ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




หย่าเพราะทรมานร่างกาย-จิตใจ (บังคับร่วมประเวณี)เหตุฟ้องหย่า (ฎีกา 8611/2557)

คำพิพากษาศาลฎีกา 8611/2557, พิพากษาหย่า, ทรมานร่างกายหรือจิตใจ, บังคับภริยา, ร่วมประเวณีโดยจำยอม, มีดขู่ฆ่า, ข้อเท็จจริงคดี, วิเคราะห์คดีหย่า, มาตรา 1516 ประมวลกฎหมายแพ่ง, แนวปฏิบัติศาลฎีกา, สิทธิภริยาในการหย่า

  ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ 

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการฟ้องหย่าด้วยเหตุ “ทรมานร่างกายหรือจิตใจ” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(3) โดยโจทก์อ้างว่า จำเลยซึ่งเป็นสามี ได้ใช้ความรุนแรง ทั้งวาจาและบังคับให้โจทก์ซึ่งไม่ประสงค์ร่วมประเวณี ทำให้รู้สึกทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่า และศาลฎีกายืนตามว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบถือเป็นรายละเอียดแห่งเหตุหย่าตามฟ้อง ไม่เป็นการนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง จึงพิพากษายืนให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกัน

ข้อเท็จจริง 

โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยอ้างว่า จำเลยทรมานร่างกายและจิตใจของโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(3)

รายละเอียดข้อกล่าวหาคือ จำเลยใช้วาจาหยาบคาย ทะเลาะกับโจทก์เป็นประจำโดยไม่มีเหตุผล

จำเลยเคยถือมีดขวางไม่ให้โจทก์ออกจากบ้าน ข่มขู่จะฆ่า หากโจทก์ไม่ส่งภาพถ่ายในอดีตให้

จำเลยบังคับให้โจทก์ร่วมประเวณี แม้โจทก์ไม่ประสงค์และอยู่ในภาวะไม่สะดวก หากโจทก์ไม่ยอม ก็ถูกข่มขู่ทำร้าย

ผลจากการกระทำดังกล่าวทำให้โจทก์หนีออกจากบ้าน เพราะเกรงถูกทำร้าย

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พลิกคดีให้โจทก์และจำเลยหย่าขาด

จำเลยฎีกา

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัย 

การกระทำของจำเลยเป็นการ “ทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง” ในแง่ที่เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(3) หรือไม่

สิ่งที่โจทก์นำสืบ เช่น การใช้มีด ข่มขู่ให้ร่วมประเวณี ถือเป็น “รายละเอียดแห่งเหตุหย่า” ที่อนุญาตให้นำสืบได้หรือเป็นการนำสืบนอกเหนือฟ้องหรือไม่

⚖️ ประเด็นสำคัญที่สุดของคดี

ประเด็นหลัก:

ศาลฎีกาใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) เป็นหลักในการวินิจฉัย โดยตีความว่า “การทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง” รวมถึงกรณีที่สามีบังคับภริยาให้ร่วมประเวณีด้วยการข่มขู่หรือใช้ความรุนแรง แม้อยู่ในสมรสก็ตาม ถือเป็นเหตุให้ภริยามีสิทธิฟ้องหย่าได้

ศาลยังพิจารณาควบคู่กับหลักกฎหมายทั่วไปว่าการอยู่กินฉันสามีภริยาต้องอาศัย ความสมัครใจและการเคารพซึ่งกันและกัน มิใช่การใช้อำนาจฝ่ายเดียวหรือการละเมิดสิทธิทางร่างกายและจิตใจ

📘 กฎหมายที่ใช้วินิจฉัย

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3)

“คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องหย่าได้ เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้กระทำการทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรงแก่ตน...”

มาตรานี้เป็นหัวใจของคำพิพากษา โดยศาลตีความคำว่า “ทรมานร่างกายหรือจิตใจ” ให้ครอบคลุมทั้งการทำร้ายทางกาย วาจา หรือการบังคับทางเพศ ซึ่งถือเป็นความรุนแรงในครอบครัวรูปแบบหนึ่ง

🔑 5 Keywords สำคัญที่สุดของคดี พร้อมคำขยาย

1. ทรมานร่างกายและจิตใจอย่างร้ายแรง

หมายถึงการกระทำที่ทำให้คู่สมรสรู้สึกบีบคั้น กลัว หรือเจ็บปวด เช่น การข่มขู่ ใช้กำลัง หรือการกระทำซ้ำ ๆ จนเกิดผลกระทบต่อจิตใจ ศาลถือว่าเข้าข่ายเหตุหย่าตามกฎหมาย

2. บังคับร่วมประเวณีในสมรส

ศาลชี้ชัดว่า การบังคับให้คู่สมรสร่วมประเวณีโดยไม่ยินยอม แม้อยู่ในความสัมพันธ์สมรส ก็ถือเป็นการละเมิดสิทธิและสร้างความทรมาน ไม่ใช่สิทธิของคู่สมรสฝ่ายใด

3. ความสมัครใจในการอยู่กินฉันสามีภริยา

หลักสำคัญของสมรสคือความรัก ความสมัครใจ และการเคารพซึ่งกันและกัน หากฝ่ายหนึ่งใช้อำนาจหรือความกลัวเพื่อบังคับอีกฝ่าย ถือว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายครอบครัว

4. การนำสืบรายละเอียดแห่งเหตุหย่า

ศาลยืนยันว่า การนำสืบข้อเท็จจริงที่ขยายความเหตุหย่าที่อ้างไว้ในฟ้อง เช่น การขู่ฆ่าหรือบังคับทางเพศ ไม่ถือเป็น “นำสืบนอกเหนือฟ้อง” เพราะอยู่ในขอบเขตของ “เหตุหย่าตามมาตรา 1516 (3)”

5. สิทธิในการฟ้องหย่าของผู้ถูกกระทำ

ผู้ถูกทรมานร่างกายหรือจิตใจมีสิทธิฟ้องหย่าได้ โดยไม่ต้องทนอยู่ในสมรสที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ศาลถือเป็นการคุ้มครองสิทธิคู่สมรสตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมายแพ่งฯ

📚 สรุปใจความสำคัญ

คดีนี้เป็นแนวคำพิพากษาสำคัญที่ยืนยันว่า “ความรุนแรงทางเพศภายในสมรส” ก็ถือเป็นการทรมานร่างกายและจิตใจอย่างร้ายแรง และเป็นเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมายได้ แม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดในฟ้องโดยตรง หากอยู่ในขอบเขตเหตุหย่าที่อ้างไว้ ศาลสามารถรับฟังและวินิจฉัยได้

หลักกฎหมายที่ศาลใช้ 

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 — หนึ่งในเหตุหย่าที่คู่สมรสอาจฟ้องหย่าได้คือ “ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทรมานร่างกายหรือจิตใจ … หากเป็นการร้ายแรง”

หลักการตีความเหตุหย่า: รายละเอียดแห่งเหตุหย่าที่โจทก์ระบุในฟ้องสามารถนำสืบได้ หากเป็นการขยายประเด็นในขอบเขตของเหตุหย่าที่อ้าง ไม่ถือเป็น “นำสืบนอกเหนือจากฟ้อง”

หลักสิทธิสมรส: การอยู่กินฉันสามีภรรยาควรมีความสมัครใจ ความเอาใจใส่ และการร่วมประเวณีต้องเป็นไปโดยความเต็มใจ

บทบัญญัติกฎหมายอาญาที่อาจเกี่ยวข้อง (ถ้ามี): เช่น กฎหมายอาญาสำหรับการข่มขืน ใช้ขู่เข็ญ ฯลฯ

การประยุกต์กฎหมายกับข้อเท็จจริง (Application)

ศาลพิจารณาว่า ข้อมูลที่โจทก์นำสืบเกี่ยวกับการจับมีดข่มขู่ ข้อกล่าวหาการบังคับให้ร่วมประเวณี แม้โจทก์ไม่สะดวก เป็นพฤติการณ์ที่เข้าข่าย “ทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง”

ศาลเห็นว่า แม้โจทก์ไม่ได้กล่าวคำว่า “บังคับร่วมประเวณี” ในฟ้องโดยตรง แต่การกล่าวอ้างว่า “ทรมานร่างกายจิตใจ” ครอบคลุมพฤติการณ์ดังกล่าวเป็น “รายละเอียดแห่งเหตุหย่า” ไม่ใช่การนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง

ศาลจึงถือว่า ศาลอุทธรณ์ได้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยอยู่ในขอบเขตที่อนุญาต และการพิพากษาให้หย่าขาดกันจึงชอบแล้ว

ฎีกาของจำเลยในประเด็นดังกล่าวจึงไม่มีมูลพอเปลี่ยนคำพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกา 

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้โจทก์และจำเลย หย่าขาดจากกัน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

การวิเคราะห์เพิ่มเติม 

คดีนี้มีความสำคัญในแง่ของแนวปฏิบัติเกี่ยวกับ “การบังคับให้ร่วมประเวณี” ภายในความสัมพันธ์สมรส ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิทางร่างกายและจิตใจ

ในทางกฎหมายอาญา พฤติการณ์การข่มขู่ บังคับร่วมประเวณี อาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญา (เช่น มาตรา 276 กรณีข่มขืนโดยใช้ขู่เข็ญ) หรือมาตรา 309 (ข่มขืนใจ) ได้ตามเงื่อนไข

คดีนี้แสดงให้เห็นว่าศาลแพ่ง (ศาลครอบครัว) ให้ความสำคัญกับลักษณะและความรุนแรงของพฤติการณ์ในความสัมพันธ์สมรส ไม่ใช่แค่การทะเลาะทั่วไป

เป็นแนวทางสำคัญให้ผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ถูกบังคับหรือถูกข่มขู่ในสมรส สามารถพิจารณาหย่าโดยอ้างเหตุทรมานร่างกาย/จิตใจ

IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) ขยาย

หมวด รายละเอียด

Issue (ประเด็นปัญหา) 1. พฤติการณ์ของจำเลยถือเป็น “ทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(3) หรือไม่ 2. พฤติการณ์ที่โจทก์นำสืบ เช่น บังคับร่วมประเวณี ถือเป็นรายละเอียดแห่งเหตุหย่าที่อนุญาตให้นำสืบได้ หรือเป็นการนำสืบนอกเหนือฟ้องหรือไม่

Rule (กฎหมาย / หลัก) - ป.พ.พ. มาตรา 1516 (3) - หลักการที่ว่า รายละเอียดแห่งเหตุหย่าในฟ้องสามารถนำสืบได้ - หลักการสมรสว่าการร่วมประเวณีต้องเป็นไปโดยความยินยอม

Application (ประยุกต์ใช้) - ข้อเท็จจริงแสดงว่า จำเลยใช้มีดข่มขู่ บังคับให้โจทก์ร่วมประเวณี ทั้ง ๆ ที่โจทก์ไม่สะดวก - พฤติการณ์นี้เข้าข่ายทำร้ายจิตใจ ร่างกายอย่างร้ายแรง - ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์อ้างเหตุทรมานร่างกาย/จิตใจก็ครอบคลุมการบังคับร่วมประเวณี จึงไม่ถือเป็นการนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง - การพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงไม่ถูกต้องให้กลับคำ

Conclusion (สรุป) พฤติการณ์ของจำเลยถือว่าเป็นเหตุทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(3) และการนำสืบข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นการนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ให้หย่าขาดกัน

บทสรุปข้อคิดทางกฎหมาย

การบังคับให้ผู้ใดกล่าวร่วมประเวณี แม้ในบริบทของสมรส หากเป็นการกระทำโดยใช้กำลังหรือข่มขู่ อาจเข้าข่าย “ทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง” และเป็นเหตุฟ้องหย่าได้

รายละเอียดแห่งเหตุหย่าที่โจทก์ระบุในคำฟ้อง แม้ไม่ใช้ถ้อยคำเจาะจง แต่ถ้อยคำทั่วไป เช่น “ทรมานร่างกาย/จิตใจ” อาจครอบคลุมพฤติการณ์เฉพาะเจาะจงได้ ศาลจะพิจารณาว่าไม่ใช่การนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง

คดีนี้เป็นแนวทางสำคัญในการตีความและบังคับใช้ มาตรา 1516(3) ในคดีหย่า โดยเน้นความรุนแรง ความต่อเนื่อง และผลกระทบต่อจิตใจของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

ผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ถูกบังคับหรือข่มขู่ภายในสมรส ควรเก็บหลักฐานและพิจารณาสิทธิในทางแพ่งและอาจทางอาญาควบคู่กัน

 

🔹 คำถามที่ 1:

การที่สามีบังคับให้ภริยาร่วมประเวณีโดยใช้มีดขู่ ถือเป็นการ “ทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง” อันเป็นเหตุให้ภริยามีสิทธิฟ้องหย่าตามกฎหมายหรือไม่?

คำตอบ:

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยซึ่งเป็นสามี ใช้มีดข่มขู่ภริยาให้ยอมร่วมประเวณี ทั้งที่ภริยาไม่สบายและไม่ต้องการร่วมประเวณี เป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์แห่งการสมรส ซึ่งต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรักและความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย การบังคับเช่นนี้ทำให้ภริยารู้สึก ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจอย่างร้ายแรง จึงเข้าข่ายเหตุหย่าตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) และภริยามีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้โดยชอบ


🔹 คำถามที่ 2:

การที่โจทก์นำสืบในศาลว่า จำเลยใช้มีดข่มขู่ให้ร่วมประเวณี แม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดดังกล่าวไว้ในคำฟ้องโดยตรง จะถือเป็น “การนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง” หรือไม่?

คำตอบ:

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องโดยอ้างเหตุหย่าว่า จำเลยทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง ซึ่งครอบคลุมถึงการบังคับให้ร่วมประเวณีและการข่มขู่ทำร้าย การนำสืบในประเด็นที่จำเลยใช้มีดขู่ให้ยอมร่วมประเวณีจึงเป็นเพียง รายละเอียดแห่งเหตุหย่า ที่อยู่ในขอบเขตของคำฟ้อง มิใช่การนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยจึงชอบด้วยกฎหมาย และศาลฎีกาวินิจฉัยยืนตาม


มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้ (1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ (2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง (ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง (ข) ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป หรือ (ค) ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพ ฐานะ และความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้ (3) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้ …” หมายเหตุ: แหล่งอ้างอิงข้างต้นเผยแพร่ ข้อความตัวบทมาตรา 1516 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (บรรพ 5 ครอบครัว) ซึ่งตรงกับถ้อยคำที่ใช้โดยหน่วยงานรัฐและงานวิชาการไทยหลายแหล่ง (เช่น บทความ/เอกสารของศาลฎีกาในประเด็น 1516 (4/2) ก็อ้างถ้อยคำมาตรา 1516 ตามนี้)

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8611/2557

โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยซึ่งเป็นสามีอ้างเหตุว่า จำเลยทรมานร่างกายและจิตใจของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (3) โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ด้วยการใช้วาจาไม่สุภาพและทะเลาะกับโจทก์โดยไม่มีเหตุผลเป็นประจำ จำเลยถือมีดทำครัวยืนขวางไม่ให้โจทก์ออกจากบ้านและขู่จะฆ่าให้ตายหากไม่นำภาพถ่ายในอดีตของโจทก์มาให้และข่มขู่จะทำร้ายโจทก์ด้วยอารมณ์รุนแรงไม่มีเหตุผล ทำให้โจทก์หนีออกจากบ้านเพราะเกรงจะถูกทำร้าย การที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยใช้มีดขู่ให้โจทก์ยอมร่วมประเวณีด้วย ทั้งๆ ที่โจทก์ไม่สบายและไม่ต้องการร่วมประเวณี ทำให้โจทก์รู้สึกทรมานร่างกายและจิตใจอย่างมาก จึงเป็นรายละเอียดแห่งเหตุหย่าตามที่โจทก์กล่าวบรรยายในฟ้อง มิใช่การนำสืบนอกเหนือจากฟ้องตามฎีกาของจำเลยแต่อย่างใด โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับ ให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือนางสาววรัญญา ระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยา จำเลยใช้วาจาหยาบคายขณะทะเลาะกับโจทก์ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2555 จำเลยโกรธที่โจทก์นำภาพถ่ายคู่กันระหว่างโจทก์กับจำเลยไปทำลาย เป็นเหตุให้ทะเลาะกันจนโจทก์หลบหนีออกจากบ้าน ไม่กลับไปอยู่อาศัยกับจำเลยที่บ้านอีกเลย 

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า การกระทำของจำเลยเป็นการทรมานร่างกายหรือจิตใจของโจทก์อย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1561(3) หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยบังคับให้โจทก์ต้องร่วมประเวณีกับจำเลยตลอดทั้งที่โจทก์ไม่สบายและไม่ต้องการร่วมประเวณี หากโจทก์ไม่ยอมร่วมประเวณีด้วย จำเลยก็ถือมีดและขู่ฆ่า จนโจทก์ต้องยอมร่วมประเวณีกับจำเลย ทำให้โจทก์รู้สึกทรมานทั้งร่างกายและจิตใจอย่างมากจนไม่สามารถทนต่อไปได้ สอดคล้องกับคำเบิกความของจำเลยตอบคำถามติงของทนายจำเลยยอมรับว่า จำเลยใช้มีดขู่โจทก์จริง เช่นนี้ การที่จำเลยซึ่งเป็นสามีบังคับให้โจทก์ซึ่งเป็นภริยาต้องร่วมประเวณีตามความต้องการของจำเลย ทั้งที่โจทก์ไม่สบายและไม่ต้องการร่วมประเวณี เมื่อโจทก์ไม่ยอมร่วมประเวณีด้วย จำเลยก็ถือมีดและขู่ฆ่า จนโจทก์ต้องยอมร่วมประเวณีกับจำเลย พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยย่อมขัดต่อเจตนารมณ์ของการอยู่กินฉันสามีภริยา ที่ต้องรู้จักการทะนุถนอมและเอาใจใส่ซึ่งกันและกันโดยเฉพาะการร่วมประเวณีย่อมเกิดจากความรักและความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย มิใช่การหักหาญเอาแต่ใจของตนเองฝ่ายเดียวการกระทำของจำเลยจึงเป็นการทรมานร่างกายหรือจิตใจของโจทก์อย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) และที่จำเลยฎีกาว่า ข้อที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยใช้มีดข่มขู่ให้โจทก์ยอมมีเพศสัมพันธ์ โจทก์มิได้กล่าวอ้างไว้ในฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงไม่นำมาวินิจฉัยเพราะเป็นเรื่องเกินไปกว่าที่ปรากฏในฟ้องนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยอ้างเหตุหย่าว่าจำเลยทรมานร่างกายหรือจิตใจของโจทก์อย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3) ข้อที่โจทก์นำสืบดังกล่าวจึงเป็นรายละเอียดแห่งเหตุหย่าตามที่โจทก์กล่าวบรรยายมาในฟ้อง มิใช่เป็นการนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยจึงชอบแล้ว ส่วนฎีกาของจำเลยข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ


ตัวอย่างฎีกาที่เกี่ยวข้องและการเปรียบเทียบ

1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 302/2559

ประเด็นใกล้เคียง: บังคับให้ร่วมประเวณี, การทรมานจิตใจ เป็นเหตุหย่า

สาระสำคัญ:

