
| ฟ้องโมฆะ & หย่า / อายุความ / ค่าเลี้ยงชีพ แยกกันอยู่เกิน 3 ปี, (ฎีกา 10770/2558)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการฟ้องโมฆะของการสมรส โดยโจทก์อ้างว่าถูกฉ้อฉลในการจดทะเบียนสมรสซ้อน จึงขอบอกล้างโมฆะกรรม และหลังคำพิพากษาศาลชั้นต้นถูกยกโดยศาลฎีกา จึงมีการกลับเข้าสถานะสมรสตามกฎหมาย ขณะเดียวกัน มีประเด็นการฟ้องหย่าในภายหลังว่า จำเลยสามารถฟ้องหย่าได้หรือไม่ และจำเลยมีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพได้หรือไม่ ภายใต้เงื่อนไขว่าคู่สมรสแยกกันอยู่มาเป็นเวลานานกว่า 3 ปี โดยศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นอายุความ สิทธิฟ้องหย่า และหลักเกณฑ์การเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพได้อย่างละเอียด ข้อเท็จจริงของคดี • โจทก์ยื่นฟ้องให้การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็น โมฆะ โดยอ้างว่าเป็นการจดทะเบียนซ้อน • จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนฯ กำหนดให้ดำเนินการตั้งแต่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง • โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องใหม่ โดยอ้างว่า โจทก์ถูก “ฉ้อฉล” เมื่อจดทะเบียนสมรส จำเลยจึงควรถูกบอกล้างโมฆะ • ข้อหาเดิมจึงถูกยกเลิกและเปลี่ยนเป็นข้อหาใหม่ (การฉ้อฉล) — ทำให้ข้อหาดั้งเดิมสิ้นสุด • หลังจากนั้น โจทก์อุปการะเลี้ยงดูและยกย่อง “ภริยารอง” (โจทก์ร่วม) ตั้งแต่ปี 2550 — มีบุตรด้วยกัน • ต่อมา โจทก์และจำเลยแยกกันอยู่ตั้งแต่ปลายปี 2538 ถึงวันที่ฟ้อง (ราว 16 ปี) โดยไม่มีความพยายามกลับมาอยู่ร่วมกัน • โจทก์ฟ้องหย่าและจำเลยฟ้องแย้งเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพ / แบ่งสินสมรส / ค่าเสียหาย • ศาลชั้นต้น พิพากษาให้หย่าและให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดู / ค่าเลี้ยงชีพ • ศาลอุทธรณ์แก้ให้ลดจำนวนเงินและเงื่อนไข • โจทก์และจำเลยฎีกาต่อศาลฎีกา ประเด็นที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัย ศาลฎีกามีดุลยพินิจในการวินิจฉัยประเด็นสำคัญดังนี้: 1. ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ — โดยโจทก์อ้างว่า การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลย ทำให้อายุความ “สะดุด/หยุด” 2. จำเลยมีสิทธิหย่าโจทก์หรือไม่ โดยอ้างอิงการอุปการะเลี้ยงดูและยกย่องโจทก์ร่วม 3. จำเลยมีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพหรือไม่ — เมื่อโจทก์อ้างว่า ทั้งสองสมัครใจแยกกันอยู่ 4. ความถูกต้องของการยกคำร้อง / การแก้ไขคำฟ้องใหม่ (การยกเลิกข้อหาเดิม) 5. ผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ถูกยก – ผลทางสถานะสมรส คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • ศาลฎีกาเห็นว่า การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลย มิใช่เป็นเหตุให้ “อายุความสะดุด” เพราะคำฟ้องเดิมถูกยกเลิก (โจทก์สละข้อหาเดิม) ทำให้สิทธิเรียกร้องเดิมสิ้นสุด • โจทก์แก้ไขคำฟ้องใหม่โดยอ้างฉ้อฉล และเสนอเป็นสิทธิใหม่ — แต่ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ยื่นแก้ไขเกินเวลาที่กฎหมายให้ (เกิน 90 วัน) เมื่อจำเลยได้นำพยานหลักฐานให้โจทก์ต้องรู้ — จึงฟ้องโมฆะข้อนี้ขาดอายุความ • ในประเด็นสิทธิหย่า — ศาลเห็นว่า เมื่อศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ผลคือ คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นอันสิ้นผล สถานะสมรสกลับคืนตามปกติ จำเลยจึงเป็นภริยาตามกฎหมาย และมีสิทธิฟ้องหย่าได้ • ในประเด็นค่าเลี้ยงชีพ — ศาลรับฟังว่า โจทก์และจำเลยแยกกันอยู่เป็นเวลานาน (16 ปี) โดยไม่มีการกลับมาอยู่ร่วมกัน พฤติการณ์ฟังได้ว่าเป็น “การสมัครใจแยกกันอยู่” เพราะอยู่ร่วมกันไม่ได้ตามปกติสุข > จึงไม่อาจถือเป็น “ความผิดฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด” ตามมาตรา 1526 เพื่อให้จำเลยเรียกค่าเลี้ยงชีพได้ • ศาลยืนตามศาลอุทธรณ์ในส่วนที่แก้ไขและให้ศาลชั้นต้นรวมผลคำพิพากษาใหม่ ⚖️ ประเด็นสำคัญที่สุดของคดี คดีนี้เกี่ยวข้องกับ การฟ้องให้การสมรสเป็นโมฆะเพราะถูกฉ้อฉล, การนับอายุความในการใช้สิทธิบอกล้างโมฆียะกรรม, และสิทธิในการฟ้องหย่าและเรียกค่าเลี้ยงชีพหลังจากคู่สมรสแยกกันอยู่เป็นเวลานาน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อคู่สมรสฝ่ายหนึ่งแก้ไขคำฟ้องใหม่แทนฟ้องเดิม ถือเป็นการสละข้อหาเดิม ทำให้สิทธิฟ้องตามฟ้องเดิมสิ้นสุดลง และการยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของอีกฝ่าย ไม่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง เมื่อรู้เหตุฉ้อฉลแล้วไม่ฟ้องภายใน 90 วัน สิทธิบอกล้างโมฆียะกรรมย่อมขาดอายุความ ขณะเดียวกัน ศาลยังชี้ว่า เมื่อคำพิพากษาศาลล่างถูกยกเลิก การสมรสยังคงมีผลตามกฎหมาย คู่สมรสฝ่ายหญิงจึงมีสิทธิฟ้องหย่าได้ แต่ไม่สามารถเรียกค่าเลี้ยงชีพได้ เพราะการแยกกันอยู่เป็นไปโดยสมัครใจและไม่มีฝ่ายใดผิดฝ่ายเดียว 📜 มาตรากฎหมายสำคัญที่ใช้ในคดี 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1508 – กำหนดสิทธิในการเพิกถอนการสมรสที่เกิดจากการฉ้อฉล การข่มขู่ หรือสำคัญผิดตัว ภายในระยะเวลา 90 วันนับแต่วันที่รู้เหตุ (เป็นมาตราหลักในการวินิจฉัยอายุความของสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรม) 2. มาตรา 1516 (1) – เหตุฟ้องหย่า เมื่อสามีภริยาอยู่กินกันไม่ได้โดยปกติสุข หรือแยกกันอยู่เกิน 3 ปี (ใช้พิจารณาสิทธิในการหย่าและพฤติการณ์การแยกกันอยู่) 3. มาตรา 1526 – การเรียกค่าเลี้ยงชีพทำได้เฉพาะเมื่อการหย่าเกิดจากความผิดของอีกฝ่ายฝ่ายเดียว (เป็นหลักในการวินิจฉัยปฏิเสธสิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพของจำเลย) 4. มาตรา 1529 วรรคหนึ่ง – การฟ้องหย่าต้องทำภายในระยะเวลาที่กำหนด หากปล่อยไว้นานเกินไปสิทธิดังกล่าวอาจขาดอายุความ (ใช้ยืนยันว่าการกระทำของโจทก์เป็นเหตุต่อเนื่อง จึงไม่ขาดอายุความในส่วนการฟ้องหย่า) 5. หลักทั่วไปเรื่องอายุความและการสะดุดหยุดลง – การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ไม่ทำให้อายุความสะดุด หากคู่กรณีได้สละข้อหาเดิมและตั้งฟ้องใหม่ (ศาลใช้หลักนี้อธิบายว่าการฟ้องแก้ไขใหม่ไม่ต่ออายุสิทธิเดิม)
🗝️ Keywords สำคัญที่สุดของคดี (5 ข้อความพร้อมขยาย) 1. โมฆะสมรส (Void Marriage) – ศาลวินิจฉัยว่าการสมรสที่เกิดจากการฉ้อฉลอาจเป็นโมฆียะ และเมื่อมีการบอกล้างตามกฎหมาย ย่อมถือเป็นโมฆะมาแต่ต้น 2. อายุความ 90 วัน (Time Limit 90 Days) – สิทธิบอกล้างโมฆียะกรรมการสมรสเพราะฉ้อฉลต้องใช้ภายใน 90 วันนับแต่รู้เหตุ หากฟ้องเกินกำหนดย่อมขาดอายุความ 3. การแก้ไขคำฟ้องใหม่ (Amended Complaint) – การยื่นฟ้องใหม่แทนฟ้องเดิมถือเป็นการสละสิทธิข้อหาเดิม ทำให้การพิจารณาคดีใหม่ของอีกฝ่ายไม่หยุดอายุความ 4. สิทธิฟ้องหย่า (Right to Divorce) – เมื่อศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลล่าง การสมรสยังมีผลตามกฎหมาย ฝ่ายหญิงซึ่งเป็นภริยาโดยชอบย่อมมีสิทธิฟ้องหย่าได้ 5. ค่าเลี้ยงชีพและการแยกกันอยู่ (Alimony & Separation) – การแยกกันอยู่โดยสมัครใจมานานกว่า 3 ปีโดยไม่มีฝ่ายใดผิดฝ่ายเดียว ไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 1526 จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพ การวิเคราะห์ประเด็นกฎหมาย 1 อายุความ & การ “สะดุด/หยุด” • โดยทั่วไป สิทธิฟ้องคดีแพ่ง (เช่นฟ้องโมฆะ) มีระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้ต้องฟ้องภายใน • โจทก์อ้างว่ายื่นคำร้องให้พิจารณาคดีใหม่ส่งผลให้ อายุความ “สะดุด” — แต่ศาลฎีกาเห็นว่า เพราะโจทก์ได้ สละ / ยกเลิกข้อหาเดิม แล้ว การยื่นคำร้องใหม่จึงไม่ใช่การ “สะดุด” ตามกฎหมาย • เมื่อโจทก์รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฉ้อฉล (เมื่อจำเลยนำทะเบียนหย่าเข้าเป็นพยาน) แล้วนับวันถึงวันที่แก้ไขคำฟ้องเกิน 90 วัน สิทธิฟ้องข้อนี้จึงสิ้นอายุ — ศาลฎีกาไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นฉ้อฉลอีก 2 สิทธิฟ้องหย่าในภายหลัง • หลักการ: การที่ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลล่างนั้น ส่งผลให้คำพิพากษาศาลชั้นต้น “สิ้นผล” — คู่สมรสกลับอยู่ในสถานะสมรสตามกฎหมาย • เมื่อจำเลยกลับเป็นภริยาตามกฎหมาย มีสิทธิฟ้องหย่า • การอุปการะเลี้ยงดู / ยกย่องโจทก์ร่วมในช่วงที่คำพิพากษาศาลชั้นต้นยังอยู่ มิอาจอ้างเป็นเหตุหักล้างสถานะสมรส 3 ค่าเลี้ยงชีพ — หลักเกณฑ์และเงื่อนไข • ตามมาตรา 1526 ป.พ.พ. หากเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายที่ “ไม่ผิด” อาจเรียกค่าเลี้ยงชีพได้ • แต่ถ้าความผิดกระทำโดยทั้งสองฝ่าย หรือเป็นเหตุอื่นที่ไม่เป็น “ความผิดฝ่ายเดียว” — ไม่มีสิทธิเรียก • ในคดีนี้ คู่สมรสแยกกันอยู่เป็นเวลานาน (16 ปี) โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างฟ้องร้องโต้แย้ง ไม่มีการแสดงเจตนาคืนดี — จึงฟังได้ว่า ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดฝ่ายเดียว > จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพ 4 ผลคำพิพากษาศาลชั้นต้น & การรวมคำพิพากษาใหม่ • เมื่อศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาใหม่ตั้งแต่ต้น (ถ่ายคำพิพากษาใหม่) — ค่าฤชาธรรมเนียม / ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้รวมในคำพิพากษาใหม่ • ศาลฎีกาสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลอนาคต 100 บาท IRAC (Issue / Rule / Application / Conclusion) — ขยายแบบ SEO-Friendly Issue (ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย): 1. การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลย จะถือเป็นเหตุให้ “อายุความสะดุด/หยุด” สำหรับสิทธิฟ้องโมฆะหรือไม่? 2. จำเลยมีสิทธิฟ้องหย่าโจทก์ได้หรือไม่ ภายใต้สถานะที่คำพิพากษาศาลล่างถูกยก? 3. จำเลยมีสิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์หรือไม่ เมื่อทั้งสองฝ่ายแยกกันอยู่เป็นเวลายาวนาน? Rule (กฎหมาย / หลักเกณฑ์ที่ใช้): • หลักทั่วไปของอายุความตามกฎหมายแพ่ง • กฎหมายว่าด้วย “การสะดุด / หยุด” อายุความ (กรณีฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้อง) • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (เหตุฟ้องหย่า) • มาตรา 1526 (การเรียกค่าเลี้ยงชีพ เงื่อนไข “ความผิดฝ่ายเดียว”) • หลักว่าเมื่อศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น — ผลให้สถานะกลับคืน และคำพิพากษานั้นสิ้นผล Application (การประยุกต์ใช้หลักกฎหมายกับข้อเท็จจริง): • โจทก์อ้างว่าการยื่นคำร้องใหม่สะดุดอายุความ — ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์สละข้อหาเดิมแล้วจึงมิใช่การสะดุด • เมื่อจำเลยนำทะเบียนหย่ามาเป็นพยาน ทำให้โจทก์ทราบเหตุ ฉะนั้นโอกาสยื่นคำฟ้องใหม่เกิน 90 วัน จึงสิทธิฟ้องโมฆะข้อนั้นขาดอายุ • ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น — ทำให้สถานะสมรสกลับคืน และจำเลยกลายเป็นภริยาตามกฎหมาย • ในชั้นประเด็นค่าเลี้ยงชีพ — การแยกกันอยู่ยาวนาน บรรยากาศฟ้องร้องทั้งสองฝ่าย ส่อให้เป็น “สมัครใจแยกกันอยู่” ไม่มีฝ่ายใดผิดฝ่ายเดียว — จึงไม่เข้าข้อเรียกตาม มาตรา 1526 Conclusion (บทสรุปในทางกฎหมาย): • สิทธิฟ้องโมฆะโดยโทษฉ้อฉลฟ้องใหม่ของโจทก์ ขาดอายุความ • จำเลย มีสิทธิฟ้องหย่า โจทก์ได้ • จำเลย ไม่มีสิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพ จากโจทก์ • ศาลฎีกายืนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนที่ชอบ และให้รวมคำพิพากษาใหม่ในชั้นต้น ข้อสรุปและข้อคิดทางกฎหมาย ข้อสรุป: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10770/2558 เป็นกรณีศึกษาในเรื่องฟ้องโมฆะและหย่าในคดีครอบครัวที่ซับซ้อน โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสิทธิฟ้องโมฆะตามข้ออ้างฉ้อฉลขาดอายุ เมื่อโจทก์แก้ไขคำฟ้องเกินระยะเวลา และถือว่าการยื่นคำร้องเพื่อพิจารณาคดีใหม่ไม่ทำให้อายุความหยุด นอกจากนี้ ศาลชี้ว่าเมื่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นถูกยก ผลคือสถานะสมรสกลับคืนมา จึงให้จำเลยมีสิทธิฟ้องหย่า แต่จำเลยไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพ เนื่องจากไม่แสดงให้เห็นว่าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดฝ่ายเดียว ข้อคิดทางกฎหมาย: • การแก้ไขคำฟ้องใหม่หรือยกเลิกข้อหาเดิม ควรระมัดระวังเรื่องระยะเวลาและอายุความ • การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ไม่อาจอาศัยเป็นเครื่องมือหยุดอายุความเสมอไป • เมื่อคำพิพากษาศาลล่างถูกยกผลอาจพลิกสถานะทางกฎหมาย (เช่น ภริยากลับคืน) • ในคดีหย่า หากคู่สมรสแยกกันอยู่เป็นเวลานานโดยสมัครใจโดยไม่มีฝ่ายใดผิดชัดเจน จะเป็นอุปสรรคต่อการเรียกค่าเลี้ยงชีพ
⚖️ คำถามที่ 1 (ประเด็นข้อเท็จจริง + อายุความฟ้องโมฆะ) คำถาม: การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ จะถือว่าเป็นเหตุให้ “อายุความสะดุดหยุดลง” สำหรับสิทธิฟ้องของโจทก์หรือไม่? คำตอบ: ไม่ถือเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง เพราะคดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องให้การสมรสเป็นโมฆะเนื่องจากจดทะเบียนสมรสซ้อน แต่ภายหลังโจทก์ได้ขอแก้ไขคำฟ้องใหม่โดยอ้างเหตุ “ถูกฉ้อฉลในการสมรส” ซึ่งเท่ากับว่าโจทก์ได้สละข้อหาเดิมและเปลี่ยนเป็นข้อหาใหม่แล้ว ดังนั้น การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยจึงไม่ทำให้อายุความของสิทธิฟ้องใหม่สะดุดหยุดลง อีกทั้งเมื่อโจทก์ทราบเหตุแห่งการฉ้อฉลแล้วไม่ได้ฟ้องภายใน 90 วัน สิทธิขอเพิกถอนการสมรสเพราะฉ้อฉลจึงขาดอายุความตามกฎหมาย อ้างอิงกฎหมายที่ใช้: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยเรื่อง การเพิกถอนนิติกรรมเพราะถูกฉ้อฉล และหลักเกณฑ์การนับอายุความ 90 วันนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงเหตุแห่งการเพิกถอน
⚖️ คำถามที่ 2 (ประเด็นสิทธิหย่าและค่าเลี้ยงชีพ) คำถาม: เมื่อคู่สมรสแยกกันอยู่โดยสมัครใจมาเกิน 3 ปี และต่างฝ่ายต่างฟ้องร้องกันเรื่อยมา โดยไม่มีฝ่ายใดพยายามกลับไปอยู่ร่วมกันอีก จำเลยยังมีสิทธิเรียกร้อง “ค่าเลี้ยงชีพ” จากโจทก์ได้หรือไม่? คำตอบ: ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพ เพราะศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พฤติการณ์ที่โจทก์และจำเลยแยกกันอยู่เป็นเวลานานกว่า 16 ปี โดยไม่แสดงเจตนาจะกลับมาคืนดี และต่างฝ่ายต่างดำเนินคดีต่อกัน แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายสมัครใจแยกกันอยู่เพราะไม่สามารถอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมา แม้จะมีเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (1) แต่ไม่ใช่ความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เพียงฝ่ายเดียว จึงไม่เข้าเกณฑ์ตาม มาตรา 1526 ที่จะให้จำเลยเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์ได้ อ้างอิงกฎหมายที่ใช้: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (1) — เหตุฟ้องหย่าเพราะอยู่กินไม่ได้โดยปกติสุขเกิน 3 ปี และมาตรา 1526 — การเรียกค่าเลี้ยงชีพต้องเกิดจากความผิดฝ่ายเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10770/2558 