ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




สำนักงานการปฏิรูปฯ (ส.ป.ก.)ขอออกโฉนดโดยมิชอบ

หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)

สำนักงานการปฏิรูปฯ (ส.ป.ก.)ขอออกโฉนดโดยมิชอบ

โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสำนักงานการปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 17275  เป็นของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังว่าเดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 17275 ออกโฉนดมาจาก น.ส. 3 เลขที่ 535 ซึ่งตามที่ดิน น.ส. 3 มีชื่อนายอนันต์ต่อมาได้ขายที่ดินดังกล่าวแก่กระทรวงการคลัง (เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) แล้ว จดทะเบียนมาเป็นชื่อสำนักงานการปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)ในปี 2540 ต่อมาปี 2554 สำนักงานการปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้ออกโฉนดที่ดินเป็นโฉนดเลขที่ 17275 โดยเจ้าของเดิมทุกคนรวมถึงสำนักงานการปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)ซึ่งจัดให้บุคคลมีชื่อเช่าตลอดมาก็ตามไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาท เนื่องจากเข้าใจว่าที่ดินที่ซื้อขายกันเป็นที่ดินแปลงที่อยู่ติดกัน(เข้าใจผิดแปลง) ซึ่งความจริงคือเดิมที่ดินพิพาทนางสีเป็นผู้ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ นางสีจึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนและมีสิทธิขายที่ดินพิพาทและมอบการครอบครองแก่โจทก์ได้ นายอนันต์ซึ่งไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทย่อมไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท การที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 535 มีชื่อนายอนันต์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง เป็นเพียงข้อสันนิษฐานส่วนความเป็นจริงผู้ใดจะมีสิทธิครอบครองนั้นจะต้องพิจารณาว่าผู้ใดเข้ายึดถือครอบครอง เมื่อปรากฏว่านางสีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนอยู่ก่อนแล้ว ดังนี้นายอนันต์ไม่อาจขายที่ดินพิพาทแก่กระทรวงการคลังได้และการที่กระทรวงการคลังจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองทำประโยชน์มาเป็นจำเลยที่ 1(สำนักงาน ส.ป.ก.) เมื่อปี 2540 นั้น เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนมิได้มีการเข้าครอบครองยึดถือที่ดินพิพาทเพื่อตนตามความเป็นจริง แม้จำเลยที่ 1 เป็นสำนักงานการปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) การที่จำเลยที่ 1 โดยกระทรวงการคลังจัดซื้อที่ดินพิพาทจากผู้ที่มิได้เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครอง จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทเช่นเดียวกัน จึงไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขอออกโฉนดพิพาทได้ โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินโฉนดเลขที่ 17275 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3169/2564

ที่ดินพิพาทมีหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 535 จึงมีเพียงสิทธิครอบครอง ส. เป็นผู้ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ส. จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 และมีสิทธิขายที่ดินพิพาทและมอบการครอบครองแก่โจทก์ได้ การที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 535 มีชื่อ อ. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองเป็นเพียงข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 ส่วนความเป็นจริงผู้ใดจะมีสิทธิครอบครองต้องพิจารณาว่าผู้ใดเข้ายึดถือครอบครอง อ.ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทย่อมไม่มีสิทธิครอบครอง ไม่อาจขายที่ดินพิพาทแก่กระทรวงการคลังได้ และการที่กระทรวงการคลังจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ครอบครองทำประโยชน์มาเป็นจำเลยที่ 1 เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน มิได้มีการเข้าครอบครองยึดถือที่ดินเพื่อตนตามความเป็นจริง แม้จำเลยที่ 1 เป็นสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและตาม พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 36 ทวิ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “บรรดาที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ใด ๆ ที่ ส.ป.ก. ได้มาตามพระราชบัญญัตินี้ หรือได้มาโดยประการอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ไม่ให้ถือว่าเป็นที่ราชพัสดุและให้ ส.ป.ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพื่อใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม” แต่บทบัญญัติดังกล่าวมิได้มุ่งหมายให้จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์แตกต่างจากเจ้าของทรัพย์สินทั่วไปที่มีสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 การที่จำเลยที่ 1 โดยกระทรวงการคลังจัดซื้อที่ดินพิพาทจากผู้ที่มิได้เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครอง จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทเช่นเดียวกัน จึงไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขอออกโฉนดพิพาทได้

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 17275 เนื้อที่ 49 ไร่ 2 งานเศษ เป็นของโจทก์ และให้จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงชื่อทางทะเบียนในโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวมาเป็นชื่อของโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง

จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 17275 กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่ 17275 เนื้อที่ 49 ไร่ 2 งาน มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และอยู่ในเขตประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามสำเนาโฉนดที่ดิน มีที่ตั้งตามกรอบสีแดงในแผนที่พิพาท โฉนดที่ดินพิพาทออกมาจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 535 นายทองจดทะเบียนซื้อที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 535 จากธนาคารกรุงไทยจำกัด และได้จดทะเบียนขายแก่นายอนันต์ และนายอนันต์จดทะเบียนขายให้แก่จำเลยที่ 1 ในนามกระทรวงการคลัง (เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) เมื่อปี 2540 ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองทำประโยชน์มาเป็นจำเลยที่ 1 ต่อมาเมื่อปี 2554 จำเลยที่ 1 จึงขอออกเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 17275 นายทองและนางเสงี่ยมซึ่งเป็นภริยาไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แต่เข้าทำประโยชน์ในที่ดินแปลงที่อยู่ติดกันภายในกรอบเส้นสีเขียวตามแผนที่พิพาท มาตั้งแต่ก่อนปี 2525 และหลังจากนายอนันต์ซื้อที่ดินจากนายทองแล้ว ได้ให้นายทองเช่าทำกิน โดยนายทองและนางเสงี่ยมยังคงทำประโยชน์ในที่ดินกรอบเส้นสีเขียวตามเดิมตลอดมา นายอนันต์ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินมาแล้วได้ให้นางเสงี่ยมเช่าที่ดินกรอบเส้นสีเขียวจนกระทั่งนางเสงี่ยมถึงแก่ความตาย เมื่อปี 2539 จำเลยที่ 1 ให้นางสุรินทร์และนางจำลองซึ่งเป็นบุตรของนางเสงี่ยมเช่าที่ดินกรอบเส้นสีเขียวโดยนางเสงี่ยม นางสุรินทร์ และนางจำลองได้ทำประโยชน์ในที่ดินแปลงกรอบสีเขียวมาตลอดไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ส่วนที่ดินพิพาทมีนางสีเป็นผู้เข้าทำประโยชน์โดยให้นายไพรวัลย์และนายจำปีหรือปี เช่าทำกิน จนกระทั่งปี 2544 โจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากนางสีเพื่อทำนา และเมื่อปี 2547 โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนางสมจิตร บุตรของนางสี และครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา คดีในส่วนจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์ จึงยุติไปคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 535 เดิมมีชื่อนายอนันต์ เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ ต่อมานายอนันต์ขายให้แก่กระทรวงการคลังและโอนมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 เป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินพิพาทและการที่จำเลยที่ 1 ขอออกโฉนดที่ดินพิพาทในที่ดินที่โจทก์ครอบครองไม่ชอบด้วยกฎหมาย และข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 17275 ออกมาจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 535 ซึ่งเป็นที่ตั้งที่ดินพิพาท โฉนดที่ดินพิพาทจึงมิได้ออกผิดแปลงหรือออกทับที่ดินมือเปล่าที่โจทก์ครอบครองก็ตาม แต่คดีนี้โจทก์ยังฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทด้วย ซึ่งเดิมที่ดินพิพาทมีหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 535 จึงมีเพียงสิทธิครอบครอง แต่ข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยโดยจำเลยที่ 1 ไม่ฎีกาโต้แย้งปรากฏว่า นายทองเป็นผู้ขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 535 แก่นายอนันต์ เมื่อปี 2525 แล้วต่อมานายอนันต์ขายที่ดินแก่กระทรวงการคลัง (เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) แล้ว วันที่ 9 ตุลาคม 2540 จึงจดทะเบียนโอนชื่อมาเป็นของจำเลยที่ 1 หลังจากนั้นปี 2554 จำเลยที่ 1 จึงขอออกโฉนดที่ดินพิพาท แต่นายทอง นายอนันต์ แม้กระทั่งจำเลยที่ 1 หรือผู้ที่จำเลยที่ 1 ให้เช่าที่ดิน ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาท เนื่องจากเข้าใจว่าที่ดินที่ซื้อขายกันเป็นที่ดินแปลงที่อยู่ติดกัน ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่โจทก์และจำเลยที่ 1 นำสืบได้ความว่า เดิมที่ดินพิพาทนางสีเป็นผู้ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ นางสีจึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 และมีสิทธิขายที่ดินพิพาทและมอบการครอบครองแก่โจทก์ได้ นายอนันต์ซึ่งไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทย่อมไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท การที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 535 มีชื่อนายอนันต์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง เป็นเพียงข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ส่วนความเป็นจริงผู้ใดจะมีสิทธิครอบครองนั้นจะต้องพิจารณาว่าผู้ใดเข้ายึดถือครอบครอง เมื่อปรากฏว่านางสีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนอยู่ก่อนแล้ว ดังนี้นายอนันต์ไม่อาจขายที่ดินพิพาทแก่กระทรวงการคลังได้และการที่กระทรวงการคลังจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองทำประโยชน์มาเป็นจำเลยที่ 1 เมื่อปี 2540 นั้น เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนมิได้มีการเข้าครอบครองยึดถือที่ดินพิพาทเพื่อตนตามความเป็นจริง แม้จำเลยที่ 1 เป็นสำนักงานการปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) และตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 36 ทวิ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “บรรดาที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ใด ๆ ที่ ส.ป.ก. ได้มาตามพระราชบัญญัตินี้ หรือได้มาโดยประการอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ไม่ให้ถือว่าเป็นที่ราชพัสดุและให้ ส.ป.ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพื่อใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม” แต่บทบัญญัติดังกล่าวมิได้มุ่งหมายให้จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์แตกต่างจากเจ้าของทรัพย์สินทั่วไปที่มีสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 เมื่อนายอนันต์ไม่ใช่เจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดังได้วินิจฉัยข้างต้น การที่จำเลยที่ 1 โดยกระทรวงการคลังจัดซื้อที่ดินพิพาทจากผู้ที่มิได้เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครอง จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทเช่นเดียวกัน จึงไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขอออกโฉนดพิพาทได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและให้เพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง ศาลชั้นต้นยังไม่มีคำสั่งเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งให้ถูกต้อง

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ในศาลชั้นต้นกับค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ




การสิ้นสุดแห่งการสมรส

คดีฟ้องหย่าและการแบ่งทรัพย์สิน, สิทธิการเรียกค่าเลี้ยงดูของโจทก์, การชำระค่าทดแทนในคดีแพ่ง, การบังคับคดีและสิทธิทายาทในมรดก
เรียกค่าทดแทนจากสามีและหญิงอื่น(เมียน้อย), ยกย่องผู้อื่นฉันภริยา
ข้อตกลงแบ่งค่าเช่าที่ดินในสัญญาหย่า
ฟ้องหย่าคู่สมรสวิกลจริต, คนไร้ความสามารถกับการหย่า, แบ่งทรัพย์สินหลังหย่าในกรณีคนวิกลจริต
การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลัง
การหย่าโดยความยินยอมต้องทำอย่างไร?, หนังสือหย่า
การหย่าโดยความยินยอม, บันทึกเป็นหนังสือประสงค์หย่าขาด
การฟ้องและเรียกค่าทดแทนคดีครอบครัว
สามีภริยาจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้างแต่ต้องเกิดจากความยินยอม
ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์
ไม่เกิดสิทธิฟ้องหย่าเพราะโจทก์มีพฤติกรรมนอกใจจำเลยยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี เหตุฟ้องหย่า
สมัครใจแยกกันอยู่, จงใจละทิ้งร้าง, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
การสมรสสิ้นไปด้วยเหตุความตายของคู่สมรสฝ่ายหนึ่ง
แบ่งสินสมรส, สินสมรสที่เป็นเงินตรา, แบ่งสินสมรสหลังหย่า สิทธิและหน้าที่, สินส่วนตัวกับสินสมรส
อายุความฟ้องหย่า, บันทึกข้อตกลงหย่า, หลักกฎหมายมาตรา 1515,
สิทธิฟ้องค่าอุปการะเลี้ยงดูอันจะอยู่ในอายุความ 5 ปี , หน้าที่บิดามารดาในการเลี้ยงดูบุตร
การฟ้องหย่าด้วยเหตุหมิ่นประมาท, สิทธิการฟ้องหย่าหมดอายุความ
นำตำรวจจับกุมภริยา หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง
จงใจละทิ้งร้างภริยาไปเกินหนึ่งปีฟ้องหย่าได้, สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา
การจงใจทิ้งร้างไปเกินกว่า 1 ปีต้องในลักษณะที่ไม่หวนกลับไปหาคู่สมรสอีก
ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร
สิทธิฟ้องหย่าระงับไปเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีเว้นแต่เหตุฟ้องเกิดขึ้นต่อเนื่อง
เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ สิทธิเรียกร้องกำหนดอายุความ 5 ปี
เหตุฟ้องหย่าให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ยื่นฟ้องหย่า
สามีฟ้องหย่า,จงใจละทิ้งร้าง,เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ, อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นเป็นภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี ต้องเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุขด้วย
แยกกันอยู่เพราะสามีรับราชการที่อื่น, ไม่ถือว่าเป็นการแยกกันอยู่โดยความสมัครใจ
ทะเลาะกันและทำร้ายร่างกายยังไม่เป็นเหตุฟ้องหย่า
แยกกันอยู่เพราะสามียกย่องหญิงอื่น, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
ฟ้องหย่าจงใจละทิ้งร้างเรียกสินสอดทองหมั้นคืน
สามีหรือภริยาประพฤติชั่วอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
รู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่าจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่านั้นไม่ได้
พี่น้องของผู้ตายขอเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสซ้อนไม่ได้
อำนาจฟ้องขอเพิกถอนการสมรสเพราะสำคัญผิดตัว
ศาลมีอำนาจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้
ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก-ได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปี ฟ้องหย่าได้
สิทธิฟ้องหย่าระงับเมื่ออีกฝ่ายให้อภัยแล้ว
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปีฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะติดต่อกับบุตรของตนได้ตามสมควรแล้วแต่พฤติการณ์
ไม่อาจร่วมประเวณีได้ ต้องการฟ้องหย่า
แยกกันอยู่หรือจงใจละทิ้งร้าง? -อยู่บ้านเดียวกันแต่ก็มีลักษณะแบบต่างคนต่างอยู่
กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง
ไม่ถือว่าจำเลยประพฤติชั่วทำให้โจทก์อับอายถูกเกลียดชังจนเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะเรียกค่าทดแทนชู้สาวนั้นต้องแสดงตนโดยเปิดเผย
เหตุแห่งการฟ้องหย่าทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลงขอให้อีกฝ่ายหนึ่งจ่ายค่าเลี้ยงชีพได้
ฟ้องซ้ำ ค่าอุปการะเลี้ยงดู หนี้ที่ยังไม่ถึงกำหนด
การแบ่งสินสมรสและกรรมสิทธิ์รวม
หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามสามีหรือบุพการี
สัญญาระหว่างสมรสให้ทรัพย์สินของสามีตกเป็นของภริยาห้ามบอกล้าง
ขอเพิกถอนทะเบียนสมรสซ้อน สมรสซ้อนโดยไม่สุจริต
ทะเบียนสมรส ลงชื่อฝ่ายชายคนเดียว, เพิกถอนการรับบุตรบุญธรรม
ฟ้องหย่าอ้างเหตุสมัครใจแยกกันอยู่
ทำร้ายร่างกายถ้าเป็นการร้ายแรงฟ้องหย่าได้, ศาลปรับหนึ่งพันไม่เป็นการร้ายแรง
ฟ้องหย่าอ้างว่าจำเลยดูหมิ่นโจทก์และบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรง
การกระทำของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอันเป็นเหตุฟ้องหย่า
โจทก์ได้ให้อภัยจำเลยเรื่องทำร้ายร่างกายแล้วถือได้ว่าสิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้ย่อมหมดไป
ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน, การทำร้ายคู่สมรส
เหตุฟ้องหย่า เหตุที่ไม่อาจอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ มีอะไรบ้าง
ความสมบูรณ์ของการสมรส, ฟ้องให้การสมรสเป็นโมฆะ
การละเมิดเกิดขึ้นต่อเนื่องอายุความจึงยังไม่เริ่มนับคดีไม่ขาดอายุความ
การฟ้องหย่าและหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามี ไม่ฟ้องหย่า
ฟ้องหย่าอ้างสิทธิที่จะเลือกคู่ครองตามรัฐธรรมนูญ
รู้ว่าสามีไปมีหญิงอื่นเกินหนึ่งปีก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้,อายุความ
จงใจละทิ้งร้างไปเกินหนึ่งปี
ฟ้องหย่าได้ที่ศาลใด
สามีโจทก์เข้าออกบ้านของจำเลยในเวลากลางคืนบ่อยครั้ง
การหย่าโดยคำพิพากษาจะมีผลต่อเมื่อเวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุด
หนังสือร้องเรียนผู้บังคับบัญชาเรื่องความสัมพันธ์กับหญิงอื่น
ฟ้องหย่าอ้างแยกกันอยู่เกินสามปีต้องเพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุข
เหตุฟ้องหย่าอ้างว่าใช้วาจาไม่สุภาพและทะเลาะโดยไม่มีเหตุผล
หลักเกณฑ์การใช้สิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพหลังการหย่า
สิทธิฟ้องหย่าของโจทก์หมดไปโจทก์ให้ความยินยอมและรู้เห็นเป็นใจ
คำสั่งขอคุ้มครองชั่วคราวเกี่ยวด้วยดอกผลของสินสมรส
แม้โจทก์ไม่ได้นำสืบเรื่องอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดได้
จดทะเบียนสมรสโดยต่างไม่ได้ยินยอมเป็นสามีภริยากันอย่างแท้จริง
ความหมายว่า"ค่าอุปการะเลี้ยงดูจนกว่าจะสมรสใหม่และจนกว่าการสมรสสิ้นสุดลง"
ฟ้องหย่าคดีอยู่ระหว่างฎีกาฟ้องคดีใหม่เป็นฟ้องซ้อน
พักโรงแรมห้องเดียวกับสามี ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงชู้โดยไม่ต้องฟ้องหย่า
โจทก์ไม่ทราบแน่ชัดเรื่องชู้สาวจึงไม่เป็นการยินยอมและให้อภัยของโจทก์
บันทึกท้ายทะเบียนการหย่าว่าให้ที่ดินตกเป็นของบุตรเมื่อตายไม่ใช่พินัยกรรม
คดีฟ้องหย่าฟ้องชู้สาวไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังแผ่นบันทึกเสียงที่แอบบันทึกไว้
สมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้
การจดทะเบียนหย่าด้วยการแสดงเจตนาลวง
จดทะเบียนหย่าแล้วก็ฟ้องเรียกค่าทดแทนชู้สาวได้
ขับไล่โจทก์ออกจากบ้านเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง