ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ฟ้องโมฆะ & หย่า / อายุความ / ค่าเลี้ยงชีพ แยกกันอยู่เกิน 3 ปี, (ฎีกา 10770/2558)

คำพิพากษาศาลฎีกา 10770/2558, ฟ้องสมรสโมฆะ, ฟ้องโมฆะเพราะฉ้อฉล, อายุความคดีครอบครัว, สิทธิฟ้องหย่า, ค่าเลี้ยงชีพตาม ป.พ.พ., แยกกันอยู่เกิน 3 ปี, ยื่นคำร้องพิจารณาคดีใหม่, แก้ไขคำฟ้อง, นิติปรัชญาคดีครอบครัว, การตีความประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

  ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ 

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการฟ้องโมฆะของการสมรส โดยโจทก์อ้างว่าถูกฉ้อฉลในการจดทะเบียนสมรสซ้อน จึงขอบอกล้างโมฆะกรรม และหลังคำพิพากษาศาลชั้นต้นถูกยกโดยศาลฎีกา จึงมีการกลับเข้าสถานะสมรสตามกฎหมาย ขณะเดียวกัน มีประเด็นการฟ้องหย่าในภายหลังว่า จำเลยสามารถฟ้องหย่าได้หรือไม่ และจำเลยมีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพได้หรือไม่ ภายใต้เงื่อนไขว่าคู่สมรสแยกกันอยู่มาเป็นเวลานานกว่า 3 ปี โดยศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นอายุความ สิทธิฟ้องหย่า และหลักเกณฑ์การเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพได้อย่างละเอียด

ข้อเท็จจริงของคดี

โจทก์ยื่นฟ้องให้การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็น โมฆะ โดยอ้างว่าเป็นการจดทะเบียนซ้อน

จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนฯ กำหนดให้ดำเนินการตั้งแต่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง

โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องใหม่ โดยอ้างว่า โจทก์ถูก “ฉ้อฉล” เมื่อจดทะเบียนสมรส จำเลยจึงควรถูกบอกล้างโมฆะ

ข้อหาเดิมจึงถูกยกเลิกและเปลี่ยนเป็นข้อหาใหม่ (การฉ้อฉล) — ทำให้ข้อหาดั้งเดิมสิ้นสุด

หลังจากนั้น โจทก์อุปการะเลี้ยงดูและยกย่อง “ภริยารอง” (โจทก์ร่วม) ตั้งแต่ปี 2550 — มีบุตรด้วยกัน

ต่อมา โจทก์และจำเลยแยกกันอยู่ตั้งแต่ปลายปี 2538 ถึงวันที่ฟ้อง (ราว 16 ปี) โดยไม่มีความพยายามกลับมาอยู่ร่วมกัน

โจทก์ฟ้องหย่าและจำเลยฟ้องแย้งเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพ / แบ่งสินสมรส / ค่าเสียหาย

ศาลชั้นต้น พิพากษาให้หย่าและให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดู / ค่าเลี้ยงชีพ

ศาลอุทธรณ์แก้ให้ลดจำนวนเงินและเงื่อนไข

โจทก์และจำเลยฎีกาต่อศาลฎีกา

ประเด็นที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัย

ศาลฎีกามีดุลยพินิจในการวินิจฉัยประเด็นสำคัญดังนี้:

1. ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ — โดยโจทก์อ้างว่า การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลย ทำให้อายุความ “สะดุด/หยุด”

2. จำเลยมีสิทธิหย่าโจทก์หรือไม่ โดยอ้างอิงการอุปการะเลี้ยงดูและยกย่องโจทก์ร่วม

3. จำเลยมีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพหรือไม่ — เมื่อโจทก์อ้างว่า ทั้งสองสมัครใจแยกกันอยู่

4. ความถูกต้องของการยกคำร้อง / การแก้ไขคำฟ้องใหม่ (การยกเลิกข้อหาเดิม)

5. ผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ถูกยก – ผลทางสถานะสมรส

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลย มิใช่เป็นเหตุให้ “อายุความสะดุด” เพราะคำฟ้องเดิมถูกยกเลิก (โจทก์สละข้อหาเดิม) ทำให้สิทธิเรียกร้องเดิมสิ้นสุด

โจทก์แก้ไขคำฟ้องใหม่โดยอ้างฉ้อฉล และเสนอเป็นสิทธิใหม่ — แต่ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ยื่นแก้ไขเกินเวลาที่กฎหมายให้ (เกิน 90 วัน) เมื่อจำเลยได้นำพยานหลักฐานให้โจทก์ต้องรู้ — จึงฟ้องโมฆะข้อนี้ขาดอายุความ

ในประเด็นสิทธิหย่า — ศาลเห็นว่า เมื่อศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ผลคือ คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นอันสิ้นผล สถานะสมรสกลับคืนตามปกติ จำเลยจึงเป็นภริยาตามกฎหมาย และมีสิทธิฟ้องหย่าได้

ในประเด็นค่าเลี้ยงชีพ — ศาลรับฟังว่า โจทก์และจำเลยแยกกันอยู่เป็นเวลานาน (16 ปี) โดยไม่มีการกลับมาอยู่ร่วมกัน พฤติการณ์ฟังได้ว่าเป็น “การสมัครใจแยกกันอยู่” เพราะอยู่ร่วมกันไม่ได้ตามปกติสุข > จึงไม่อาจถือเป็น “ความผิดฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด” ตามมาตรา 1526 เพื่อให้จำเลยเรียกค่าเลี้ยงชีพได้

ศาลยืนตามศาลอุทธรณ์ในส่วนที่แก้ไขและให้ศาลชั้นต้นรวมผลคำพิพากษาใหม่

⚖️ ประเด็นสำคัญที่สุดของคดี

คดีนี้เกี่ยวข้องกับ การฟ้องให้การสมรสเป็นโมฆะเพราะถูกฉ้อฉล, การนับอายุความในการใช้สิทธิบอกล้างโมฆียะกรรม, และสิทธิในการฟ้องหย่าและเรียกค่าเลี้ยงชีพหลังจากคู่สมรสแยกกันอยู่เป็นเวลานาน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อคู่สมรสฝ่ายหนึ่งแก้ไขคำฟ้องใหม่แทนฟ้องเดิม ถือเป็นการสละข้อหาเดิม ทำให้สิทธิฟ้องตามฟ้องเดิมสิ้นสุดลง และการยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของอีกฝ่าย ไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง เมื่อรู้เหตุฉ้อฉลแล้วไม่ฟ้องภายใน 90 วัน สิทธิบอกล้างโมฆียะกรรมย่อมขาดอายุความ

ขณะเดียวกัน ศาลยังชี้ว่า เมื่อคำพิพากษาศาลล่างถูกยกเลิก การสมรสยังคงมีผลตามกฎหมาย คู่สมรสฝ่ายหญิงจึงมีสิทธิฟ้องหย่าได้ แต่ไม่สามารถเรียกค่าเลี้ยงชีพได้ เพราะการแยกกันอยู่เป็นไปโดยสมัครใจและไม่มีฝ่ายใดผิดฝ่ายเดียว

📜 มาตรากฎหมายสำคัญที่ใช้ในคดี

1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1508

– กำหนดสิทธิในการเพิกถอนการสมรสที่เกิดจากการฉ้อฉล การข่มขู่ หรือสำคัญผิดตัว ภายในระยะเวลา 90 วันนับแต่วันที่รู้เหตุ

(เป็นมาตราหลักในการวินิจฉัยอายุความของสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรม)

2. มาตรา 1516 (1)

– เหตุฟ้องหย่า เมื่อสามีภริยาอยู่กินกันไม่ได้โดยปกติสุข หรือแยกกันอยู่เกิน 3 ปี

(ใช้พิจารณาสิทธิในการหย่าและพฤติการณ์การแยกกันอยู่)

3. มาตรา 1526

– การเรียกค่าเลี้ยงชีพทำได้เฉพาะเมื่อการหย่าเกิดจากความผิดของอีกฝ่ายฝ่ายเดียว

(เป็นหลักในการวินิจฉัยปฏิเสธสิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพของจำเลย)

4. มาตรา 1529 วรรคหนึ่ง

– การฟ้องหย่าต้องทำภายในระยะเวลาที่กำหนด หากปล่อยไว้นานเกินไปสิทธิดังกล่าวอาจขาดอายุความ

(ใช้ยืนยันว่าการกระทำของโจทก์เป็นเหตุต่อเนื่อง จึงไม่ขาดอายุความในส่วนการฟ้องหย่า)

5. หลักทั่วไปเรื่องอายุความและการสะดุดหยุดลง

– การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ไม่ทำให้อายุความสะดุด หากคู่กรณีได้สละข้อหาเดิมและตั้งฟ้องใหม่

(ศาลใช้หลักนี้อธิบายว่าการฟ้องแก้ไขใหม่ไม่ต่ออายุสิทธิเดิม)

 

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1508 “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะคู่สมรสสำคัญผิดตัว หรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่ เฉพาะแต่คู่สมรสที่สำคัญผิดตัว หรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่เท่านั้น ขอเพิกถอนการสมรสได้”  มาตรา 1516  “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้ (1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”  มาตรา 1526 “ในคดีหย่า ถ้าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว และการหย่านั้นจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลง เพราะไม่มีรายได้พอจากทรัพย์สินหรือจากการงานตามที่เคยทำอยู่ระหว่างสมรส อีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะขอให้ฝ่ายที่ต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้ได้ ค่าเลี้ยงชีพนี้ศาลอาจให้เพียงใดหรือไม่ให้ก็ได้ โดยคำนึงถึงความสามารถของผู้ให้และฐานะของผู้รับ และให้นำบทบัญญัติมาตรา 1598/39 มาตรา 1598/40 และมาตรา 1598/41 มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

 

🗝️ Keywords สำคัญที่สุดของคดี (5 ข้อความพร้อมขยาย)

1. โมฆะสมรส (Void Marriage)

– ศาลวินิจฉัยว่าการสมรสที่เกิดจากการฉ้อฉลอาจเป็นโมฆียะ และเมื่อมีการบอกล้างตามกฎหมาย ย่อมถือเป็นโมฆะมาแต่ต้น

2. อายุความ 90 วัน (Time Limit 90 Days)

– สิทธิบอกล้างโมฆียะกรรมการสมรสเพราะฉ้อฉลต้องใช้ภายใน 90 วันนับแต่รู้เหตุ หากฟ้องเกินกำหนดย่อมขาดอายุความ

3. การแก้ไขคำฟ้องใหม่ (Amended Complaint)

– การยื่นฟ้องใหม่แทนฟ้องเดิมถือเป็นการสละสิทธิข้อหาเดิม ทำให้การพิจารณาคดีใหม่ของอีกฝ่ายไม่หยุดอายุความ

4. สิทธิฟ้องหย่า (Right to Divorce)

– เมื่อศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลล่าง การสมรสยังมีผลตามกฎหมาย ฝ่ายหญิงซึ่งเป็นภริยาโดยชอบย่อมมีสิทธิฟ้องหย่าได้

5. ค่าเลี้ยงชีพและการแยกกันอยู่ (Alimony & Separation)

– การแยกกันอยู่โดยสมัครใจมานานกว่า 3 ปีโดยไม่มีฝ่ายใดผิดฝ่ายเดียว ไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 1526 จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพ

การวิเคราะห์ประเด็นกฎหมาย 

1 อายุความ & การ “สะดุด/หยุด”

โดยทั่วไป สิทธิฟ้องคดีแพ่ง (เช่นฟ้องโมฆะ) มีระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้ต้องฟ้องภายใน

โจทก์อ้างว่ายื่นคำร้องให้พิจารณาคดีใหม่ส่งผลให้ อายุความ “สะดุด” — แต่ศาลฎีกาเห็นว่า เพราะโจทก์ได้ สละ / ยกเลิกข้อหาเดิม แล้ว การยื่นคำร้องใหม่จึงไม่ใช่การ “สะดุด” ตามกฎหมาย

เมื่อโจทก์รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฉ้อฉล (เมื่อจำเลยนำทะเบียนหย่าเข้าเป็นพยาน) แล้วนับวันถึงวันที่แก้ไขคำฟ้องเกิน 90 วัน สิทธิฟ้องข้อนี้จึงสิ้นอายุ — ศาลฎีกาไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นฉ้อฉลอีก

2 สิทธิฟ้องหย่าในภายหลัง

หลักการ: การที่ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลล่างนั้น ส่งผลให้คำพิพากษาศาลชั้นต้น “สิ้นผล” — คู่สมรสกลับอยู่ในสถานะสมรสตามกฎหมาย

เมื่อจำเลยกลับเป็นภริยาตามกฎหมาย มีสิทธิฟ้องหย่า

การอุปการะเลี้ยงดู / ยกย่องโจทก์ร่วมในช่วงที่คำพิพากษาศาลชั้นต้นยังอยู่ มิอาจอ้างเป็นเหตุหักล้างสถานะสมรส

3 ค่าเลี้ยงชีพ — หลักเกณฑ์และเงื่อนไข

ตามมาตรา 1526 ป.พ.พ. หากเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายที่ “ไม่ผิด” อาจเรียกค่าเลี้ยงชีพได้

แต่ถ้าความผิดกระทำโดยทั้งสองฝ่าย หรือเป็นเหตุอื่นที่ไม่เป็น “ความผิดฝ่ายเดียว” — ไม่มีสิทธิเรียก

ในคดีนี้ คู่สมรสแยกกันอยู่เป็นเวลานาน (16 ปี) โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างฟ้องร้องโต้แย้ง ไม่มีการแสดงเจตนาคืนดี — จึงฟังได้ว่า ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดฝ่ายเดียว > จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพ

4 ผลคำพิพากษาศาลชั้นต้น & การรวมคำพิพากษาใหม่

เมื่อศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาใหม่ตั้งแต่ต้น (ถ่ายคำพิพากษาใหม่) — ค่าฤชาธรรมเนียม / ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้รวมในคำพิพากษาใหม่

ศาลฎีกาสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลอนาคต 100 บาท

IRAC (Issue / Rule / Application / Conclusion) — ขยายแบบ SEO-Friendly

Issue (ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย):

1. การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลย จะถือเป็นเหตุให้ “อายุความสะดุด/หยุด” สำหรับสิทธิฟ้องโมฆะหรือไม่?

2. จำเลยมีสิทธิฟ้องหย่าโจทก์ได้หรือไม่ ภายใต้สถานะที่คำพิพากษาศาลล่างถูกยก?

3. จำเลยมีสิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์หรือไม่ เมื่อทั้งสองฝ่ายแยกกันอยู่เป็นเวลายาวนาน?

Rule (กฎหมาย / หลักเกณฑ์ที่ใช้):

หลักทั่วไปของอายุความตามกฎหมายแพ่ง

กฎหมายว่าด้วย “การสะดุด / หยุด” อายุความ (กรณีฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้อง)

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (เหตุฟ้องหย่า)

มาตรา 1526 (การเรียกค่าเลี้ยงชีพ เงื่อนไข “ความผิดฝ่ายเดียว”)

หลักว่าเมื่อศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น — ผลให้สถานะกลับคืน และคำพิพากษานั้นสิ้นผล

Application (การประยุกต์ใช้หลักกฎหมายกับข้อเท็จจริง):

โจทก์อ้างว่าการยื่นคำร้องใหม่สะดุดอายุความ — ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์สละข้อหาเดิมแล้วจึงมิใช่การสะดุด

เมื่อจำเลยนำทะเบียนหย่ามาเป็นพยาน ทำให้โจทก์ทราบเหตุ ฉะนั้นโอกาสยื่นคำฟ้องใหม่เกิน 90 วัน จึงสิทธิฟ้องโมฆะข้อนั้นขาดอายุ

ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น — ทำให้สถานะสมรสกลับคืน และจำเลยกลายเป็นภริยาตามกฎหมาย

ในชั้นประเด็นค่าเลี้ยงชีพ — การแยกกันอยู่ยาวนาน บรรยากาศฟ้องร้องทั้งสองฝ่าย ส่อให้เป็น “สมัครใจแยกกันอยู่” ไม่มีฝ่ายใดผิดฝ่ายเดียว — จึงไม่เข้าข้อเรียกตาม มาตรา 1526

Conclusion (บทสรุปในทางกฎหมาย):

สิทธิฟ้องโมฆะโดยโทษฉ้อฉลฟ้องใหม่ของโจทก์ ขาดอายุความ

จำเลย มีสิทธิฟ้องหย่า โจทก์ได้

จำเลย ไม่มีสิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพ จากโจทก์

ศาลฎีกายืนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนที่ชอบ และให้รวมคำพิพากษาใหม่ในชั้นต้น

ข้อสรุปและข้อคิดทางกฎหมาย

ข้อสรุป:

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10770/2558 เป็นกรณีศึกษาในเรื่องฟ้องโมฆะและหย่าในคดีครอบครัวที่ซับซ้อน โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสิทธิฟ้องโมฆะตามข้ออ้างฉ้อฉลขาดอายุ เมื่อโจทก์แก้ไขคำฟ้องเกินระยะเวลา และถือว่าการยื่นคำร้องเพื่อพิจารณาคดีใหม่ไม่ทำให้อายุความหยุด นอกจากนี้ ศาลชี้ว่าเมื่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นถูกยก ผลคือสถานะสมรสกลับคืนมา จึงให้จำเลยมีสิทธิฟ้องหย่า แต่จำเลยไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพ เนื่องจากไม่แสดงให้เห็นว่าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดฝ่ายเดียว

ข้อคิดทางกฎหมาย:

การแก้ไขคำฟ้องใหม่หรือยกเลิกข้อหาเดิม ควรระมัดระวังเรื่องระยะเวลาและอายุความ

การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ไม่อาจอาศัยเป็นเครื่องมือหยุดอายุความเสมอไป

เมื่อคำพิพากษาศาลล่างถูกยกผลอาจพลิกสถานะทางกฎหมาย (เช่น ภริยากลับคืน)

ในคดีหย่า หากคู่สมรสแยกกันอยู่เป็นเวลานานโดยสมัครใจโดยไม่มีฝ่ายใดผิดชัดเจน จะเป็นอุปสรรคต่อการเรียกค่าเลี้ยงชีพ


⚖️ คำถามที่ 1 (ประเด็นข้อเท็จจริง + อายุความฟ้องโมฆะ)

คำถาม:

การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ จะถือว่าเป็นเหตุให้ “อายุความสะดุดหยุดลง” สำหรับสิทธิฟ้องของโจทก์หรือไม่?

คำตอบ:

ไม่ถือเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง เพราะคดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องให้การสมรสเป็นโมฆะเนื่องจากจดทะเบียนสมรสซ้อน แต่ภายหลังโจทก์ได้ขอแก้ไขคำฟ้องใหม่โดยอ้างเหตุ “ถูกฉ้อฉลในการสมรส” ซึ่งเท่ากับว่าโจทก์ได้สละข้อหาเดิมและเปลี่ยนเป็นข้อหาใหม่แล้ว ดังนั้น การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยจึงไม่ทำให้อายุความของสิทธิฟ้องใหม่สะดุดหยุดลง อีกทั้งเมื่อโจทก์ทราบเหตุแห่งการฉ้อฉลแล้วไม่ได้ฟ้องภายใน 90 วัน สิทธิขอเพิกถอนการสมรสเพราะฉ้อฉลจึงขาดอายุความตามกฎหมาย

อ้างอิงกฎหมายที่ใช้:

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยเรื่อง การเพิกถอนนิติกรรมเพราะถูกฉ้อฉล และหลักเกณฑ์การนับอายุความ 90 วันนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงเหตุแห่งการเพิกถอน


⚖️ คำถามที่ 2 (ประเด็นสิทธิหย่าและค่าเลี้ยงชีพ)

คำถาม:

เมื่อคู่สมรสแยกกันอยู่โดยสมัครใจมาเกิน 3 ปี และต่างฝ่ายต่างฟ้องร้องกันเรื่อยมา โดยไม่มีฝ่ายใดพยายามกลับไปอยู่ร่วมกันอีก จำเลยยังมีสิทธิเรียกร้อง “ค่าเลี้ยงชีพ” จากโจทก์ได้หรือไม่?

คำตอบ:

ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพ เพราะศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พฤติการณ์ที่โจทก์และจำเลยแยกกันอยู่เป็นเวลานานกว่า 16 ปี โดยไม่แสดงเจตนาจะกลับมาคืนดี และต่างฝ่ายต่างดำเนินคดีต่อกัน แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายสมัครใจแยกกันอยู่เพราะไม่สามารถอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมา แม้จะมีเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (1) แต่ไม่ใช่ความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เพียงฝ่ายเดียว จึงไม่เข้าเกณฑ์ตาม มาตรา 1526 ที่จะให้จำเลยเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์ได้

อ้างอิงกฎหมายที่ใช้:

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (1) — เหตุฟ้องหย่าเพราะอยู่กินไม่ได้โดยปกติสุขเกิน 3 ปี

และมาตรา 1526 — การเรียกค่าเลี้ยงชีพต้องเกิดจากความผิดฝ่ายเดียว


📜 มาตรากฎหมายสำคัญที่ใช้ในคดี 1.	ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1508 – กำหนดสิทธิในการเพิกถอนการสมรสที่เกิดจากการฉ้อฉล การข่มขู่ หรือสำคัญผิดตัว ภายในระยะเวลา 90 วันนับแต่วันที่รู้เหตุ (เป็นมาตราหลักในการวินิจฉัยอายุความของสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรม) 2.	มาตรา 1516 (1) – เหตุฟ้องหย่า เมื่อสามีภริยาอยู่กินกันไม่ได้โดยปกติสุข หรือแยกกันอยู่เกิน 3 ปี (ใช้พิจารณาสิทธิในการหย่าและพฤติการณ์การแยกกันอยู่) 3.	มาตรา 1526 – การเรียกค่าเลี้ยงชีพทำได้เฉพาะเมื่อการหย่าเกิดจากความผิดของอีกฝ่ายฝ่ายเดียว (เป็นหลักในการวินิจฉัยปฏิเสธสิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพของจำเลย)

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10770/2558

เดิมโจทก์ฟ้องว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะเพราะจดทะเบียนสมรสซ้อน จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่นับแต่การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอเสนอคำฟ้องฉบับใหม่อ้างว่าโจทก์สมรสกับจำเลยเพราะถูกกลฉ้อฉลจึงขอบอกล้างโมฆียะกรรมเท่ากับว่าโจทก์สละหรือยกเลิกข้อหาในฟ้องเดิมและแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อหาใหม่ตามคำฟ้องฉบับใหม่แล้ว ข้อหาตามคำฟ้องเดิมจึงเป็นอันยุติไป การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยจึงไม่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง

โจทก์อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องโจทก์ร่วมฉันสามีภริยาตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งในขณะนั้นศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงเป็นอันสิ้นผลไปทำให้โจทก์และจำเลยกลับคืนสู่สถานะเดิมหมายถึงการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยยังคงมีอยู่ตามกฎหมาย จำเลยย่อมมีสิทธิและได้รับการคุ้มครองในฐานะภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อโจทก์อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องโจทก์ร่วมเป็นภริยาจนมีบุตรด้วยกันจนถึงวันที่มีการสืบพยานโจทก์และจำเลย การกระทำของโจทก์เป็นเหตุต่อเนื่องที่ยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาโดยมิได้หยุดการกระทำหรือหมดสิ้นไป จำเลยยังคงมีสิทธิฟ้องหย่าโจทก์ได้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1529 วรรคหนึ่ง

โจทก์และจำเลยแยกกันอยู่ตั้งแต่ปลายปี 2538 จนถึงวันฟ้องและฟ้องแย้งเป็นเวลาประมาณ 16 ปี โดยไม่ปรากฏว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีความพยายามที่จะกลับไปอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาอีก คงมีแต่การฟ้องคดีกันทั้งสองฝ่าย พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยต่างสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินกว่า 3 ปี แม้คดีจะมีเหตุฟ้องหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (1) ประกอบด้วย แต่ก็ถือไม่ได้ว่าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียว กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์มาตรา 1526 จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ เนื่องจากเป็นการจดทะเบียนสมรสซ้อน

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและกระบวนพิจารณาต่อจากนั้นตลอดจนคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตั้งแต่ชั้นส่งคำคู่ความ แล้วมีคำพิพากษาต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งในคำพิพากษาใหม่

โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยยื่นฟ้องฉบับใหม่ว่า โจทก์เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย จดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2527 ต่อมาเดือนมกราคม 2542 โจทก์ทราบว่าจำเลยจดทะเบียนสมรสกับนาย ภ. ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2524 เมื่อจำเลยจดทะเบียนหย่ากับนาย ภ. จำเลยต้องใช้คำนำหน้าชื่อว่านาง และใช้ชื่อสกุลเดิมของจำเลย แต่ขณะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ จำเลยกลับแสดงบัตรประจำตัวประชาชนต่อนายทะเบียน โดยมีคำนำหน้าชื่อว่า นางสาว จ. และให้ถ้อยคำต่อนายทะเบียนว่า จำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรสไว้ ณ สำนักทะเบียนใดอยู่ก่อนซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยต้องแจ้งว่า ตนจดทะเบียนสมรสมาก่อนและจดทะเบียนหย่าแล้ว การกระทำดังกล่าวทำให้โจทก์หลงเชื่อว่าจำเลยไม่เคยจดทะเบียนสมรสมาก่อนจึงเป็นการฉ้อฉลต่อโจทก์ ซึ่งหากโจทก์รู้ความจริงว่าจำเลยเคยจดทะเบียนสมรสมาก่อนแล้ว โจทก์จะไม่จดทะเบียนสมรสกับจำเลย จึงเป็นการจดทะเบียนสมรสโดยถูกฉ้อฉลอันถึงขนาด การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆียะและภายหลังจดทะเบียนสมรส โจทก์กับจำเลยมีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นาย พ. และนางสาว ว. โจทก์ขอใช้สิทธิบอกล้างโมฆียะกรรม และให้ถือว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก ให้โจทก์และจำเลยกลับคืนสู่ฐานะเดิม ขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องเพื่อบอกล้างโมฆียะกรรมการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2527 และให้การสมรสตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก ให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะเดิม ให้มีหนังสือแจ้งคำพิพากษาไปยังนายทะเบียนอำเภอเมืองนนทบุรีเรื่องการสมรสเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรกและให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนการรับรองนาย พ. และนางสาว ว. เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์

จำเลยให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งพิพากษาให้จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา ให้โจทก์จ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่จำเลย 49,920,000 บาท และในอัตราเดือนละ 260,000 บาท นับถัดจากวันยื่นคำให้การและฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะสมรสใหม่ ให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลย 57,600,000 บาท และในอัตราเดือนละ 300,000 บาท นับถัดจากวันยื่นคำให้การและฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะสมรสใหม่ ให้โจทก์แบ่งสินสมรสให้จำเลยกึ่งหนึ่ง 500,000,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหาย 300,000,000 บาท แก่จำเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่ากันเนื่องจากเหตุทั้งสองฝ่ายสมัครใจแยกกันอยู่เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาเกิน 3 ปี

ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกนางสาว ล. เข้ามาเป็นจำเลยฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกนางสาว ล. เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม (จำเลยฟ้องแย้ง) ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งและถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องแย้งเฉพาะในประเด็นเรื่องขอแบ่งสินสมรสและค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายในกำหนดและโจทก์ไม่ติดใจในคำขอท้ายฟ้องเกี่ยวกับบุตรทั้งสอง

โจทก์ร่วมให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่ากันและให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่จำเลยเป็นเงิน 9,596,500 บาท และต่อไปอีกเดือนละ 51,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้ง (ฟ้องแย้งวันที่ 6 กรกฎาคม 2554) เป็นต้นไปจนถึงวันที่คำพิพากษาถึงที่สุดและให้โจทก์จ่ายค่าเลี้ยงชีพให้แก่จำเลยอีกเดือนละ 50,000 บาท นับถัดจากวันที่คำพิพากษาถึงที่สุดเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะสมรสใหม่ ให้ยกฟ้องโจทก์กับให้เพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้เรียกนางสาว ล. เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนคำฟ้องและคำฟ้องแย้งให้เป็นพับ

โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่จำเลย 3,600,000 บาท และต่อไปอีกเดือนละ 30,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้ง (ฟ้องแย้งวันที่ 6 กรกฎาคม 2554) จนกว่าคดีถึงที่สุด ยกคำขอตามฟ้องแย้งที่ขอค่าเลี้ยงชีพ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ในส่วนคำฟ้องและคำฟ้องแย้งให้เป็นพับ

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังว่า โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2527 มีบุตรด้วยกันสองคน คือ นาย พ. และนางสาว ว.

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ จึงถือได้ว่าจำเลยกระทำการใดๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่า ยอมรับสภาพตามสิทธิฟ้องร้องของโจทก์ อายุความย่อมสะดุดหยุดลงนับแต่วันยื่นคำร้องและการยื่นคำฟ้องฉบับเดิมว่าการสมรสเป็นโมฆะเป็นการตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้อง อายุความจึงสะดุดหยุดลง นับแต่เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดถึงวันที่โจทก์เสนอคำฟ้องฉบับแก้ไขต่อศาลยังไม่เกินเก้าสิบวัน ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ เห็นว่า คดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะเพราะจดทะเบียนสมรสซ้อน จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่นับแต่การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอเสนอคำฟ้องฉบับใหม่อ้างว่า โจทก์สมรสกับจำเลยเพราะถูกกลฉ้อฉลจึงขอบอกล้างโมฆียะกรรมและให้การสมรสตกเป็นโมฆะแต่เริ่มแรก เท่ากับว่าโจทก์สละหรือยกเลิกข้อหาในฟ้องเดิมและแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อหาใหม่ตามคำฟ้องฉบับใหม่แล้ว ข้อหาตามคำฟ้องเดิมจึงเป็นอันยุติไป การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลย จึงไม่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่า จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้แจ้งชัดว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเกินกว่าเก้าสิบวัน นับจากวันที่โจทก์รู้ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2549 จึงไม่เกิดประเด็นเรื่องอายุความนั้น เห็นว่า โจทก์ไม่เคยโต้แย้งคัดค้านประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2548 ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2549 ในวันไต่สวนคำร้องจำเลยได้นำหลักฐานการจดทะเบียนหย่ามาเป็นพยานหลักฐานในคดี ถือว่าโจทก์ย่อมต้องรู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฉ้อฉลนับแต่วันดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่โจทก์แก้ไขคำฟ้องวันที่ 8 เมษายน 2554 เป็นระยะเวลาเกินกว่าเก้าสิบวัน สิทธิขอเพิกถอนการสมรสเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นอันระงับไป จึงฟังได้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความและไม่จำต้องวินิจฉัยถึงปัญหาที่ว่าโจทก์สมรสโดยถูกกลฉ้อฉลหรือไม่อีก ที่ศาลล่างพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีสิทธิฟ้องหย่าโจทก์ เพราะเหตุที่โจทก์อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องหญิงอื่นฉันภริยาหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า ขณะโจทก์อยู่กินกับโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ โจทก์ควรได้รับการรับรองคุ้มครองตามคำพิพากษาจึงไม่อาจฟังได้ว่าโจทก์อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องโจทก์ร่วมเป็นภริยา เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่า โจทก์อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องโจทก์ร่วมฉันภริยาตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งในขณะนั้นศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะแล้ว แต่เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงเป็นอันสิ้นผลไป ทำให้โจทก์และจำเลยกลับคืนสู่สถานะเดิมหมายถึงการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยยังคงมีอยู่ตามกฎหมาย จำเลยย่อมมีสิทธิและได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายในฐานะภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จะกล่าวอ้างถึงการรับรองคุ้มครองตามคำพิพากษาซึ่งไม่มีผลผูกพันโจทก์กับจำเลยหาได้ไม่ เพราะตราบใดที่ยังไม่มีการหย่าหรือศาลพิพากษาให้เพิกถอนการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลย ต้องถือว่าโจทก์กับจำเลยยังคงเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่า ในปี 2550 โจทก์ได้อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องโจทก์ร่วมเป็นภริยาจนมีบุตรด้วยกันจนถึงวันที่มีการสืบพยานโจทก์และจำเลย ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทราบเรื่องโจทก์ยกย่องโจทก์ร่วมเป็นภริยา จำเลยไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปี คดีขาดอายุความ จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องคดีนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่า โจทก์ยังคงอุปการะเลี้ยงดูและยกย่องโจทก์ร่วมเป็นภริยาตลอดมา ลักษณะการกระทำของโจทก์เป็นเหตุต่อเนื่องที่ยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยมิได้หยุดการกระทำหรือหมดสิ้นไป จำเลยจึงยังคงมีสิทธิฟ้องหย่าโจทก์ได้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่ขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 วรรคหนึ่ง ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์และจำเลยว่า จำเลยมีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์หรือไม่ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งและนำสืบต่อสู้ว่า โจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่อันเป็นเหตุฟ้องหย่า โดยโจทก์เบิกความว่าประมาณเดือนตุลาคม 2538 จำเลยกลับมายังประเทศไทยเพื่อฟ้องโจทก์เกี่ยวกับที่ดินอันเป็นสินสมรสและยังมีเรื่องบาดหมางกับโจทก์อย่างรุนแรงโดยจำเลยแจ้งความเท็จกล่าวหาว่าบิดาโจทก์ใช้ผู้อื่นบุกรุกและลักทรัพย์ในเคหสถาน คดีดังกล่าวจำเลยได้รับเงิน 11,300,000 บาท จากผู้รับโอนที่ดินแต่กลับผลักภาระให้โจทก์รับผิดในหนี้ภาษีอากร ทั้งยังแจ้งความกล่าวหาโจทก์เป็นคดีอาญาว่าขับรถชนจำเลย ส่วนจำเลยเบิกความว่า โจทก์เป็นคนเจ้าชู้ สำส่อนทางเพศและชอบทำร้ายร่างกายจำเลย เมื่อเมาสุราจนเคยขอแยกทางกันมาก่อน หลังจากจำเลยกลับมายังประเทศไทยเมื่อปลายปี 2538 จำเลยพบว่าโจทก์มีพฤติการณ์ฉ้อฉลเงินค่าเลี้ยงดูและยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินสมรส ซึ่งจำเลยเชื่อว่าโจทก์ร่วมมือกับบิดาและน้องชายของโจทก์ จำเลยจึงฟ้องโจทก์กับน้องชายโจทก์ขอเพิกถอนการโอนที่ดินอันเป็นสินสมรส เมื่อจำเลยได้รับเงินในคดีมาก็มีผู้ปลอมลายมือชื่อของจำเลยทำหนังสือถึงกรมสรรพากรให้เรียกเก็บภาษีเงินได้จากจำเลย หลังจากนั้นโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้พิพากษาว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาว่าโจทก์เบิกความเท็จ และนำสืบแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ทางนำสืบของโจทก์และจำเลยสอดคล้องกันและบ่งชี้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่เหลือเยื่อใยต่อกันทั้งยังกระทำการเป็นปฏิปักษ์กันจนไม่น่าจะอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุขอีกต่อไป โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่า มีการแยกกันอยู่ตั้งแต่ปลายปี 2538 จนถึงวันฟ้องและฟ้องแย้งเป็นเวลาประมาณ 16 ปี โดยไม่ปรากฏว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีความพยายามที่จะกลับไปอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาอีก คงมีแต่การฟ้องคดีกันทั้งสองฝ่าย พฤติการณ์ฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยต่างสมัครใจแยกกันอยู่ เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินกว่า 3 ปี แม้คดีจะมีเหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (1) ประกอบด้วย แต่ก็ถือไม่ได้ว่าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียว กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526 จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง โจทก์ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูซึ่งได้รับยกเว้นไม่ต้องชำระค่าขึ้นศาลตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 155 การที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอนาคต 100 บาท มาด้วย จึงไม่ถูกต้อง

พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลอนาคต 100 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ


ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10770/2558 (เพื่อการเปรียบเทียบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย)

เพื่อให้ผู้ศึกษากฎหมายเข้าใจแนวทางการตีความของศาลฎีกาในคดีครอบครัวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถพิจารณาเปรียบเทียบคำพิพากษาศาลฎีกาอื่นที่มีประเด็นใกล้เคียงกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10770/2558 ได้ดังต่อไปนี้

1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2626/2518

คดีนี้เกี่ยวกับการสมรสและการหมั้นที่ขัดต่อเงื่อนไขทางกฎหมาย ศาลวินิจฉัยว่าการสมรสที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์กฎหมายถือเป็นโมฆะ เช่นเดียวกับในคดี 10770/2558 ที่ศาลต้องพิจารณาความสมบูรณ์ของการสมรสตามเจตนารมณ์ของคู่สมรสและความชอบด้วยกฎหมาย

2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1225/2535

เป็นคดีที่คู่สมรสฝ่ายหนึ่งร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสเป็นโมฆะ ศาลวินิจฉัยว่าการสมรสจะเป็นโมฆะได้ก็ต่อเมื่อมีการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายที่มีผลเป็นโมฆะเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับแนววินิจฉัยในคดี 10770/2558 ที่พิจารณาเรื่อง “การสมรสโดยฉ้อฉล” และผลของการฟ้องบอกล้างโมฆียะกรรม

3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4650/2565

เป็นคดีเกี่ยวกับผลทางทรัพย์สินของการสมรสที่เป็นโมฆะ ศาลวินิจฉัยว่า เมื่อการสมรสเป็นโมฆะแล้ว ย่อมไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส เช่นเดียวกับในคดี 10770/2558 ที่กล่าวถึงผลทางกฎหมายหลังจากศาลมีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและสถานะการสมรสกลับคืนมา จึงเป็นคดีที่สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง “สถานะสมรส” และ “สิทธิในทรัพย์สิน” ได้อย่างชัดเจน

4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2484

แม้ไม่ใช่คดีครอบครัวโดยตรง แต่เป็นคำพิพากษาสำคัญที่วางหลักเกี่ยวกับ “โมฆะกรรม” ซึ่งถือเป็นหลักพื้นฐานทางนิติกรรมทั่วไป ศาลวินิจฉัยว่า นิติกรรมที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีและความสงบเรียบร้อยของประชาชนย่อมเป็นโมฆะ หลักนี้สามารถนำมาเปรียบเทียบเพื่อทำความเข้าใจคำว่า “โมฆะสมรส” ได้ในเชิงกว้าง ว่าหากการสมรสเกิดจากการฝ่าฝืนกฎหมายหรือเจตนาที่ไม่สุจริต ก็ย่อมไม่มีผลตามกฎหมายเช่นเดียวกัน

5. แนวคำพิพากษาที่เกี่ยวกับมาตรา 1508 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1508 วางหลักว่าการสมรสที่เกิดจากการฉ้อฉล การข่มขู่ หรือความสำคัญผิดตัว สามารถถูกเพิกถอนได้ภายในกำหนดเวลา ซึ่งเป็นหัวใจเดียวกับคดี 10770/2558 ที่ศาลฎีกาวินิจฉัยเรื่องการฟ้องบอกล้างโมฆียะกรรมเพราะฉ้อฉล โดยกำหนดระยะเวลา 90 วันนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้เหตุแห่งการเพิกถอน เป็นแนวทางที่ผู้ศึกษากฎหมายควรศึกษาเพื่อทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมายครอบครัวเกี่ยวกับการสมรสที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป:

 

คำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้ล้วนช่วยขยายความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิด “โมฆะสมรส” และ “สิทธิทางกฎหมายภายหลังการสมรสที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ทั้งในด้านสถานะบุคคลและทรัพย์สิน ผู้ศึกษากฎหมายสามารถใช้เปรียบเทียบเพื่อทำความเข้าใจแนววินิจฉัยของศาลฎีกาที่แตกต่างกันตามบริบทของแต่ละคดี และเห็นพัฒนาการของหลักกฎหมายครอบครัวไทยในเรื่องความสมบูรณ์แห่งการสมรสและสิทธิของคู่สมรสที่แท้จริงได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

 

มาตรา 1526 ในคดีหย่า ถ้าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของคู่สมรสฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว และการหย่านั้นจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลง เพราะไม่มีรายได้พอจาก ทรัพย์สินหรือจากการงานตามที่เคยทำอยู่ระหว่างสมรส อีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะขอให้ฝ่ายที่ต้องรับผิด จ่ายค่าเลี้ยงชีพให้ได้ ค่าเลี้ยงชีพนี้ศาลอาจให้เพียงใดหรือไม่ให้ก็ได้ โดยคำนึงถึงความสามารถของผู้ให้และฐานะของผู้รับ

 




การสิ้นสุดแห่งการสมรส

สรุปเหตุ หย่า “ละทิ้งร้าง > สมัครใจแยกกันอยู่”มาตรา 1516, ป.พ.พ. มาตรา 1516(4/2),
หย่า ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4) vs (4/2)แยกกันอยู่, ละทิ้งร้าง, สมัครใจแยกกันอยู่, (ฎีกา 2345/2552)
ฟ้องหย่าเพราะภรรยาแจ้งความสามีไม่ได้ ศาลชี้สิทธิเลี้ยงดูยังมีอยู่(ฎีกา 2109/2567)
หย่าเพราะทรมานร่างกาย-จิตใจ (บังคับร่วมประเวณี)เหตุฟ้องหย่า (ฎีกา 8611/2557)
คดีหย่า & ค่าทดแทน, สิทธิฟ้องหย่า, (มาตรา 1518, 1523)(ฎีกา 2473/2556)
หย่า แบ่งสินสมรส, อำนาจปกครองบุตร, & คุ้มครองดอกผล (ฎีกา 10361/2557)
คดีหย่า & อำนาจปกครองบุตร, ค่าอุปการะเลี้ยงดู, (ฎีกา 5535/2558)
โมฆะสมรส & สิทธิอำนาจปกครองบุตร, สิทธิเลี้ยงดูบุตร (ฎีกา 10442/2558)
ความหมายว่า"ค่าอุปการะเลี้ยงดูจนกว่าจะสมรสใหม่และจนกว่าการสมรสสิ้นสุดลง"
คดีหย่า & ฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. ม.173, ฟ้องซ้ำ, (ฎีกา 8186/2551)
สิทธิครอบครองที่ดิน & เพิกถอนโฉนดออกโดยมิชอบ (ฎีกา 3169/2564)
ฟ้องหญิงอื่นเรียกค่าทดแทน (มาตรา 1523) (ฎีกา 4818/2551)
คดีหย่า & สิทธิฟ้องหย่า, อายุความคดีหย่า (การยินยอมและให้อภัย) (ฎีกา 3190/2549)
ค่าเลี้ยงดูบุตร & เพิกถอนโอนบ้าน, สัญญาหย่า, พินัยกรรม, (ฎีกา 6926/2560)
ฟ้องหย่า สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี, (ฎีกา, 2520/2549),
การหย่าโมฆะ & สิทธิในมรดกที่ดินพิพาท
สิทธิภริยาเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นเรื่องชู้สาว (ฎีกา 4261/2560)
กฎหมายฟ้องชู้ฉบับใหม่ 2568: สิทธิของคู่สมรสทุกเพศในการเรียกค่าทดแทนและฟ้องหย่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5259 - 5260/2561 : การรับฟังพยานบันทึกเสียง, สิทธิฟ้องหย่า, ค่าทดแทนชู้ และอำนาจปกครองบุตร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2562 เรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง
สมัครใจแยกกันอยู่, จงใจละทิ้งร้าง, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
สิทธิภริยาเรียกค่าทดแทนจากสามีและหญิงอื่น เหตุชู้สาวต่อเนื่องไม่ขาดอายุความ
การหย่าโดยสมยอมเพื่อฉ้อโกงเจ้าหนี้ – วิเคราะห์กฎหมายครอบครัวและสิทธิของเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4130/2548 สิทธิภริยาชอบด้วยกฎหมายเรียกร้องค่าทดแทนจากหญิงอื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523
สิทธิฟ้องหย่าและอำนาจปกครองบุตร: ศาลฎีกาวินิจฉัยกรณีสามีขับไล่ภริยา – คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4104/2564
การเปลี่ยนแปลงผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรและการปรับค่าเลี้ยงดูตามสถานการณ์ใหม่ (ฎีกาที่ 1218/2567)
แบ่งสินสมรส, สินสมรสที่เป็นเงินตรา, แบ่งสินสมรสหลังหย่า สิทธิและหน้าที่, สินส่วนตัวกับสินสมรส
คดีฟ้องหย่าและการแบ่งทรัพย์สิน, สิทธิการเรียกค่าเลี้ยงดูของโจทก์, การชำระค่าทดแทนในคดีแพ่ง, การบังคับคดีและสิทธิทายาทในมรดก
ข้อตกลงแบ่งค่าเช่าที่ดินในสัญญาหย่า
ฟ้องหย่าคู่สมรสวิกลจริต, คนไร้ความสามารถกับการหย่า, แบ่งทรัพย์สินหลังหย่าในกรณีคนวิกลจริต
การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
การหย่าโดยความยินยอมต้องทำอย่างไร?, หนังสือหย่า
สามีภริยาจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้างแต่ต้องเกิดจากความยินยอม
ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์
ไม่เกิดสิทธิฟ้องหย่าเพราะโจทก์มีพฤติกรรมนอกใจจำเลยยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี เหตุฟ้องหย่า
การสมรสสิ้นไปด้วยเหตุความตายของคู่สมรสฝ่ายหนึ่ง
อายุความฟ้องหย่า, บันทึกข้อตกลงหย่า, หลักกฎหมายมาตรา 1515,
สิทธิฟ้องค่าอุปการะเลี้ยงดูอันจะอยู่ในอายุความ 5 ปี , หน้าที่บิดามารดาในการเลี้ยงดูบุตร
การฟ้องหย่าด้วยเหตุหมิ่นประมาท, สิทธิการฟ้องหย่าหมดอายุความ
นำตำรวจจับกุมภริยา หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง
จงใจละทิ้งร้างภริยาไปเกินหนึ่งปีฟ้องหย่าได้, สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา
การจงใจทิ้งร้างไปเกินกว่า 1 ปีต้องในลักษณะที่ไม่หวนกลับไปหาคู่สมรสอีก
ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร
สิทธิฟ้องหย่าระงับไปเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีเว้นแต่เหตุฟ้องเกิดขึ้นต่อเนื่อง
เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ สิทธิเรียกร้องกำหนดอายุความ 5 ปี
เหตุฟ้องหย่าให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ยื่นฟ้องหย่า
สามีฟ้องหย่า,จงใจละทิ้งร้าง,เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ, อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นเป็นภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี ต้องเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุขด้วย
แยกกันอยู่เพราะสามีรับราชการที่อื่น, ไม่ถือว่าเป็นการแยกกันอยู่โดยความสมัครใจ
ทะเลาะกันและทำร้ายร่างกายยังไม่เป็นเหตุฟ้องหย่า
แยกกันอยู่เพราะสามียกย่องหญิงอื่น, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
ฟ้องหย่าจงใจละทิ้งร้างเรียกสินสอดทองหมั้นคืน
สามีหรือภริยาประพฤติชั่วอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
รู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่าจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่านั้นไม่ได้
พี่น้องของผู้ตายขอเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสซ้อนไม่ได้
อำนาจฟ้องขอเพิกถอนการสมรสเพราะสำคัญผิดตัว
ศาลมีอำนาจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้
ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก-ได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปี ฟ้องหย่าได้
สิทธิฟ้องหย่าระงับเมื่ออีกฝ่ายให้อภัยแล้ว
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปีฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะติดต่อกับบุตรของตนได้ตามสมควรแล้วแต่พฤติการณ์
ไม่อาจร่วมประเวณีได้ ต้องการฟ้องหย่า
แยกกันอยู่หรือจงใจละทิ้งร้าง? -อยู่บ้านเดียวกันแต่ก็มีลักษณะแบบต่างคนต่างอยู่
กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง
ไม่ถือว่าจำเลยประพฤติชั่วทำให้โจทก์อับอายถูกเกลียดชังจนเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะเรียกค่าทดแทนชู้สาวนั้นต้องแสดงตนโดยเปิดเผย
เหตุแห่งการฟ้องหย่าทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลงขอให้อีกฝ่ายหนึ่งจ่ายค่าเลี้ยงชีพได้
ฟ้องซ้ำ ค่าอุปการะเลี้ยงดู หนี้ที่ยังไม่ถึงกำหนด
การแบ่งสินสมรสและกรรมสิทธิ์รวม
หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามสามีหรือบุพการี
สัญญาระหว่างสมรสให้ทรัพย์สินของสามีตกเป็นของภริยาห้ามบอกล้าง
ขอเพิกถอนทะเบียนสมรสซ้อน สมรสซ้อนโดยไม่สุจริต
ทะเบียนสมรส ลงชื่อฝ่ายชายคนเดียว, เพิกถอนการรับบุตรบุญธรรม
ฟ้องหย่าอ้างเหตุสมัครใจแยกกันอยู่
ทำร้ายร่างกายถ้าเป็นการร้ายแรงฟ้องหย่าได้, ศาลปรับหนึ่งพันไม่เป็นการร้ายแรง
ฟ้องหย่าอ้างว่าจำเลยดูหมิ่นโจทก์และบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรง
การกระทำของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอันเป็นเหตุฟ้องหย่า
โจทก์ได้ให้อภัยจำเลยเรื่องทำร้ายร่างกายแล้วถือได้ว่าสิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้ย่อมหมดไป
ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน, การทำร้ายคู่สมรส
เหตุฟ้องหย่า เหตุที่ไม่อาจอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ มีอะไรบ้าง
ความสมบูรณ์ของการสมรส, ฟ้องให้การสมรสเป็นโมฆะ
การละเมิดเกิดขึ้นต่อเนื่องอายุความจึงยังไม่เริ่มนับคดีไม่ขาดอายุความ
การฟ้องหย่าและหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามี ไม่ฟ้องหย่า
ฟ้องหย่าอ้างสิทธิที่จะเลือกคู่ครองตามรัฐธรรมนูญ
รู้ว่าสามีไปมีหญิงอื่นเกินหนึ่งปีก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้,อายุความ
ฟ้องหย่าได้ที่ศาลใด
การหย่าโดยคำพิพากษาจะมีผลต่อเมื่อเวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุด
หนังสือร้องเรียนผู้บังคับบัญชาเรื่องความสัมพันธ์กับหญิงอื่น