
-ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258
-ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th
-ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line :
(1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3) @peesirilaw หรือ (4) peesirilaw (5) leenont
-Line Official Account : เพิ่มเพื่อนด้วย QR CODE

ฟ้องหย่าอ้างเหตุหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามสามีหรือบุพการี
สามีภริยาอยู่กินฉันสามีภริยานาน 5 ปี จึงจดทะเบียนสมรสกัน ต่อมาเริ่มทะเลาะกัน สามีมีพฤติการณ์ส่อว่าจะมีเมียน้อย ฝ่ายภริยาก็หึงหวง น้องเมียเคยมายืมเงินก็ยังไม่ใช้คืน น้องเมียมาขอยืมโฉนดที่ดินไปจำนองเพื่อนำเงินไปทำงานต่างประเทศ สามีไม่ให้ความยินยอม ต่อมาสามีจึงแยกไปพักที่บ้านข้าราชการ สามีเคยเขียนข้อความวางบนโต๊ะทำนองว่า เป็นบุคคลคนละชั้นกัน ส่วนภริยาจึงตอบโต้ ลำเลิกบุญคุณว่าเคยเลี้ยงดูสามีมาก่อนทำคุณไม่ขึ้น ภริยาเคยพูดให้บุตรสาวของตนไม่ให้เข้าใกล้สามีทำนองว่า คนนี้ถ้าคลำไม่มีหางมันเอาหมด คำพูดดังกล่าวกระทำไปเพื่อเตือนบุตรสาว บิดามารดาสามีไม่ชอบฝ่ายหญิงว่าเป็นนักร้องทำงานกลางคืน ฝ่ายหญิงเอ่ยปากว่าอย่าให้มารดาสามีมาพักที่บ้านเพราะมาทีไรก็ทำให้ผัวเมียทะเลาะกัน คำพูดดังกล่าวแม้มีทำนองเหยียดหยามก็น่าจะเกิดจากสามี และ มารดาสามีมีส่วนร่วมให้ฝ่ายภริยากระทำการแบบนั้น การกระทำดังกล่าวยังฟังไม่ได้โดยถนัดว่า ภริยาหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยาม สามีและมารดาสามีอย่างร้ายแรงอันจะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3563/2548
โจทก์มีพฤติการณ์ส่อว่าจะมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับผู้หญิงอื่น จำเลยหึงหวงเป็นเหตุให้ทะเลาะกันมาโดยตลอด ณ. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์เคยมาขอยืมเงินโจทก์ไปแล้วยังใช้คืนไม่หมด ต่อมา ณ. ขอให้โจทก์นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองเพื่อนำเงินกู้มาเป็นค่าใช้จ่ายเดินทางไปทำงานต่างประเทศอีก แต่จำเลยไม่ยอมลงชื่อให้ความยินยอมในการจดทะเบียนจำนอง จึงเกิดทะเลาะกัน โจทก์จำเลยเขียนบันทึกโต้ตอบกันโดยโจทก์ด่าจำเลยก่อนว่าโจทก์กับจำเลยเป็นบุคคลคนละชั้นกัน จำเลยจึงลำเลิกบุญคุณด่ากลับทำนองว่าโดยเลี้ยงดูส่งเสียโจทก์มาก่อน การที่จำเลยพูดห้ามบุตรสาวจำเลยไม่ให้เข้าใกล้โจทก์และว่าไอ้คนนี้ถ้าคลำไม่มีหางมันเอาหมดนั้น เป็นการกระทำไปโดยเจตนาเตือนให้บุตรสาวระมัดระวังตัวไว้ เพียงแต่ใช้ถ้อยคำอันไม่สมควรเยี่ยงมารดาทั่วไปเท่านั้น นอกจากนี้ การที่จำเลยพูดว่าทำนองเหยียดหยามโจทก์และมารดาโจทก์เกิดจากโจทก์และมารดาโจทก์มีส่วนร่วมก่อให้จำเลยกระทำการดังกล่าวอยู่มาก จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์และมารดาโจทก์อย่างร้ายแรงอันโจทก์จะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (3)
มาตรา 1516 เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้
(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง
(ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง
(ข) ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป หรือ
(ค) ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ
อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(3) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(4/1) สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปีในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดหรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้นด้วย และการเป็นสามีภริยากันต่อไปจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหายหรือเดือนร้อนเกินควร อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(4/2) สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(5) สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลาเกินสามปีโดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร หรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(7) สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้ กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(8) สามีหรือภริยาผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(9) สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงอันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่ายหนึ่งและโรคมีลักษณะเรื้อรังไม่มีทางที่จะหายได้ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(10) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกาย ทำให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกัน อยู่กินมีบุตรด้วยกัน 2 คน ในระหว่างอยู่กินด้วยกันจำเลยหมิ่นประมาทและดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์ ไม่เคารพนับถือบุพการีและญาติพี่น้องของโจทก์ ดื่มสุราเป็นอาจิณ โดยหมิ่นประมาทโจทก์ว่าติดเชื้อโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นชู้กับบุตรสาวและหลานสาวของโจทก์ ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยมีมานานกว่า 20 ปี และต่อเนื่องลักษณะเดียวกันมาตลอด อันเป็นการจงใจหมิ่นประมาทโจทก์และดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรงหลายครั้งหลายหน โจทก์ไม่ประสงค์จะอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับจำเลย ขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้บุตรทั้งสองอยู่ในความปกครองของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์พยายามหาเหตุด่าว่ากล่าวและดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจำเลย จึงเกิดเหตุทะเลาะกันโดยโจทก์เป็นผู้ก่อเหตุ จำเลยไม่เคยดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทโจทก์ บิดามารดาและญาติพี่น้องโจทก์ตามฟ้อง บิดามารดาและญาติพี่น้องโจทก์ไม่ชอบจำเลย ยุแหย่ให้โจทก์เลิกกับจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหย่า เพราะจำเลยไม่ประพฤติชั่วจนโจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “...ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์รู้จักจำเลยตั้งแต่จำเลยอายุ 18 ปี โดยจำเลยทำงานเป็นนักร้อง ส่วนโจทก์เป็นพนักงานรับจ้างอยู่ที่ห้องอาหารร้านเดียวกัน ต่อมาอยู่กินฉันสามีภริยานานประมาณ 5 ปี ช่วงนั้นโจทก์จำเลยต่างดื่มสุรา ปี 2521 จึงจดทะเบียนสมรสกันและโจทก์สอบเข้ารับราชการได้ ปี 2524 เริ่มเกิดเหตุทะเลาะกัน โจทก์มีพฤติการณ์ส่อว่าจะมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับผู้หญิงอื่นนับแต่ปี 2524 จำเลยหึงหวงเป็นเหตุให้ทะเลาะกันมาโดยตลอด ข้อเท็จจริงได้ความด้วยว่านายณรงค์ศักดิ์ พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์เคยมาขอยืมเงินโจทก์ไป 20,000 บาท แล้วยังใช้คืนไม่หมด ต่อมานายณรงค์ศักดิ์ขอให้โจทก์นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองที่สถาบันการเงินเพื่อนำเงินกู้มาเป็นค่าใช้จ่ายเดินทางไปทำงานต่างประเทศอีก จำเลยไม่ยอมลงชื่อให้ความยินยอมในการจดทะเบียนจำนอง จึงเกิดทะเลาะกัน จำเลยเขียนบันทึกวางบนโต๊ะทำงานในบ้าน โจทก์กลับมาบ้านได้พบ อ่านแล้วเขียนข้อความโต้ตอบ ต่อมาโจทก์จึงขนของแยกไปพักอาศัยที่บ้านพักข้าราชการ เมื่อพิจารณาข้อความที่จำเลยเขียนขึ้นแล้ว เห็นได้ว่า โจทก์ด่าว่าจำเลยก่อนว่า โจทก์กับจำเลยเป็นบุคคลคนละชั้นกัน จำเลยจึงลำเลิกบุญคุณด่ากลับทำนองว่าเคยเลี้ยงดูส่งเสียโจทก์มาก่อน จำเลยทำคุณกับโจทก์ไม่ขึ้น ทำดีมานาน 30 ปี แล้วไม่ได้ดี ข้อที่จำเลยพูดห้ามนางพิชามญชุ์ไม่ให้เข้าใกล้โจทก์และว่าไอ้คนนี้ถ้าคลำไม่มีหางมันเอาหมด ก็สืบเนื่องมาจากโจทก์เดินกอดคอนางสาวพิชามญชุ์ซึ่งขณะนั้นอายุ 14 ปี ซึ่งย่างเข้าสู่วัยสาวแล้วเดินไปตามถนนในหมู่บ้านโดยที่โจทก์มีพฤติกรรมดังกล่าว การที่จำเลยพูดถ้อยคำดังกล่าวน่าจะกระทำไปโดยเจตนาเตือนให้บุตรสาวระมัดระวังตัวไว้ เพียงแต่ใช้ถ้อยคำอันไม่สมควรเยี่ยงมารดาทั่วไปเท่านั้น ส่วนเรื่องดูหมิ่นเหยียดหยามมารดาโจทก์นั้น บิดามารดาโจทก์ไม่อยากได้จำเลยเป็นลูกสะใภ้ เพราะจำเลยเป็นนักร้องทำงานกลางคืนทำให้โจทก์เสื่อมเสีย เมื่อมาที่บ้านก็บอกให้เลิกยุ่งกับโจทก์จึงทะเลาะกัน จำเลยเคยบอกพยานขอหย่าให้มารดาโจทก์มาพักที่บ้านจำเลยอีก เพราะมาทีไรก็ทำให้โจทก์จำเลยทะเลาะกัน การที่จำเลยพูดว่าทำนองเหยียดหยามโจทก์และมารดาโจทก์จึงน่าจะเกิดจากโจทก์และมารดาโจทก์มีส่วนร่วมก่อให้จำเลยกระทำการดังกล่าวอยู่มาก เรื่องที่โจทก์จำเลยทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของสามีภริยาที่อยู่ด้วยกัน ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้โดยถนัดว่าจำเลยดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์และมารดาโจทก์อย่างร้ายแรงอันโจทก์จะอ้างเป็นเหตุหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3)”
พิพากษายืน
( สุรภพ ปัทมะสุคนธ์ - วิรัช ลิ้มวิชัย - วสันต์ ตรีสุวรรณ )
ฟ้องหย่าอ้างเหตุหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามบุพการี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2702/2546
ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยนับแต่อยู่กินฉันสามีภริยากันมาเป็นไปโดยปกติ จำเลยเพิ่งมีความประพฤติเสียหายหลังจากโจทก์ไปทำงานที่ดินแดนไต้หวันและทราบว่าโจทก์จะมีสามีใหม่ ประกอบกับจำเลยอยู่ในสภาพคนพิการต้องสูญเสียดวงตาไปเมื่อครั้งทำงานที่ประเทศบรูไนแล้วประสบอุบัติเหตุทำให้ดวงตาพิการและนายจ้างส่งตัวจำเลยกลับประเทศไทย ไม่สามารถทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ดังก่อนจำเลยย่อมเกิดความกลัดกลุ้มใจยิ่งขึ้น โจทก์จึงควรสงสารให้ความเห็นใจจำเลย มิใช่ซ้ำเติมหรือกระทำการอันเป็นการบั่นทอนสภาพจิตใจจำเลย แม้บางครั้งจำเลยดื่มสุรามากเกินไปจนทำให้มีปากเสียงกระทบกระทั่งกับบุพการีหรือบุคคลในครอบครัวของโจทก์ก็ตาม แต่พฤติกรรมก้าวร้าวของจำเลยเนื่องมาจากความทุกข์ที่เกิดจากการกระทำของโจทก์ที่ส่งจดหมายมาบอกขณะโจทก์อยู่ที่ดินแดนไต้หวันว่าโจทก์มีสามีใหม่แล้วทั้งจำเลยยินยอมแยกตัวออกไปอยู่ที่บ้านบิดามารดาจำเลยตามความประสงค์ของโจทก์เพื่อมิให้เกิดความบาดหมางกับบุพการีของโจทก์ พฤติการณ์ของจำเลยที่ไม่ทำมาหาเลี้ยงครอบครัวหรือดื่มสุราดังกล่าว และไม่ปรากฏว่าจำเลยใช้ถ้อยคำดุด่าบิดาโจทก์ให้รับความเสียหายอย่างไร ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติชั่วหรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(2) และ (3)
ฟ้องหย่า อ้างเหตุ หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2985/2525
การที่บิดามารดาจำเลยไปแจ้งความต่อตำรวจกล่าวหาว่าโจทก์ลักทรัพย์แม้จะมิใช่เหตุที่โจทก์จะยกขึ้นอ้าง เพื่อฟ้องขอหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับจำเลยก็ตามแต่การที่จำเลยนำตำรวจไปจับกุมโจทก์ตามข้อกล่าวหาของบิดามารดานั้น การกระทำของจำเลยย่อมถือได้ว่าเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นต่อเกียรติยศและชื่อเสียงของโจทก์ อันเป็นการหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516 (3)
โจทก์เพิ่งจะหางานทำได้หลังจากที่แยกกันอยู่กับจำเลยจึงติดใจขอค่าเลี้ยงชีพจากจำเลย จำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งเป็นอย่างอื่น กรณีถือได้ว่าการหย่าทำให้โจทก์ยากจนลง เพราะไม่มีรายได้จากการงานตามที่เคยทำอยู่ในระหว่างสมรส เมื่อเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของจำเลยจำเลยจึงต้องจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526
บริการของ สำนักงานกฎหมายพีศิริ ทนายความ
สำนักงานกฎหมายพีศิริทนายความ ก่อตั้งโดย ทนายความ ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ รับว่าความคดีแพ่ง คดีอาญา คดีผู้บริโภคและคดีอื่นๆ ทุกคดี รับเป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมาย รับเป็นทนายความแก้ต่างต่อสู้คดี ข้อตกลง ตลอดจนข้อสัญญาต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจ ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ยื่นคำร้องขอถอนผู้จัดการมรดก ฟ้องเรียกเงินผิดสัญญากู้ยืมเงิน ผิดสัญญาจ้างทำของ ฟ้องหย่า ฟ้องเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในคดีครอบครัว ฟ้องเรียกบุตรคืน ฟ้องถอนอำนาจปกครองผู้เยาว์ ฟ้องหย่าและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู ฟ้องหย่าและขอแบ่งสินสมรส ฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทนจากหญิงที่แสดงตนว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับคู่สมรส ฟ้องหย่าและเรียกค่าเลี้ยงชีพ ฟ้องขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว ฟ้องให้จดทะเบียนรับรองบุตร ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร ฟ้องขอให้ศาลมีว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ฟ้องขอเปลี่ยนอำนาจปกครองบุตร ฟ้องให้คู่หย่าปฏิบัติตามบันทึกท้ายทะเบียนหย่า ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูตามบันทึกท้ายทะเบียนหย่า ฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์สินตามบันทึกท้ายทะเบียนหย่า ฟ้องเรียกค่าทดแทนผิดสัญญาหมั้นเรียกสินสอดคืน ฟ้องบอกเลิกสัญญาหมั้นเรียกของหมั้นคืน ฟ้องคู่สมรสขอแยกกันอยู่ชั่วคราว ฟ้องขอให้จดทะเบียนใส่ชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนละครึ่ง ยื่นคำร้องต่อศาลขออนุญาตแทนการให้ความยินยอมขายที่ดินสินสมรส ฟ้องขอเพิกถอนการให้ที่ดินสินสมรส ฟ้องขอใส่ชื่อเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินสินสมรส ฟ้องขอใส่ชื่อเป็นเจ้าของร่วมในบัญชีธนาคาร ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสซ้อน ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร ฟ้องบิดาขอให้รับเด็กเป็นบุตรและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาด้วย ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่าผู้ร้องเป็นบุตรเพื่อรับบำเหน็จตกทอดจากทางราชการ ฟ้องไม่รับเด็กเป็นบุตรเนื่องจากเป็นหมันไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ ฟ้องคดีขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแทนการให้ความยินยอมของมารดาในการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ยื่นคำร้องขอตั้งผู้ปกครอง ขอให้ศาลแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองเด็ก คดีขอให้ศาลสั่งเปลี่ยนตัวผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครอง ติดต่อทนายความได้เลย ฟ้องหย่าคิดถึงทนายความลีนนท์ ติดต่อทนายความลีนนท์ ได้ที่หมายเลข 0859604258
ทนายความคดีครอบครัว ทนายความฟ้องหย่า
สำนักงานทนายความ โดย ทนายความ ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ รับฟ้องคดีครอบครัว เช่น
ฟ้องหย่าโดยความยินยอม
ฟ้องหย่าตามบันทึกข้อตกลง
ฟ้องหย่าให้โจทก์แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง
ฟ้องหย่าให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
ฟ้องหย่าเรียกค่าเลี้ยงชีพ
ฟ้องหย่าเรียกคืนของหมั้น
ฟ้องหย่าแบ่งสินสมรส
ฟ้องหย่าอ้างเหตุอุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่น
ฟ้องหย่าอ้างเหตุเป็นชู้หรือมีชู้
ฟ้องหย่าอ้างเหตุร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