
หย่าเพราะทรมานร่างกาย-จิตใจ (บังคับร่วมประเวณี)เหตุฟ้องหย่า (ฎีกา 8611/2557)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการฟ้องหย่าด้วยเหตุ “ทรมานร่างกายหรือจิตใจ” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(3) โดยโจทก์อ้างว่า จำเลยซึ่งเป็นสามี ได้ใช้ความรุนแรง ทั้งวาจาและบังคับให้โจทก์ซึ่งไม่ประสงค์ร่วมประเวณี ทำให้รู้สึกทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่า และศาลฎีกายืนตามว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบถือเป็นรายละเอียดแห่งเหตุหย่าตามฟ้อง ไม่เป็นการนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง จึงพิพากษายืนให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกัน ข้อเท็จจริง • โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยอ้างว่า จำเลยทรมานร่างกายและจิตใจของโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(3) • รายละเอียดข้อกล่าวหาคือ จำเลยใช้วาจาหยาบคาย ทะเลาะกับโจทก์เป็นประจำโดยไม่มีเหตุผล • จำเลยเคยถือมีดขวางไม่ให้โจทก์ออกจากบ้าน ข่มขู่จะฆ่า หากโจทก์ไม่ส่งภาพถ่ายในอดีตให้ • จำเลยบังคับให้โจทก์ร่วมประเวณี แม้โจทก์ไม่ประสงค์และอยู่ในภาวะไม่สะดวก หากโจทก์ไม่ยอม ก็ถูกข่มขู่ทำร้าย • ผลจากการกระทำดังกล่าวทำให้โจทก์หนีออกจากบ้าน เพราะเกรงถูกทำร้าย • ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง • ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พลิกคดีให้โจทก์และจำเลยหย่าขาด • จำเลยฎีกา ปัญหาที่ต้องวินิจฉัย • การกระทำของจำเลยเป็นการ “ทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง” ในแง่ที่เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(3) หรือไม่ • สิ่งที่โจทก์นำสืบ เช่น การใช้มีด ข่มขู่ให้ร่วมประเวณี ถือเป็น “รายละเอียดแห่งเหตุหย่า” ที่อนุญาตให้นำสืบได้หรือเป็นการนำสืบนอกเหนือฟ้องหรือไม่ ⚖️ ประเด็นสำคัญที่สุดของคดี ประเด็นหลัก: ศาลฎีกาใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) เป็นหลักในการวินิจฉัย โดยตีความว่า “การทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง” รวมถึงกรณีที่สามีบังคับภริยาให้ร่วมประเวณีด้วยการข่มขู่หรือใช้ความรุนแรง แม้อยู่ในสมรสก็ตาม ถือเป็นเหตุให้ภริยามีสิทธิฟ้องหย่าได้ ศาลยังพิจารณาควบคู่กับหลักกฎหมายทั่วไปว่าการอยู่กินฉันสามีภริยาต้องอาศัย ความสมัครใจและการเคารพซึ่งกันและกัน มิใช่การใช้อำนาจฝ่ายเดียวหรือการละเมิดสิทธิทางร่างกายและจิตใจ 📘 กฎหมายที่ใช้วินิจฉัย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) “คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องหย่าได้ เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้กระทำการทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรงแก่ตน...” มาตรานี้เป็นหัวใจของคำพิพากษา โดยศาลตีความคำว่า “ทรมานร่างกายหรือจิตใจ” ให้ครอบคลุมทั้งการทำร้ายทางกาย วาจา หรือการบังคับทางเพศ ซึ่งถือเป็นความรุนแรงในครอบครัวรูปแบบหนึ่ง 🔑 5 Keywords สำคัญที่สุดของคดี พร้อมคำขยาย 1. ทรมานร่างกายและจิตใจอย่างร้ายแรง หมายถึงการกระทำที่ทำให้คู่สมรสรู้สึกบีบคั้น กลัว หรือเจ็บปวด เช่น การข่มขู่ ใช้กำลัง หรือการกระทำซ้ำ ๆ จนเกิดผลกระทบต่อจิตใจ ศาลถือว่าเข้าข่ายเหตุหย่าตามกฎหมาย 2. บังคับร่วมประเวณีในสมรส ศาลชี้ชัดว่า การบังคับให้คู่สมรสร่วมประเวณีโดยไม่ยินยอม แม้อยู่ในความสัมพันธ์สมรส ก็ถือเป็นการละเมิดสิทธิและสร้างความทรมาน ไม่ใช่สิทธิของคู่สมรสฝ่ายใด 3. ความสมัครใจในการอยู่กินฉันสามีภริยา หลักสำคัญของสมรสคือความรัก ความสมัครใจ และการเคารพซึ่งกันและกัน หากฝ่ายหนึ่งใช้อำนาจหรือความกลัวเพื่อบังคับอีกฝ่าย ถือว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายครอบครัว 4. การนำสืบรายละเอียดแห่งเหตุหย่า ศาลยืนยันว่า การนำสืบข้อเท็จจริงที่ขยายความเหตุหย่าที่อ้างไว้ในฟ้อง เช่น การขู่ฆ่าหรือบังคับทางเพศ ไม่ถือเป็น “นำสืบนอกเหนือฟ้อง” เพราะอยู่ในขอบเขตของ “เหตุหย่าตามมาตรา 1516 (3)” 5. สิทธิในการฟ้องหย่าของผู้ถูกกระทำ ผู้ถูกทรมานร่างกายหรือจิตใจมีสิทธิฟ้องหย่าได้ โดยไม่ต้องทนอยู่ในสมรสที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ศาลถือเป็นการคุ้มครองสิทธิคู่สมรสตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมายแพ่งฯ 📚 สรุปใจความสำคัญ คดีนี้เป็นแนวคำพิพากษาสำคัญที่ยืนยันว่า “ความรุนแรงทางเพศภายในสมรส” ก็ถือเป็นการทรมานร่างกายและจิตใจอย่างร้ายแรง และเป็นเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมายได้ แม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดในฟ้องโดยตรง หากอยู่ในขอบเขตเหตุหย่าที่อ้างไว้ ศาลสามารถรับฟังและวินิจฉัยได้ หลักกฎหมายที่ศาลใช้ • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 — หนึ่งในเหตุหย่าที่คู่สมรสอาจฟ้องหย่าได้คือ “ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทรมานร่างกายหรือจิตใจ … หากเป็นการร้ายแรง” • หลักการตีความเหตุหย่า: รายละเอียดแห่งเหตุหย่าที่โจทก์ระบุในฟ้องสามารถนำสืบได้ หากเป็นการขยายประเด็นในขอบเขตของเหตุหย่าที่อ้าง ไม่ถือเป็น “นำสืบนอกเหนือจากฟ้อง” • หลักสิทธิสมรส: การอยู่กินฉันสามีภรรยาควรมีความสมัครใจ ความเอาใจใส่ และการร่วมประเวณีต้องเป็นไปโดยความเต็มใจ • บทบัญญัติกฎหมายอาญาที่อาจเกี่ยวข้อง (ถ้ามี): เช่น กฎหมายอาญาสำหรับการข่มขืน ใช้ขู่เข็ญ ฯลฯ การประยุกต์กฎหมายกับข้อเท็จจริง (Application) • ศาลพิจารณาว่า ข้อมูลที่โจทก์นำสืบเกี่ยวกับการจับมีดข่มขู่ ข้อกล่าวหาการบังคับให้ร่วมประเวณี แม้โจทก์ไม่สะดวก เป็นพฤติการณ์ที่เข้าข่าย “ทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง” • ศาลเห็นว่า แม้โจทก์ไม่ได้กล่าวคำว่า “บังคับร่วมประเวณี” ในฟ้องโดยตรง แต่การกล่าวอ้างว่า “ทรมานร่างกายจิตใจ” ครอบคลุมพฤติการณ์ดังกล่าวเป็น “รายละเอียดแห่งเหตุหย่า” ไม่ใช่การนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง • ศาลจึงถือว่า ศาลอุทธรณ์ได้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยอยู่ในขอบเขตที่อนุญาต และการพิพากษาให้หย่าขาดกันจึงชอบแล้ว • ฎีกาของจำเลยในประเด็นดังกล่าวจึงไม่มีมูลพอเปลี่ยนคำพิพากษา คำพิพากษาศาลฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้โจทก์และจำเลย หย่าขาดจากกัน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ การวิเคราะห์เพิ่มเติม • คดีนี้มีความสำคัญในแง่ของแนวปฏิบัติเกี่ยวกับ “การบังคับให้ร่วมประเวณี” ภายในความสัมพันธ์สมรส ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิทางร่างกายและจิตใจ • ในทางกฎหมายอาญา พฤติการณ์การข่มขู่ บังคับร่วมประเวณี อาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญา (เช่น มาตรา 276 กรณีข่มขืนโดยใช้ขู่เข็ญ) หรือมาตรา 309 (ข่มขืนใจ) ได้ตามเงื่อนไข • คดีนี้แสดงให้เห็นว่าศาลแพ่ง (ศาลครอบครัว) ให้ความสำคัญกับลักษณะและความรุนแรงของพฤติการณ์ในความสัมพันธ์สมรส ไม่ใช่แค่การทะเลาะทั่วไป • เป็นแนวทางสำคัญให้ผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ถูกบังคับหรือถูกข่มขู่ในสมรส สามารถพิจารณาหย่าโดยอ้างเหตุทรมานร่างกาย/จิตใจ IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) ขยาย หมวด รายละเอียด Issue (ประเด็นปัญหา) 1. พฤติการณ์ของจำเลยถือเป็น “ทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(3) หรือไม่ 2. พฤติการณ์ที่โจทก์นำสืบ เช่น บังคับร่วมประเวณี ถือเป็นรายละเอียดแห่งเหตุหย่าที่อนุญาตให้นำสืบได้ หรือเป็นการนำสืบนอกเหนือฟ้องหรือไม่ Rule (กฎหมาย / หลัก) - ป.พ.พ. มาตรา 1516 (3) - หลักการที่ว่า รายละเอียดแห่งเหตุหย่าในฟ้องสามารถนำสืบได้ - หลักการสมรสว่าการร่วมประเวณีต้องเป็นไปโดยความยินยอม Application (ประยุกต์ใช้) - ข้อเท็จจริงแสดงว่า จำเลยใช้มีดข่มขู่ บังคับให้โจทก์ร่วมประเวณี ทั้ง ๆ ที่โจทก์ไม่สะดวก - พฤติการณ์นี้เข้าข่ายทำร้ายจิตใจ ร่างกายอย่างร้ายแรง - ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์อ้างเหตุทรมานร่างกาย/จิตใจก็ครอบคลุมการบังคับร่วมประเวณี จึงไม่ถือเป็นการนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง - การพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงไม่ถูกต้องให้กลับคำ Conclusion (สรุป) พฤติการณ์ของจำเลยถือว่าเป็นเหตุทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(3) และการนำสืบข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นการนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ให้หย่าขาดกัน บทสรุปข้อคิดทางกฎหมาย • การบังคับให้ผู้ใดกล่าวร่วมประเวณี แม้ในบริบทของสมรส หากเป็นการกระทำโดยใช้กำลังหรือข่มขู่ อาจเข้าข่าย “ทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง” และเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ • รายละเอียดแห่งเหตุหย่าที่โจทก์ระบุในคำฟ้อง แม้ไม่ใช้ถ้อยคำเจาะจง แต่ถ้อยคำทั่วไป เช่น “ทรมานร่างกาย/จิตใจ” อาจครอบคลุมพฤติการณ์เฉพาะเจาะจงได้ ศาลจะพิจารณาว่าไม่ใช่การนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง • คดีนี้เป็นแนวทางสำคัญในการตีความและบังคับใช้ มาตรา 1516(3) ในคดีหย่า โดยเน้นความรุนแรง ความต่อเนื่อง และผลกระทบต่อจิตใจของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด • ผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ถูกบังคับหรือข่มขู่ภายในสมรส ควรเก็บหลักฐานและพิจารณาสิทธิในทางแพ่งและอาจทางอาญาควบคู่กัน
🔹 คำถามที่ 1: การที่สามีบังคับให้ภริยาร่วมประเวณีโดยใช้มีดขู่ ถือเป็นการ “ทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง” อันเป็นเหตุให้ภริยามีสิทธิฟ้องหย่าตามกฎหมายหรือไม่? คำตอบ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยซึ่งเป็นสามี ใช้มีดข่มขู่ภริยาให้ยอมร่วมประเวณี ทั้งที่ภริยาไม่สบายและไม่ต้องการร่วมประเวณี เป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์แห่งการสมรส ซึ่งต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรักและความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย การบังคับเช่นนี้ทำให้ภริยารู้สึก ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจอย่างร้ายแรง จึงเข้าข่ายเหตุหย่าตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) และภริยามีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้โดยชอบ
🔹 คำถามที่ 2: การที่โจทก์นำสืบในศาลว่า จำเลยใช้มีดข่มขู่ให้ร่วมประเวณี แม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดดังกล่าวไว้ในคำฟ้องโดยตรง จะถือเป็น “การนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง” หรือไม่? คำตอบ: ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องโดยอ้างเหตุหย่าว่า จำเลยทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง ซึ่งครอบคลุมถึงการบังคับให้ร่วมประเวณีและการข่มขู่ทำร้าย การนำสืบในประเด็นที่จำเลยใช้มีดขู่ให้ยอมร่วมประเวณีจึงเป็นเพียง รายละเอียดแห่งเหตุหย่า ที่อยู่ในขอบเขตของคำฟ้อง มิใช่การนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยจึงชอบด้วยกฎหมาย และศาลฎีกาวินิจฉัยยืนตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8611/2557 โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยซึ่งเป็นสามีอ้างเหตุว่า จำเลยทรมานร่างกายและจิตใจของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (3) โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ด้วยการใช้วาจาไม่สุภาพและทะเลาะกับโจทก์โดยไม่มีเหตุผลเป็นประจำ จำเลยถือมีดทำครัวยืนขวางไม่ให้โจทก์ออกจากบ้านและขู่จะฆ่าให้ตายหากไม่นำภาพถ่ายในอดีตของโจทก์มาให้และข่มขู่จะทำร้ายโจทก์ด้วยอารมณ์รุนแรงไม่มีเหตุผล ทำให้โจทก์หนีออกจากบ้านเพราะเกรงจะถูกทำร้าย การที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยใช้มีดขู่ให้โจทก์ยอมร่วมประเวณีด้วย ทั้งๆ ที่โจทก์ไม่สบายและไม่ต้องการร่วมประเวณี ทำให้โจทก์รู้สึกทรมานร่างกายและจิตใจอย่างมาก จึงเป็นรายละเอียดแห่งเหตุหย่าตามที่โจทก์กล่าวบรรยายในฟ้อง มิใช่การนำสืบนอกเหนือจากฟ้องตามฎีกาของจำเลยแต่อย่างใด โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้ โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับ ให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือนางสาววรัญญา ระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยา จำเลยใช้วาจาหยาบคายขณะทะเลาะกับโจทก์ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2555 จำเลยโกรธที่โจทก์นำภาพถ่ายคู่กันระหว่างโจทก์กับจำเลยไปทำลาย เป็นเหตุให้ทะเลาะกันจนโจทก์หลบหนีออกจากบ้าน ไม่กลับไปอยู่อาศัยกับจำเลยที่บ้านอีกเลย ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า การกระทำของจำเลยเป็นการทรมานร่างกายหรือจิตใจของโจทก์อย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1561(3) หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยบังคับให้โจทก์ต้องร่วมประเวณีกับจำเลยตลอดทั้งที่โจทก์ไม่สบายและไม่ต้องการร่วมประเวณี หากโจทก์ไม่ยอมร่วมประเวณีด้วย จำเลยก็ถือมีดและขู่ฆ่า จนโจทก์ต้องยอมร่วมประเวณีกับจำเลย ทำให้โจทก์รู้สึกทรมานทั้งร่างกายและจิตใจอย่างมากจนไม่สามารถทนต่อไปได้ สอดคล้องกับคำเบิกความของจำเลยตอบคำถามติงของทนายจำเลยยอมรับว่า จำเลยใช้มีดขู่โจทก์จริง เช่นนี้ การที่จำเลยซึ่งเป็นสามีบังคับให้โจทก์ซึ่งเป็นภริยาต้องร่วมประเวณีตามความต้องการของจำเลย ทั้งที่โจทก์ไม่สบายและไม่ต้องการร่วมประเวณี เมื่อโจทก์ไม่ยอมร่วมประเวณีด้วย จำเลยก็ถือมีดและขู่ฆ่า จนโจทก์ต้องยอมร่วมประเวณีกับจำเลย พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยย่อมขัดต่อเจตนารมณ์ของการอยู่กินฉันสามีภริยา ที่ต้องรู้จักการทะนุถนอมและเอาใจใส่ซึ่งกันและกันโดยเฉพาะการร่วมประเวณีย่อมเกิดจากความรักและความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย มิใช่การหักหาญเอาแต่ใจของตนเองฝ่ายเดียวการกระทำของจำเลยจึงเป็นการทรมานร่างกายหรือจิตใจของโจทก์อย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) และที่จำเลยฎีกาว่า ข้อที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยใช้มีดข่มขู่ให้โจทก์ยอมมีเพศสัมพันธ์ โจทก์มิได้กล่าวอ้างไว้ในฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงไม่นำมาวินิจฉัยเพราะเป็นเรื่องเกินไปกว่าที่ปรากฏในฟ้องนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยอ้างเหตุหย่าว่าจำเลยทรมานร่างกายหรือจิตใจของโจทก์อย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) ข้อที่โจทก์นำสืบดังกล่าวจึงเป็นรายละเอียดแห่งเหตุหย่าตามที่โจทก์กล่าวบรรยายมาในฟ้อง มิใช่เป็นการนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยจึงชอบแล้ว ส่วนฎีกาของจำเลยข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ตัวอย่างฎีกาที่เกี่ยวข้องและการเปรียบเทียบ 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 302/2559 ประเด็นใกล้เคียง: บังคับให้ร่วมประเวณี, การทรมานจิตใจ เป็นเหตุหย่า สาระสำคัญ: ในคำพิพากษาฎีกาที่ 302/2559 มีกรณีที่จำเลยเรียกให้บุตรผู้เยาว์มาฟังคำด่าของจำเลยจนโจทก์ยอมให้จำเลยร่วมประเวณี และภายหลังโจทก์มีอาการทางสุขภาพ เช่น มดลูกอักเสบ ผลกระทบต่อร่างกาย (สุขภาพ) และจิตใจ ศาลวินิจฉัยว่า พฤติการณ์เช่นนั้นถือเป็น “การทำร้ายหรือทรมานจิตใจอย่างร้ายแรง” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (3) และเป็นเหตุหย่าได้ นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นประเด็นใน “รายละเอียดแห่งเหตุหย่า” ที่โจทก์สามารถนำสืบได้ ไม่ถือเป็นการนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง การเปรียบเทียบกับ 8611/2557: • เหมือนกันตรงที่มีการ บังคับหรือข่มขู่ทางเพศ / ใช้อำนาจกับฝ่ายภริยา ในลักษณะบังคับให้ร่วมประเวณี • เหมือนกันในหลักว่า การกล่าวอ้าง “ทรมานจิตใจ / ร่างกาย” สามารถครอบคลุมพฤติการณ์เฉพาะเจาะจง • ต่างกันที่ในคดี 8611/2557 มีการข่มขู่โดยมีด และมีข้อกล่าวหาเรื่องการข่มขู่ให้ส่งภาพถ่ายอดีต ซึ่งมีความรุนแรงและการใช้กำลังมากกว่า • คดี 302/2559 ช่วยยืนยันแนวทางศาลในเรื่องการบังคับทางเพศภายในสมรสว่า สามารถเป็นเหตุหย่าได้ตาม มาตรา 1516(3) 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8803/2559 ประเด็นใกล้เคียง: ถ้อยคำหยาบคาย / เหยียดหยามในชีวิตสมรส / ประพฤติตนอันเป็นปฏิปักษ์ สาระสำคัญ: ในกรณีนี้ จำเลยใช้คำพูดที่รุนแรง หยาบคาย ด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำเช่น “กูเบื่อผู้ชายแก่ ๆ … หัวล้าน … ไม่มีพิศวาสเลย” และส่งข้อความบอกว่าจะมีความสัมพันธ์กับคนอื่น พฤติการณ์ดังกล่าวศาลวินิจฉัยว่าเป็น “การหมิ่นประมาท เหยียดหยาม” ที่อยู่ในลักษณะ “ประพฤติตนอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (3) และ (6) เมื่อนั้นโจทก์ไม่มีอุทธรณ์ คดียุติด้วยคำพิพากษาศาลชั้นต้น การเปรียบเทียบกับ 8611/2557: • จุดร่วมคือ ทั้งสองคดีใช้ถ้อยคำที่เป็นการละเมิดจิตใจฝ่ายภริยา (หรือคู่สมรส) • แต่คดี 8611/2557 มีการใช้ความรุนแรงทางกายและบังคับทางเพศเพิ่มเติม ซึ่งรุนแรงกว่าคดี 8803/2559 • คดี 8803 ย้ำว่า คำพูดเหยียดหยามแม้ไม่ได้ถึงขั้น “บังคับ” ก็อาจเป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้ภายใต้ มาตรา 1516 (3)/(6) 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 820/2559 ประเด็นใกล้เคียง: การประพฤติชั่ว / หมิ่นประมาท / กิจการภายในชีวิตสมรส สาระสำคัญ: ในคำพิพากษานี้ โจทก์บันทึกข้อความต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น และมีการเปิดเผยข้อมูลในสมุดบันทึกซึ่งเผยให้เห็นถึงการผิดประเพณีสมรส การกระทำนี้ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องทนทุกข์และเสียเกียรติ ถือเป็นการประพฤติตนอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (6) ศาลถือว่าเป็นเหตุหย่าได้ การเปรียบเทียบกับ 8611/2557: • คดี 820/2559 ไม่ได้มีลักษณะรุนแรงทางกายหรือบังคับร่วมประเวณี แต่เป็นการเปิดเผยความสัมพันธ์หรือพฤติกรรมผิดประเพณี • คดี 8611/2557 มีพฤติการณ์รุนแรงชัดเจนจึงอยู่ภายใต้มาตรา 1516(3) มากกว่ามาตรา 1516(6) • คดี 820 เป็นตัวอย่างว่าศาลใช้อมปรัชญาคำว่า “ประพฤติตนอันเป็นปฏิปักษ์” เพื่อรองรับหลายรูปแบบพฤติกรรมในสมรส 4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13082/2558 ประเด็นใกล้เคียง: ถ้อยคำหยาบคาย / การละเลยภริยา / ความรุนแรงทางจิตใจ สาระสำคัญ: จำเลยกระทำต่อนางภริยา โดยใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย ไม่ให้เกียรติ และมีพฤติกรรมไม่สนใจสามี–ภริยา ทำให้โจทก์อดทนอยู่ในสภาพที่ไม่ดีเป็นเวลานาน ศาลวินิจฉัยว่าแม้จะไม่มีการใช้กำลังโดยตรง แต่ความประพฤติของจำเลยถือว่าเป็น “ประพฤติชั่ว” หรือ “กระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการอยู่ร่วมกัน” ซึ่งอาจเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (2) (ค) การเปรียบเทียบกับ 8611/2557: • คดีนี้อยู่ในลักษณะการใช้ถ้อยคำหยาบคายและไม่ให้เกียรติ มากกว่า “การใช้กำลัง” • คดี 8611/2557 มีองค์ประกอบมากกว่า (กำลัง ข่มขู่ บังคับทางเพศ) • อย่างไรก็ตาม คดี 13082 เป็นตัวอย่างว่า แม้ไม่ถึงขั้นใช้ความรุนแรงทางร่างกาย แต่การละเมิดศักดิ์ศรีภริยาอาจเข้าข่ายเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (2) / (3) ขึ้นกับความรุนแรง “การทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง” คืออะไรในสายตากฎหมายครอบครัว? คำว่า “การทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง” อาจฟังดูเป็นถ้อยคำที่ใช้ในคดีอาญา แต่ในความเป็นจริง กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็นำถ้อยคำนี้มาใช้เป็นหนึ่งในเหตุสำคัญที่คู่สมรสสามารถ ฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (3) โดยมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองศักดิ์ศรี ความปลอดภัย และความเป็นมนุษย์ของคู่สมรสแต่ละฝ่าย ในชีวิตจริง การทรมานร่างกายหรือจิตใจไม่ได้หมายถึงแค่การทำร้ายทางกาย เช่น การตีหรือทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึง การกระทำที่บีบคั้นจิตใจ ข่มขู่ ดูหมิ่น หรือบังคับให้กระทำการใด ๆ โดยไม่สมัครใจ เช่น การใช้วาจาหยาบคายเป็นประจำ การกักขังไม่ให้ออกจากบ้าน หรือแม้แต่การบังคับให้ร่วมประเวณีในขณะที่อีกฝ่ายไม่ต้องการ ศาลฎีกาได้วางแนวทางสำคัญไว้ว่า หากคู่สมรสฝ่ายใด บังคับให้อีกฝ่ายร่วมประเวณีโดยขู่ฆ่าหรือใช้กำลัง การกระทำนั้นถือเป็นการทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างร้ายแรง เพราะขัดต่อเจตนารมณ์ของการอยู่กินฉันสามีภริยาที่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก ความสมัครใจ และการเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ความกลัวหรือการใช้อำนาจฝ่ายเดียว หลักกฎหมายข้อนี้มีความสำคัญต่อผู้ที่ตกอยู่ในสภาพการแต่งงานที่ถูกทำร้ายหรือกดขี่ เพราะแสดงให้เห็นว่า กฎหมายไม่ได้บังคับให้คนต้องทนอยู่ในสมรสที่เต็มไปด้วยความทุกข์หรือความรุนแรง ผู้ที่ถูกกระทำสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายฟ้องหย่า เพื่อปกป้องตนเองและฟื้นฟูศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้ คดีตัวอย่างจากศาลฎีกาได้ตอกย้ำว่า แม้จะเป็นสามีภริยากัน แต่ การใช้มีดขู่ บังคับให้ยอมร่วมประเวณี ถือเป็น “การทรมานร่างกายและจิตใจอย่างร้ายแรง” ซึ่งเป็นเหตุฟ้องหย่าโดยชอบตามกฎหมาย และการกล่าวอ้างเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีคำว่า “บังคับร่วมประเวณี” อยู่ในคำฟ้องโดยตรง เพราะเป็นเพียงรายละเอียดแห่งเหตุหย่าที่อยู่ในขอบเขตของคำฟ้อง แนววินิจฉัยนี้สะท้อนให้เห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายไทยที่ต้องการ ปกป้องสิทธิในร่างกายและจิตใจของคู่สมรส ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ถูกกระทำ หากถูกข่มขู่ ทำร้าย หรือบีบบังคับจนเกิดความทุกข์ทรมาน ย่อมมีสิทธิใช้กฎหมายเป็นเกราะคุ้มครองตนเองได้เต็มที่
|