ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




สิทธิฟ้องหย่าและอำนาจปกครองบุตร: ศาลฎีกาวินิจฉัยกรณีสามีขับไล่ภริยา – คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4104/2564

ทนาย ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์


บทนำ

📌 คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความผิดในสถานะสมรสที่ฝ่ายหนึ่งขับไล่อีกฝ่ายออกจากบ้าน ซึ่งศาลวินิจฉัยว่าเป็นการปฏิปักษ์อย่างร้ายแรงต่อการเป็นสามีภริยา ทำให้คู่สมรสมีสิทธิฟ้องหย่าได้ตามกฎหมาย พร้อมกันนี้ ศาลยังพิจารณาความเหมาะสมในการใช้อำนาจปกครองบุตร โดยเห็นว่าภริยามีความมั่นคงและดูแลบุตรได้ดีกว่า จึงสมควรให้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว แม้บิดายังคงมีสิทธิพบปะบุตรได้ตามควรแก่พฤติการณ์


🧾 สรุปข้อเท็จจริงของคดี

•โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยาที่จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 2 คน

•ต่อมาโจทก์พบว่าจำเลยมีพฤติการณ์กับบุตรสาวของโจทก์จากสามีเก่า ทำให้เกิดความรุนแรงในครอบครัว

•มีการแยกกันอยู่และคืนดีเป็นระยะ แต่สุดท้ายจำเลยขับไล่โจทก์และลูกออกจากบ้าน

•ศาลอุทธรณ์ให้สิทธิฟ้องหย่าแก่โจทก์และให้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสอง

•ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์


🔹 สรุปย่อคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4104/2564 (แบบย่อ)

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน ด้วยถ้อยคำที่แสดงถึงการหมดรักและไม่ประสงค์อยู่ร่วมกันอีก ถือเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (6) ซึ่งเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าได้ แม้ภายหลังทั้งสองจะเคยพาบุตรไปเที่ยวร่วมกัน แต่การกระทำนั้นเพียงแสดงถึงความเป็นพ่อแม่ที่ดูแลลูก มิใช่การให้อภัยต่อเหตุหย่า

นอกจากนี้ ศาลเห็นว่า โจทก์มีอาชีพมั่นคงในราชการ และเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรทั้งสองมาโดยตลอด ขณะที่จำเลยมีอาชีพไม่มั่นคง และไม่สามารถดูแลบุตรได้ดีเท่าโจทก์ บุตรที่อยู่กับจำเลยยังมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในทางไม่เหมาะสม จึงสมควรให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองเพียงผู้เดียว โดยที่จำเลยยังคงมีสิทธิพบปะกับบุตรได้ตามควรแก่พฤติการณ์ ตามมาตรา 1584/1



⚖️ ประเด็นทางกฎหมายและคำวินิจฉัยศาลฎีกา

🟢 ประเด็นที่ 1: จำเลยขับไล่โจทก์ออกจากบ้านถือเป็นเหตุฟ้องหย่าได้หรือไม่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การขับไล่ภริยาออกจากบ้านโดยมีพยานยืนยันและลงบันทึกประจำวันชัดเจน ถือเป็นการปฏิปักษ์อย่างร้ายแรงต่อสถานะสมรส จึงเข้าเงื่อนไขตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (6)

แม้หลังเหตุการณ์จะมีการพาไปเที่ยวพักผ่อนร่วมกัน แต่ศาลเห็นว่าเป็นเพียงการดูแลบุตรในฐานะพ่อแม่ ไม่ใช่การให้อภัยในทางกฎหมาย จึงไม่มีผลล้างเหตุแห่งการหย่า

🟢 ประเด็นที่ 2: การให้อำนาจปกครองบุตรแก่โจทก์แต่เพียงผู้เดียวเหมาะสมหรือไม่

ศาลพิจารณาจากปัจจัยดังนี้:

•โจทก์มีอาชีพมั่นคง (รับราชการ)

•เป็นผู้ดูแลบุตรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลูกที่อยู่กับจำเลย

•พฤติกรรมของบุตรที่อยู่กับจำเลยเปลี่ยนไปในทางลบ

•เพื่อความใกล้ชิดระหว่างพี่น้องและบิดามารดา

จึงเห็นควรให้โจทก์ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองเพียงผู้เดียวตาม ป.พ.พ. มาตรา 1584/1 โดยที่จำเลยยังมีสิทธิพบปะบุตรได้ตามควรแก่พฤติการณ์


คำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง

🔹ตัวอย่างที่ 1- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2539

ประเด็นสำคัญ: อำนาจปกครองยังคงอยู่ แม้ไม่ได้อยู่กับบุตร

ในคำพิพากษานี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับ อำนาจปกครองบุตรตามกฎหมาย โดยเน้นว่า หากไม่ได้มีคำสั่งศาลเปลี่ยนแปลงโดยชัดแจ้ง อำนาจปกครองยังคงอยู่กับผู้ที่มีสิทธิตามกฎหมาย แม้ว่าบุคคลนั้นจะไม่ได้อาศัยอยู่กับบุตรก็ตาม

ข้อเท็จจริงในคดีคือ บิดามารดาหย่าขาดจากกัน โดยตกลงให้มารดาเป็นผู้ดูแลบุตรในทางปฏิบัติ แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนในคำพิพากษา หรือในข้อตกลงหย่าว่าให้โอนอำนาจปกครองจากบิดาไปยังมารดา ดังนั้น ศาลจึงเห็นว่า อำนาจปกครองยังคงเป็นของทั้งบิดาและมารดา ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566

เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต อำนาจปกครองจะตกแก่ฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยไม่จำเป็นต้องยื่นคำร้องต่อศาลอีก ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองสิทธิของบิดามารดาและความมั่นคงของบุตรในด้านกฎหมาย

คำพิพากษานี้จึงชี้ให้เห็นว่า การอยู่ร่วมกับบุตรในทางปฏิบัติ ไม่ใช่เงื่อนไขเดียว ที่ใช้พิจารณาว่าใครเป็นผู้มีอำนาจปกครองที่แท้จริง หากไม่มีคำสั่งศาลเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ยังคงต้องถือว่าอำนาจนั้นยังอยู่กับผู้ปกครองเดิม


🔹 ตัวอย่างที่ 2 -คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7072/2559

ประเด็นสำคัญ: พิจารณาผู้ใช้อำนาจปกครองหลังการหย่า ต้องดูจากความสามารถในการเลี้ยงดูบุตร

ในคดีนี้ ศาลฎีกาต้องพิจารณาว่า หลังการหย่าใครควรมีสิทธิใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียว โดยใช้หลักเกณฑ์ว่าผู้ใดมีความสามารถดูแลบุตรได้ดีกว่า ทั้งในด้านจิตใจ เศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อมการเลี้ยงดู

โจทก์ซึ่งเป็นภริยา มีอาชีพที่มั่นคง มีบ้านพักที่ปลอดภัย และสามารถดูแลบุตรได้อย่างใกล้ชิด ขณะที่จำเลยมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในการเลี้ยงดู เช่น ขาดความใส่ใจ หรือมีประวัติเกี่ยวกับพฤติกรรมรุนแรง ศาลจึงพิจารณาจาก ผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก ตามหลักกฎหมายครอบครัว และเห็นว่าโจทก์สมควรได้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว

คำพิพากษานี้เน้นว่า แม้จะไม่ได้พิจารณาจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องคำนึงถึงการเลี้ยงดูในทางปฏิบัติ สภาพแวดล้อม ความผูกพัน และผลกระทบที่จะเกิดกับผู้เยาว์ในระยะยาว


🔹 ตัวอย่างที่ 3 -คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7547/2561

ประเด็นสำคัญ: ศาลให้ความสำคัญกับ “ผลประโยชน์สูงสุดของผู้เยาว์” เป็นอันดับแรก

คำพิพากษานี้พิจารณาประเด็นการใช้อำนาจปกครองบุตรหลังการหย่าร้าง โดยฝ่ายหนึ่งขอให้ศาลมีคำสั่งให้ใช้นามสกุลของบิดาร่วมกับบุตร และเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว ขณะที่อีกฝ่ายคัดค้าน

ศาลวินิจฉัยว่า การพิจารณาอำนาจปกครองหรือการตัดสินใจใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้เยาว์ จะต้องยึดหลักผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ (Best Interests of the Child) ไม่ใช่เพียงพิจารณาว่าใครเป็นผู้ให้กำเนิดหรือมีอำนาจตามเอกสาร

ในคดีนี้ บุตรอยู่ในการดูแลของมารดามาโดยตลอด มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกัน และเด็กมีพัฒนาการดี ไม่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน ศาลจึงเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงผู้ใช้อำนาจปกครองอาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเด็ก อีกทั้งบิดาไม่สามารถแสดงให้เห็นว่า มีความสามารถและความเหมาะสมในการดูแลบุตรได้ดีกว่า

คำพิพากษานี้เป็นแนวทางสำคัญที่ยืนยันว่า ศาลครอบครัวไทยยึดแนวทางสากล โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับความมั่นคง สุขภาพจิต และสิทธิพื้นฐานของเด็ก มากกว่าผลประโยชน์ของผู้ปกครอง


🔹 ตัวอย่างที่ 4-คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2567

ประเด็นสำคัญ: การเปลี่ยนผู้อุปการะบุตรอาจเปลี่ยนหน้าที่ชำระค่าเลี้ยงดู

ในคำพิพากษานี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับ ภาระหน้าที่ชำระค่าเลี้ยงดูบุตร หลังการหย่า โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงว่า บุตรได้ย้ายมาอาศัยอยู่กับฝ่ายที่เดิมมีหน้าที่จ่ายค่าเลี้ยงดู

