ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




คดีฟ้องหย่าฟ้องชู้สาวไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังแผ่นบันทึกเสียงที่แอบบันทึกไว้

 เมื่อพิจารณาข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 26 เมษายน 2559 แล้ว ต้องถือว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงประนีประนอมยอมความกันได้ โดยให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและอุปการะเลี้ยงดูนาย น. แต่เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ป. แต่เพียงผู้เดียว โดยต่างฝ่ายต่างยินยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งไปเยี่ยมเยียนบุตรได้ และไม่ติดใจเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน ศาลจึงต้องมีคำพิพากษาตามข้อตกลงดังกล่าวด้วย การที่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำพิพากษาถึงข้อตกลงนี้ไว้เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง ส่วนการสั่งค่าฤชาธรรมเนียมนั้น ศาลต้องสั่งให้ชัดแจ้งว่า เป็นค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องในสำนวนแรกหรือสำนวนหลังหรือฟ้องแย้ง แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 สั่งเพียงว่า ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โดยไม่กำหนดให้ถูกต้องครบถ้วน ทั้งศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้องแย้งเพียงบางส่วน แต่ในตอนท้ายได้พิพากษาว่า คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จึงเป็นการไม่ชัดแจ้ง และศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้แก้ไขในส่วนนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่

 คดีฟ้องหย่าฟ้องชู้สาวไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังแผ่นบันทึกเสียงที่แอบบันทึกไว้ 

โจทก์กับจำเลยที่ 1 อยู่กินเป็นสามีภริยากัน ต่อมาจึงจดทะเบียนสมรสกัน เมื่อปี 2552 โจทก์กับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนหย่าขาดจากกัน และเมื่อปี 2554 โจทก์กับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกันอีกครั้ง ในระหว่างสมรส โจทก์กับจำเลยที่ 1 มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นาย น.  และเด็กหญิง ป. ข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์ไม่ช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูจำเลยที่ 1 ตามสมควรและกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิฟ้องหย่าโจทก์ได้ จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์จึงเป็นอันยุติว่าไม่มีเหตุหย่าตามฟ้อง ระยะเวลาฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 เป็นสิทธิเฉพาะตัวระหว่างสามีภริยา คือ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาของโจทก์เท่านั้น จำเลยที่ 2 ถูกฟ้องเรียกค่าทดแทนไม่ว่าโจทก์หรือจำเลยที่ 1 จะขาดจากสมรสหรือไม่ ก็หาเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 อ้างระยะเวลาดังกล่าวเพื่อไม่ต้องใช้ค่าทดแทนไม่ พยานโจทก์ปากนาย น. เป็นบุตรของโจทก์กับจำเลยที่ 1 เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนรักใหม่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งหากไม่เป็นความจริงก็ไม่มีเหตุอันใดที่พยานจะเบิกความปรักปรำให้ร้ายจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาของตนเอง แม้จำเลยที่ 1 มีคำขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิง ป. และขอให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองนาย น. แต่เหตุเพียงเท่านี้ไม่น่าจะทำให้นาย น. โกรธเคืองหรือน้อยใจจำเลยที่ 1 ถึงขนาดจะเบิกความบิดเบือนใส่ร้ายจำเลยที่ 1 ว่า มีพฤติกรรมเช่นนี้ ส่วนแผ่นบันทึกเสียงซึ่งเป็นการบันทึกเสียงสนทนาระหว่างนาย ช. กับจำเลยที่ 1 ที่ได้จัดทำขึ้นโดยแอบบันทึกเสียงนั้น คดีนี้เป็นคดีแพ่งมิได้มีบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งห้ามมิให้รับฟังแผ่นบันทึกเสียงที่แอบบันทึกไว้ และนาย ช. เบิกความเป็นพยานต่อศาลเอง จึงเป็นประจักษ์พยานเกี่ยวกับการสนทนาดังกล่าว ซึ่งข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของนาย ช. เป็นเหตุการณ์โดยบังเอิญที่อาจเป็นไปได้ ไม่ได้ส่อพิรุธให้เห็นว่า เกิดจากการปั้นแต่งขึ้นเพื่อปรักปรำจำเลยที่ 1 ทั้งสอดคล้องกับพยานโจทก์ปากนาย น. นาง ส. และตัวโจทก์ด้วย จึงทำให้พยานโจทก์ทั้งสี่ปากมีน้ำหนักให้รับฟังได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับจำเลยที่ 2 อันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าขาดจากจำเลยที่ 1 ได้และจำเลยที่ 2 ต้องชำระค่าทดแทนให้แก่โจทก์

อนึ่ง เมื่อพิจารณาข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 26 เมษายน 2559 แล้ว ต้องถือว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงประนีประนอมยอมความกันได้ โดยให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและอุปการะเลี้ยงดูนาย น. แต่เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ป. แต่เพียงผู้เดียว โดยต่างฝ่ายต่างยินยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งไปเยี่ยมเยียนบุตรได้ และไม่ติดใจเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน ศาลจึงต้องมีคำพิพากษาตามข้อตกลงดังกล่าวด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5259 - 5260/2561

ป.วิ.พ. ไม่มีบทบัญญัติห้ามมิให้รับฟังแผ่นบันทึกเสียงที่แอบบันทึกไว้ ดังนั้น แผ่นบันทึกเสียงสนทนาระหว่าง ช. กับจำเลยที่ 1 ที่ ช. จัดทำขึ้นโดยแอบบันทึกเสียงจำเลยที่ 1 ซึ่งยอมรับว่ามีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 2 ในทำนองชู้สาว โดย ช. มาเบิกความเป็นพยานต่อศาลเอง ช. จึงเป็นประจักษ์พยานเกี่ยวกับการสนทนาดังกล่าว ศาลจึงรับฟังแผ่นบันทึกเสียงดังกล่าวประกอบพยานหลักฐานอื่นได้ไม่ต้องห้าม

ระยะเวลาการฟ้องหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1529 เป็นสิทธิเฉพาะตัวระหว่างสามีภริยาคือจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาของโจทก์เท่านั้น จำเลยที่ 2 ถูกฟ้องเรียกค่าทดแทนไม่ว่าโจทก์หรือจำเลยที่ 1 จะขาดจากการสมรสหรือไม่ ก็หาเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 อ้างระยะเวลาดังกล่าวเพื่อไม่ต้องใช้ค่าทดแทนไม่

ปัญหาว่าโจทก์ให้อภัยในการกระทำของจำเลยที่ 1 อันทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยที่ 1 หรือไม่ ป.พ.พ. มาตรา 1518 บัญญัติว่า "สิทธิฟ้องหย่าย่อมหมดไปในเมื่อฝ่ายที่มีสิทธิฟ้องหย่าได้กระทำการอันแสดงให้เห็นว่า ได้ให้อภัยในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องหย่านั้นแล้ว" จากบทบัญญัติดังกล่าวจึงต้องมีข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนว่า มีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า โจทก์มีพฤติการณ์อันเป็นการให้อภัยจำเลยที่ 1 ในเหตุหย่าตามฟ้องของโจทก์แล้ว แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้ในประเด็นนี้ไว้ ในสำนวนจึงไม่มีข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาว่าโจทก์ให้อภัยในการกระทำของจำเลยที่ 1 อันจะทำให้โจทก์หมดสิทธิฟ้องหย่าจำเลยที่ 1 ตามบทบัญญัติดังกล่าว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกจำเลยในสำนวนแรกซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลังว่า โจทก์ เรียกโจทก์ในสำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยที่ 2 ในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 2

สำนวนแรกจำเลยที่ 1 ฟ้องขอให้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 กับโจทก์หย่าขาดจากกัน ให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิง ป. แต่เพียงผู้เดียว และให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ป. เป็นเงินเดือนละ 2,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าเด็กหญิง ป. จะมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ กับให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองนาย น. แต่เพียงผู้เดียว

โจทก์ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองแต่เพียงผู้เดียว ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูนาย น. เป็นเงินเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่านาย น. จะบรรลุนิติภาวะ ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ป. เป็นเงินเดือนละ 2,500 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าเด็กหญิง ป. จะบรรลุนิติภาวะ และโจทก์ขอสงวนสิทธิแก้ไขเพิ่มเติมอัตราค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองในอนาคตด้วย

จำเลยที่ 1 ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง

สำนวนหลังโจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ 180,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าทดแทนเป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันว่า ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและอุปการะเลี้ยงดูนาย น. แต่เพียงผู้เดียว ให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ป. แต่เพียงผู้เดียว โดยโจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ไปเยี่ยมเยียนนาย น.ได้ตลอดเวลาและจำเลยที่ 1 ยินยอมให้โจทก์ไปเยี่ยมเยียนเด็กหญิง ป. ได้ตลอดเวลาเช่นกัน โจทก์กับจำเลยที่ 1 ต่างไม่ติดใจเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 26 เมษายน 2559

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าทดแทนเป็นเงิน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า เดิมจำเลยที่ 1 ชื่อ "อ." ได้ขอเปลี่ยนชื่อเป็น "ก." เมื่อปี 2538 โจทก์กับจำเลยที่ 1 อยู่กินเป็นสามีภริยากัน ต่อมาวันที่ 11 พฤศจิกายน 2545 จึงจดทะเบียนสมรสกัน เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 โจทก์กับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนหย่าขาดจากกัน และเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2554 โจทก์กับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกันอีกครั้ง ในระหว่างสมรส โจทก์กับจำเลยที่ 1 มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นาย น. เกิดวันที่ 19 มีนาคม 2541 และเด็กหญิง ป. เมื่อปี 2550 โจทก์เข้ารับราชการทหาร กรมพลาธิการทหารบก สังกัดกองทัพบก เมื่อปี 2553 โจทก์ถูกย้ายไปประจำการที่ค่ายธนะรัตน์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อปี 2555 โจทก์ถูกย้ายไปประจำการที่ค่ายลพบุรีราเมศวร์ ตำบลเกาะสะบ้า อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ปัจจุบันโจทก์ถูกส่งไปปฏิบัติราชการสนามที่หน่วยเฉพาะกิจ 25 อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2553 โจทก์กู้ยืมเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์กรมพลาธิการทหารบก จำกัด เป็นเงิน 260,000 บาท จากการตรวจเปรียบเทียบสารพันธุกรรมของโจทก์ จำเลยที่ 1 และเด็กหญิง ป. ผลปรากฏว่า เด็กหญิง ป. เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 ซึ่งเกิดจากโจทก์จริง ตามรายงานผลการตรวจความสัมพันธ์บิดา - มารดา - บุตรเอกสารท้ายคำร้องฉบับลงวันที่ 20 เมษายน 2559 ในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 382/2559 ของศาลชั้นต้น อันดับที่ 36 และคดีเป็นอันถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ต้องชำระเงิน 180,000 บาท ให้แก่โจทก์

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า มีเหตุให้จำเลยที่ 1 หย่าขาดจากโจทก์ตามฟ้องของจำเลยที่ 1 ในสำนวนแรกหรือไม่ คดีนี้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายกล่าวอ้าง แต่พยานหลักฐานที่จำเลยที่ 1 นำสืบมามีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์ไม่ช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูจำเลยที่ 1 ตามสมควรและกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิฟ้องหย่าโจทก์ได้ จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ คดีในปัญหาข้อนี้จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่มีเหตุหย่าตามฟ้องของจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ในสำนวนหลัง โจทก์ก็เป็นฝ่ายกล่าวอ้างเช่นกันว่า โจทก์อุปการะเลี้ยงดูจำเลยที่ 1 และบุตรทั้งสอง มิได้กระทำการปฏิปักษ์ในการเป็นสามีภริยา ซึ่งพยานหลักฐานของโจทก์กล่าวอ้างลอย ๆ ข้อเท็จจริงจึงเชื่อได้ว่ามีเหตุให้จำเลยที่ 1 หย่าขาดจากโจทก์ตามฟ้องของจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยกปัญหาดังกล่าวขึ้นฎีกาได้อีกเพราะถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ซึ่งใช้บังคับขณะยื่นฟ้องประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ว่าโจทก์ฟ้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่ทราบเหตุหย่า สิทธิฟ้องร้องจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ระยะเวลาฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 เป็นสิทธิเฉพาะตัวระหว่างสามีภริยา คือ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาของโจทก์เท่านั้น จำเลยที่ 2 ถูกฟ้องเรียกค่าทดแทนไม่ว่าโจทก์หรือจำเลยที่ 1 จะขาดจากสมรสหรือไม่ ก็หาเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 อ้างระยะเวลาดังกล่าวเพื่อไม่ต้องใช้ค่าทดแทนไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยในปัญหานี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการต่อไปว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ว่า โจทก์ให้อภัยในการกระทำของจำเลยที่ 1 อันทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1518 เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1518 บัญญัติว่า "สิทธิฟ้องหย่าย่อมหมดไปในเมื่อฝ่ายที่มีสิทธิฟ้องหย่าได้กระทำการอันแสดงให้เห็นว่า ได้ให้อภัยในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องหย่านั้นแล้ว" จากบทบัญญัติดังกล่าวจึงต้องมีข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนว่า มีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า โจทก์มีพฤติการณ์อันเป็นการให้อภัยจำเลยที่ 1 ในเหตุหย่าตามฟ้องของโจทก์แล้ว แต่จำเลยที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้ในประเด็นนี้ไว้ ดังนี้ ในสำนวนจึงไม่มีข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาที่ว่าโจทก์ให้อภัยในการกระทำของจำเลยที่ 1 อันจะทำให้โจทก์หมดสิทธิฟ้องหย่าจำเลยที่ 1 ตามบทบัญญัติดังกล่าว กรณีย่อมถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยมานั้น ชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 1 มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับจำเลยที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์ปากนาย น. เป็นบุตรของโจทก์กับจำเลยที่ 1 กลับเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนรักใหม่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งหากไม่เป็นความจริงก็ไม่มีเหตุอันใดที่พยานจะเบิกความปรักปรำให้ร้ายจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาของตนเอง แม้จะได้ความตามฟ้องในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 มีคำขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิง ป. และขอให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองนาย น. แต่เหตุเพียงเท่านี้ไม่น่าจะทำให้นาย น. โกรธเคืองหรือน้อยใจจำเลยที่ 1 ถึงขนาดจะเบิกความบิดเบือนใส่ร้ายจำเลยที่ 1 ว่า มีพฤติกรรมเช่นนี้ ส่วนแผ่นบันทึกเสียง ซึ่งเป็นการบันทึกเสียงสนทนาระหว่างนาย ช. กับจำเลยที่ 1 ที่ได้จัดทำขึ้นโดยแอบบันทึกเสียงนั้น คดีนี้เป็นคดีแพ่ง มิได้มีบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งห้ามมิให้รับฟังแผ่นบันทึกเสียงที่แอบบันทึกไว้ และนาย ช. เบิกความเป็นพยานต่อศาลเอง จึงเป็นประจักษ์พยานเกี่ยวกับการสนทนาดังกล่าว ซึ่งข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของนาย ช. เป็นเหตุการณ์โดยบังเอิญที่อาจเป็นไปได้ ไม่ได้ส่อพิรุธให้เห็นว่า เกิดจากการปั้นแต่งขึ้นเพื่อปรักปรำจำเลยที่ 1 ทั้งสอดคล้องกับพยานโจทก์ปากนาย น. นาง ส. และตัวโจทก์ด้วย จึงทำให้พยานโจทก์ทั้งสี่ปากมีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนพยานฝ่ายจำเลยต่างเบิกความลอย ๆ อีกทั้งนาง อ. กับนาง ณ. เป็นมารดาและเพื่อนของจำเลยที่ 1 อาจเบิกความเพื่อช่วยเหลือกันจึงมีน้ำหนักน้อย สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่อ้างว่า ห้องเลขที่ 594/689 ที่ ป.ปิ่นเกล้าคอนโดมิเนียม โครงการ 2 มิใช่ของจำเลยที่ 2 ส่วนห้องชุดอีก 2 ห้องที่คอนโดมิเนียมดังกล่าวจำเลยที่ 2 มอบหมายให้นางสาว ส. เป็นผู้ดำเนินการให้บุคคลอื่นเช่าไปแล้ว นั้น ล้วนเป็นเอกสารที่จำเลยที่ 2 เพิ่งอ้างส่งต่อศาลฎีกา จึงเป็นพยานเอกสารที่เข้าสู่สำนวนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ต้องห้ามมิให้รับฟัง ดังนี้ เมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ดังกล่าวประกอบกันแล้วย่อมมีน้ำหนักดีว่าพยานหลักฐานของฝ่ายจำเลย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับจำเลยที่ 2 อันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าขาดจากจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (1) และจำเลยที่ 2 ต้องชำระค่าทดแทนให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าทดแทน 250,000 บาท แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง เมื่อพิจารณาข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 26 เมษายน 2559 แล้ว ต้องถือว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงประนีประนอมยอมความกันได้ โดยให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและอุปการะเลี้ยงดูนาย น. แต่เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ป. แต่เพียงผู้เดียว โดยต่างฝ่ายต่างยินยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งไปเยี่ยมเยียนบุตรได้ และไม่ติดใจเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน ศาลจึงต้องมีคำพิพากษาตามข้อตกลงดังกล่าวด้วย การที่ศาลล่างทั้งสองมิได้มีคำพิพากษาถึงข้อตกลงนี้ไว้เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง ส่วนการสั่งค่าฤชาธรรมเนียมนั้น ศาลต้องสั่งให้ชัดแจ้งว่า เป็นค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องในสำนวนแรกหรือสำนวนหลังหรือฟ้องแย้ง แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 สั่งเพียงว่า ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โดยไม่กำหนดให้ถูกต้องครบถ้วน ทั้งศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้องแย้งเพียงบางส่วน แต่ในตอนท้ายได้พิพากษาว่า คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จึงเป็นการไม่ชัดแจ้ง และศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้แก้ไขในส่วนนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและอุปการะเลี้ยงดูนาย น. แต่เพียงผู้เดียว ให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ป. แต่เพียงผู้เดียว โดยโจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ไปเยี่ยมเยียนนาย น.ได้ตลอดเวลา และจำเลยที่ 1 ยินยอมให้โจทก์ไปเยี่ยมเยียนเด็กหญิง ป. ได้ตลอดเวลาเช่นกัน คำขอตามฟ้องของจำเลยที่ 1 ในสำนวนแรกและตามฟ้องของโจทก์ในสำนวนหลังกับฟ้องแย้งในสำนวนแรกนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องทั้งสองสำนวนในศาลชั้นต้นและศาลฎีกาให้เป็นพับ ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1




การสิ้นสุดแห่งการสมรส

คดีฟ้องหย่าและการแบ่งทรัพย์สิน, สิทธิการเรียกค่าเลี้ยงดูของโจทก์, การชำระค่าทดแทนในคดีแพ่ง, การบังคับคดีและสิทธิทายาทในมรดก
เรียกค่าทดแทนจากสามีและหญิงอื่น(เมียน้อย), ยกย่องผู้อื่นฉันภริยา
ข้อตกลงแบ่งค่าเช่าที่ดินในสัญญาหย่า
ฟ้องหย่าคู่สมรสวิกลจริต, คนไร้ความสามารถกับการหย่า, แบ่งทรัพย์สินหลังหย่าในกรณีคนวิกลจริต
การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลัง
การหย่าโดยความยินยอมต้องทำอย่างไร?, หนังสือหย่า
การหย่าโดยความยินยอม, บันทึกเป็นหนังสือประสงค์หย่าขาด
การฟ้องและเรียกค่าทดแทนคดีครอบครัว
สามีภริยาจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้างแต่ต้องเกิดจากความยินยอม
ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์
ไม่เกิดสิทธิฟ้องหย่าเพราะโจทก์มีพฤติกรรมนอกใจจำเลยยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี เหตุฟ้องหย่า
สมัครใจแยกกันอยู่, จงใจละทิ้งร้าง, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
การสมรสสิ้นไปด้วยเหตุความตายของคู่สมรสฝ่ายหนึ่ง
แบ่งสินสมรส, สินสมรสที่เป็นเงินตรา, แบ่งสินสมรสหลังหย่า สิทธิและหน้าที่, สินส่วนตัวกับสินสมรส
อายุความฟ้องหย่า, บันทึกข้อตกลงหย่า, หลักกฎหมายมาตรา 1515,
สิทธิฟ้องค่าอุปการะเลี้ยงดูอันจะอยู่ในอายุความ 5 ปี , หน้าที่บิดามารดาในการเลี้ยงดูบุตร
การฟ้องหย่าด้วยเหตุหมิ่นประมาท, สิทธิการฟ้องหย่าหมดอายุความ
นำตำรวจจับกุมภริยา หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง
จงใจละทิ้งร้างภริยาไปเกินหนึ่งปีฟ้องหย่าได้, สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา
การจงใจทิ้งร้างไปเกินกว่า 1 ปีต้องในลักษณะที่ไม่หวนกลับไปหาคู่สมรสอีก
ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร
สิทธิฟ้องหย่าระงับไปเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีเว้นแต่เหตุฟ้องเกิดขึ้นต่อเนื่อง
เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ สิทธิเรียกร้องกำหนดอายุความ 5 ปี
เหตุฟ้องหย่าให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ยื่นฟ้องหย่า
สามีฟ้องหย่า,จงใจละทิ้งร้าง,เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ, อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นเป็นภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี ต้องเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุขด้วย
แยกกันอยู่เพราะสามีรับราชการที่อื่น, ไม่ถือว่าเป็นการแยกกันอยู่โดยความสมัครใจ
ทะเลาะกันและทำร้ายร่างกายยังไม่เป็นเหตุฟ้องหย่า
แยกกันอยู่เพราะสามียกย่องหญิงอื่น, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
ฟ้องหย่าจงใจละทิ้งร้างเรียกสินสอดทองหมั้นคืน
สามีหรือภริยาประพฤติชั่วอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
รู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่าจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่านั้นไม่ได้
พี่น้องของผู้ตายขอเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสซ้อนไม่ได้
อำนาจฟ้องขอเพิกถอนการสมรสเพราะสำคัญผิดตัว
ศาลมีอำนาจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้
ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก-ได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปี ฟ้องหย่าได้
สิทธิฟ้องหย่าระงับเมื่ออีกฝ่ายให้อภัยแล้ว
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปีฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะติดต่อกับบุตรของตนได้ตามสมควรแล้วแต่พฤติการณ์
ไม่อาจร่วมประเวณีได้ ต้องการฟ้องหย่า
แยกกันอยู่หรือจงใจละทิ้งร้าง? -อยู่บ้านเดียวกันแต่ก็มีลักษณะแบบต่างคนต่างอยู่
กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง
ไม่ถือว่าจำเลยประพฤติชั่วทำให้โจทก์อับอายถูกเกลียดชังจนเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะเรียกค่าทดแทนชู้สาวนั้นต้องแสดงตนโดยเปิดเผย
เหตุแห่งการฟ้องหย่าทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลงขอให้อีกฝ่ายหนึ่งจ่ายค่าเลี้ยงชีพได้
ฟ้องซ้ำ ค่าอุปการะเลี้ยงดู หนี้ที่ยังไม่ถึงกำหนด
การแบ่งสินสมรสและกรรมสิทธิ์รวม
หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามสามีหรือบุพการี
สัญญาระหว่างสมรสให้ทรัพย์สินของสามีตกเป็นของภริยาห้ามบอกล้าง
ขอเพิกถอนทะเบียนสมรสซ้อน สมรสซ้อนโดยไม่สุจริต
ทะเบียนสมรส ลงชื่อฝ่ายชายคนเดียว, เพิกถอนการรับบุตรบุญธรรม
ฟ้องหย่าอ้างเหตุสมัครใจแยกกันอยู่
ทำร้ายร่างกายถ้าเป็นการร้ายแรงฟ้องหย่าได้, ศาลปรับหนึ่งพันไม่เป็นการร้ายแรง
ฟ้องหย่าอ้างว่าจำเลยดูหมิ่นโจทก์และบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรง
การกระทำของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอันเป็นเหตุฟ้องหย่า
โจทก์ได้ให้อภัยจำเลยเรื่องทำร้ายร่างกายแล้วถือได้ว่าสิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้ย่อมหมดไป
ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน, การทำร้ายคู่สมรส
เหตุฟ้องหย่า เหตุที่ไม่อาจอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ มีอะไรบ้าง
ความสมบูรณ์ของการสมรส, ฟ้องให้การสมรสเป็นโมฆะ
การละเมิดเกิดขึ้นต่อเนื่องอายุความจึงยังไม่เริ่มนับคดีไม่ขาดอายุความ
การฟ้องหย่าและหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามี ไม่ฟ้องหย่า
ฟ้องหย่าอ้างสิทธิที่จะเลือกคู่ครองตามรัฐธรรมนูญ
รู้ว่าสามีไปมีหญิงอื่นเกินหนึ่งปีก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้,อายุความ
จงใจละทิ้งร้างไปเกินหนึ่งปี
ฟ้องหย่าได้ที่ศาลใด
สามีโจทก์เข้าออกบ้านของจำเลยในเวลากลางคืนบ่อยครั้ง
การหย่าโดยคำพิพากษาจะมีผลต่อเมื่อเวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุด
หนังสือร้องเรียนผู้บังคับบัญชาเรื่องความสัมพันธ์กับหญิงอื่น
ฟ้องหย่าอ้างแยกกันอยู่เกินสามปีต้องเพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุข
เหตุฟ้องหย่าอ้างว่าใช้วาจาไม่สุภาพและทะเลาะโดยไม่มีเหตุผล
หลักเกณฑ์การใช้สิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพหลังการหย่า
สิทธิฟ้องหย่าของโจทก์หมดไปโจทก์ให้ความยินยอมและรู้เห็นเป็นใจ
คำสั่งขอคุ้มครองชั่วคราวเกี่ยวด้วยดอกผลของสินสมรส
แม้โจทก์ไม่ได้นำสืบเรื่องอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดได้
จดทะเบียนสมรสโดยต่างไม่ได้ยินยอมเป็นสามีภริยากันอย่างแท้จริง
ความหมายว่า"ค่าอุปการะเลี้ยงดูจนกว่าจะสมรสใหม่และจนกว่าการสมรสสิ้นสุดลง"
ฟ้องหย่าคดีอยู่ระหว่างฎีกาฟ้องคดีใหม่เป็นฟ้องซ้อน
สำนักงานการปฏิรูปฯ (ส.ป.ก.)ขอออกโฉนดโดยมิชอบ
พักโรงแรมห้องเดียวกับสามี ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงชู้โดยไม่ต้องฟ้องหย่า
โจทก์ไม่ทราบแน่ชัดเรื่องชู้สาวจึงไม่เป็นการยินยอมและให้อภัยของโจทก์
บันทึกท้ายทะเบียนการหย่าว่าให้ที่ดินตกเป็นของบุตรเมื่อตายไม่ใช่พินัยกรรม
สมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้
การจดทะเบียนหย่าด้วยการแสดงเจตนาลวง
จดทะเบียนหย่าแล้วก็ฟ้องเรียกค่าทดแทนชู้สาวได้
ขับไล่โจทก์ออกจากบ้านเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง