ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2567: การเปลี่ยนแปลงผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรและการปรับค่าเลี้ยงดูตามสถานการณ์ใหม่

 

 

ทนาย ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

 

 

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร ภายหลังจากที่บุตรย้ายมาอยู่อาศัยกับอีกฝ่ายที่มิได้ใช้อำนาจปกครองตามข้อตกลงหย่าเดิม อีกทั้งยังพิจารณาประเด็นค่าอุปการะเลี้ยงดูว่า ข้อตกลงที่เคยมีจะยังมีผลบังคับหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงเปลี่ยนไป ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยตีความเจตนารมณ์ของข้อตกลงหย่าใหม่ และพิจารณาความเหมาะสมของการเรียกหรือไม่เรียกค่าเลี้ยงดูย้อนหลัง


🔹 สรุปข้อเท็จจริงของคดี

•ผู้ร้องและผู้คัดค้านเคยสมรสและมีบุตร 1 คน

•หย่าร้างโดยตกลงให้ผู้คัดค้านเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว และผู้ร้องจะจ่ายค่าเลี้ยงดูเดือนละ 20,000 บาท

•ต่อมาบุตรได้ย้ายมาอยู่กับผู้ร้องตั้งแต่ 16 ก.พ. 2563 เป็นต้นมา

•ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอเปลี่ยนให้ตนเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง และไม่ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูอีก พร้อมขอให้ผู้คัดค้านเป็นฝ่ายชำระแทน


🔹 คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์

•ศาลชั้นต้น ให้ใช้อำนาจปกครองร่วม โดยผู้ร้องมีอำนาจในส่วนกำหนดที่อยู่บุตรผู้เยาว์ และกำหนดให้ผู้คัดค้านจ่ายค่าเลี้ยงดูเดือนละ 10,000 บาท พร้อมให้ผู้ร้องชำระย้อนหลังบางส่วน

•ศาลอุทธรณ์ แก้ไขให้ผู้คัดค้านจ่ายเดือนละ 5,000 บาท และให้ผู้ร้องชำระย้อนหลัง 542,740 บาท


🔹 ประเด็นข้อกฎหมายที่ศาลฎีกาวินิจฉัย

1. การตีความข้อตกลงหย่าเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง

•ศาลวินิจฉัยว่า แม้ข้อตกลงหย่าระบุให้ผู้ร้องจ่ายเงินเดือนละ 20,000 บาท แต่ข้อตกลงดังกล่าวตั้งอยู่บนฐานข้อเท็จจริงที่บุตรอยู่กับผู้คัดค้าน

•เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป บุตรย้ายมาอยู่กับผู้ร้อง และผู้ร้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด หากยังต้องจ่ายเงินให้ผู้คัดค้านอีก จะขัดกับเจตนารมณ์เดิมของข้อตกลง

2. การเรียกค่าเลี้ยงดูย้อนหลังระหว่างเดือน มิ.ย. 2561 - ก.ย. 2562

•ศาลวินิจฉัยว่า ผู้ร้องนำสืบการโอนเงินบางส่วนได้จริง (183,260 บาท)

•แต่ส่วนที่อ้างว่าให้เป็นเงินสดหรือค่าใช้จ่ายอื่น ไม่มีหลักฐานแน่ชัด จึงรับฟังไม่ได้

•คงเหลือยอดค้างชำระ 122,740 บาท ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาไว้แล้ว

3. ผู้คัดค้านต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูให้ผู้ร้องหรือไม่

•ศาลยึดหลัก ป.พ.พ. มาตรา 1564 วรรคหนึ่ง ที่ระบุว่า บิดามารดามีหน้าที่ร่วมกันในการอุปการะเลี้ยงดูบุตร

•ศาลเห็นว่ารายได้ของผู้ร้องแม้มากกว่า แต่มีภาระหนี้สินสูง ส่วนผู้คัดค้านมีรายได้ประมาณ 300,000 บาทต่อปี

•การกำหนดให้ผู้คัดค้านจ่ายเดือนละ 5,000 บาท ถือว่าเหมาะสมแล้ว


🔹 ข้อคิดทางกฎหมายจากคำพิพากษานี้

•✅ การตกลงเรื่องค่าเลี้ยงดูในข้อตกลงหย่าอาจเปลี่ยนแปลงได้ หากข้อเท็จจริงในภายหลังเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ

•✅ ศาลสามารถตีความเจตนารมณ์ของข้อตกลงหย่าเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง และประโยชน์ของผู้เยาว์เป็นสำคัญ

•✅ การพิสูจน์ว่าได้ชำระค่าเลี้ยงดูต้องมีหลักฐานชัดเจน การอ้างลอย ๆ หรือไม่มีหลักฐานรองรับ อาจฟังไม่ขึ้น

•✅ บิดามารดาทั้งสองฝ่ายมีหน้าที่ร่วมกันในการอุปการะเลี้ยงดูบุตรเสมอ เว้นแต่ศาลจะเห็นควรเป็นอย่างอื่น


บทความย่อ: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2567

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ในข้อตกลงหย่าจะให้ผู้ร้องจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 20,000 บาทแก่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว แต่เมื่อภายหลังบุตรย้ายมาอยู่กับผู้ร้องตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 และผู้ร้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด การบังคับให้ผู้ร้องยังต้องจ่ายเงินตามข้อตกลงเดิมจึงขัดต่อเจตนารมณ์ของสัญญา ศาลฎีกาจึงยกเลิกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้

ในประเด็นการชำระค่าเลี้ยงดูย้อนหลังก่อนวันที่ 12 กันยายน 2562 ศาลฟังว่าผู้ร้องได้ชำระไปแล้วบางส่วน 183,260 บาท แต่ยังค้างอยู่ 122,740 บาท ซึ่งศาลยืนยันตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เดิม

ศาลยังวินิจฉัยเพิ่มเติมว่าการอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นหน้าที่ร่วมของทั้งบิดาและมารดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 วรรคหนึ่ง และเมื่อพิจารณารายได้ของทั้งสองฝ่ายแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ผู้คัดค้านจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 5,000 บาทให้แก่ผู้ร้อง ถือว่าเหมาะสม

ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ผู้ร้องชำระเงินที่ค้างพร้อมดอกเบี้ยตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนด และยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนอื่น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2567

ข้อเท็จจริงปรากฏตามทางนำสืบของผู้ร้อง ซึ่งผู้คัดค้านมิได้โต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่นว่าบุตรผู้เยาว์ได้ย้ายมาอยู่อาศัยกับผู้ร้องเป็นการถาวรตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 จนถึงปัจจุบัน ดังนั้นแม้ในหนังสือข้อตกลงหย่า ข้อ 1.2 ระบุว่า ฝ่ายชายยินดีให้ค่าเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันหย่า โดยจะแบ่งจ่ายเป็นรายอาทิตย์ทั้งนี้ไม่เกิน 20,000 บาท ต่อเดือน โดยโอนเข้าบัญชีฝ่ายหญิงทุกครั้ง... ก็ตาม แต่เหตุที่ตกลงเช่นนั้นก็เนื่องมาจากขณะนั้นบุตรผู้เยาว์พักอาศัยอยู่กับผู้คัดค้านโดยผู้คัดค้านเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเมื่อปรากฏว่าข้อเท็จจริงได้เปลี่ยนแปลงไปโดยบุตรผู้เยาว์ได้ย้ายมาอยู่อาศัยกับผู้ร้อง ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 จนถึงปัจจุบัน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับบุตรผู้เยาว์ ผู้ร้องเป็นผู้ชำระทั้งสิ้น ทั้งผู้คัดค้านก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าตั้งแต่บุตรผู้เยาว์ย้ายมาพักอาศัยกับผู้ร้องแล้วผู้คัดค้านได้ใช้จ่ายสิ่งใดที่เกี่ยวกับบุตรผู้เยาว์ไปบ้าง ดังนั้น หากให้ผู้ร้องต้องชำระเงินให้แก่ผู้คัดค้านตามข้อตกลงหย่าในข้อ 1.2 อีก ก็เท่ากับว่าผู้ร้องต้องชำระเงินเพิ่มจากที่ตกลงกันไว้ ซึ่งผิดไปจากเจตนารมณ์ของคู่สัญญาที่ประสงค์จะให้ข้อตกลงหย่าในข้อ 1.2 เป็นไปเพื่อการเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์อย่างแท้จริง


ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนตัวผู้ใช้อำนาจปกครองให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว และให้บุตรผู้เยาว์มาอยู่อาศัยกับผู้ร้องโดยผู้ร้องไม่ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เดือนละ 20,000 บาท ให้แก่ผู้คัดค้านอีกต่อไป กับบังคับให้ผู้คัดค้านชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เดือนละ 20,000 บาท แก่ผู้ร้อง และให้ผู้คัดค้านคืนบ้านดิ เออร์เบิร์น แก่ผู้ร้องเพื่อให้ผู้ร้องกับบุตรผู้เยาว์ใช้อยู่อาศัยต่อไป


ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและฟ้องแย้งขอให้ยกคำร้องขอและบังคับให้ผู้ร้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ 475,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้าน กับให้ผู้ร้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์อีกเดือนละ 20,000 บาท แก่ผู้คัดค้านนับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือมีงานทำ


ผู้ร้องให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง


ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าให้ผู้ร้องกับผู้คัดค้านเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย ป. บุตรผู้เยาว์ร่วมกัน โดยให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเฉพาะในส่วนการกำหนดที่อยู่ของบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1567 (1) และให้ผู้คัดค้านมีสิทธิติดต่อเยี่ยมเยียนบุตรผู้เยาว์กับรับบุตรผู้เยาว์ไปดูแลในวันหยุดราชการตามควรแก่พฤติการณ์ตามมาตรา 1584/1 ทั้งนี้ ตามความยินยอมของบุตรผู้เยาว์ และให้ผู้คัดค้านชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เดือนละ 10,000 บาท แก่ผู้ร้อง นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา (ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564) เป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ กับให้ผู้ร้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ 49,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องแย้ง (ฟ้องแย้งวันที่ 14 กันยายน 2563) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้าน ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอท้ายฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

ผู้คัดค้านอุทธรณ์


ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้คัดค้านชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชาย ป. บุตรผู้เยาว์ เดือนละ 5,000 บาท แก่ผู้ร้อง นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา (ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564) เป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ และให้ผู้ร้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ที่ค้างชำระแก่ผู้คัดค้าน 542,740 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 262,740 บาท นับแต่วันฟ้องแย้ง (ฟ้องแย้งวันที่ 14 กันยายน 2563) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปีหรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้าน แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอท้ายฟ้องแย้ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

ผู้ร้องและผู้คัดค้านฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา


ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า ผู้ร้องกับผู้คัดค้านเคยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2550 มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กชาย ป. เกิดเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2550 ต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2561 ผู้ร้องกับผู้คัดค้านจดทะเบียนการหย่ากันโดยทำหนังสือข้อตกลงหย่า โดยให้ผู้คัดค้านเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว และผู้ร้องตกลงให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันหย่าโดยโอนเข้าบัญชีผู้คัดค้าน ชื่อบัญชีนางศิภาพัชร์ ยกเว้นผู้คัดค้านมีครอบครัวใหม่จะเปลี่ยนเป็นโอนเข้าบัญชีบุตรทันที จนกว่าบุตรจะมีงานทำ ต่อมาวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 ผู้ร้องรับบุตรผู้เยาว์มาอยู่อาศัยกับผู้ร้องตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย ป.บุตรผู้เยาว์ร่วมกันโดยให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเฉพาะในส่วนการกำหนดที่อยู่ของบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว


มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องข้อแรกว่า ผู้ร้องค้างชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ช่วงระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2561 จนถึงวันที่ 12 กันยายน 2562 หรือไม่ เห็นว่า ตามหนังสือข้อตกลงหย่า ข้อ 1.2 ระบุว่า ฝ่ายชายยินดีให้ค่าเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันหย่า โดยจะแบ่งจ่ายเป็นรายอาทิตย์ ทั้งนี้ไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน โดยโอนเข้าบัญชีฝ่ายหญิงทุกครั้ง ชื่อบัญชีนางศิภาพัชร์ ผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องไม่ได้ค้างชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ตามฟ้องแย้งโดยมีหลักฐานการโอนเงินผ่านระบบธนาคาร ก. เอกสารหมาย ร.7 มาแสดงซึ่งเมื่อพิจารณาเอกสารหมาย ร.7 ประกอบรายการโอนเงินเอกสารหมาย ค.19 ซึ่งมียอดวัน เวลา จำนวนเงินที่โอนตรงกันแล้ว ปรากฏว่าตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2561 อันเป็นวันที่ข้อตกลงหย่ามีผลบังคับถึงวันที่ 12 กันยายน 2562 มีรายการโอนเงินจากบัญชีของผู้ร้องเข้าบัญชีของผู้คัดค้านทั้งสิ้น 163,260 บาท เข้าบัญชีของนางมาลี มารดาผู้ร้อง 15,000 บาท และเข้าบัญชีของบุตรผู้เยาว์ 5,000 บาท ซึ่งผู้ร้องและบุตรผู้เยาว์เบิกความตรงกันว่า เหตุที่โอนเงินเข้าบัญชีของนางมาลีเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่บุตรผู้เยาว์ไปพักอาศัยอยู่กับนางมาลี ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ผู้ร้องได้ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ไปแล้วทั้งสิ้น 183,260 บาท ที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องยังได้ชำระค่าไฟฟ้าและค่าสัญญาณเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายจำนวน 1,245 บาท และ 1,495 บาทตามลำดับ ซึ่งถือเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูส่วนหนึ่ง จึงต้องรวมไว้ในส่วนค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ผู้ร้องได้ชำระแล้วด้วยนั้น เห็นว่า เป็นข้ออ้างลอย ๆ ของผู้ร้องเพียงฝ่ายเดียว ผู้คัดค้านมิได้ยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย ทั้งผู้ร้องก็มิได้มีหลักฐานมาแสดงยืนยันว่าได้ชำระค่าไฟฟ้าและค่าสัญญาณเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายดังกล่าวไปเพื่อประโยชน์ของบุตรผู้เยาว์จริง จึงรับฟังไม่ได้ตามที่อ้างและส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าได้ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นเงินสดให้แก่บุตรผู้เยาว์ในช่วงเดือนมิถุนายน 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 เป็นจำนวน 50,000 บาท และ 80,000 บาท นั้น ก็ไม่ปรากฏหลักฐานแต่อย่างใด แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของบุตรผู้เยาว์ว่า ช่วงที่ผู้ร้องให้เงินสดแก่บุตรผู้เยาว์โดยตรงนั้น ผู้ร้องจะให้ในวันเสาร์ที่พบกัน โดยจะให้ครั้งละ 2,000 บาท ต่อหนึ่งอาทิตย์ ที่เหลือ 3,000 บาท ผู้ร้องจะฝากไว้ให้ในบัญชีธนาคาร แต่บุตรผู้เยาว์ยังไม่เห็นบัญชีธนาคารดังกล่าวเนื่องจากผู้ร้องเป็นคนเก็บไว้ก็ตาม จึงยังไม่แน่ชัดว่าผู้ร้องให้เงินบุตรผู้เยาว์ในช่วงเวลาใด เป็นจำนวนทั้งสิ้นเท่าใด จึงไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ดังนั้นเมื่อนำเงินที่ผู้ร้องชำระตามเอกสารหมาย ร.7 ซึ่งมียอดตรงกับเอกสารหมาย ค.19 ไปหักออกจากจำนวนเงินที่ผู้ร้องต้องชำระระหว่างเดือนมิถุนายน 2561 ถึงวันที่ 12 กันยายน 2562 เป็นเวลา 15 เดือน 2 สัปดาห์ คิดเป็นเงิน 310,000 บาท แล้วคงเป็นเงินที่ผู้ร้องค้างชำระแก่ผู้คัดค้านจำนวน 126,740 บาท ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่เนื่องจากคดีนี้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้ผู้ร้องชำระเงินในยอดดังกล่าวแก่ผู้คัดค้าน จำนวน 122,740 บาท และผู้คัดค้านมิได้รับอนุญาตให้ฎีกาในประเด็นดังกล่าว ความรับผิดของผู้ร้องจึงมีเพียงเท่าที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามาเท่านั้น ศาลฎีกาไม่อาจพิพากษาให้ผู้ร้องรับผิดเกินกว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้


ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องข้อต่อไปว่า ผู้ร้องต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ช่วงระหว่างวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 จนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏตามทางนำสืบของผู้ร้องซึ่งผู้คัดค้านมิได้โต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่นว่า บุตรผู้เยาว์ได้ย้ายมาอยู่อาศัยกับผู้ร้องเป็นการถาวรตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 จนถึงปัจจุบัน ดังนั้นแม้ในหนังสือข้อตกลงหย่า ข้อ 1.2 ระบุว่า ฝ่ายชายยินดีให้ค่าเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันหย่า โดยจะแบ่งจ่ายเป็นรายอาทิตย์ทั้งนี้ไม่เกิน 20,000 บาท ต่อเดือน โดยโอนเข้าบัญชีฝ่ายหญิงทุกครั้ง... ก็ตาม แต่เหตุที่ตกลงเช่นนั้นก็เนื่องมาจากขณะนั้นบุตรผู้เยาว์พักอาศัยอยู่กับผู้คัดค้านโดยผู้คัดค้านเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเมื่อปรากฏว่าข้อเท็จจริงได้เปลี่ยนแปลงไปโดยบุตรผู้เยาว์ได้ย้ายมาอยู่อาศัยกับผู้ร้องตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 จนถึงปัจจุบัน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับบุตรผู้เยาว์ ผู้ร้องเป็นผู้ชำระทั้งสิ้น ทั้งผู้คัดค้านก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าตั้งแต่บุตรผู้เยาว์ย้ายมาพักอาศัยกับผู้ร้องแล้ว ผู้คัดค้านได้ใช้จ่ายสิ่งใดที่เกี่ยวกับบุตรผู้เยาว์ไปบ้าง ดังนั้นหากให้ผู้ร้องต้องชำระเงินให้แก่ผู้คัดค้านตามข้อตกลงหย่าในข้อ 1.2 อีก ก็เท่ากับว่าผู้ร้องต้องชำระเงินเพิ่มจากที่ตกลงกันไว้ ซึ่งผิดไปจากเจตนารมณ์ของคู่สัญญาที่ประสงค์จะให้ข้อตกลงหย่าในข้อ 1.2 เป็นไปเพื่อการเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์อย่างแท้จริง ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาให้ผู้ร้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์แก่ผู้คัดค้านตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 จนถึงวันฟ้องแย้งและจากวันที่ฟ้องแย้งไปจนถึงวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษารวมจำนวน 420,000 บาทนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังขึ้น


มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องและผู้คัดค้าน ซึ่งศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยไปพร้อมกันในคราวเดียวว่า ผู้คัดค้านมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ให้ผู้ร้องหรือไม่ เป็นจำนวนเท่าใด เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์..." ดังนั้นหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์จึงเป็นของบิดาและมารดา มิใช่หน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งศาลอาจกำหนดให้เพียงใดหรือไม่ให้ก็ได้โดยคำนึงถึงความสามารถของผู้มีหน้าที่ต้องให้ ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งกรณี ตามมาตรา 1598/38 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏจากทางนำสืบของผู้ร้องและผู้คัดค้านว่า ผู้ร้องเป็นพนักงานธนาคาร ก. ตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่าย มีอัตราเงินเดือน 108,060 บาท และค่าครองชีพเดือนละ 1,500 บาท แต่มีรายจ่ายที่ต้องผ่อนชำระหนี้ธนาคารจำนวนมาก ส่วนผู้คัดค้านประกอบอาชีพอิสระ ขายสินค้าออนไลน์ เป็นนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ รับจ้างทั่วไป และช่วยดูแลสวนยางพาราของบิดามารดามีรายได้รวมกันไม่น้อยกว่า 300,000 บาท ต่อปี ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษกำหนดให้ผู้คัดค้านชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เดือนละ 5,000 บาท นั้นเหมาะสมแล้วและไม่เกินคำขอแต่อย่างใด ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องและผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น


พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ที่ค้างชำระแก่ผู้คัดค้าน 122,740 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องแย้ง (วันที่ 14 กันยายน 2563) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ตามที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้าน แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ


🔹 วิเคราะห์ฎีกาในรูปแบบ IRAC

Issue (ปัญหาที่ต้องวินิจฉัย):

•ผู้ร้องต้องชำระค่าเลี้ยงดูย้อนหลังตามข้อตกลงหย่าหรือไม่ เมื่อบุตรได้มาอยู่กับผู้ร้องแล้ว?

•ผู้คัดค้านมีหน้าที่ต้องชำระค่าเลี้ยงดูให้ผู้ร้องหรือไม่?

Rule (บทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้อง):

•ป.พ.พ. มาตรา 1564: บิดามารดาต้องร่วมกันอุปการะเลี้ยงดูบุตร

•ป.พ.พ. มาตรา 1598/38: ศาลอาจกำหนดจำนวนหรือไม่กำหนดการอุปการะได้ตามความสามารถและพฤติการณ์ของคู่กรณี

•หลักตีความข้อตกลงตามเจตนารมณ์ของคู่สัญญา

Application (การประยุกต์ใช้กฎหมาย):

•ข้อตกลงหย่าถือเป็นข้อตกลงเพื่อเลี้ยงดูบุตรตามสภาพขณะนั้น เมื่อบุตรมาอยู่กับอีกฝ่าย เจตนารมณ์ของข้อตกลงย่อมเปลี่ยน

•การโอนเงินในอดีตมีหลักฐานรองรับเพียงบางส่วนเท่านั้น

•พิจารณารายได้ของทั้งสองฝ่ายเพื่อกำหนดค่าเลี้ยงดูอย่างสมเหตุสมผล

Conclusion (ข้อสรุป):

•ศาลฎีกาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์บางส่วน โดยให้ผู้ร้องชำระเฉพาะเงินที่พิสูจน์ได้ว่าค้างจริง และไม่ต้องชำระค่าเลี้ยงดูช่วงที่บุตรอยู่กับผู้ร้อง

•ผู้คัดค้านต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูรายเดือนให้ผู้ร้องตามความเหมาะสม



สรุปบทความเป็นภาษาอังกฤษ

Supreme Court Judgment No. 1218/2567 Summary:

The Supreme Court ruled that when the child permanently moved in with the petitioner, the original divorce agreement requiring the petitioner to pay child support to the respondent became inapplicable, as it no longer aligned with the original intent. However, the Court upheld the petitioner’s obligation to pay outstanding support from a prior period amounting to 122,740 THB. Furthermore, the respondent was ordered to pay monthly child support of 5,000 THB to the petitioner, in accordance with the financial circumstances of both parties.

 

 

 

 เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลัง

บทความ: การเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลังตามกฎหมายไทย

ความหมายของค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร

ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรคือค่าใช้จ่ายที่พ่อหรือแม่คนหนึ่งต้องชำระเพื่อให้ความช่วยเหลืออีกฝ่ายในการเลี้ยงดูบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือยังต้องพึ่งพิงการสนับสนุนตามความจำเป็นในการดำรงชีวิตและการศึกษา การเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูย้อนหลังหมายถึงการเรียกร้องค่าใช้จ่ายดังกล่าวสำหรับช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ในการเลี้ยงดูบุตร

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลัง ได้แก่

1.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564

กำหนดให้บิดามารดามีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะหรือสามารถเลี้ยงตนเองได้

2.มาตรา 1598/38

ระบุว่า หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ อีกฝ่ายสามารถยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้บังคับให้ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูได้

3.มาตรา 1598/39

กำหนดให้ศาลมีอำนาจพิจารณาเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูย้อนหลังได้ตามความเหมาะสม

เงื่อนไขในการเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูย้อนหลัง

1.บุตรต้องยังไม่บรรลุนิติภาวะ

หากบุตรอายุเกิน 20 ปีบริบูรณ์ การเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูย้อนหลังจะไม่สามารถกระทำได้

2.ฝ่ายที่เรียกร้องต้องมีหลักฐานการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูบุตร

เช่น ใบเสร็จค่าเล่าเรียน ค่าอาหาร หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็น

3.ระยะเวลาในการเรียกร้อง

ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 การเรียกร้องสิทธิในค่าอุปการะเลี้ยงดูย้อนหลังมีอายุความ 5 ปีนับตั้งแต่วันที่พึงต้องชำระ

กระบวนการเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูย้อนหลัง

1.ยื่นคำร้องต่อศาล

ฝ่ายที่ต้องการเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรต้องยื่นฟ้องต่อศาลครอบครัวและเยาวชน โดยแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้อง

2.ศาลพิจารณา

ศาลจะพิจารณาถึงความเหมาะสมและความจำเป็นของค่าใช้จ่ายย้อนหลังที่เกิดขึ้น

3.คำพิพากษา

หากศาลเห็นว่ามีมูล ศาลจะมีคำสั่งให้ฝ่ายที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูย้อนหลังตามจำนวนที่กำหนด

ปัจจัยที่ศาลพิจารณา

•ความจำเป็นของค่าใช้จ่ายในช่วงเวลาที่ผ่านมา

•ความสามารถทางการเงินของฝ่ายที่ต้องชำระ

•ความเหมาะสมของจำนวนเงินที่เรียกร้อง

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2562

ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่าบิดาที่ไม่ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามข้อตกลงในการหย่าต้องรับผิดชอบชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูย้อนหลังแก่บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2567

กรณีที่มารดาเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูย้อนหลังจากบิดาที่ไม่เคยให้การสนับสนุนค่าใช้จ่าย ศาลเห็นชอบให้เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูย้อนหลังได้ แต่ต้องไม่เกิน 5 ปี

ข้อควรระวังในการเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูย้อนหลัง

•การเรียกร้องต้องมีหลักฐานสนับสนุนที่ชัดเจน

•การยื่นฟ้องเกินกำหนดอายุความ 5 ปี อาจทำให้สิทธิเรียกร้องหมดไป

•ค่าอุปการะเลี้ยงดูย้อนหลังต้องมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์จริง

สรุป

การเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลังเป็นสิทธิของผู้ปกครองที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากอีกฝ่าย อย่างไรก็ตาม การเรียกร้องดังกล่าวต้องดำเนินการภายในกรอบของกฎหมายและมีหลักฐานที่เพียงพอเพื่อให้ศาลพิจารณาอนุมัติ หากท่านประสบปัญหาด้านนี้ ควรปรึกษาทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมและช่วยให้ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เกี่ยวกับการเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลังคือ การหย่าโดยความยินยอม กฎหมายให้บิดามารดาตกลงกันว่าฝ่ายใดจะออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเท่าใด หากไม่ได้ตกลงเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้ เมื่อฟังว่าหลังจดทะเบียนหย่า จำเลยไม่เคยให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เลย โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลังได้

ภาระหน้าที่สำคัญของบิดามารดาที่มีต่อบุตรผู้เยาว์ได้แก่หน้าที่อุปการะเลี้ยงดูและหน้าที่นี้มิได้หมดไปเมื่อจดทะเบียนหย่ากันแล้ว การที่สามีภริยาบันทึกที่ท้ายทะเบียนหย่าว่าให้บุตรผู้เยาว์อยู่ภายใต้อำนาจปกครองของมารดาแต่เพียงผู้เดียวนั้นมิได้หมายความว่ามารดาแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ที่ออกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น มารดามีสิทธิเรียกให้บิดารับผิดจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูย้อนหลังนับแต่วันจดทะเบียนหย่าถึงวันฟ้องได้

 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2971/2544

บันทึกข้อตกลงหลังทะเบียนการหย่ามิได้กล่าวว่าให้อำนาจปกครองบุตรอยู่กับโจทก์หรือจำเลย กรณีต้องถือว่าโจทก์จำเลยต่างเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรร่วมกันตามมาตรา 1566 วรรคหนึ่งส่วนมาตรา 1522 วรรคหนึ่งนั้น มีความหมายเพียงว่าในการหย่าโดยความยินยอม สามีและภริยาอาจตกลงกันในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นจำนวนเท่าใด หากมิได้กำหนดศาลก็ย่อมเป็นผู้กำหนดจำนวนเงินให้ได้ตามสมควรตามมาตรา 1522 วรรคสอง เมื่อข้อความตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่า ไม่ใช่ข้อตกลงเรื่องออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นจำนวนเท่าใด ดังนั้นศาลจึงมีอำนาจกำหนดให้จำเลยออกค่าอุปการะเลี้ยงดูได้ และหลังจดทะเบียนหย่าในปี 2537 จำเลยมิได้ให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ โจทก์จึงเรียกให้จำเลยรับผิดจ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลังตั้งแต่ปี 2537 จนถึงวันฟ้องได้

 

เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลัง

 

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์เดือนละ11,000 บาท นับแต่เดือนสิงหาคม 2537 จนกว่าผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ

จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ถอนอำนาจปกครองบุตรของโจทก์และให้จำเลยเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายทัน........ ผู้เยาว์ให้แก่โจทก์นับถึงวันฟ้องเป็นจำนวน 80,000 บาท และต่อไปให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (8 กุมภาพันธ์ 2539) เป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์แก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 8 กุมภาพันธ์2539) จนกว่าเด็กชายทัน...... ผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า "...พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2533 มีบุตร 1 คนคือ เด็กชายทัน........ ผู้เยาว์ ต่อมาวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2535โจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่าตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าเอกสารหมาย ล.3 คดีจึงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยเป็นประเด็นแรกตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดจ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์หรือไม่ เห็นว่า ภาระหน้าที่สำคัญของบิดามารดาที่มีต่อบุตรผู้เยาว์ได้แก่หน้าที่อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 และภาระหน้าที่อันสำคัญยิ่งนี้มิได้หมดสิ้นไปเมื่อมีการจดทะเบียนหย่าตราบใดที่จำเลยยังมีอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้เป็นที่ยุติแล้วว่า ตามบันทึกข้อตกลงหลังทะเบียนการหย่ามิได้กล่าวว่า ให้อำนาจปกครองบุตรอยู่กับโจทก์หรือจำเลย กรณีต้องถือว่าโจทก์จำเลยต่างเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรร่วมกันตามมาตรา 1566วรรคหนึ่ง ส่วนที่มาตรา 1522 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าสามีภริยาหย่าโดยความยินยอม ให้ทำความตกลงกันไว้ในสัญญาหย่าว่าสามีภริยาทั้งสองฝ่าย หรือสามีหรือภริยาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร เป็นจำนวนเงินเท่าใด" นั้น ก็มีความหมายเพียงว่า ในการหย่าโดยความยินยอม สามีและภริยาอาจตกลงกันในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นจำนวนเท่าใดหากสามีและภริยามิได้กำหนดจำนวนเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูไว้ในบันทึกข้อตกลง ศาลก็ย่อมเป็นผู้กำหนดจำนวนเงินให้ได้ตามสมควรตามมาตรา 1522 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า "ถ้าหย่าโดยคำพิพากษาของศาลหรือในกรณีที่สัญญาหย่ามิได้กำหนดเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรไว้ให้ศาลเป็นผู้กำหนด" ซึ่งบทกฎหมายดังกล่าวหาได้หมายความถึงขนาดที่ว่า เมื่อมิได้กำหนดให้จำเลยเป็นผู้ออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรไว้ในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าจำเลยจะไม่ต้องรับผิดจ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรดังที่จำเลยฎีกาโต้แย้งแต่อย่างใดไม่ เมื่อพิเคราะห์ข้อความตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าเอกสารหมาย ล.3 ในข้อ 3ที่ว่า "คู่หย่าทั้งสองฝ่ายสาเหตุแห่งการหย่าเพราะทรรศนะไม่ตรงกันมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ ด.ช.ทัน...... อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของมารดา" แล้วเห็นว่า ข้อความดังกล่าวไม่ใช่ข้อตกลงเรื่องออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นจำนวนเท่าใดตามมาตรา 1522วรรคหนึ่งแต่อย่างใด ดังนั้น ศาลจึงมีอำนาจกำหนดให้จำเลยออกค่าอุปการะเลี้ยงดูได้ตามมาตรา 1522 วรรคสอง นอกจากนี้บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าเอกสารหมาย ล.3 แม้เป็นสัญญาระหว่างโจทก์จำเลย ซึ่งทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรก็มิได้ลบล้างหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของบิดามารดาที่มีต่อบุตรผู้เยาว์ การที่โจทก์นำสืบถึงหน้าที่ดังกล่าวของจำเลยซึ่งเป็นบิดา จึงมิใช่การนำสืบพยานบุคคลหักล้างหรือขัดแย้งกับพยานเอกสารดังกล่าวตามข้อกล่าวอ้างของจำเลยเช่นกัน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1775/2523 ที่จำเลยยกขึ้นอ้าง ข้อเท็จจริงและประเด็นข้อพิพาทไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยต้องรับผิดจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ให้แก่โจทก์นั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์เรียกให้จำเลยรับผิดจ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูย้อนหลังตั้งแต่ปี 2537 ซึ่งเป็นปีที่โจทก์อ้างว่า จำเลยไม่จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน80,000 บาท นอกเหนือจากค่าอุปการะเลี้ยงดูนับแต่วันฟ้องเดือนละ5,000 บาท จนกว่าผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะได้หรือไม่ ข้อนี้ เห็นว่าเมื่อได้วินิจฉัยไว้ในประเด็นแรกแล้วว่า หน้าที่อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์ เป็นภาระหน้าที่อันสำคัญของจำเลยผู้เป็นบิดา ซึ่งมิได้สิ้นสุดลงหลังการจดทะเบียนหย่า แม้บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าเอกสารหมาย ล.3 มิได้ระบุให้จำเลยเป็นผู้ออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เป็นจำนวนเงินเท่าใด ศาลก็ย่อมกำหนดจำนวนเงินให้ได้ตามสมควร เมื่อโจทก์นำสืบได้ความชัดแจ้งและจำเลยเองก็ยอมรับว่า หลังจดทะเบียนการหย่าในปี 2537 จำเลยมิได้ให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ เนื่องจากจำเลยยืนยันว่าไม่เคยตกลงที่จะให้ค่าอุปการะเลี้ยงดู โจทก์ก็เรียกให้จำเลยรับผิดจ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลังตั้งแต่ปี 2537 จนถึงวันฟ้องได้ ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้นที่กำหนดให้ตามสมควรเป็นเงิน 80,000 บาท เพราะทั้งโจทก์จำเลยต่างก็มีอาชีพเป็นหลักฐานมั่นคง แต่จำเลยมีอาชีพเป็นทันตแพทย์ ย่อมมีรายได้ดีกว่าโจทก์ที่มีอาชีพเป็นเภสัชกร ที่ศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์อีก 80,000 บาท ให้แก่โจทก์นั้นไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น"

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

 

 

เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลัง (Retroactive Child Support or back child support) การหย่าโดยความยินยอมกฎหมายให้บิดามารดาตกลงกันว่าฝ่ายใดจะออกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเท่าใด หากไม่ได้ตกลงเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้ เมื่อฟังว่าหลังจดทะเบียนหย่า จำเลยไม่เคยให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เลย โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลังได้




การสิ้นสุดแห่งการสมรส

ฟ้องหย่า สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี, (ฎีกา, 2520/2549), article
การหย่าโมฆะ & สิทธิในมรดกที่ดินพิพาท
สิทธิภริยาเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นเรื่องชู้สาว (ฎีกา 4261/2560)
กฎหมายฟ้องชู้ฉบับใหม่ 2568: สิทธิของคู่สมรสทุกเพศในการเรียกค่าทดแทนและฟ้องหย่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5259 - 5260/2561 : การรับฟังพยานบันทึกเสียง, สิทธิฟ้องหย่า, ค่าทดแทนชู้ และอำนาจปกครองบุตร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2562 เรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง
สมัครใจแยกกันอยู่, จงใจละทิ้งร้าง, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
สิทธิภริยาเรียกค่าทดแทนจากสามีและหญิงอื่น เหตุชู้สาวต่อเนื่องไม่ขาดอายุความ
การหย่าโดยสมยอมเพื่อฉ้อโกงเจ้าหนี้ – วิเคราะห์กฎหมายครอบครัวและสิทธิของเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4130/2548 สิทธิภริยาชอบด้วยกฎหมายเรียกร้องค่าทดแทนจากหญิงอื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523
สิทธิฟ้องหย่าและอำนาจปกครองบุตร: ศาลฎีกาวินิจฉัยกรณีสามีขับไล่ภริยา – คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4104/2564
แบ่งสินสมรส, สินสมรสที่เป็นเงินตรา, แบ่งสินสมรสหลังหย่า สิทธิและหน้าที่, สินส่วนตัวกับสินสมรส
คดีฟ้องหย่าและการแบ่งทรัพย์สิน, สิทธิการเรียกค่าเลี้ยงดูของโจทก์, การชำระค่าทดแทนในคดีแพ่ง, การบังคับคดีและสิทธิทายาทในมรดก
ข้อตกลงแบ่งค่าเช่าที่ดินในสัญญาหย่า
ฟ้องหย่าคู่สมรสวิกลจริต, คนไร้ความสามารถกับการหย่า, แบ่งทรัพย์สินหลังหย่าในกรณีคนวิกลจริต
การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
การหย่าโดยความยินยอมต้องทำอย่างไร?, หนังสือหย่า
สามีภริยาจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้างแต่ต้องเกิดจากความยินยอม
ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์
ไม่เกิดสิทธิฟ้องหย่าเพราะโจทก์มีพฤติกรรมนอกใจจำเลยยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี เหตุฟ้องหย่า
การสมรสสิ้นไปด้วยเหตุความตายของคู่สมรสฝ่ายหนึ่ง
อายุความฟ้องหย่า, บันทึกข้อตกลงหย่า, หลักกฎหมายมาตรา 1515,
สิทธิฟ้องค่าอุปการะเลี้ยงดูอันจะอยู่ในอายุความ 5 ปี , หน้าที่บิดามารดาในการเลี้ยงดูบุตร
การฟ้องหย่าด้วยเหตุหมิ่นประมาท, สิทธิการฟ้องหย่าหมดอายุความ
นำตำรวจจับกุมภริยา หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง
จงใจละทิ้งร้างภริยาไปเกินหนึ่งปีฟ้องหย่าได้, สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา
การจงใจทิ้งร้างไปเกินกว่า 1 ปีต้องในลักษณะที่ไม่หวนกลับไปหาคู่สมรสอีก
ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร
สิทธิฟ้องหย่าระงับไปเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีเว้นแต่เหตุฟ้องเกิดขึ้นต่อเนื่อง
เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ สิทธิเรียกร้องกำหนดอายุความ 5 ปี
เหตุฟ้องหย่าให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ยื่นฟ้องหย่า
สามีฟ้องหย่า,จงใจละทิ้งร้าง,เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ, อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นเป็นภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี ต้องเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุขด้วย
แยกกันอยู่เพราะสามีรับราชการที่อื่น, ไม่ถือว่าเป็นการแยกกันอยู่โดยความสมัครใจ
ทะเลาะกันและทำร้ายร่างกายยังไม่เป็นเหตุฟ้องหย่า
แยกกันอยู่เพราะสามียกย่องหญิงอื่น, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
ฟ้องหย่าจงใจละทิ้งร้างเรียกสินสอดทองหมั้นคืน
สามีหรือภริยาประพฤติชั่วอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
รู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่าจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่านั้นไม่ได้
พี่น้องของผู้ตายขอเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสซ้อนไม่ได้
อำนาจฟ้องขอเพิกถอนการสมรสเพราะสำคัญผิดตัว
ศาลมีอำนาจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้
ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก-ได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปี ฟ้องหย่าได้
สิทธิฟ้องหย่าระงับเมื่ออีกฝ่ายให้อภัยแล้ว
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปีฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะติดต่อกับบุตรของตนได้ตามสมควรแล้วแต่พฤติการณ์
ไม่อาจร่วมประเวณีได้ ต้องการฟ้องหย่า
แยกกันอยู่หรือจงใจละทิ้งร้าง? -อยู่บ้านเดียวกันแต่ก็มีลักษณะแบบต่างคนต่างอยู่
กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง
ไม่ถือว่าจำเลยประพฤติชั่วทำให้โจทก์อับอายถูกเกลียดชังจนเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะเรียกค่าทดแทนชู้สาวนั้นต้องแสดงตนโดยเปิดเผย
เหตุแห่งการฟ้องหย่าทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลงขอให้อีกฝ่ายหนึ่งจ่ายค่าเลี้ยงชีพได้
ฟ้องซ้ำ ค่าอุปการะเลี้ยงดู หนี้ที่ยังไม่ถึงกำหนด
การแบ่งสินสมรสและกรรมสิทธิ์รวม
หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามสามีหรือบุพการี
สัญญาระหว่างสมรสให้ทรัพย์สินของสามีตกเป็นของภริยาห้ามบอกล้าง
ขอเพิกถอนทะเบียนสมรสซ้อน สมรสซ้อนโดยไม่สุจริต
ทะเบียนสมรส ลงชื่อฝ่ายชายคนเดียว, เพิกถอนการรับบุตรบุญธรรม
ฟ้องหย่าอ้างเหตุสมัครใจแยกกันอยู่
ทำร้ายร่างกายถ้าเป็นการร้ายแรงฟ้องหย่าได้, ศาลปรับหนึ่งพันไม่เป็นการร้ายแรง
ฟ้องหย่าอ้างว่าจำเลยดูหมิ่นโจทก์และบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรง
การกระทำของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอันเป็นเหตุฟ้องหย่า
โจทก์ได้ให้อภัยจำเลยเรื่องทำร้ายร่างกายแล้วถือได้ว่าสิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้ย่อมหมดไป
ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน, การทำร้ายคู่สมรส
เหตุฟ้องหย่า เหตุที่ไม่อาจอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ มีอะไรบ้าง
ความสมบูรณ์ของการสมรส, ฟ้องให้การสมรสเป็นโมฆะ
การละเมิดเกิดขึ้นต่อเนื่องอายุความจึงยังไม่เริ่มนับคดีไม่ขาดอายุความ
การฟ้องหย่าและหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามี ไม่ฟ้องหย่า
ฟ้องหย่าอ้างสิทธิที่จะเลือกคู่ครองตามรัฐธรรมนูญ
รู้ว่าสามีไปมีหญิงอื่นเกินหนึ่งปีก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้,อายุความ
จงใจละทิ้งร้างไปเกินหนึ่งปี
ฟ้องหย่าได้ที่ศาลใด
การหย่าโดยคำพิพากษาจะมีผลต่อเมื่อเวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุด
หนังสือร้องเรียนผู้บังคับบัญชาเรื่องความสัมพันธ์กับหญิงอื่น
ฟ้องหย่าอ้างแยกกันอยู่เกินสามปีต้องเพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุข
เหตุฟ้องหย่าอ้างว่าใช้วาจาไม่สุภาพและทะเลาะโดยไม่มีเหตุผล
หลักเกณฑ์การใช้สิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพหลังการหย่า
สิทธิฟ้องหย่าของโจทก์หมดไปโจทก์ให้ความยินยอมและรู้เห็นเป็นใจ
คำสั่งขอคุ้มครองชั่วคราวเกี่ยวด้วยดอกผลของสินสมรส
แม้โจทก์ไม่ได้นำสืบเรื่องอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดได้
จดทะเบียนสมรสโดยต่างไม่ได้ยินยอมเป็นสามีภริยากันอย่างแท้จริง
ความหมายว่า"ค่าอุปการะเลี้ยงดูจนกว่าจะสมรสใหม่และจนกว่าการสมรสสิ้นสุดลง"
ฟ้องหย่าคดีอยู่ระหว่างฎีกาฟ้องคดีใหม่เป็นฟ้องซ้อน
สำนักงานการปฏิรูปฯ (ส.ป.ก.)ขอออกโฉนดโดยมิชอบ
พักโรงแรมห้องเดียวกับสามี ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงชู้โดยไม่ต้องฟ้องหย่า
โจทก์ไม่ทราบแน่ชัดเรื่องชู้สาวจึงไม่เป็นการยินยอมและให้อภัยของโจทก์
บันทึกท้ายทะเบียนการหย่าว่าให้ที่ดินตกเป็นของบุตรเมื่อตายไม่ใช่พินัยกรรม