เดิมในข้อตกลงหย่า โจทก์ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรให้แก่จำเลย เนื่องจากบุตรอยู่ในการดูแลของจำเลย ต่อมา บุตรได้ย้ายมาอยู่กับโจทก์เป็นการถาวร ซึ่งจำเลยไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้าน ศาลเห็นว่า สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนี้มีผลให้ข้อกำหนดเรื่องค่าเลี้ยงดูในข้อตกลงหย่าเดิมไม่เหมาะสมอีกต่อไป

แม้จะไม่มีการแก้ไขข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เมื่อข้อเท็จจริงเปลี่ยนไป ฝ่ายที่ได้รับประโยชน์จากการอุปการะโดยตรงก็ควรมีหน้าที่ในการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายแทน โดยหลัก ความเป็นธรรมและประโยชน์ของบุตร ต้องได้รับการคุ้มครองก่อนหลักสัญญา

ศาลจึงมีคำพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายรับผิดชอบค่าเลี้ยงดูบุตรต่อโจทก์แทน ยืนยันหลักว่า ข้อตกลงในเรื่องครอบครัวสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามข้อเท็จจริงและสถานการณ์


💡 ข้อคิดทางกฎหมาย

•การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถานะสมรส เช่น การขับไล่ออกจากบ้าน เป็นเหตุฟ้องหย่าได้

•แม้มีการพาเที่ยวหรืออยู่ร่วมกันชั่วคราว ไม่ถือเป็นการให้อภัยเสมอไป

•ศาลพิจารณาการให้อำนาจปกครองบุตรจากความมั่นคงทางอาชีพ พฤติกรรมเด็ก และประโยชน์สูงสุดของบุตร

•แม้ไม่ได้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง แต่บิดามารดายังมีสิทธิพบปะบุตรตาม ป.พ.พ. มาตรา 1584/1



คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4104/2564

การที่จำเลยขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน ถือได้ว่าจำเลยทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (6) การที่จำเลยพาโจทก์และบุตรทั้งสามไปเที่ยวพักผ่อนค้างคืนด้วยกันเป็นเพียงการดูแลให้ความอบอุ่นแก่บุตรตามสมควรเท่านั้นยังไม่เพียงพอให้ถือว่าเป็นการที่โจทก์ได้ให้อภัยจำเลยในเหตุที่โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1518


โจทก์มีอาชีพรับราชการถือว่าเป็นอาชีพมั่นคงมีรายได้แน่นอน ส่วนจำเลยมีอาชีพขายสลากกินแบ่งรัฐบาลถือเป็นอาชีพมีรายได้ไม่มั่นคงเท่ากับโจทก์ ประกอบกับได้ความว่าโจทก์เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูบุตรที่อยู่กับโจทก์ในทุกเรื่อง ทั้งยังอุปการะดูแลชำระค่าเล่าเรียนและให้ค่าใช้จ่ายรายวันแก่บุตรอีกคนซึ่งอยู่กับจำเลยด้วย บุตรที่อยู่กับโจทก์ไม่ปรากฏว่ามีลักษณะส่อไปในทางไม่เหมาะสม ส่วนบุตรที่อยูในความดูแลของจำเลยกลับมีอุปนิสัยเปลี่ยนไปในทางก้าวร้าวเอาแต่ใจ และขาดเรียนบ่อยครั้ง นอกจากนี้การให้บุตรทั้งสองซึ่งเป็นพี่น้องกันได้อยู่ใกล้ชิดร่วมกัน รวมทั้งได้อยู่กับมารดาและพี่สาวซึ่งเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ก่อนน่าจะเป็นผลดียิ่งกว่า จึงเห็นควรให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองเพียงผู้เดียว แต่จำเลยซึ่งเป็นบิดายังคงมีสิทธิที่จะติดต่อกับบุตรทั้งสองได้ตามควรแก่พฤติการณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1584/1


โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองเพียงผู้เดียว

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับ ให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย ต. และเด็กชาย ป. บุตรทั้งสองเพียงผู้เดียว ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา


ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2549 มีบุตรด้วยกัน 2 คนคือ เด็กชาย ต. กับเด็กชาย ป. เดิมโจทก์จำเลยรวมทั้งบุตรชายทั้งสองกับ เด็กหญิง ร. บุตรโจทก์ที่เกิดจากสามีคนก่อนอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ต่อมาประมาณเดือนกรกฎาคม 2555 ขณะที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่วิสัญญีพยาบาล ที่โรงพยาบาลที่โจทก์ทำงานอยู่ นางสาว ร. ไปผ่าตัดคลอดบุตรที่โรงพยาบาลดังกล่าวโดยมีข้อเท็จจริงปรากฏในเอกสารประวัติและสมุดบันทึกการตั้งครรภ์ของนางสาว ร. ว่าจำเลยเป็นบิดาของบุตรในครรภ์ โดยนางสาว ร. ยืนยันว่าจำเลยเป็นบิดาของบุตรในครรภ์ตน โจทก์กับจำเลยจึงทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนแยกกันอยู่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อมาประมาณกลางปี 2557 จำเลยขอคืนดีกับโจทก์ โจทก์เห็นแก่ครอบครัวจึงพาบุตรกลับไปอยู่ร่วมกับจำเลยอีกครั้งเป็นเวลาเกือบสามปี ในระหว่างช่วงเวลานี้จำเลยทะเลาะวิวาทกับพี่สาวและพี่ชายของโจทก์ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดากับโจทก์โดยมีความรุนแรงถึงขนาดฟ้องร้องกันทั้งทางแพ่งและอาญา โจทก์และจำเลยก็มีเรื่องทะเลาะกันหลายครั้ง จนกระทั่งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 โจทก์และเด็กชาย ต. กับเด็กหญิง ร. ออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น หลังจากนั้นในวันที่ 23 ตุลาคม 2560 โจทก์ จำเลย เด็กหญิง ร. เด็กชาย ต. และเด็กชาย ป. ร่วมเดินทางไปเที่ยวและพักค้างคืนด้วยกันที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี และวันที่ 2 ธันวาคม 2560 จำเลยพาโจทก์และบุตรทั้งสามไปเที่ยวและพักค้างคืนด้วยกันอีกที่จังหวัดมุกดาหาร


มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนางสาว ร. นั้น จำเลยไม่ได้ยกย่องนางสาว ร. เป็นภริยา และไม่ได้เป็นผู้แจ้งว่าจำเลยเป็นบิดาของบุตรที่เกิดกับนางสาว ร. การที่โจทก์ จำเลย กับเด็กหญิง ร. เด็กชาย ต. และเด็กชาย ป. ไปเที่ยวพักผ่อนค้างคืนด้วยกันนั้น ถือได้ว่าโจทก์ได้ให้อภัยในการกระทำของจำเลยที่ผ่านมาแล้ว ทั้งเมื่อโจทก์พาลูก ๆ กลับมาอยู่ร่วมกับจำเลยอีกครั้ง ในระหว่างนั้นจำเลยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับพี่น้องของโจทก์หลายครั้ง เป็นเหตุให้โจทก์กับจำเลยมีเรื่องขัดแย้งทะเลาะกันด้วย เวลาที่โจทก์จำเลยทะเลาะกัน โจทก์ก็จะหนีออกจากบ้านไปอยู่กับพี่สาว เมื่อหายโกรธแล้วก็จะกลับมาคืนดีกับจำเลย เป็นเช่นนี้อยู่เนือง ๆ จำเลยไม่เคยขับไล่โจทก์และบุตรออกจากบ้าน กรณีไม่มีเหตุตามกฎหมายที่โจทก์จะฟ้องหย่าได้ เหตุที่โจทก์ฟ้องหย่าเป็นเพราะโจทก์ต้องการมีสามีใหม่ ในปัญหานี้โจทก์นำสืบว่า หลังจากเดือนกรกฎาคม 2555 ที่โจทก์ทราบเรื่องที่นางสาว ร. แจ้งทางโรงพยาบาลที่โจทก์ทำงานอยู่ว่าจำเลยเป็นบิดาของบุตรในครรภ์นางสาว ร. แล้ว โจทก์กับจำเลยทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนมีการตัดความสัมพันธ์และแยกกันอยู่จนถึงประมาณกลางปี 2557 จำเลยขอคืนดีกับโจทก์และให้โจทก์กลับไปอยู่ร่วมกับครอบครัวอีกครั้ง โจทก์ยินยอมโดยกลับไปอยู่ร่วมกับครอบครัวอีกเป็นเวลาเกือบสามปี ระหว่างนั้นจำเลยทะเลาะวิวาทกับพี่น้องของโจทก์ถึงขนาดฟ้องร้องกันทั้งทางแพ่งและอาญา จนกระทั่งเดือนพฤษภาคม 2560 จำเลยขับไล่โจทก์ เด็กชาย ต. และเด็กหญิง ร. ออกจากบ้านเพราะจำเลยหมดรักโจทก์ ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากอยู่ด้วย โจทก์จึงพาเด็กชาย ต. และเด็กหญิง ร. ออกไปอยู่ที่อื่นจนถึงปัจจุบัน ส่วนจำเลยนำสืบยอมรับว่ามีเรื่องทะเลาะกับพี่น้องของโจทก์ถึงขนาดฟ้องร้องกันจริง แต่จำเลยไม่เคยยกย่องนางสาว ร. ฉันภริยา จำเลยไม่เคยขับไล่โจทก์และบุตรออกจากบ้าน โจทก์พาบุตรออกไปจากบ้านโดยไม่ทราบสาเหตุ จำเลยไม่ได้จงใจทิ้งร้างโจทก์เกิน 1 ปี หลังจากโจทก์ออกจากบ้านไปแล้วเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2560 และวันที่ 2 ธันวาคม 2560 จำเลยพาโจทก์กับบุตรทั้งสามไปเที่ยวพักผ่อนค้างคืนร่วมห้องเดียวกันโดยโจทก์จำเลยนอนเตียงเดียวกันด้วย เห็นว่า เรื่องนางสาว ร. นั้น เป็นเรื่องเดิมที่เป็นมูลเหตุสำคัญทำให้โจทก์กับจำเลยต้องทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนถึงขนาดที่โจทก์ตัดสินใจออกจากบ้านที่อยู่กับจำเลยและบุตรอีกสามคนไปอยู่ที่หอพักพยาบาลกับเพื่อนเป็นเวลานานเกือบสามปี เชื่อได้ว่าเรื่องนางสาว ร. เป็นเรื่องจริงตามที่โจทก์อ้าง อย่างไรก็ตามเมื่อประมาณกลางปี 2557 จำเลยขอคืนดีกับโจทก์ โจทก์คำนึงถึงสถาบันครอบครัวจึงยอมกลับมาอยู่ร่วมกับจำเลยและบุตรทั้งสามอีกครั้งหนึ่ง แต่ในระหว่างที่โจทก์กลับมาอยู่ร่วมกับจำเลยและครอบครัวอีกครั้งนั้นก็เกิดเหตุทะเลาะวิวาทกันระหว่างจำเลยกับพี่น้องของโจทก์เกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินหลายครั้งถึงขนาดมีการฟ้องร้องกันทั้งทางแพ่งและอาญา ทำให้เกิดปัญหาลุกลามมาถึงความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยจนทั้งสองฝ่ายต้องทะเลาะกันเองหลายครั้ง จนกระทั่งเดือนพฤษภาคม 2560 โจทก์ต้องพาเด็กชาย ต. และเด็กหญิง ร. ออกจากบ้านไปอยู่กับพี่สาว ในส่วนนี้โจทก์เบิกความว่า จำเลยขับไล่โจทก์ออกจากบ้านด้วยสาเหตุว่า หมดรักแล้ว ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากอยู่ด้วยให้โจทก์ขนของออกจากบ้านภายในสามวัน โจทก์จึงพาเด็กชาย ต. และเด็กหญิง ร. ย้ายออกจากบ้านไปโดยไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่สำนักงานตำรวจภูธรวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เด็กหญิง ร. และเด็กชาย ต. เบิกความเป็นพยานโจทก์เช่นเดียวกันว่า ถูกจำเลยขับไล่ออกจากบ้าน ส่วนจำเลยเบิกความว่า เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2560 โจทก์พาเด็กหญิง ร. กับเด็กชาย ต. ออกไปจากบ้านโดยไม่ทราบสาเหตุ จำเลยไม่เคยขับไล่โจทก์และบุตรทั้งสองออกจากบ้าน เห็นได้ว่าหลังจากโจทก์กลับมาอยู่กับจำเลยและบุตรทั้งสามแล้ว โจทก์กับจำเลยมีเรื่องทะเลาะกันหลายครั้งแต่ก็ไม่ถึงขั้นที่โจทก์จะต้องพาบุตรออกจากบ้านไปแต่อย่างใด ส่วนจำเลยเพียงแต่กล่าวอ้างลอย ๆ ว่า ไม่ทราบว่าโจทก์ออกจากบ้านเพราะเหตุใด ที่โจทก์และเด็กหญิง ร. กับเด็กชาย ต. เบิกความตรงกันว่า จำเลยขับไล่ทั้งสามคนออกจากบ้านโดยโจทก์ได้นำเรื่องไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจด้วยจึงมีน้ำหนักให้เชื่อถือยิ่งกว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยขับไล่โจทก์ออกจากบ้านจริง ส่วนที่ได้ความว่า เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2560 และวันที่ 2 ธันวาคม 2560 จำเลยพาโจทก์กับบุตรทั้งสามคนไปเที่ยวพักผ่อนมีการค้างคืนโดยนอนร่วมห้องเดียวกันและจำเลยกับโจทก์นอนเตียงเดียวกันด้วยนั้น น่าจะเป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยช่วยกันดูแลให้ความอบอุ่นแก่บุตรในฐานะบิดามารดาเท่าที่พอจะเป็นไปได้สำหรับครอบครัวที่บิดามารดาแยกกันอยู่ ทั้งปรากฏว่าหลังจากจำเลยขับไล่โจทก์ออกจากบ้านแล้วก็มีเพียงการไปเที่ยวค้างคืนด้วยกันสองครั้งที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน ถือได้ว่าจำเลยทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (6) ทั้งการที่จำเลยพาโจทก์และบุตรทั้งสามไปเที่ยวพักผ่อนค้างคืนด้วยกันตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นเพียงการดูแลให้ความอบอุ่นแก่บุตรตามสมควรเท่านั้นยังไม่เพียงพอให้ถือว่าเป็นการที่โจทก์ได้ให้อภัยจำเลยในเหตุที่โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น


มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อมาว่า โจทก์สมควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย ต. และเด็กชาย ป. บุตรทั้งสองเพียงผู้เดียวตามที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาหรือไม่นั้น ได้ความว่าโจทก์มีอาชีพรับราชการ ถือได้ว่าเป็นอาชีพมั่นคงมีรายได้แน่นอน ส่วนจำเลยนั้นโจทก์อ้างว่าจำเลยไม่มีอาชีพแม้จำเลยอ้างว่าตนมีอาชีพขายสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ก็ถือเป็นอาชีพที่มีรายได้ไม่มั่นคงเท่ากับโจทก์ ประกอบกับได้ความว่าโจทก์เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูเด็กชาย ต. ซึ่งอยู่กับโจทก์ในทุกเรื่อง ทั้งยังอุปการะดูแลชำระค่าเทอมและให้ค่าใช้จ่ายรายวันแก่เด็กชาย ป. ซึ่งอยู่กับจำเลยด้วย เด็กชาย ต. ซึ่งอยู่กับโจทก์ไม่ปรากฏว่ามีลักษณะส่อไปในทางไม่เหมาะสมอย่างใดทั้งสิ้น ส่วนเด็กชาย ป. ซึ่งอยูในความดูแลของจำเลยกลับมีอุปนิสัยเปลี่ยนไปในทางก้าวร้าวเอาแต่ใจ และขาดเรียนบ่อยครั้ง นอกจากนี้การให้บุตรทั้งสองซึ่งเป็นพี่น้องกันได้อยู่ใกล้ชิดร่วมกัน รวมทั้งได้อยู่กับมารดาและพี่สาวอีกคนซึ่งเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ก่อนน่าจะเป็นผลดียิ่งกว่า ส่วนที่จำเลยอ้างว่าโจทก์จะมีสามีใหม่นั้น จำเลยก็ไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุนแต่อย่างใด ข้ออ้างดังกล่าวจึงเป็นเพียงการคาดคะเนของจำเลยเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นควรให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย ต. และเด็กชาย ป. บุตรทั้งสองเพียงผู้เดียวนั้นเหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

อนึ่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1584/1 บัญญัติว่า บิดาหรือมารดาย่อมมีสิทธิที่จะติดต่อกับบุตรของตนได้ตามควรแก่พฤติการณ์ ไม่ว่าบุคคลใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครองก็ตาม ฉะนั้น จำเลยซึ่งเป็นบิดายังคงมีสิทธิติดต่อกับบุตรทั้งสองได้ตามควรแก่พฤติการณ์ด้วย

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ



📑 IRAC วิเคราะห์ฎีกา 4104/2564

🔸 Issue:

1.การขับไล่ภริยาออกจากบ้าน ถือเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามกฎหมายหรือไม่

2.ผู้ใดควรได้รับสิทธิใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว

🔸 Rule:

•ป.พ.พ. มาตรา 1516 (6): การเป็นปฏิปักษ์อย่างร้ายแรงต่อคู่สมรส เป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้

•ป.พ.พ. มาตรา 1518: การให้อภัยฝ่ายที่กระทำผิดทำให้ฟ้องหย่าไม่ได้

•ป.พ.พ. มาตรา 1584/1: บิดามารดายังมีสิทธิติดต่อกับบุตร แม้ไม่ได้ใช้อำนาจปกครอง

🔸 Application:

•ศาลพิจารณาจากพยานหลักฐาน ทั้งการลงบันทึกประจำวัน และคำเบิกความของบุตร พบว่า จำเลยขับไล่โจทก์ออกจากบ้านจริง

•การพาไปเที่ยวพักผ่อนร่วมกันไม่ถือว่าเป็นการให้อภัย

•โจทก์มีฐานะมั่นคงและเลี้ยงดูบุตรอย่างเหมาะสม บุตรที่อยู่กับโจทก์มีพฤติกรรมดี ในขณะที่บุตรที่อยู่กับจำเลยมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในทางลบ

🔸 Conclusion:

•โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยตามกฎหมาย

•โจทก์ควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรเพียงผู้เดียว

•จำเลยยังมีสิทธิติดต่อบุตรได้ตามควรแก่พฤติการณ์


🌐 Summary in English (For Web Use)

Supreme Court Judgment No. 4104/2564 Summary:

The Supreme Court ruled that the husband’s act of expelling his wife from their home constituted a serious breach of marital obligations under Section 1516(6) of the Civil and Commercial Code. Therefore, the wife had the legal right to file for divorce. Furthermore, the Court found the wife more suitable for sole custody of their two children, considering her stable government job and active parental involvement. The father retains visitation rights in accordance with Section 1584/1.





สิทธิฟ้องหย่าอ้างเหตุเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน



 

ในประเด็นเรื่องฝ่ายใดสมควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองเพียงผู้เดียวตามได้ความว่าโจทก์มีอาชีพรับราชการ ถือได้ว่าเป็นอาชีพมั่นคงมีรายได้แน่นอน ส่วนจำเลยนั้นโจทก์อ้างว่าจำเลยไม่มีอาชีพแม้จำเลยอ้างว่าตนมีอาชีพขายสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ก็ถือเป็นอาชีพที่มีรายได้ไม่มั่นคงเท่ากับโจทก์ ประกอบกับได้ความว่าโจทก์เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูเด็กชาย ต. ซึ่งอยู่กับโจทก์ในทุกเรื่อง ทั้งยังอุปการะดูแลชำระค่าเทอมและให้ค่าใช้จ่ายรายวันแก่เด็กชาย ป. ซึ่งอยู่กับจำเลยด้วยและได้ความว่าเด็กชาย ป. ซึ่งอยูในความดูแลของจำเลยมีอุปนิสัยเปลี่ยนไปในทางก้าวร้าวเอาแต่ใจ และขาดเรียนบ่อยครั้ง ศาลเห็นว่าการให้บุตรทั้งสองซึ่งเป็นพี่น้องกันได้อยู่ใกล้ชิดร่วมกัน รวมทั้งได้อยู่กับมารดาและพี่สาวอีกคน (เด็กหญิงร.) ซึ่งเคยอยู่ร่วมกันมาก่อนน่าจะเป็นผลดียิ่งกว่า เห็นควรให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองเพียงผู้เดียว




การสิ้นสุดแห่งการสมรส

การหย่าโมฆะ & สิทธิในมรดกที่ดินพิพาท
สิทธิภริยาเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นเรื่องชู้สาว (ฎีกา 4261/2560)
กฎหมายฟ้องชู้ฉบับใหม่ 2568: สิทธิของคู่สมรสทุกเพศในการเรียกค่าทดแทนและฟ้องหย่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5259 - 5260/2561 : การรับฟังพยานบันทึกเสียง, สิทธิฟ้องหย่า, ค่าทดแทนชู้ และอำนาจปกครองบุตร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2562 เรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง
สมัครใจแยกกันอยู่, จงใจละทิ้งร้าง, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
สิทธิภริยาเรียกค่าทดแทนจากสามีและหญิงอื่น เหตุชู้สาวต่อเนื่องไม่ขาดอายุความ
การหย่าโดยสมยอมเพื่อฉ้อโกงเจ้าหนี้ – วิเคราะห์กฎหมายครอบครัวและสิทธิของเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4130/2548 สิทธิภริยาชอบด้วยกฎหมายเรียกร้องค่าทดแทนจากหญิงอื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2567: การเปลี่ยนแปลงผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรและการปรับค่าเลี้ยงดูตามสถานการณ์ใหม่
แบ่งสินสมรส, สินสมรสที่เป็นเงินตรา, แบ่งสินสมรสหลังหย่า สิทธิและหน้าที่, สินส่วนตัวกับสินสมรส
คดีฟ้องหย่าและการแบ่งทรัพย์สิน, สิทธิการเรียกค่าเลี้ยงดูของโจทก์, การชำระค่าทดแทนในคดีแพ่ง, การบังคับคดีและสิทธิทายาทในมรดก
ข้อตกลงแบ่งค่าเช่าที่ดินในสัญญาหย่า
ฟ้องหย่าคู่สมรสวิกลจริต, คนไร้ความสามารถกับการหย่า, แบ่งทรัพย์สินหลังหย่าในกรณีคนวิกลจริต
การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
การหย่าโดยความยินยอมต้องทำอย่างไร?, หนังสือหย่า
สามีภริยาจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้างแต่ต้องเกิดจากความยินยอม
ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์
ไม่เกิดสิทธิฟ้องหย่าเพราะโจทก์มีพฤติกรรมนอกใจจำเลยยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี เหตุฟ้องหย่า
การสมรสสิ้นไปด้วยเหตุความตายของคู่สมรสฝ่ายหนึ่ง
อายุความฟ้องหย่า, บันทึกข้อตกลงหย่า, หลักกฎหมายมาตรา 1515,
สิทธิฟ้องค่าอุปการะเลี้ยงดูอันจะอยู่ในอายุความ 5 ปี , หน้าที่บิดามารดาในการเลี้ยงดูบุตร
การฟ้องหย่าด้วยเหตุหมิ่นประมาท, สิทธิการฟ้องหย่าหมดอายุความ
นำตำรวจจับกุมภริยา หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง
จงใจละทิ้งร้างภริยาไปเกินหนึ่งปีฟ้องหย่าได้, สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา
การจงใจทิ้งร้างไปเกินกว่า 1 ปีต้องในลักษณะที่ไม่หวนกลับไปหาคู่สมรสอีก
ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร
สิทธิฟ้องหย่าระงับไปเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีเว้นแต่เหตุฟ้องเกิดขึ้นต่อเนื่อง
เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ สิทธิเรียกร้องกำหนดอายุความ 5 ปี
เหตุฟ้องหย่าให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ยื่นฟ้องหย่า
สามีฟ้องหย่า,จงใจละทิ้งร้าง,เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ, อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นเป็นภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี ต้องเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุขด้วย
แยกกันอยู่เพราะสามีรับราชการที่อื่น, ไม่ถือว่าเป็นการแยกกันอยู่โดยความสมัครใจ
ทะเลาะกันและทำร้ายร่างกายยังไม่เป็นเหตุฟ้องหย่า
แยกกันอยู่เพราะสามียกย่องหญิงอื่น, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
ฟ้องหย่าจงใจละทิ้งร้างเรียกสินสอดทองหมั้นคืน
สามีหรือภริยาประพฤติชั่วอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
รู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่าจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่านั้นไม่ได้
พี่น้องของผู้ตายขอเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสซ้อนไม่ได้
อำนาจฟ้องขอเพิกถอนการสมรสเพราะสำคัญผิดตัว
ศาลมีอำนาจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้
ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก-ได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปี ฟ้องหย่าได้
สิทธิฟ้องหย่าระงับเมื่ออีกฝ่ายให้อภัยแล้ว
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปีฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะติดต่อกับบุตรของตนได้ตามสมควรแล้วแต่พฤติการณ์
ไม่อาจร่วมประเวณีได้ ต้องการฟ้องหย่า
แยกกันอยู่หรือจงใจละทิ้งร้าง? -อยู่บ้านเดียวกันแต่ก็มีลักษณะแบบต่างคนต่างอยู่
กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง
ไม่ถือว่าจำเลยประพฤติชั่วทำให้โจทก์อับอายถูกเกลียดชังจนเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะเรียกค่าทดแทนชู้สาวนั้นต้องแสดงตนโดยเปิดเผย
เหตุแห่งการฟ้องหย่าทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลงขอให้อีกฝ่ายหนึ่งจ่ายค่าเลี้ยงชีพได้
ฟ้องซ้ำ ค่าอุปการะเลี้ยงดู หนี้ที่ยังไม่ถึงกำหนด
การแบ่งสินสมรสและกรรมสิทธิ์รวม
หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามสามีหรือบุพการี
สัญญาระหว่างสมรสให้ทรัพย์สินของสามีตกเป็นของภริยาห้ามบอกล้าง
ขอเพิกถอนทะเบียนสมรสซ้อน สมรสซ้อนโดยไม่สุจริต
ทะเบียนสมรส ลงชื่อฝ่ายชายคนเดียว, เพิกถอนการรับบุตรบุญธรรม
ฟ้องหย่าอ้างเหตุสมัครใจแยกกันอยู่
ทำร้ายร่างกายถ้าเป็นการร้ายแรงฟ้องหย่าได้, ศาลปรับหนึ่งพันไม่เป็นการร้ายแรง
ฟ้องหย่าอ้างว่าจำเลยดูหมิ่นโจทก์และบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรง
การกระทำของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอันเป็นเหตุฟ้องหย่า
โจทก์ได้ให้อภัยจำเลยเรื่องทำร้ายร่างกายแล้วถือได้ว่าสิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้ย่อมหมดไป
ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน, การทำร้ายคู่สมรส
เหตุฟ้องหย่า เหตุที่ไม่อาจอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ มีอะไรบ้าง
ความสมบูรณ์ของการสมรส, ฟ้องให้การสมรสเป็นโมฆะ
การละเมิดเกิดขึ้นต่อเนื่องอายุความจึงยังไม่เริ่มนับคดีไม่ขาดอายุความ
การฟ้องหย่าและหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามี ไม่ฟ้องหย่า
ฟ้องหย่าอ้างสิทธิที่จะเลือกคู่ครองตามรัฐธรรมนูญ
รู้ว่าสามีไปมีหญิงอื่นเกินหนึ่งปีก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้,อายุความ
จงใจละทิ้งร้างไปเกินหนึ่งปี
ฟ้องหย่าได้ที่ศาลใด
การหย่าโดยคำพิพากษาจะมีผลต่อเมื่อเวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุด
หนังสือร้องเรียนผู้บังคับบัญชาเรื่องความสัมพันธ์กับหญิงอื่น
ฟ้องหย่าอ้างแยกกันอยู่เกินสามปีต้องเพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุข
เหตุฟ้องหย่าอ้างว่าใช้วาจาไม่สุภาพและทะเลาะโดยไม่มีเหตุผล
หลักเกณฑ์การใช้สิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพหลังการหย่า
สิทธิฟ้องหย่าของโจทก์หมดไปโจทก์ให้ความยินยอมและรู้เห็นเป็นใจ
คำสั่งขอคุ้มครองชั่วคราวเกี่ยวด้วยดอกผลของสินสมรส
แม้โจทก์ไม่ได้นำสืบเรื่องอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดได้
จดทะเบียนสมรสโดยต่างไม่ได้ยินยอมเป็นสามีภริยากันอย่างแท้จริง
ความหมายว่า"ค่าอุปการะเลี้ยงดูจนกว่าจะสมรสใหม่และจนกว่าการสมรสสิ้นสุดลง"
ฟ้องหย่าคดีอยู่ระหว่างฎีกาฟ้องคดีใหม่เป็นฟ้องซ้อน
สำนักงานการปฏิรูปฯ (ส.ป.ก.)ขอออกโฉนดโดยมิชอบ
พักโรงแรมห้องเดียวกับสามี ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงชู้โดยไม่ต้องฟ้องหย่า
โจทก์ไม่ทราบแน่ชัดเรื่องชู้สาวจึงไม่เป็นการยินยอมและให้อภัยของโจทก์
บันทึกท้ายทะเบียนการหย่าว่าให้ที่ดินตกเป็นของบุตรเมื่อตายไม่ใช่พินัยกรรม
สมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้