ในคำพิพากษาฎีกาที่ 302/2559 มีกรณีที่จำเลยเรียกให้บุตรผู้เยาว์มาฟังคำด่าของจำเลยจนโจทก์ยอมให้จำเลยร่วมประเวณี และภายหลังโจทก์มีอาการทางสุขภาพ เช่น มดลูกอักเสบ ผลกระทบต่อร่างกาย (สุขภาพ) และจิตใจ ศาลวินิจฉัยว่า พฤติการณ์เช่นนั้นถือเป็น “การทำร้ายหรือทรมานจิตใจอย่างร้ายแรง” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (3) และเป็นเหตุหย่าได้ นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นประเด็นใน “รายละเอียดแห่งเหตุหย่า” ที่โจทก์สามารถนำสืบได้ ไม่ถือเป็นการนำสืบนอกเหนือจากฟ้อง

การเปรียบเทียบกับ 8611/2557:

เหมือนกันตรงที่มีการ บังคับหรือข่มขู่ทางเพศ / ใช้อำนาจกับฝ่ายภริยา ในลักษณะบังคับให้ร่วมประเวณี

เหมือนกันในหลักว่า การกล่าวอ้าง “ทรมานจิตใจ / ร่างกาย” สามารถครอบคลุมพฤติการณ์เฉพาะเจาะจง

ต่างกันที่ในคดี 8611/2557 มีการข่มขู่โดยมีด และมีข้อกล่าวหาเรื่องการข่มขู่ให้ส่งภาพถ่ายอดีต ซึ่งมีความรุนแรงและการใช้กำลังมากกว่า

คดี 302/2559 ช่วยยืนยันแนวทางศาลในเรื่องการบังคับทางเพศภายในสมรสว่า สามารถเป็นเหตุหย่าได้ตาม มาตรา 1516(3)

2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8803/2559

ประเด็นใกล้เคียง: ถ้อยคำหยาบคาย / เหยียดหยามในชีวิตสมรส / ประพฤติตนอันเป็นปฏิปักษ์

สาระสำคัญ:

ในกรณีนี้ จำเลยใช้คำพูดที่รุนแรง หยาบคาย ด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำเช่น “กูเบื่อผู้ชายแก่ ๆ … หัวล้าน … ไม่มีพิศวาสเลย” และส่งข้อความบอกว่าจะมีความสัมพันธ์กับคนอื่น พฤติการณ์ดังกล่าวศาลวินิจฉัยว่าเป็น “การหมิ่นประมาท เหยียดหยาม” ที่อยู่ในลักษณะ “ประพฤติตนอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (3) และ (6) เมื่อนั้นโจทก์ไม่มีอุทธรณ์ คดียุติด้วยคำพิพากษาศาลชั้นต้น

การเปรียบเทียบกับ 8611/2557:

จุดร่วมคือ ทั้งสองคดีใช้ถ้อยคำที่เป็นการละเมิดจิตใจฝ่ายภริยา (หรือคู่สมรส)

แต่คดี 8611/2557 มีการใช้ความรุนแรงทางกายและบังคับทางเพศเพิ่มเติม ซึ่งรุนแรงกว่าคดี 8803/2559

คดี 8803 ย้ำว่า คำพูดเหยียดหยามแม้ไม่ได้ถึงขั้น “บังคับ” ก็อาจเป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้ภายใต้ มาตรา 1516 (3)/(6)

3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 820/2559

ประเด็นใกล้เคียง: การประพฤติชั่ว / หมิ่นประมาท / กิจการภายในชีวิตสมรส

สาระสำคัญ:

ในคำพิพากษานี้ โจทก์บันทึกข้อความต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น และมีการเปิดเผยข้อมูลในสมุดบันทึกซึ่งเผยให้เห็นถึงการผิดประเพณีสมรส การกระทำนี้ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องทนทุกข์และเสียเกียรติ ถือเป็นการประพฤติตนอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (6) ศาลถือว่าเป็นเหตุหย่าได้

การเปรียบเทียบกับ 8611/2557:

คดี 820/2559 ไม่ได้มีลักษณะรุนแรงทางกายหรือบังคับร่วมประเวณี แต่เป็นการเปิดเผยความสัมพันธ์หรือพฤติกรรมผิดประเพณี

คดี 8611/2557 มีพฤติการณ์รุนแรงชัดเจนจึงอยู่ภายใต้มาตรา 1516(3) มากกว่ามาตรา 1516(6)

คดี 820 เป็นตัวอย่างว่าศาลใช้อมปรัชญาคำว่า “ประพฤติตนอันเป็นปฏิปักษ์” เพื่อรองรับหลายรูปแบบพฤติกรรมในสมรส

4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13082/2558

ประเด็นใกล้เคียง: ถ้อยคำหยาบคาย / การละเลยภริยา / ความรุนแรงทางจิตใจ

สาระสำคัญ:

จำเลยกระทำต่อนางภริยา โดยใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย ไม่ให้เกียรติ และมีพฤติกรรมไม่สนใจสามี–ภริยา ทำให้โจทก์อดทนอยู่ในสภาพที่ไม่ดีเป็นเวลานาน ศาลวินิจฉัยว่าแม้จะไม่มีการใช้กำลังโดยตรง แต่ความประพฤติของจำเลยถือว่าเป็น “ประพฤติชั่ว” หรือ “กระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อการอยู่ร่วมกัน” ซึ่งอาจเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (2) (ค)

การเปรียบเทียบกับ 8611/2557:

คดีนี้อยู่ในลักษณะการใช้ถ้อยคำหยาบคายและไม่ให้เกียรติ มากกว่า “การใช้กำลัง”

คดี 8611/2557 มีองค์ประกอบมากกว่า (กำลัง ข่มขู่ บังคับทางเพศ)

อย่างไรก็ตาม คดี 13082 เป็นตัวอย่างว่า แม้ไม่ถึงขั้นใช้ความรุนแรงทางร่างกาย แต่การละเมิดศักดิ์ศรีภริยาอาจเข้าข่ายเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (2) / (3) ขึ้นกับความรุนแรง

 “การทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง” คืออะไรในสายตากฎหมายครอบครัว?

คำว่า “การทรมานร่างกายหรือจิตใจอย่างร้ายแรง” อาจฟังดูเป็นถ้อยคำที่ใช้ในคดีอาญา แต่ในความเป็นจริง กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็นำถ้อยคำนี้มาใช้เป็นหนึ่งในเหตุสำคัญที่คู่สมรสสามารถ ฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (3) โดยมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองศักดิ์ศรี ความปลอดภัย และความเป็นมนุษย์ของคู่สมรสแต่ละฝ่าย

ในชีวิตจริง การทรมานร่างกายหรือจิตใจไม่ได้หมายถึงแค่การทำร้ายทางกาย เช่น การตีหรือทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึง การกระทำที่บีบคั้นจิตใจ ข่มขู่ ดูหมิ่น หรือบังคับให้กระทำการใด ๆ โดยไม่สมัครใจ เช่น การใช้วาจาหยาบคายเป็นประจำ การกักขังไม่ให้ออกจากบ้าน หรือแม้แต่การบังคับให้ร่วมประเวณีในขณะที่อีกฝ่ายไม่ต้องการ

ศาลฎีกาได้วางแนวทางสำคัญไว้ว่า หากคู่สมรสฝ่ายใด บังคับให้อีกฝ่ายร่วมประเวณีโดยขู่ฆ่าหรือใช้กำลัง การกระทำนั้นถือเป็นการทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างร้ายแรง เพราะขัดต่อเจตนารมณ์ของการอยู่กินฉันสามีภริยาที่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก ความสมัครใจ และการเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ความกลัวหรือการใช้อำนาจฝ่ายเดียว

หลักกฎหมายข้อนี้มีความสำคัญต่อผู้ที่ตกอยู่ในสภาพการแต่งงานที่ถูกทำร้ายหรือกดขี่ เพราะแสดงให้เห็นว่า กฎหมายไม่ได้บังคับให้คนต้องทนอยู่ในสมรสที่เต็มไปด้วยความทุกข์หรือความรุนแรง ผู้ที่ถูกกระทำสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายฟ้องหย่า เพื่อปกป้องตนเองและฟื้นฟูศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้

คดีตัวอย่างจากศาลฎีกาได้ตอกย้ำว่า แม้จะเป็นสามีภริยากัน แต่ การใช้มีดขู่ บังคับให้ยอมร่วมประเวณี ถือเป็น “การทรมานร่างกายและจิตใจอย่างร้ายแรง” ซึ่งเป็นเหตุฟ้องหย่าโดยชอบตามกฎหมาย และการกล่าวอ้างเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีคำว่า “บังคับร่วมประเวณี” อยู่ในคำฟ้องโดยตรง เพราะเป็นเพียงรายละเอียดแห่งเหตุหย่าที่อยู่ในขอบเขตของคำฟ้อง

แนววินิจฉัยนี้สะท้อนให้เห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายไทยที่ต้องการ ปกป้องสิทธิในร่างกายและจิตใจของคู่สมรส ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ถูกกระทำ หากถูกข่มขู่ ทำร้าย หรือบีบบังคับจนเกิดความทุกข์ทรมาน ย่อมมีสิทธิใช้กฎหมายเป็นเกราะคุ้มครองตนเองได้เต็มที่

 

โจทก์ฟ้องจำเลยอ้างเหตุหย่าว่าจำเลยทรมานร่างกายหรือจิตใจของโจทก์อย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3)




การสิ้นสุดแห่งการสมรส

ฟ้องหย่าเพราะภรรยาแจ้งความสามีไม่ได้ ศาลชี้สิทธิเลี้ยงดูยังมีอยู่(ฎีกา 2109/2567)
ฟ้องโมฆะ & หย่า / อายุความ / ค่าเลี้ยงชีพ แยกกันอยู่เกิน 3 ปี, (ฎีกา 10770/2558)
คดีหย่า & ค่าทดแทน, สิทธิฟ้องหย่า, (มาตรา 1518, 1523)(ฎีกา 2473/2556)
หย่า แบ่งสินสมรส, อำนาจปกครองบุตร, & คุ้มครองดอกผล (ฎีกา 10361/2557)
คดีหย่า & อำนาจปกครองบุตร, ค่าอุปการะเลี้ยงดู, (ฎีกา 5535/2558)
โมฆะสมรส & สิทธิอำนาจปกครองบุตร, สิทธิเลี้ยงดูบุตร (ฎีกา 10442/2558)
ความหมายว่า"ค่าอุปการะเลี้ยงดูจนกว่าจะสมรสใหม่และจนกว่าการสมรสสิ้นสุดลง"
คดีหย่า & ฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. ม.173, ฟ้องซ้ำ, (ฎีกา 8186/2551)
สิทธิครอบครองที่ดิน & เพิกถอนโฉนดออกโดยมิชอบ (ฎีกา 3169/2564)
ฟ้องหญิงอื่นเรียกค่าทดแทน (มาตรา 1523) (ฎีกา 4818/2551)
คดีหย่า & สิทธิฟ้องหย่า, อายุความคดีหย่า (การยินยอมและให้อภัย) (ฎีกา 3190/2549)
ค่าเลี้ยงดูบุตร & เพิกถอนโอนบ้าน, สัญญาหย่า, พินัยกรรม, (ฎีกา 6926/2560)
ฟ้องหย่า สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี, (ฎีกา, 2520/2549),
การหย่าโมฆะ & สิทธิในมรดกที่ดินพิพาท
สิทธิภริยาเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นเรื่องชู้สาว (ฎีกา 4261/2560)
กฎหมายฟ้องชู้ฉบับใหม่ 2568: สิทธิของคู่สมรสทุกเพศในการเรียกค่าทดแทนและฟ้องหย่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5259 - 5260/2561 : การรับฟังพยานบันทึกเสียง, สิทธิฟ้องหย่า, ค่าทดแทนชู้ และอำนาจปกครองบุตร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2562 เรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง
สมัครใจแยกกันอยู่, จงใจละทิ้งร้าง, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
สิทธิภริยาเรียกค่าทดแทนจากสามีและหญิงอื่น เหตุชู้สาวต่อเนื่องไม่ขาดอายุความ
การหย่าโดยสมยอมเพื่อฉ้อโกงเจ้าหนี้ – วิเคราะห์กฎหมายครอบครัวและสิทธิของเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4130/2548 สิทธิภริยาชอบด้วยกฎหมายเรียกร้องค่าทดแทนจากหญิงอื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523
สิทธิฟ้องหย่าและอำนาจปกครองบุตร: ศาลฎีกาวินิจฉัยกรณีสามีขับไล่ภริยา – คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4104/2564
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2567: การเปลี่ยนแปลงผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรและการปรับค่าเลี้ยงดูตามสถานการณ์ใหม่
แบ่งสินสมรส, สินสมรสที่เป็นเงินตรา, แบ่งสินสมรสหลังหย่า สิทธิและหน้าที่, สินส่วนตัวกับสินสมรส
คดีฟ้องหย่าและการแบ่งทรัพย์สิน, สิทธิการเรียกค่าเลี้ยงดูของโจทก์, การชำระค่าทดแทนในคดีแพ่ง, การบังคับคดีและสิทธิทายาทในมรดก
ข้อตกลงแบ่งค่าเช่าที่ดินในสัญญาหย่า
ฟ้องหย่าคู่สมรสวิกลจริต, คนไร้ความสามารถกับการหย่า, แบ่งทรัพย์สินหลังหย่าในกรณีคนวิกลจริต
การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
การหย่าโดยความยินยอมต้องทำอย่างไร?, หนังสือหย่า
สามีภริยาจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้างแต่ต้องเกิดจากความยินยอม
ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์
ไม่เกิดสิทธิฟ้องหย่าเพราะโจทก์มีพฤติกรรมนอกใจจำเลยยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี เหตุฟ้องหย่า
การสมรสสิ้นไปด้วยเหตุความตายของคู่สมรสฝ่ายหนึ่ง
อายุความฟ้องหย่า, บันทึกข้อตกลงหย่า, หลักกฎหมายมาตรา 1515,
สิทธิฟ้องค่าอุปการะเลี้ยงดูอันจะอยู่ในอายุความ 5 ปี , หน้าที่บิดามารดาในการเลี้ยงดูบุตร
การฟ้องหย่าด้วยเหตุหมิ่นประมาท, สิทธิการฟ้องหย่าหมดอายุความ
นำตำรวจจับกุมภริยา หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง
จงใจละทิ้งร้างภริยาไปเกินหนึ่งปีฟ้องหย่าได้, สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา
การจงใจทิ้งร้างไปเกินกว่า 1 ปีต้องในลักษณะที่ไม่หวนกลับไปหาคู่สมรสอีก
ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร
สิทธิฟ้องหย่าระงับไปเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีเว้นแต่เหตุฟ้องเกิดขึ้นต่อเนื่อง
เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ สิทธิเรียกร้องกำหนดอายุความ 5 ปี
เหตุฟ้องหย่าให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ยื่นฟ้องหย่า
สามีฟ้องหย่า,จงใจละทิ้งร้าง,เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ, อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นเป็นภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี ต้องเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุขด้วย
แยกกันอยู่เพราะสามีรับราชการที่อื่น, ไม่ถือว่าเป็นการแยกกันอยู่โดยความสมัครใจ
ทะเลาะกันและทำร้ายร่างกายยังไม่เป็นเหตุฟ้องหย่า
แยกกันอยู่เพราะสามียกย่องหญิงอื่น, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
ฟ้องหย่าจงใจละทิ้งร้างเรียกสินสอดทองหมั้นคืน
สามีหรือภริยาประพฤติชั่วอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
รู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่าจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่านั้นไม่ได้
พี่น้องของผู้ตายขอเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสซ้อนไม่ได้
อำนาจฟ้องขอเพิกถอนการสมรสเพราะสำคัญผิดตัว
ศาลมีอำนาจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้
ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก-ได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปี ฟ้องหย่าได้
สิทธิฟ้องหย่าระงับเมื่ออีกฝ่ายให้อภัยแล้ว
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปีฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะติดต่อกับบุตรของตนได้ตามสมควรแล้วแต่พฤติการณ์
ไม่อาจร่วมประเวณีได้ ต้องการฟ้องหย่า
แยกกันอยู่หรือจงใจละทิ้งร้าง? -อยู่บ้านเดียวกันแต่ก็มีลักษณะแบบต่างคนต่างอยู่
กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง
ไม่ถือว่าจำเลยประพฤติชั่วทำให้โจทก์อับอายถูกเกลียดชังจนเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะเรียกค่าทดแทนชู้สาวนั้นต้องแสดงตนโดยเปิดเผย
เหตุแห่งการฟ้องหย่าทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลงขอให้อีกฝ่ายหนึ่งจ่ายค่าเลี้ยงชีพได้
ฟ้องซ้ำ ค่าอุปการะเลี้ยงดู หนี้ที่ยังไม่ถึงกำหนด
การแบ่งสินสมรสและกรรมสิทธิ์รวม
หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามสามีหรือบุพการี
สัญญาระหว่างสมรสให้ทรัพย์สินของสามีตกเป็นของภริยาห้ามบอกล้าง
ขอเพิกถอนทะเบียนสมรสซ้อน สมรสซ้อนโดยไม่สุจริต
ทะเบียนสมรส ลงชื่อฝ่ายชายคนเดียว, เพิกถอนการรับบุตรบุญธรรม
ฟ้องหย่าอ้างเหตุสมัครใจแยกกันอยู่
ทำร้ายร่างกายถ้าเป็นการร้ายแรงฟ้องหย่าได้, ศาลปรับหนึ่งพันไม่เป็นการร้ายแรง
ฟ้องหย่าอ้างว่าจำเลยดูหมิ่นโจทก์และบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรง
การกระทำของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอันเป็นเหตุฟ้องหย่า
โจทก์ได้ให้อภัยจำเลยเรื่องทำร้ายร่างกายแล้วถือได้ว่าสิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้ย่อมหมดไป
ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน, การทำร้ายคู่สมรส
เหตุฟ้องหย่า เหตุที่ไม่อาจอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ มีอะไรบ้าง
ความสมบูรณ์ของการสมรส, ฟ้องให้การสมรสเป็นโมฆะ
การละเมิดเกิดขึ้นต่อเนื่องอายุความจึงยังไม่เริ่มนับคดีไม่ขาดอายุความ
การฟ้องหย่าและหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามี ไม่ฟ้องหย่า
ฟ้องหย่าอ้างสิทธิที่จะเลือกคู่ครองตามรัฐธรรมนูญ
รู้ว่าสามีไปมีหญิงอื่นเกินหนึ่งปีก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้,อายุความ
จงใจละทิ้งร้างไปเกินหนึ่งปี
ฟ้องหย่าได้ที่ศาลใด
การหย่าโดยคำพิพากษาจะมีผลต่อเมื่อเวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุด
หนังสือร้องเรียนผู้บังคับบัญชาเรื่องความสัมพันธ์กับหญิงอื่น
ฟ้องหย่าอ้างแยกกันอยู่เกินสามปีต้องเพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุข