
| หย่า ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4) vs (4/2)แยกกันอยู่, ละทิ้งร้าง, สมัครใจแยกกันอยู่, (ฎีกา 2345/2552)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ การฟ้องหย่าโดยอาศัยเหตุจงใจละทิ้งร้างเกินหนึ่งปี (ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4)) กับ เหตุสมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี (มาตรา 1516 (4/2)) ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ในคำฟ้องได้ระบุเหตุหย่าเฉพาะมาตรา 1516 (4) เท่านั้น ไม่ได้บรรยายถึงองค์ประกอบของเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (4/2) จึงไม่ชอบให้ศาลรับวินิจฉัยตาม (4/2) และให้ยึดเฉพาะเหตุ (4) เท่านั้น โดยคำฟ้องในกรณีนี้ไม่อาจรับได้ว่าเป็น “สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี” แม้จะมีบันทึกตกลงแยกทางกัน จึงไม่มีเหตุหย่า ขณะเดียวกัน ศาลฎีกาได้แก้ไขวิธีแบ่งจ่าย ค่าอุปการะเลี้ยงดู ของบุตร โดยยืนยันหลักว่า สิทธิรับอุปการะเลี้ยงดูเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เสียหายแต่ละคน ข้อเท็จจริงของคดี • โจทก์ยื่นฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์กับจำเลย หย่าขาดกัน โดยอ้างเหตุ “จงใจละทิ้งร้างเกินหนึ่งปี” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4) • โจทก์แนบ บันทึกตกลงแยกทางกัน (เอกสาร จ.3 ลงวันที่ 8 เมษายน 2540) ซึ่งระบุว่า “จำเลยมีความประสงค์ขอแยกทางอยู่กับโจทก์ และโจทก์ยินยอม” • แต่คำฟ้อง มิได้ระบุเหตุหย่า ตามมาตรา 1516 (4/2) (สมัครใจแยกกันอยู่เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี) และไม่ได้นำเสนอองค์ประกอบของเหตุหย่าใน (4/2) • โจทก์ให้การว่าตนเองเป็นคน ออกจากบ้านไปเอง และจำเลยไม่ได้สมัครใจแยกอยู่ด้วย • จำเลยในคำตอบแย้งขอให้ศาลยกฟ้อง และเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูย้อนหลัง + ค่าอุปการะเลี้ยงดูต่อไป + ดอกเบี้ย + ขอให้เพิกถอนอำนาจปกครองบุตร • ศาลชั้นต้นพิพากษาให้หย่า และสั่งให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสอง 7,500 บาท/เดือน พร้อมดอกเบี้ย ฯลฯ • ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แก้เป็นให้ ยกฟ้องในข้อให้หย่า ส่วนคำให้ชำระอื่นคงเดิม • โจทก์ยื่นฎีกา 🔹 มาตรากฎหมายหลักที่ใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4) และ (4/2) • มาตรา 1516 (4) : “ฝ่ายหนึ่งจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี” • มาตรา 1516 (4/2) : “ฝ่ายหนึ่งสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี” สองวรรคนี้เป็น ฐานเหตุหย่าโดยพฤติการณ์การแยกกันอยู่ แต่มีองค์ประกอบทางกฎหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นจุดที่โจทก์ในคดีนี้ เข้าใจผิดและฟ้องไม่ครบองค์ประกอบ จึงเป็นสาระสำคัญที่ศาลฎีกาเน้นย้ำ 🔑 5 ข้อความสำคัญ พร้อมขยายประเด็นสั้น ๆ 1. “เหตุหย่าต้องระบุชัดในคำฟ้อง” โจทก์ฟ้องอ้างเพียง มาตรา 1516 (4) แต่ในชั้นฎีกากลับกล่าวถึงเหตุ (4/2) ซึ่งไม่อยู่ในคำฟ้อง ศาลจึงวินิจฉัยว่าเป็น “การฎีกานอกคำฟ้อง” และไม่รับพิจารณา → หลักสำคัญเรื่อง ขอบเขตคำฟ้อง และ หลัก Nemo plus juris (คู่ความจะอ้างเกินคำฟ้องไม่ได้) 2. “องค์ประกอบของ มาตรา 1516 (4/2) มีมากกว่าแค่แยกกันอยู่ 3 ปี” การอยู่แยกกันเกิน 3 ปี ไม่พอ ต้องพิสูจน์ว่า “เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมา” ศาลฎีกาชี้ว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายองค์ประกอบนี้ จึงไม่เข้าเหตุหย่า ตาม (4/2) 3. “การละทิ้งร้างต้องเกิดจากฝ่ายจำเลยโดยเจตนา” โจทก์ยอมรับว่าเป็นฝ่ายออกจากบ้านเอง แปลว่าจำเลยไม่ได้ละทิ้งร้าง จึงไม่เข้าองค์ประกอบของ มาตรา 1516 (4) → ศาลปฏิเสธเหตุหย่า 4. “บันทึกตกลงแยกทางกันไม่ใช่หลักฐานยืนยันเจตนาแยกอยู่จริง” แม้มีเอกสารลงชื่อทั้งสองฝ่าย แต่ศาลวินิจฉัยว่า จำเลยเซ็นเพราะกลัวไม่ได้ค่าอุปการะเลี้ยงดู ไม่ใช่เจตนาแท้จริงในการแยกอยู่ จึงไม่ถือเป็นการสมัครใจแยกกันอยู่ตาม (4/2) 5. “สิทธิในการได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นสิทธิเฉพาะตัว” ศาลฎีกาเน้นว่า บุตรแต่ละคนมีสิทธิแยกกัน ไม่สามารถรวมสิทธิเรียกร้องเป็นก้อนเดียวได้ จึงแก้คำพิพากษาให้ แบ่งค่าเลี้ยงดูตามรายบุคคล เพื่อให้ตรงตามหลักสิทธิเฉพาะตัวในกฎหมายครอบครัว 🧭 สรุปสาระสำคัญสั้น ๆ คดีนี้เป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนของ “การใช้เหตุหย่าผิดมาตราและบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบ” ทำให้โจทก์ไม่อาจหย่าขาดได้ แม้มีการแยกกันอยู่จริง เพราะไม่พิสูจน์ได้ว่าเป็นการ “ละทิ้งร้าง” หรือ “สมัครใจแยกกันอยู่โดยเหตุความไม่อาจอยู่ร่วมกัน” ตามกฎหมายกำหนด. ประเด็นฎีกา / ปัญหาหลักที่ศาลต้องวินิจฉัย • โจทก์ได้อ้างเหตุหย่าเพียงมาตรา 1516 (4) หรือยังรวมถึง (4/2)? • ศาลฎีกาควรรับวินิจฉัยเหตุ (4/2) ซึ่งไม่ได้ระบุในคำฟ้องหรือไม่? • เมื่อเหตุหย่า (4/2) ไม่ได้ถูกระบุและไม่มีองค์ประกอบครบถ้วน คำฟ้องนั้นชอบหรือไม่? • บันทึกตกลงแยกทางกันมีน้ำหนักเพียงใด? • สิทธิในการเรียกร้อง ค่าอุปการะเลี้ยงดู เป็นสิทธิส่วนบุคคลหรือร่วมกัน และการแบ่งจ่ายอย่างไรจึงถูกต้อง คำวินิจฉัยของศาลฎีกา เหตุหย่าตาม มาตรา 1516 (4) — “จงใจละทิ้งร้างเกินหนึ่งปี” ศาลฎีกาพิเคราะห์ว่า โจทก์ฟ้องอ้างเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (4) เพียงเหตุเดียว ไม่ได้ระบุเหตุ (4/2) ดังนั้น ข้อแก้ฎีกาที่อ้าง (4/2) ถือเป็น การฎีกานอกเหนือคำฟ้อง (nemo plus juris) ซึ่งศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัย การจะอ้างเหตุ (4) จงใจละทิ้งร้างเกินหนึ่งปี ได้นั้น ต้องพิสูจน์ว่าจำเลย “ละทิ้งร้าง” กล่าวคือ ไม่ติดต่อ ไม่อุปการะ หรือละเลยรักษาความสัมพันธ์เป็นเวลามากกว่า 1 ปี โดยไม่มีเหตุสมควรที่รับได้ ในคดีนี้ โจทก์รับว่าเป็นฝ่ายออกจากบ้านก่อน และจำเลยไม่ได้แสดงพฤติการณ์ละทิ้งร้างโจทก์อย่างชัดแจ้ง อีกทั้งมีบันทึกตกลงแยกทางกันว่าจำเลยยินยอมและลงลายมือชื่อ ศาลจึงถือว่า จำเลยมิได้ละทิ้งร้าง ในความหมายของกฎหมาย เหตุหย่าตาม มาตรา 1516 (4/2) — “สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี” แม้โจทก์อาจตั้งประเด็น (4/2) ในฎีกา แต่เนื่องจากคำฟ้องไม่ระบุและขาดการบรรยายองค์ประกอบ (เงื่อนไขที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันโดยปกติสุขตลอดมา) จึงไม่ชอบให้รับ ศาลวางหลักว่า เหตุหย่า (4/2) มิใช่แค่เรื่อง “เวลานานเกิน 3 ปี” เท่านั้น แต่ต้องมีเงื่อนไขแวดล้อมว่า “เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันปกติสุข” โดยไม่มีช่องทางปรับปรุงร่วมกันได้ ดังนั้น ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้วินิจฉัยตาม (4/2) บันทึกตกลงแยกทางกัน & เจตนา ศาลฎีกาพิจารณาว่า บันทึกตกลง (เอกสาร จ.3) ระบุว่า “จำเลยมีความประสงค์ขอแยกทางกันอยู่ … โจทก์ยินยอม” ซึ่งเป็นข้อความชัดแจ้งโดยไม่ต้องตีความ อย่างไรก็ตาม ศาลให้ความสำคัญว่า จำเลยอาจลงชื่อในบันทึกตกลง เพราะ “เกรงว่าจะไม่ได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดู” ซึ่งเป็นแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ — ไม่ใช่การแสดงเจตนาสำหรับการแยกอยู่ร่วมกันตามเจตนาจริง รวมถึง โจทก์ยอมรับว่าเป็นฝ่ายออกจากบ้านเอง กรณีนี้ถือว่าโจทก์เป็นผู้สมัครใจแยกอยู่ฝ่ายเดียว จำเลยมิได้สมัครใจแยกอยู่ด้วย ด้วยเหตุนี้ บันทึกตกลงจึงมิอาจใช้เป็นหลักฐานชี้ว่าทั้งสองได้แยกอยู่โดยสมัครใจกันจริง สิทธิอุปการะเลี้ยงดู & การแบ่งจ่าย ศาลฎีกายืนยันว่าการเรียกร้อง ค่าอุปการะเลี้ยงดู เป็น สิทธิเฉพาะตัวของผู้เสียหายแต่ละคน (เช่น บุตรแต่ละคน) ไม่อาจรวมรวมเป็นสิทธิของโจทก์รวมทั้งหมด ศาลจึงแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และชั้นต้น โดยแบ่งจ่ายอัตราค่าเลี้ยงดูเด็กชายและเด็กหญิงแยกกัน (3,750 บาท ต่อคน ในช่วงแรก เป็นต้น) ตามคำวินิจฉัยโดยคำนึงความเหมาะสมตามรายได้โจทก์ IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) ส่วน เนื้อหา Issue (ประเด็น) 1. โจทก์อ้างเหตุหย่าเพียงมาตรา 1516 (4) หรือรวมถึง (4/2)? 2. บันทึกตกลงแยกทางกัน มีน้ำหนักพอให้รับเหตุหย่า (4/2) หรือไม่? 3. สิทธิในการเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นสิทธิรวมหรือเฉพาะตัว? Rule (กฎหมาย / หลักการ) - ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4): การจงใจละทิ้งร้างเกินหนึ่งปี - ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4/2): การสมัครใจแยกกันอยู่เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมานานกว่า 3 ปี - หลัก Nemo plus juris (ไม่เพิ่มสิทธิ์นอกเหนือคำฟ้อง) - หลักสิทธิอุปการะเลี้ยงดูเป็นสิทธิเฉพาะตัว Application (การประยุกต์ใช้ / วิเคราะห์) - โจทก์ไม่ได้ระบุ (4/2) ในคำฟ้อง จึงไม่สามารถให้ศาลรับวินิจฉัย - การออกจากบ้านโดยโจทก์เองเป็นหลักฐานต้าน “ละทิ้งร้าง” - บันทึกตกลงอาจเกิดจากแรงจูงใจทางค่าเลี้ยงดู ไม่ใช่เจตนาแยกอยู่จริง - แต่ละบุตรมีสิทธิอุปการะเลี้ยงดูแยกจากกัน; การรวมเรียกร้องรวมจึงไม่ถูกต้อง Conclusion (ข้อสรุป) ศาลฎีกาไม่รับฎีกาเหตุ (4/2) เพราะนอกคำฟ้อง ไม่มีเหตุให้รับคำฟ้องตาม (4) เพราะจำเลยมิได้ละทิ้งร้าง จึงไม่มีเหตุหย่า แต่รับคำเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูโดยปรับแบ่งจ่ายแยกตามบุคคล ประเด็นกฎหมายสำคัญ / ข้อคิดทางกฎหมาย • การอ้างเหตุหย่านอกเหนือคำฟ้อง (เช่น (4/2) เมื่อคำฟ้องระบุเพียง (4)) ถือเป็น การฎีกานอกคำฟ้อง ซึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย • เหตุหย่า (4/2) มิใช่แค่เรื่องเวลานานเกิน 3 ปี แต่ต้องมี “เงื่อนไขแห่งความไม่อาจอยู่ร่วมกันโดยปกติสุขตลอดมา” • บันทึกตกลงแยกทางกันแม้จะเป็นเอกสารลายลักษณ์อักษร ก็ไม่สามารถใช้อ้างเจตนาแยกอยู่ได้ หากพยานหลักฐานอื่นแสดงว่าเป็นการตกลงเพราะแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ • สิทธิในการรับ ค่าอุปการะเลี้ยงดู เป็นสิทธิส่วนบุคคล “เฉพาะตัว” ไม่อาจรวมเป็นสิทธิของผู้ยื่นฟ้องรวมทั้งหมด • เมื่อศาลล่างพิพากษาให้รวมจ่ายค่าอุปการะโดยไม่แยกตามบุคคล ถือเป็นจุดที่ศาลฎีกาสามารถแก้ไขได้ คำถาม – คำตอบ (2 ประเด็น) คำถาม 1: โจทก์อ้างเหตุหย่าตาม มาตรา 1516 (4/2) (สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี) ได้หรือไม่ แม้คำฟ้องไม่ได้นำเหตุนี้มา? คำตอบ: ไม่ได้ ศาลฎีกาถือว่าเป็น การฎีกานอกคำฟ้อง (nemo plus juris) ที่ศาลไม่รับวินิจฉัยเพิ่มเติม เมื่อคำฟ้องมิได้ระบุ เหตุ (4/2) จึงไม่ชอบให้วินิจฉัยตาม (4/2) แม้โจทก์จะอ้างในฎีกา คำถาม 2: บันทึกตกลงแยกทางกัน (เอกสาร จ.3) ที่จำเลยลงชื่อว่า “ประสงค์แยกอยู่” มีน้ำหนักเพียงใดในการพิสูจน์เจตนาแยกอยู่จริง? คำตอบ: แม้ข้อความในบันทึกตกลงจะดูชัดแจ้งว่า “ประสงค์ขอแยกทางอยู่” แต่ศาลฎีกาพิจารณาแรงจูงใจในการลงชื่อ (เช่น กลัวไม่ได้รับค่าเลี้ยงดู) และข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นฝ่ายออกจากบ้าน จึงศาลมองว่า เอกสารนั้นมิอาจใช้เป็นหลักฐานแสดงเจตนาแยกอยู่ตามกฎหมายจริงได้ สรุปส่งท้าย คำพิพากษาศาลฎีกา 2345/2552 กำหนดแนวทางชัดว่า ในคดีหย่าเมื่ อโจทก์อ้างเหตุ (4) เท่านั้น แต่พยายามอ้าง (4/2) ภายหลัง ถือเป็นการเกินคำฟ้อง ศาลจะไม่รับตรวจวินิจฉัย เหตุ (4/2) ได้ การอ้างเหตุหย่า (4) ต้องพิสูจน์ว่าเป็น “การละทิ้งร้าง” ในความหมายของกฎหมาย ไม่ใช่ฝ่ายโจทก์เป็นผู้ออกจากบ้านเอง นอกจากนี้ บันทึกตกลงแยกอยู่แม้จะเป็นหลักฐานลายลักษณ์อักษร ก็อาจถูกตีความว่าไม่แสดงเจตนาแยกอยู่จริง หากมีเหตุแวดล้อมให้สงสัย และศาลยังคงยึดหลักว่า สิทธิอุปการะเลี้ยงดูเป็นสิทธิเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล — หากศาลล่างรวมจ่ายโดยไม่แยกบุคคล ศาลฎีกาสามารถแก้ไขให้เป็นไปตามสิทธิส่วนบุคคลได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2345/2552 ตามคำฟ้องของโจทก์ระบุเหตุหย่าเพียงการละทิ้งร้างกันเกินกว่าหนึ่งปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4) ไม่ได้ระบุถึงการสมัครใจแยกกันอยู่เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีตามมาตรา 1516 (4/2) และแม้ว่าคำฟ้องโจทก์แนบบันทึกตกลงแยกทางกันด้วยว่า "ศ. (จำเลย) มีความประสงค์ขอแยกทางกันอยู่กับ ว. (โจทก์) และ ว. ก็ยินยอม" ไว้ท้ายคำฟ้องก็ตาม แต่เหตุหย่าตาม 1516 (4/2) นั้น ไม่ได้มีเพียงระยะเวลาที่แยกกันอยู่เกินสามปีเท่านั้น ยังต้องมีองค์ประกอบอื่นอีกคือ ต้องเป็นเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาด้วย ซึ่งโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงองค์ประกอบดังกล่าวไว้ ฟ้องของโจทก์ในประเด็นนี้จึงไม่ชอบ ไม่ถือว่าคำฟ้องโจทก์มีเหตุหย่าตามบทบัญญัติในมาตรา 1516 (4/2) กรณีสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีด้วย ตามบันทึกตกลงแยกทางกันนั้นได้บันทึกถึงเหตุที่โจทก์และจำเลยต้องทำบันทึกดังกล่าว และภายหลังทำบันทึกตกลง จำเลยไม่เคยพูดเรื่องขอจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ แต่จำเลยเคยพูดกับโจทก์ให้กลับมาอยู่กับจำเลยและบุตรอีก การบันทึกข้อความเรื่องแยกกันอยู่ดังกล่าวจึงเป็นความประสงค์อันเป็นเจตนาของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว การที่จำเลยยอมลงลายมือชื่อในบันทึกตกลงเชื่อว่าเพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับความจริงในข้อนี้ ก็ยิ่งย้ำให้เห็นชัดแจ้งว่ามีสาระเพื่อได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง กรณีจึงไม่ใช่กล่าวอ้างขึ้นมาลอยๆ การพิจารณาข้อความในบันทึกตกลงในเรื่องแยกกันอยู่จึงพิจารณาเฉพาะข้อความในเอกสารโดยไม่พิจารณาถึงเจตนาของจำเลยย่อมไม่ชอบ ทั้งโจทก์ก็รับว่าโจทก์เป็นผู้ออกจากบ้านพักของจำเลยไปเอง กรณีจึงถือว่าโจทก์สมัครใจแยกกันอยู่กับจำเลยฝ่ายเดียว จำเลยหาได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์แต่อย่างใดไม่ ดังนั้น จำเลยจึงไม่ได้ละทิ้งร้างโจทก์เกินกว่าหนึ่งปี อันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยได้ตามมาตรา 1516 (4) ซึ่งการไม่ให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยนี้ก็ไม่ได้ขัดแย้งกับข้อยุติเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู กรณีจึงไม่มีเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (4) สิทธิในการได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นสิทธิเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลที่จะได้รับ โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยหย่าขาดจากโจทก์ทันที และให้บุตรทั้งสองอยู่ในความปกครองของโจทก์เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปกครองร่วมกันกับจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง และขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ค้างชำระอัตราเดือนละ 2,500 บาท ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2540 จนถึงวันที่ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งเป็นเวลา 3 ปี 3 เดือน เป็นเงิน 97,500 บาท และค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรและจำเลยในฐานะภริยาตามข้อตกลง อัตราเดือนละ 7,500 บาท และเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 10 ของเงินเดือนที่โจทก์ได้รับเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนนับแต่วันยื่นคำให้การและฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าบุตรทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลบุตรตลอดจนค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสมรรถภาพของบุตรผู้เยาว์ในอัตราเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันที่จำเลยได้ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งจนกว่าบุตรทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ และให้โจกท์ใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 97,500 บาท นับแต่วันที่ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะชำระเสร็จแก่จำเลย และขอให้เพิกถอนอำนาจปกครองบุตรทั้งสองของโจทก์โดยให้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองอยู่ในความปกครองของจำเลยเพียงฝ่ายเดียว โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกัน ให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองเดือนละ 7,500 บาท นับแต่เดือนธันวาคม 2545 เป็นต้นไป และเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 10 ของเงินเดือนที่โจทก์ได้รับเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนนับแต่เดือนธันวาคม 2545 จนกว่าบุตรทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองในส่วนที่ขาด 160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 160,000 บาท นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา (19 พฤศจิกายน 2545) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย ให้เด็กชายชาญศักดิ์ และเด็กหญิงศิรินภาอยู่ในความปกครองของจำเลยฝ่ายเดียว ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความทั้งสองฝ่ายให้เป็นพับ คำขออื่นตามฟ้องและฟ้องแย้งให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะข้อที่ขอหย่าจำเลย ให้โจทก์ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...พิเคราะห์แล้ว สำหรับประด์นเรื่องฟ้องหย่านี้ จำเลยได้แก้ฎีกาด้วยว่า โจทก์ฟ้องโดยอาศัยเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4) "จงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี" มิได้อ้างเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (4/2) "สมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี" ฎีกาของโจทก์ที่อ้างเหตุการแยกกันอยู่เกินสามปีจึงเป็นการฎีกานอกคำฟ้อง โจทก์ย่อมไม่อาจขอให้ศาลฎีกาบังคับให้โจทก์จำเลยหย่ากันตามมาตรา 1516 (4/2) ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าควรหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยเป็นข้อแรกว่า เหตุหย่าที่โจทก์กำหนดในฟ้องมีเพียงกรณีตามมาตรา 1516 (4) เพียงประการเดียว หรือสองประการตามมาตรา 1516 (4) และมาตรา 1516 (4/2) เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ระบุหย่าเพียงการละทิ้งร้างกันเกินกว่าหนึ่งปี ไม่ได้ระบุถึงการสมัครใจแยกกันอยู่เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี และแม้ว่าคำฟ้องโจทก์แนบข้อตกลงฉบับลงวันที่ 8 เมษายน 2540 เอกสารหมาย จ.3 ที่ระบุไว้ในข้อ 1 ถึงข้อตกลงแยกทางกันด้วยว่า "...นางศรัญญา (จำเลย) ...มีความประสงค์ขอแยกทางกันอยู่กับนายวันชัย (โจทก์) และนายวันชัยก็ยินยอม" ไว้ท้ายคำฟ้องก็ตาม แต่เหตุหย่าตาม 1516 (4/2) นั้น ไม่ได้มีเพียงระยะเวลาที่แยกกันอยู่เกินสามปีเท่านั้น ยังต้องมีองค์ประกอบอื่นอีกคือ ต้องเป็นเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาด้วย ซึ่งโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงองค์ประกอบดังกล่าวไว้ ฟ้องของโจทก์ในประเด็นนี้จึงไม่ชอบ ไม่ถือว่าคำฟ้องโจทก์มีเหตุหย่าตามบทบัญญัติในมาตรา 1516 (4/2) กรณีสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีด้วยที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 รับวินิจฉัยเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (4/2) ดังกล่าว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ดังนั้นเหตุหย่าที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์จึงมีเพียงประเด็นเดียวคือ เหตุหย่าตามมาตรา 1516 (4) กรณีจงใจละทิ้งร้างเกินหนึ่งปีเท่านั้น คำแก้ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ว่าโจทก์กับจำเลยได้สมัครใจแยกกันอยู่เป็นเวลาสามปีก่อนฟ้อง สำหรับเหตุหย่าเนื่องจากจงใจละทิ้งร้างเกินหนึ่งปีนี้ โจทก์ฎีกาว่าตามบันทึกตกลงฉบับวันที่ 8 เมษายน 2540 เอกสารหมาย จ.3 กำหนดไว้ในข้อ 1 ด้วยว่าจำเลยมีความประสงค์ขอแยกทางกันอยู่กับโจทก์และโจทก์ก็ยินยอม ซึ่งเป็นข้อความที่ชัดแจ้ง ไม่จำเป็นต้องมีการตีความใดๆ ว่า จำเลยไม่มีความประสงค์จะแยกทางกับโจทก์นั้น เห็นว่า ตามบันทึกตกลงเอกสารหมาย จ.3 นั้นได้บันทึกถึงเหตุที่โจทก์และจำเลยต้องทำบันทึกดังกล่าวที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านตากไว้ เนื่องจากโจทก์ไปมีความสัมพันธ์กับนางสาวอภิญญา ซึ่งต่อมาก็เป็นภริยาอีกคนหนึ่งของโจทก์และมีบุตรด้วยกันกับโจทก์ 1 คน โจทก์เบิกความยอมรับว่า ระหว่างที่โจทก์กับจำเลยอยู่กินเป็นสามีภริยากันนั้น จำเลยไม่เคยประพฤติตนเสื่อมเสียเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวหรือทำให้โจทก์เสื่อมเสียเกี่ยวกับหน้าที่การงาน จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะต้องแยกทางกับโจทก์ อันจะเป็นเหตุให้จำเลยต้องดูแลบุตรทั้งสองแต่ลำพัง ซึ่งเป็นภาระที่หนักหน่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุตรสาวคนเล็ก อายุ 9 ปี ก็เจ็บป่วยจนต้องเปลี่ยนตับต้องเดินทางมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพมหานครร ทุก 2 เดือนเพื่อเฝ้าระวังการติดเชื้อและตรวจภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต ส่วนบุตรคนโตก็มีปัญหาเกี่ยวกับการเรียน กลับบ้านดึกและติดเกม ซึ่งก็เจือสมกับคำเบิกความของโจทก์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ภายหลังทำเอกสารหมาย จ.3 จำเลยไม่เคยพูดเรื่องขอจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ แต่จำเลยเคยพูดกับโจทก์ให้กลับมาอยู่กับจำเลยและบุตรอีก การบันทึกข้อความเรื่องแยกกันอยู่ดังกล่าวจึงเป็นความประสงค์อันเป็นเจตนาของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว การที่จำเลยยอมลงลายมือชื่อในบันทึกตกลงเอกสารหมาย จ.3 เชื่อว่าเป็นเพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากโจทก์จริงตามที่จำเลยนำสืบดังเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ได้วินิจฉัยไว้จึงชอบแล้ว ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับความจริงในข้อนี้ โดยเบิกความว่า จำเลยทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการอยู่ที่การประปาส่วนภูมิภาค จังหวัดตาก มีรายได้ประมาณ 6,000 บาท ถึง 7,000 บาท ต่อเดือนแต่ค่าใช้จ่ายในครอบครัวนั้นตกเดือนละไม่ต่ำกว่า 8,000 บาท ลำพังแต่รายได้ของจำเลยเพียงฝ่ายเดียว ย่อมไม่เพียงพอในการดูแลตนเองและบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง การที่จำเลยยอมลงชื่อในบันทึกตกลงเอกสารหมาย จ. 3 ดังกล่าวแม้ว่าจะตกลงกันเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูกันมาก่อนดังที่โจทก์ฎีกา ก็ยิ่งย้ำให้เห็นชัดแจ้งว่ามีสาระเพื่อได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง กรณีจึงไม่ใช่กล่าวอ้างขึ้นมาลอยๆ ดังที่โจทก์ฎีกา การพิจารณาข้อความในบันทึกตกลงเอกสารหมาย จ.3 ในเรื่องแยกกันอยู่ จึงพิจารณาเฉพาะข้อความในเอกสารโดยไม่พิจารณาถึงเจตนาของจำเลยดังที่โจทก์ฎีกาย่อมไม่ชอบ ทั้งโจทก์ก็รับว่าโจทก์เป็นผู้ออกจากบ้านพักของจำเลยไปเอง กรณีจึงถือว่าโจทก์สมัครใจแยกกันอยู่กับจำเลยฝ่ายเดียว จำเลยหาได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์แต่อย่างใดไม่ ดังนั้น จำเลยจึงไม่ได้ละทิ้งร้างโจทก์เกินกว่าหนึ่งปี อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยได้ตามมาตรา 1516 (4) ซึ่งการไม่ให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยนี้ก็ไม่ได้ขัดแย้งกับข้อยุติเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู ซึ่งโจทก์ต้องชำระตามคำพิพากษาศาลล่าง คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป กรณีจึงไม่มีเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น อนึ่ง สิทธิในการได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นสิทธิเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลที่จะได้รับ การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองรวมกันมาเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข" พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายชาญศักดิ์ และเด็กหญิงศิรินภา คนละ 3,750 บาท นับแต่เดือนธันวาคม 2545 เป็นต้นไป และเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 10 ของเงินเดือนที่โจทก์ได้รับเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนนับแต่เดือนธันวาคม 2545 จนกว่าเด็กชายชาญศักดิ์จะบรรลุนิติภาวะ จากนั้นให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงศิรินภาเป็นเงิน 7,500 บาท นับแต่เดือนที่เด็กชายชาญศักดิ์บรรลุนิติภาวะเป็นต้นไป และเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 10 ของเงินเดือนที่โจทก์ได้รับเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนนับแต่เดือนที่เด็กชายชาญศักดิ์บรรลุนิติภาวะนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้โจทก์ชำระค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
ตัวอย่างฎีกาเปรียบเทียบ ฎีกาที่ 7534/2560 — เหตุ “จงใจละทิ้งร้างเกินหนึ่งปี” ข้อเท็จจริงย่อ: โจทก์อ้างว่า จำเลยได้เริ่มทยอยขนของออกจากบ้านในเดือน ธ.ค. 2556 และเมื่อถึง ธ.ค. 2557 ได้ออกไปอยู่กินกับบุคคลที่ 2 และไม่กลับมาอีกเลยตลอดระยะเวลานับจนถึงวันฟ้อง รวมเวลามากกว่า 1 ปี โดยจำเลยมิได้ถูกขับไล่หรือมีข้อพิพาท โดยโจทก์อ้างว่านี่เป็น “จงใจละทิ้งร้าง” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4) (นพนภัส ทนายความเชียงใหม่) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้หย่า พร้อมให้แบ่งสินสมรส คดีถูกอุทธรณ์และฎีกา คำวินิจฉัยของศาลฎีกา (โดยสรุป): ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยได้ละทิ้งร้างไปเกิน 1 ปีโดยไม่มีการหวนกลับ เป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (4) ศาลยืนยันคำพิพากษา ไม่รับฎีกาของจำเลยในประเด็นนี้ (นพนภัส ทนายความเชียงใหม่) แง่มุมเปรียบเทียบ: • เหมือนกับคดี 2345/2552 ที่ใช้เหตุ (4) “จงใจละทิ้งร้างเกินหนึ่งปี” • คดีนี้ ชัดเจนว่าเป็น “จงใจละทิ้งร้างโดยไม่กลับมาเลย” ซึ่งเป็นกรณีตรงตามองค์ประกอบ • ต่างจาก 2345/2552 ที่โจทก์เป็นฝ่ายออกจากบ้านเอง ทำให้ศาลไม่รับเหตุ (4)
ฎีกาที่ 2520/2549 — เหตุ “สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี” ข้อเท็จจริงย่อ: โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน แต่ต่อมาจำเลยกับโจทก์แยกกันอยู่มาตั้งแต่ปี 2517 โดยโจทก์ออกไปมีครอบครัวใหม่ และจำเลยมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในปี 2519 มีบุตรด้วยกัน และระหว่างที่แยกกันอยู่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กลับไปอยู่ร่วมกับจำเลยอีก รวมเวลาประมาณ 25 ปี (นพนภัส ทนายความเชียงใหม่) โจทก์จึงฟ้องขอหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4/2) คำวินิจฉัยศาลฎีกา (โดยย่อ): ศาลฎีกาพิจารณาว่า แม้โจทก์เป็นฝ่ายละทิ้งบ้านในปี 2517 แต่จำเลยในปี 2519 มีสัมพันธ์กับบุคคลอื่น แสดงว่า จำเลยไม่ประสงค์จะอยู่ร่วมกับโจทก์อีก ทั้งคู่ต่างคนต่างอยู่ต่อมาตลอด 25 ปีโดยไม่ปรากฏการหวนกลับมาอยู่ร่วมกัน จึงเข้าหลัก “สมัครใจแยกกันอยู่เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันโดยปกติสุขตลอดมาเกิน 3 ปี” ตามมาตรา 1516 (4/2) ได้ (นพนภัส ทนายความเชียงใหม่) แง่มุมเปรียบเทียบ: • กรณีนี้เป็นตัวอย่างชัดของเหตุ (4/2) ที่ศาลรับวินิจฉัย • แตกต่างกับคดี 2345/2552 ที่โจทก์มิได้บรรยายองค์ประกอบ (4/2) จึงศาลไม่รับ • คดีนี้แสดงให้เห็นว่า ถ้ามีข้อเท็จจริงชัดเจนและครบองค์ประกอบ (4/2) ศาลสามารถรับวินิจฉัยได้
ฎีกาที่ 4404/2558 — เหตุ “จงใจละทิ้งร้างตาม (4)” ข้อเท็จจริงย่อ: จำเลยออกจากบ้านตั้งแต่ 13 ม.ค. 2555 แต่มีการกลับมาพักอยู่กับโจทก์ในช่วง 11–15 ก.ย. 2555 ซึ่งเป็นการหวนกลับมา จึงไม่ถึงเกณฑ์ “ติดต่อเกิน 1 ปี” ที่ไม่หวนกลับเลย (ลีกัล คลินิก) โจทก์อ้างเหตุหย่าตาม (4) คำวินิจฉัยศาลฎีกา (โดยย่อ): ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกลับมาพักอยู่ร่วมกันในเวลาสั้น ๆ แสดงถึงความพยายามหวนกลับ ไม่ใช่ “ละทิ้งร้างอย่างถาวร” จึงถือว่า ยังไม่เข้าเหตุ (4) เพราะยังไม่ครบเงื่อนไขเรื่อง “ไม่หวนกลับ” > 1 ปี ติดต่อกัน (ลีกัล คลินิก) แง่มุมเปรียบเทียบ: • เป็นกรณีที่ถึงแม้เวลารวมอาจยาว แต่มีพฤติหวนกลับ จึงไม่เข้าเหตุ (4) • เปรียบได้กับคดี 2345/2552 ที่โจทก์ไปเอง กลับมาหรือไม่ไม่ปรากฏ — ศาลเน้นว่าการออกไปเองมิใช่การละทิ้งร้าง
ฎีกาที่ 451/2567 — เหตุ “สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี” (กล่าวอ้างในบทความออนไลน์) ในบทความของสำนักงานกฎหมายมีการอ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 451/2567 ว่า “แยกกันอยู่เพียงฝ่ายเดียวแล้ว ไม่ก่อให้เกิดสิทธิฟ้องหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4/2)” (Facebook) เนื้อหาที่กล่าวในบทความสรุปว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งแยกอยู่ฝ่ายเดียว (ไม่ใช่ “สมัครใจแยกกันอยู่ร่วมกัน”) ก็จะไม่เข้าเหตุ (4/2) แง่มุมเปรียบเทียบ: • แสดงแนวทางว่า การแยกอยู่ฝ่ายเดียว (โดยฝ่ายหนึ่งออกไป) ยังไม่ใช่ “สมัครใจแยกกันอยู่” • สอดคล้องกับคำพิพากษา 2345/2552 ที่โจทก์ออกจากบ้านเอง ทำให้ศาลตีว่าไม่เข้าเหตุ (4/2)
สรุปแนวเปรียบเทียบ &การนำไปใช้ • ตัวอย่างหลายคดีใช้ เหตุหย่า (4): จงใจละทิ้งร้างเกินหนึ่งปี เช่น ฎีกา 7534/2560, 4404/2558 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าศาลมองว่าการทิ้งร้างที่ไม่มีการหวนกลับเป็นองค์ประกอบสำคัญ • ตัวอย่างคดี 2520/2549 ใช้ เหตุ (4/2): สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลรับวินิจฉัย เมื่อข้อเท็จจริงสนับสนุนครบ • กรณีที่มีการหวนกลับ หรือฝ่ายหนึ่งออกไปเอง มักจะถูกปฏิเสธไม่เข้าเหตุ (4) หรือ (4/2) เช่น 4404/2558 • แนวคำพิพากษาเหล่านี้ช่วยเชื่อมโยงให้ผู้ศึกษาเห็นตัวอย่างข้อเท็จจริงที่ศาลรับหรือปฏิเสธเหตุหย่าในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำมาเปรียบเทียบกับกรณี 2345/2552 ที่ศาลไม่รับเหตุ (4/2) และปฏิเสธเหตุ (4) เพราะโจทก์เป็นฝ่ายออกจากบ้านเอง
Grounds for Divorce in Thailand
Section 1516 (4/2) The husband and wife voluntarily live separately because of being unable to cohabit peacefully for more than three years, or live separately for more than three years by the order of the Court, either spouse may enter a claim for divorce;
|



.jpg)

.jpg)

