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2568 เป็นต้นไป โดยแก้ไขมาตรา 1523 ให้สิทธิ คู่สมรสทุกเพศ สามารถฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทนจากผู้ที่ล่วงเกินหรือแสดงตนว่าเป็นชู้ได้ ไม่จำกัดเพศและไม่จำเป็นต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ ถือเป็นก้าวสำคัญของกฎหมายไทยที่สอดคล้องกับหลักความเท่าเทียมทางเพศตามรัฐธรรมนูญ
หัวข้อและเนื้อหา 1. ที่มาของการแก้ไขกฎหมายฟ้องชู้ • ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ว่า มาตรา 1523 วรรคสอง เดิมที่จำกัดสิทธิของภริยาในการฟ้องเฉพาะ “หญิงอื่นที่เปิดเผยความสัมพันธ์” ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 เรื่องสิทธิความเท่าเทียม • รัฐบาลจึงแก้ไขถ้อยคำจาก “สามี–ภริยา” เป็น “คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” และจาก “ชู้สาว” เป็น “คู่สมรสในทำนองชู้” 2. สาระสำคัญของกฎหมายฉบับใหม่ • คู่สมรสทุกเพศมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจาก 1. ผู้ที่ ล่วงเกินคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งในทำนองชู้ (ไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ) 2. ผู้ที่ แสดงตนโดยเปิดเผยว่าเป็นคู่สมรสในทำนองชู้ • หากคู่สมรส ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ → จะไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทน 3. ความแตกต่างระหว่าง “ฟ้องหย่า” และ “ฟ้องชู้” • ฟ้องหย่า: ยื่นฟ้องให้เลิกสมรส มีเหตุฟ้องตาม ม.1516 เช่น มีชู้, ประพฤติชั่ว, ทำร้ายร่างกาย ฯลฯ • ฟ้องชู้: มุ่งเรียกค่าทดแทนจากชู้หรือจากคู่สมรสที่นอกใจ 4. หลักฐานที่ใช้ในคดีฟ้องชู้ • หลักฐานทั่วไป: สำเนาทะเบียนสมรส, บัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน, หลักฐานการเงิน • หลักฐานแสดงความสัมพันธ์ชู้สาว: o ข้อความแชท, อีเมล, ไลน์, เฟซบุ๊ก o ภาพถ่ายคู่, วิดีโอ, ใบเสร็จโรงแรม o พยานบุคคล เช่น เพื่อนบ้าน, พนักงานโรงแรม o พยานแวดล้อม เช่น การเดินทางไปด้วยกัน ค้างคืน ฯลฯ 5. อายุความของคดีฟ้องชู้ • 1 ปี นับจากวันที่ผู้เสียหายทราบถึงความสัมพันธ์ชู้สาว 6. หลักเกณฑ์การกำหนดค่าทดแทน ศาลพิจารณาตามพฤติการณ์ เช่น • ฐานะทางสังคมและอาชีพของคู่สมรส/ชู้ • ระยะเวลาการแต่งงาน • การมีบุตร • ระดับความเปิดเผยของความสัมพันธ์ • ความสำนึกผิดของผู้กระทำ 7. มิติทางสังคมและสุขภาพจิต • การนอกใจสร้างผลกระทบต่อสุขภาพจิต เช่น ภาวะเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า • การมีกฎหมายที่ชัดเจนช่วยให้เกิดความยุติธรรม และส่งเสริมการเคารพในชีวิตสมรส
IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) Issue (ประเด็นปัญหา) มาตรา 1523 วรรคสอง เดิมที่จำกัดสิทธิในการฟ้องชู้ เฉพาะบางกรณี ขัดต่อรัฐธรรมนูญเรื่องความเสมอภาคหรือไม่? และคู่สมรสทุกเพศสามารถใช้สิทธิฟ้องชู้ได้อย่างไรหลังแก้ไข? Rule (กฎเกณฑ์กฎหมาย) • ป.พ.พ. มาตรา 1523 (แก้ไข พ.ร.บ. ฉบับที่ 24 พ.ศ. 2567) “คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากผู้ที่ล่วงเกินคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งไปในทำนองชู้ หรือจากผู้ที่แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้...” • รัฐธรรมนูญ มาตรา 27 กำหนดสิทธิความเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุเพศ Application (การปรับใช้) • เดิม ภริยาจะฟ้องชู้ได้เฉพาะ “หญิงอื่นที่เปิดเผยความสัมพันธ์” → ไม่เท่าเทียมกับสามีที่ฟ้องได้ทุกกรณี • หลังแก้ไข คู่สมรสทุกเพศ ไม่ว่าจะชาย–หญิง หรือเพศเดียวกัน มีสิทธิฟ้องทั้ง “ลับ” และ “เปิดเผย” → เท่าเทียมตามหลักรัฐธรรมนูญ Conclusion (ข้อสรุป) มาตรา 1523 ที่แก้ไขใหม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ คู่สมรสทุกเพศมีสิทธิเสมอกันในการฟ้องชู้และเรียกค่าทดแทน ไม่จำกัดเพศและไม่จำเป็นต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ ถือเป็นพัฒนาการสำคัญของกฎหมายครอบครัวไทย
ข้อคิดทางกฎหมาย การแก้ไขกฎหมายฟ้องชู้ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนากฎหมายไทยไปสู่ความเสมอภาคทางเพศและการคุ้มครองสิทธิในชีวิตสมรสอย่างแท้จริง นักกฎหมายและประชาชนควรตระหนักว่า การนอกใจไม่เพียงกระทบความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่ยังมีผลทางกฎหมายและสิทธิคู่สมรสที่สามารถใช้เรียกร้องความเป็นธรรมได้
English Summary This article discusses Thailand’s new Adultery Law reform (effective January 22, 2025), which amends Section 1523 of the Civil and Commercial Code. The amendment ensures marriage equality, granting spouses of all genders the right to sue for divorce and claim compensation from adulterous partners, whether the affair is public or private. The law reflects constitutional principles of gender equality and provides clear guidelines on evidence, statute of limitations, and compensation assessment.
“กฎหมายฟ้องชู้” รองรับสมรสเท่าเทียม คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแก้ไข ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 มีผลใช้บังคับวันที่ 22 มกราคม 2568 เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม โดยเปิดสิทธิให้คู่สมรสทุกเพศฟ้องหย่าหรือเรียกค่าทดแทนจากทั้งคู่สมรสและชู้ได้ ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยเมื่อ 18 มิถุนายน 2567 ว่าข้อความเดิมที่ให้สิทธิสามี–ภริยาไม่เท่าเทียมกันนั้น ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 27 ว่าด้วยความเสมอภาค การแก้ไขใหม่จึงเปลี่ยนคำจาก “สามี–ภริยา” เป็น “คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” และใช้คำว่า “ล่วงเกินในทำนองชู้” หรือ “แสดงตนโดยเปิดเผยในทำนองชู้” ทำให้คู่สมรสทุกเพศใช้สิทธิฟ้องชู้ได้ แม้จะเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เปิดเผยก็ตาม เว้นแต่คู่สมรสยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจจึงจะไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทน ฟ้องหย่า กับ ฟ้องชู้ ต่างกันอย่างไร? • ฟ้องหย่า ต้องมีเหตุเข้าข่ายตามมาตรา 1516 เช่น การมีชู้ ประพฤติชั่ว ทำร้ายร่างกาย ทอดทิ้ง หรือปัญหาสุขภาพถาวร • ฟ้องชู้ มุ่งเรียกค่าทดแทนจากชู้หรือคู่สมรสที่นอกใจ โดยตามมาตรา 1523 ใหม่ สามารถเรียกได้ทั้งกรณีเปิดเผยและไม่เปิดเผย หลักฐานและอายุความ การฟ้องชู้ต้องมีพยานหลักฐาน เช่น ทะเบียนสมรส หลักฐานการเงิน ข้อความแชท ภาพถ่ายร่วมกัน ใบเสร็จโรงแรม หรือพยานบุคคลที่ยืนยันความสัมพันธ์ อายุความคดีนี้กำหนด 1 ปีนับจากวันที่ผู้เสียหายทราบเรื่อง ค่าทดแทน ศาลจะพิจารณาตามพฤติการณ์ เช่น ฐานะสังคม ระยะเวลาการแต่งงาน การมีบุตร ความเปิดเผยของความสัมพันธ์ และความสำนึกผิดของผู้กระทำ โดยอาจสั่งชำระครั้งเดียวหรือผ่อนชำระเป็นงวด ผลทางสังคม การนอกใจสร้างทั้งความเสียหายทางจิตใจและผลกระทบทางกฎหมาย เช่น ฟ้องหย่า ฟ้องเรียกค่าสินไหม หรือฟ้องมือที่สาม การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ และย้ำว่าการนอกใจไม่ควรถูกยอมรับในทุกเพศ ทุกสถานะสมรส
การ “ฟ้องชู้” นั้น จะเน้นไปที่กรณีคู่สมรสตามกฎหมายบาดหมางกันด้วยปัญหาการมีชู้ และผู้เสียหายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากชายชู้หรือหญิงชู้นั้น โดยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง ตามผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ระบุถึง หลักเกณฑ์การฟ้องชู้ คือ 1. ข้อกฎหมาย กรณีภริยาฟ้องชู้ : กฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ว่า ภรรยาสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากชู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความสัมพันธ์แบบเปิดเผยหรือไม่ 2. ข้อกฎหมาย กรณีสามีฟ้องชู้ : มีหลักเกณฑ์ว่า เพียงแค่มีชายอื่นมาล่วงเกินภริยาไปในทำนองชู้สาวไม่ว่าจะเปิดเผยหรือไม่ ก็สามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนได้แล้ว" ข้อความว่า "เพียงแค่มีชายอื่นมาล่วงเกินภริยาไปในทำนองชู้สาวไม่ว่าจะเปิดเผยหรือไม่ ก็สามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนได้แล้ว"
มีการ แก้ไขข้อความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 1523 วรรคสอง โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ซึ่งมีผลในช่วงปี 2567–2568 เดิมใช้ข้อความว่า: “สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทำนองชู้สาวก็ได้ และภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวก็ได้”
การแก้ไขสำคัญคืออะไร? พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวไม่ใช่เพียงแก้ไขเล็กน้อย แต่มีการปรับถ้อยคำทั้งหมดจากการใช้คำว่า “สามี” และ “ภริยา” ไปใช้ว่า “คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” ทั้งยังขยายความว่า การเรียกร้องค่าทดแทนสามารถกระทำได้จากผู้ที่ “ล่วงเกินคู่สมรสอีกฝ่ายในทำนองชู้” หรือ “แสดงตนว่าเป็นคู่สมรสในทำนองชู้” โดยไม่จำกัดเพศ ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าทางกฎหมายที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ สาระสำคัญคือ:
“คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งไปในทำนองชู้ หรือจากผู้ซึ่งแสดงตนโดยเปิดเผย…ในทำนองชู้ก็ได้”
จะอ้างข้อความที่แก้ไขใหม่ได้อย่างไร? คุณสามารถอ้างได้ดังนี้: พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ. (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 มีผลให้บทกฎหมายมาตรา 1523 วรรคสอง บัญญัติโดยสรุปว่า:
“คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งไปในทำนองชู้ หรือจากผู้ที่แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้…”
นอกจากนี้ ยังกำหนดเงื่อนไขว่าหากคู่สมรส “ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ” ให้อีกฝ่ายกระทำการนั้น ก็จะ ไม่สามารถเรียกค่าทดแทนได้
สรุปภาพรวม เนื้อหาดั้งเดิม (ก่อนแก้ไข)ตัวบท“สามี ... ภริยา ...” เนื้อหาใหม่ (ฉบับ พ.ศ. 2567) เปลี่ยนเป็น “คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” เงื่อนไข ฝ่ายภริยาต้องเป็น หญิงอื่นแสดงตนเปิดเผย ไม่มีเงื่อนไขเพศ ให้เรียกจาก ใครก็ตามที่ล่วงเกินคู่สมรส ประเด็นความเท่าเทียม ไม่เท่าเทียมระหว่างเพศ เท่าเทียมทางเพศตามรัฐธรรมนูญ
"ไม่ว่าจะเปิดเผยหรือไม่ ก็สามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนได้แล้ว" จริงไหม? ไม่เปิดเผยก็เรียกค่าทดแทนได้จริงไหม? ตอบ จริงครับ ✅ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 (ที่แก้ไขใหม่โดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมฯ ฉบับที่ 24 พ.ศ. 2567) และแนววินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ — การฟ้องชู้ ไม่จำเป็นต้องเป็นความสัมพันธ์ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ก็สามารถเรียกค่าทดแทนได้
1. หลักกฎหมายปัจจุบัน คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากบุคคลที่ ล่วงเกินคู่สมรสอีกฝ่าย ในทำนองชู้ หรือแสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้ ไม่กำหนดว่าต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ ในกรณีล่วงเกิน — หมายความว่า แม้จะเป็นความสัมพันธ์ลับ ๆ ก็ฟ้องได้ 2. ความแตกต่างระหว่าง “ล่วงเกิน” กับ “แสดงตนโดยเปิดเผย” ตัวอย่าง ล่วงเกินในทำนองชู้ ไม่ต้องเปิดเผยหมายความว่ามีความสัมพันธ์ทางเพศหรือความสัมพันธ์เชิงชู้สาวโดยปกปิด ส่วนข้อความว่าแสดงตนโดยเปิดเผยในทำนองชู้นั้น "ต้องเปิดเผย" หลักฐานเช่นโพสต์ภาพคู่, ไปงานสังคมด้วยกันในฐานะคู่รัก 3. เหตุผลที่ไม่ต้องเปิดเผยก็ฟ้องได้ เจตนารมณ์ของกฎหมาย คือคุ้มครองความซื่อสัตย์ในชีวิตสมรส การกระทำลับที่กระทบต่อความสัมพันธ์คู่สมรสก็ถือว่าทำให้เกิดความเสียหายได้ ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่าการจำกัดสิทธิการฟ้องเฉพาะกรณีที่ “เปิดเผย” สำหรับภริยาเป็นการเลือกปฏิบัติ จึงให้ปรับแก้ให้เท่าเทียมกันทั้งสองฝ่าย
"มีความสัมพันธ์ทางเพศหรือความสัมพันธ์เชิงชู้สาวโดยปกปิด" ต้องใช้หลักฐานอะไรประกอบบ้าง ถ้าพูดถึงกรณี “มีความสัมพันธ์ทางเพศหรือความสัมพันธ์เชิงชู้สาวโดยปกปิด” แล้วต้องการฟ้องชู้เพื่อเรียกค่าทดแทนตามมาตรา 1523 ป.พ.พ. ศาลจะต้องใช้ พยานหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ว่า การกระทำล่วงเกินนั้นเกิดขึ้นจริง แม้จะไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ 1. หลักฐานที่ใช้บ่อยในคดีฟ้องชู้ พยานบุคคล คือใครบ้าง ตอบ คนที่เห็นทั้งสองอยู่ในสถานการณ์สองต่อสองในลักษณะชู้สาว เช่น เพื่อนบ้าน, พนักงานโรงแรม, เพื่อนร่วมงาน คนใกล้ชิดที่ได้รับการบอกเล่าหรือเห็นพฤติกรรมสื่อถึงความสัมพันธ์เชิงชู้สาว
หลักฐานเอกสาร/ดิจิทัล ข้อความแชท, อีเมล, ไลน์, เฟซบุ๊ก, หรือโซเชียลมีเดีย ที่มีเนื้อหาสื่อถึงความสัมพันธ์ทางเพศหรือชู้สาว ภาพถ่ายหรือวิดีโอที่บ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดเกินกว่าปกติของเพื่อน บันทึกการโทรศัพท์หรือประวัติการสื่อสาร
หลักฐานทางกายภาพ/สถานที่ ใบเสร็จโรงแรม, รีสอร์ท, ห้องพักรายชั่วโมง หรือสถานที่พักร่วมกัน บันทึกกล้องวงจรปิดที่แสดงให้เห็นการอยู่ร่วมกันในที่ลับตาเป็นเวลานาน พยานแวดล้อม (Circumstantial Evidence) หลักฐานที่ไม่ใช่การเห็นการมีเพศสัมพันธ์โดยตรง แต่สภาพแวดล้อมทำให้สันนิษฐานได้ เช่น เข้าออกห้องพักเดียวกันตอนกลางคืนและออกมาตอนเช้า การเดินทางไปต่างจังหวัดด้วยกันโดยไม่มีเหตุผลด้านงานหรือครอบครัว คำรับสารภาพ ของฝ่ายที่ถูกกล่าวหาหรือคู่สมรสอีกฝ่าย (แม้จะไม่จำเป็นต้องมี แต่ถ้ามีก็ถือว่าหนักน้ำหนักมาก)
หลักการพิจารณาของศาล ศาล ไม่จำเป็นต้องมีภาพขณะมีเพศสัมพันธ์ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวและหาหลักฐานยาก ใช้การพิจารณาจาก พฤติการณ์รวมกัน เช่น พยานบุคคล + พยานเอกสาร + พยานแวดล้อม ถ้าพฤติการณ์บ่งชี้ว่า มีความสัมพันธ์เกินกว่าปกติของเพื่อน และสอดคล้องกันหลายแหล่ง ศาลอาจเชื่อว่ามีการล่วงเกินจริง ศาลมักไม่ต้องการข้อความที่ “โจ่งแจ้งเกินไป” เท่านั้น แต่จะดูพฤติการณ์และเนื้อหาที่ สื่อได้ชัดว่ามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวหรือทางเพศ 1. ลักษณะของข้อความที่เข้าข่ายพยานฟ้องชู้ ศาลจะพิจารณาว่าข้อความนั้นทำให้ “บุคคลทั่วไปเข้าใจได้ว่ามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว” หรือไม่ เช่น ใช้คำเรียกแทนกันในลักษณะคนรัก (แฟน, ที่รัก, ผัว/เมีย, darling, babe)
มีเนื้อหาสื่อถึงการกระทำทางเพศหรือความใกล้ชิดเกินกว่าความสัมพันธ์ปกติ พูดถึงการนัดพบกันในที่ลับตา เช่น โรงแรม, รีสอร์ท, คอนโด, บ้านพัก สื่อว่ามีการคบหากันเป็นการส่วนตัวและต่อเนื่อง พูดถึงความสัมพันธ์เชิงชู้สาวโดยตรง แม้ใช้คำปกปิดหรือรหัสที่คนทั่วไปตีความได้ ตัวอย่างข้อความที่มักใช้เป็นหลักฐาน
(ตัวอย่างเหล่านี้เป็นลักษณะทั่วไปที่พบในคดีจริง — ไม่ใช่การชี้เฉพาะบุคคล) กลุ่ม สื่อถึงความสัมพันธ์เชิงชู้สาวโดยตรง ตัวอย่างข้อความ “เมื่อคืนคิดถึงมาก อยากกอดอีก” “รอเจอกันที่โรงแรมเดิมนะจ๊ะ” “เมื่อคืนดีมากเลย ❤️” “เมื่อไหร่จะมาหาอีก คิดถึงจนทนไม่ไหวแล้ว”
กลุ่ม ใช้คำแทนคนรัก “ฝันดีนะที่รัก” “รักที่สุดเลย” “คิดถึงผัว/เมียมาก”
กลุ่ม สื่อถึงการนัดหมายในที่ลับ “พรุ่งนี้เลิกงานแวะมาที่คอนโดนะ” “ห้องเดิม ชั้น 5 เวลาเดิม” “เข้าทางหลัง จะไม่มีใครเห็น”
กลุ่ม มีเนื้อหาทางเพศ “เมื่อคืนยังจำได้ไม่ลืมเลย” “คิดถึงสัมผัสของเธอ” “อยากอยู่ด้วยกันทั้งคืน”
หมายเหตุสำคัญ ไม่จำเป็นต้องมีภาพหรือคำพูดทางเพศแบบชัดเจน แค่ข้อความที่เชื่อมโยงกับการมีความสัมพันธ์ลับ ก็อาจเพียงพอถ้ามีหลักฐานประกอบอื่น ศาลจะดู “ภาพรวม” — เช่น ข้อความต่อเนื่อง, พฤติการณ์อื่น, หลักฐานจากพยานบุคคล และเอกสารประกอบ หากเป็นรหัสหรือคำพูดที่ไม่ตรงไปตรงมา แต่เมื่อนำมารวมกับหลักฐานอื่นแล้วตีความได้ว่ามีความสัมพันธ์ชู้สาว ศาลก็อาจเชื่อ
🔹 ตัวอย่างข้อความแชทและเหตุผลประกอบ 1. “คืนนี้เจอกันที่เดิมนะ อย่าลืมเอากุญแจห้องมาด้วย” เหตุผล: มีการนัดเจอกันในสถานที่เฉพาะ (ซึ่งเข้าใจได้ว่าเป็นที่พัก/ห้องส่วนตัว) บ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ปกปิด 2. “เมื่อคืนดีมากเลย คิดถึงจนใจจะขาด” เหตุผล: ใช้คำสื่อถึงความสัมพันธ์ทางเพศ (“เมื่อคืนดีมาก”) และอารมณ์ความรัก/คิดถึงเกินกว่าความสัมพันธ์เพื่อนปกติ 3. “เสาร์นี้ไปพักรีสอร์ทที่หัวหินกันสองคนดีไหม” เหตุผล: เป็นการชวนไปพักค้างคืนเพียงสองคนในที่ท่องเที่ยว ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่ศาลมองว่าเกินความเหมาะสมของเพื่อนหรือคนรู้จักธรรมดา 4. “ขอบคุณนะที่อยู่ด้วยกันเมื่อคืน รู้สึกอบอุ่นมาก” เหตุผล: เนื้อหาสื่อว่ามีการอยู่ด้วยกันทั้งคืน บ่งชี้ถึงความใกล้ชิดทางร่างกาย 5. “อยากกอด อยากจูบ อยากอยู่ด้วยกันนาน ๆ” เหตุผล: เป็นการแสดงความต้องการทางกายและความรักในเชิงชู้สาวอย่างชัดเจน 6. “เมื่อไหร่จะเลิกกับเขาซักที จะได้อยู่ด้วยกันแบบไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ” เหตุผล: สื่อว่าฝ่ายหนึ่งมีคู่สมรสอยู่แล้ว และความสัมพันธ์ปัจจุบันเป็นความสัมพันธ์ลับที่ต้องปกปิด 7. “ฝันดีนะที่รัก เจอกันพรุ่งนี้หลังเลิกงาน” เหตุผล: ใช้คำแทนคนรัก (“ที่รัก”) พร้อมนัดเจอในเวลาส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องงาน 8. “ห้องที่เราจองไว้ พร้อมแล้วนะ เข้าทางด้านหลังไม่มีใครเห็น” เหตุผล: การปกปิดเส้นทางเข้าออกเป็นพฤติการณ์ที่สนับสนุนว่ามีความสัมพันธ์ที่ต้องซ่อนจากบุคคลอื่น 9. “คิดถึงสัมผัสของเธอเมื่อคืนมาก” เหตุผล: ใช้คำว่า “สัมผัส” ในบริบทส่วนตัวที่ชัดเจนถึงความสัมพันธ์เชิงชู้สาว 10. “อย่าลืมลบแชทนี้นะ เดี๋ยวเขาเห็น” เหตุผล: การสั่งลบข้อความเพื่อไม่ให้คู่สมรสอีกฝ่ายเห็น เป็นพฤติการณ์สำคัญว่ามีสิ่งที่ต้องปกปิด 💡 ข้อควรเข้าใจเพิ่มเติม: ข้อความเพียงอย่างเดียวอาจยังไม่พอ ต้องใช้ประกอบกับ หลักฐานอื่น เช่น พยานบุคคล ภาพถ่าย วิดีโอ หรือพยานแวดล้อม ศาลมอง “ภาพรวมของพฤติการณ์” ไม่ใช่แค่ประโยคเดียว ถ้าข้อความมีความหมายกำกวม แต่มีหลักฐานอื่นยืนยัน ก็ยังใช้ได้
ขอสรุปแบบตรง ๆ คือ คำพิพากษาศาลฎีกาที่เผยแพร่ต่อสาธารณะมัก “ไม่” ใส่ข้อความแชทแบบคำต่อคำ แต่จะเขียนเชิงสรุปว่า “มีการสนทนาทางไลน์/เฟซบุ๊กในเชิงชู้สาว” แล้วพิจารณารวมกับพยานอื่น (เช่น ใบเสร็จโรงแรม ภาพวงจรปิด พยานบุคคล) ดังนั้น “ตัวอย่างข้อความจริงคำต่อคำ” แทบไม่ถูกพิมพ์ลงในฎีกาโดยตรง
อย่างไรก็ตาม มีแนวคำพิพากษาและเอกสารทางการที่ยืนยันว่า ข้อความดิจิทัล/แชท ใช้เป็นพยานประกอบได้ และศาลดู “พฤติการณ์รวม” มากกว่าคำพูดโจ่งแจ้งเพียงอย่างเดียว ดังตัวอย่างต่อไปนี้ (ย่อหลักให้เห็นว่าอะไร “ใช้ได้–ใช้ไม่ได้” ในทางปฏิบัติ)
ตัวอย่างจากแนวคำพิพากษา/เอกสารทางการ (พร้อม “ข้อความตัวอย่างแบบสรุป”)
1) – พักโรงแรมห้องเดียวกัน + พฤติการณ์เชิงชู้สาว แก่นคดี: ศาลรับฟังพฤติการณ์ว่าพัก “ห้องเดียวกัน” กับสามีโจทก์และมีความใกล้ชิดเกินปกติ จึงให้ค่าสินไหมแก่ภริยา
ข้อความตัวอย่าง (สรุปพฤติการณ์): “พรุ่งนี้เจอกันที่โรงแรมเดิม ห้อง 507 เหมือนครั้งก่อน” ทำไมใช้ได้: ผูกกับใบเสร็จ/บันทึกเข้าพักและพยานบุคคล → ชี้การอยู่ลับตาคนในลักษณะชู้สาว ไม่ต้องมีภาพขณะร่วมเพศก็เพียงพอเมื่อพยานรวมกันหนักแน่น
2) – “แสดงตนโดยเปิดเผย” (ก่อนกฎหมายแก้เท่าเทียม)
แก่นคดี: ตอกย้ำเกณฑ์ “หญิงอื่นแสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์…” ตาม ม.1523 วรรคสอง (ก่อนถูกปรับให้เท่าเทียม) ว่าต้องมีลักษณะเปิดเผยจึงจะเรียกค่าทดแทนในฐานะ “หญิงชู้” ได้ (ภายใต้บทเดิม)
ข้อความตัวอย่าง (สรุปพฤติการณ์): “ลงรูปคู่เรียกกันว่า ‘ผัว–เมีย’ ต่อสาธารณะในเฟซบุ๊ก พร้อมแคปชันสื่อความรักใคร่” ทำไมใช้ได้ (ตามบทเดิม): “เปิดเผย” ต่อสาธารณะเข้าลักษณะตามบทบัญญัติเดิม หมายเหตุปัจจุบัน: หลังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 18 มิ.ย. 2567 และการปรับปรุงบทกฎหมาย มาตรานี้ถูกทำให้ “เท่าเทียม” เปิดทางให้คู่สมรส “ฝ่ายใดก็ได้” ฟ้องคนที่ “ล่วงเกิน” โดยไม่ต้องเปิดเผยก็ได้
3) – นิยาม/พฤติการณ์ “ล่วงเกินในทำนองชู้”
แก่นคดี: ศาลตีความ “ล่วงเกินในทำนองชู้” ครอบคลุมการทำชู้ การไปไหนมาไหน–อยู่ร่วมเรือนเดียวกัน กอดจูบ/แนบชิด ฯลฯ แม้ไร้ประจักษ์พยานการร่วมเพศ ก็พิสูจน์ได้จากพฤติการณ์รวม เช่น ค้างคืนสองต่อสองในที่ลับ ฯลฯ
ข้อความตัวอย่าง (สรุปพฤติการณ์): “เลิกงานแล้วมาขึ้นคอนโดทางเข้าหลังเหมือนเดิม เดี๋ยวเปิดประตูให้” ทำไมใช้ได้: เมื่อประกอบกับหลักฐานสถานที่/เวลา/กล้องวงจรปิด บ่งชี้ความสัมพันธ์ลับแบบคู่รัก ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงานธรรมดา
4) เสียง/บันทึกการสนทนา – หลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ “รับฟังได้” แก่นคดี/บทความอธิบายแนวฎีกา: คดีครอบครัว–ฟ้องชู้ ไม่มีบทกฎหมายห้าม รับฟังแผ่นบันทึกเสียงที่ได้มา (ศาลชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือเป็นรายกรณี)
ข้อความตัวอย่าง (สรุปพฤติการณ์): “เมื่อคืนพี่อยู่กับหนูทั้งคืน … อย่าลืมลบแชทเดี๋ยวภรรยาเห็น” ทำไมใช้ได้: แม้เป็น “บันทึกเสียง/แชท” ไม่ใช่ภาพร่วมเพศ แต่สอดคล้องพยานแวดล้อมอื่น จึงมีน้ำหนัก
5) กฎหมายใหม่/แนวทางทางการ – “ไม่เปิดเผยก็ฟ้องได้” (หลังปี 2567–2568)
เอกสารฝ่ายนิติบัญญัติ/เผยแพร่สาธารณะของวุฒิสภา: ยืนยันผลคำวินิจฉัยศาล รธน. และการปรับปรุง ม.1523 วรรคสอง ให้ คู่สมรสฝ่ายใดก็ได้ ฟ้องผู้ “ล่วงเกินในทำนองชู้” แม้ไม่เปิดเผย; ส่วนกรณี “แสดงตนโดยเปิดเผย” ก็ยังเป็นอีกฐานหนึ่งต่างหาก
อะไร “มักใช้ได้” กับ “มักใช้ไม่ได้” ใช้ได้ เมื่อมีพยานอื่นประกอบและสอดคล้องกัน
แชท/อินบ็อกซ์ที่สื่อความสัมพันธ์เชิงชู้สาว + หลักฐานสถานที่/เวลา (ใบเสร็จโรงแรม, CCTV, Log เข้าคอนโด) → ศาลรับฟังร่วมกันได้ โพสต์สาธารณะที่ “แสดงตนโดยเปิดเผยว่าเป็นคู่รัก/ผัวเมีย” (ตามเกณฑ์บทเดิม และยังคงมีน้ำหนักในบทใหม่เมื่อเป็น “ฐานแสดงตน”) บันทึกเสียง/บทสนทนาดิจิทัลที่สื่อถึงการคบชู้อย่างชัดเจน และ ไม่ถูกหักล้างความน่าเชื่อถือ
หลักฐานต่อไปนี้มีน้ำหนักน้อยมักใช้ไม่ได้ (น้ำหนักน้อย/กำกวม ถ้าไม่มีพยานเสริม) แชททัก “คิดถึงนะ” แบบเพื่อนร่วมงาน ถ้าไม่มีนัดพบลับ/พักค้าง/พฤติการณ์อื่น → ศาลอาจมองว่ายังไม่ถึงขั้น “ล่วงเกิน” แชทที่เป็น รหัสกำกวม แต่ไม่มีหลักฐานแวดล้อมยืนยัน แค่ “คบซ้อนแต่ยังไม่ถึงชู้” (ไม่มีพฤติการณ์เชิงชู้สาว) → เรียกค่าเสียหายฐานชู้ไม่ได้ ต้องมีมูล “ล่วงเกินในทำนองชู้” หรือ “แสดงตนโดยเปิดเผยในทำนองชู้” ตามบทบัญญัติใหม่ที่เท่าเทียมแล้ว
ตัวอย่างข้อความด้านบนจึงเป็น “สรุปลักษณะข้อความ” ที่สอดคล้องกับพฤติการณ์ในคดีและแนวคำพิพากษา พร้อมเหตุผลว่าทำไม “เข้าข่าย” เมื่อประกอบกับพยานอื่น
|