

หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามสามีหรือบุพการี
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์
ฟ้องหย่าอ้างเหตุหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามสามีหรือบุพการี สามีภริยาอยู่กินฉันสามีภริยานาน 5 ปี จึงจดทะเบียนสมรสกัน ต่อมาเริ่มทะเลาะกัน สามีมีพฤติการณ์ส่อว่าจะมีเมียน้อย ฝ่ายภริยาก็หึงหวง น้องเมียเคยมายืมเงินก็ยังไม่ใช้คืน น้องเมียมาขอยืมโฉนดที่ดินไปจำนองเพื่อนำเงินไปทำงานต่างประเทศ สามีไม่ให้ความยินยอม ต่อมาสามีจึงแยกไปพักที่บ้านข้าราชการ สามีเคยเขียนข้อความวางบนโต๊ะทำนองว่า เป็นบุคคลคนละชั้นกัน ส่วนภริยาจึงตอบโต้ ลำเลิกบุญคุณว่าเคยเลี้ยงดูสามีมาก่อนทำคุณไม่ขึ้น ภริยาเคยพูดให้บุตรสาวของตนไม่ให้เข้าใกล้สามีทำนองว่า คนนี้ถ้าคลำไม่มีหางมันเอาหมด คำพูดดังกล่าวกระทำไปเพื่อเตือนบุตรสาว บิดามารดาสามีไม่ชอบฝ่ายหญิงว่าเป็นนักร้องทำงานกลางคืน ฝ่ายหญิงเอ่ยปากว่าอย่าให้มารดาสามีมาพักที่บ้านเพราะมาทีไรก็ทำให้ผัวเมียทะเลาะกัน คำพูดดังกล่าวแม้มีทำนองเหยียดหยามก็น่าจะเกิดจากสามี และ มารดาสามีมีส่วนร่วมให้ฝ่ายภริยากระทำการแบบนั้น การกระทำดังกล่าวยังฟังไม่ได้โดยถนัดว่า ภริยาหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยาม สามีและมารดาสามีอย่างร้ายแรงอันจะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ โจทก์มีพฤติการณ์ส่อว่าจะมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับผู้หญิงอื่น จำเลยหึงหวงเป็นเหตุให้ทะเลาะกันมาโดยตลอด ณ. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์เคยมาขอยืมเงินโจทก์ไปแล้วยังใช้คืนไม่หมด ต่อมา ณ. ขอให้โจทก์นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองเพื่อนำเงินกู้มาเป็นค่าใช้จ่ายเดินทางไปทำงานต่างประเทศอีก แต่จำเลยไม่ยอมลงชื่อให้ความยินยอมในการจดทะเบียนจำนอง จึงเกิดทะเลาะกัน โจทก์จำเลยเขียนบันทึกโต้ตอบกันโดยโจทก์ด่าจำเลยก่อนว่าโจทก์กับจำเลยเป็นบุคคลคนละชั้นกัน จำเลยจึงลำเลิกบุญคุณด่ากลับทำนองว่าโดยเลี้ยงดูส่งเสียโจทก์มาก่อน การที่จำเลยพูดห้ามบุตรสาวจำเลยไม่ให้เข้าใกล้โจทก์และว่าไอ้คนนี้ถ้าคลำไม่มีหางมันเอาหมดนั้น เป็นการกระทำไปโดยเจตนาเตือนให้บุตรสาวระมัดระวังตัวไว้ เพียงแต่ใช้ถ้อยคำอันไม่สมควรเยี่ยงมารดาทั่วไปเท่านั้น นอกจากนี้ การที่จำเลยพูดว่าทำนองเหยียดหยามโจทก์และมารดาโจทก์เกิดจากโจทก์และมารดาโจทก์มีส่วนร่วมก่อให้จำเลยกระทำการดังกล่าวอยู่มาก จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์และมารดาโจทก์อย่างร้ายแรงอันโจทก์จะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (3) มาตรา 1516 เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้
จำเลยให้การว่า โจทก์พยายามหาเหตุด่าว่ากล่าวและดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจำเลย จึงเกิดเหตุทะเลาะกันโดยโจทก์เป็นผู้ก่อเหตุ จำเลยไม่เคยดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทโจทก์ บิดามารดาและญาติพี่น้องโจทก์ตามฟ้อง บิดามารดาและญาติพี่น้องโจทก์ไม่ชอบจำเลย ยุแหย่ให้โจทก์เลิกกับจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหย่า เพราะจำเลยไม่ประพฤติชั่วจนโจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “...ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์รู้จักจำเลยตั้งแต่จำเลยอายุ 18 ปี โดยจำเลยทำงานเป็นนักร้อง ส่วนโจทก์เป็นพนักงานรับจ้างอยู่ที่ห้องอาหารร้านเดียวกัน ต่อมาอยู่กินฉันสามีภริยานานประมาณ 5 ปี ช่วงนั้นโจทก์จำเลยต่างดื่มสุรา ปี 2521 จึงจดทะเบียนสมรสกันและโจทก์สอบเข้ารับราชการได้ ปี 2524 เริ่มเกิดเหตุทะเลาะกัน โจทก์มีพฤติการณ์ส่อว่าจะมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับผู้หญิงอื่นนับแต่ปี 2524 จำเลยหึงหวงเป็นเหตุให้ทะเลาะกันมาโดยตลอด ข้อเท็จจริงได้ความด้วยว่านายณรงค์ศักดิ์ พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับโจทก์เคยมาขอยืมเงินโจทก์ไป 20,000 บาท แล้วยังใช้คืนไม่หมด ต่อมานายณรงค์ศักดิ์ขอให้โจทก์นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองที่สถาบันการเงินเพื่อนำเงินกู้มาเป็นค่าใช้จ่ายเดินทางไปทำงานต่างประเทศอีก จำเลยไม่ยอมลงชื่อให้ความยินยอมในการจดทะเบียนจำนอง จึงเกิดทะเลาะกัน จำเลยเขียนบันทึกวางบนโต๊ะทำงานในบ้าน โจทก์กลับมาบ้านได้พบ อ่านแล้วเขียนข้อความโต้ตอบ ต่อมาโจทก์จึงขนของแยกไปพักอาศัยที่บ้านพักข้าราชการ เมื่อพิจารณาข้อความที่จำเลยเขียนขึ้นแล้ว เห็นได้ว่า โจทก์ด่าว่าจำเลยก่อนว่า โจทก์กับจำเลยเป็นบุคคลคนละชั้นกัน จำเลยจึงลำเลิกบุญคุณด่ากลับทำนองว่าเคยเลี้ยงดูส่งเสียโจทก์มาก่อน จำเลยทำคุณกับโจทก์ไม่ขึ้น ทำดีมานาน 30 ปี แล้วไม่ได้ดี ข้อที่จำเลยพูดห้ามนางพิชามญชุ์ไม่ให้เข้าใกล้โจทก์และว่าไอ้คนนี้ถ้าคลำไม่มีหางมันเอาหมด ก็สืบเนื่องมาจากโจทก์เดินกอดคอนางสาวพิชามญชุ์ซึ่งขณะนั้นอายุ 14 ปี ซึ่งย่างเข้าสู่วัยสาวแล้วเดินไปตามถนนในหมู่บ้านโดยที่โจทก์มีพฤติกรรมดังกล่าว การที่จำเลยพูดถ้อยคำดังกล่าวน่าจะกระทำไปโดยเจตนาเตือนให้บุตรสาวระมัดระวังตัวไว้ เพียงแต่ใช้ถ้อยคำอันไม่สมควรเยี่ยงมารดาทั่วไปเท่านั้น ส่วนเรื่องดูหมิ่นเหยียดหยามมารดาโจทก์นั้น บิดามารดาโจทก์ไม่อยากได้จำเลยเป็นลูกสะใภ้ เพราะจำเลยเป็นนักร้องทำงานกลางคืนทำให้โจทก์เสื่อมเสีย เมื่อมาที่บ้านก็บอกให้เลิกยุ่งกับโจทก์จึงทะเลาะกัน จำเลยเคยบอกพยานขอหย่าให้มารดาโจทก์มาพักที่บ้านจำเลยอีก เพราะมาทีไรก็ทำให้โจทก์จำเลยทะเลาะกัน การที่จำเลยพูดว่าทำนองเหยียดหยามโจทก์และมารดาโจทก์จึงน่าจะเกิดจากโจทก์และมารดาโจทก์มีส่วนร่วมก่อให้จำเลยกระทำการดังกล่าวอยู่มาก เรื่องที่โจทก์จำเลยทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของสามีภริยาที่อยู่ด้วยกัน ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้โดยถนัดว่าจำเลยดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์และมารดาโจทก์อย่างร้ายแรงอันโจทก์จะอ้างเป็นเหตุหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (3)” พิพากษายืน
|