เดิมโจทก์ฟ้องว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะเพราะจดทะเบียนสมรสซ้อน จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่นับแต่การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอเสนอคำฟ้องฉบับใหม่อ้างว่าโจทก์สมรสกับจำเลยเพราะถูกกลฉ้อฉลจึงขอบอกล้างโมฆียะกรรมเท่ากับว่าโจทก์สละหรือยกเลิกข้อหาในฟ้องเดิมและแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อหาใหม่ตามคำฟ้องฉบับใหม่แล้ว ข้อหาตามคำฟ้องเดิมจึงเป็นอันยุติไป การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยจึงไม่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง โจทก์อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องโจทก์ร่วมฉันสามีภริยาตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งในขณะนั้นศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงเป็นอันสิ้นผลไปทำให้โจทก์และจำเลยกลับคืนสู่สถานะเดิมหมายถึงการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยยังคงมีอยู่ตามกฎหมาย จำเลยย่อมมีสิทธิและได้รับการคุ้มครองในฐานะภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อโจทก์อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องโจทก์ร่วมเป็นภริยาจนมีบุตรด้วยกันจนถึงวันที่มีการสืบพยานโจทก์และจำเลย การกระทำของโจทก์เป็นเหตุต่อเนื่องที่ยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาโดยมิได้หยุดการกระทำหรือหมดสิ้นไป จำเลยยังคงมีสิทธิฟ้องหย่าโจทก์ได้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1529 วรรคหนึ่ง โจทก์และจำเลยแยกกันอยู่ตั้งแต่ปลายปี 2538 จนถึงวันฟ้องและฟ้องแย้งเป็นเวลาประมาณ 16 ปี โดยไม่ปรากฏว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีความพยายามที่จะกลับไปอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาอีก คงมีแต่การฟ้องคดีกันทั้งสองฝ่าย พฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยต่างสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินกว่า 3 ปี แม้คดีจะมีเหตุฟ้องหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (1) ประกอบด้วย แต่ก็ถือไม่ได้ว่าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียว กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์มาตรา 1526 จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์ คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ เนื่องจากเป็นการจดทะเบียนสมรสซ้อน จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและกระบวนพิจารณาต่อจากนั้นตลอดจนคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตั้งแต่ชั้นส่งคำคู่ความ แล้วมีคำพิพากษาต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งในคำพิพากษาใหม่ โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยยื่นฟ้องฉบับใหม่ว่า โจทก์เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย จดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2527 ต่อมาเดือนมกราคม 2542 โจทก์ทราบว่าจำเลยจดทะเบียนสมรสกับนาย ภ. ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2524 เมื่อจำเลยจดทะเบียนหย่ากับนาย ภ. จำเลยต้องใช้คำนำหน้าชื่อว่านาง และใช้ชื่อสกุลเดิมของจำเลย แต่ขณะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ จำเลยกลับแสดงบัตรประจำตัวประชาชนต่อนายทะเบียน โดยมีคำนำหน้าชื่อว่า นางสาว จ. และให้ถ้อยคำต่อนายทะเบียนว่า จำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรสไว้ ณ สำนักทะเบียนใดอยู่ก่อนซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยต้องแจ้งว่า ตนจดทะเบียนสมรสมาก่อนและจดทะเบียนหย่าแล้ว การกระทำดังกล่าวทำให้โจทก์หลงเชื่อว่าจำเลยไม่เคยจดทะเบียนสมรสมาก่อนจึงเป็นการฉ้อฉลต่อโจทก์ ซึ่งหากโจทก์รู้ความจริงว่าจำเลยเคยจดทะเบียนสมรสมาก่อนแล้ว โจทก์จะไม่จดทะเบียนสมรสกับจำเลย จึงเป็นการจดทะเบียนสมรสโดยถูกฉ้อฉลอันถึงขนาด การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆียะและภายหลังจดทะเบียนสมรส โจทก์กับจำเลยมีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นาย พ. และนางสาว ว. โจทก์ขอใช้สิทธิบอกล้างโมฆียะกรรม และให้ถือว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก ให้โจทก์และจำเลยกลับคืนสู่ฐานะเดิม ขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องเพื่อบอกล้างโมฆียะกรรมการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2527 และให้การสมรสตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก ให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะเดิม ให้มีหนังสือแจ้งคำพิพากษาไปยังนายทะเบียนอำเภอเมืองนนทบุรีเรื่องการสมรสเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรกและให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนการรับรองนาย พ. และนางสาว ว. เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งพิพากษาให้จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา ให้โจทก์จ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่จำเลย 49,920,000 บาท และในอัตราเดือนละ 260,000 บาท นับถัดจากวันยื่นคำให้การและฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะสมรสใหม่ ให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลย 57,600,000 บาท และในอัตราเดือนละ 300,000 บาท นับถัดจากวันยื่นคำให้การและฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะสมรสใหม่ ให้โจทก์แบ่งสินสมรสให้จำเลยกึ่งหนึ่ง 500,000,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหาย 300,000,000 บาท แก่จำเลย โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่ากันเนื่องจากเหตุทั้งสองฝ่ายสมัครใจแยกกันอยู่เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาเกิน 3 ปี ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกนางสาว ล. เข้ามาเป็นจำเลยฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกนางสาว ล. เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม (จำเลยฟ้องแย้ง) ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งและถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องแย้งเฉพาะในประเด็นเรื่องขอแบ่งสินสมรสและค่าเสียหายเนื่องจากจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายในกำหนดและโจทก์ไม่ติดใจในคำขอท้ายฟ้องเกี่ยวกับบุตรทั้งสอง โจทก์ร่วมให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่ากันและให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่จำเลยเป็นเงิน 9,596,500 บาท และต่อไปอีกเดือนละ 51,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้ง (ฟ้องแย้งวันที่ 6 กรกฎาคม 2554) เป็นต้นไปจนถึงวันที่คำพิพากษาถึงที่สุดและให้โจทก์จ่ายค่าเลี้ยงชีพให้แก่จำเลยอีกเดือนละ 50,000 บาท นับถัดจากวันที่คำพิพากษาถึงที่สุดเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะสมรสใหม่ ให้ยกฟ้องโจทก์กับให้เพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้เรียกนางสาว ล. เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนคำฟ้องและคำฟ้องแย้งให้เป็นพับ โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่จำเลย 3,600,000 บาท และต่อไปอีกเดือนละ 30,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้ง (ฟ้องแย้งวันที่ 6 กรกฎาคม 2554) จนกว่าคดีถึงที่สุด ยกคำขอตามฟ้องแย้งที่ขอค่าเลี้ยงชีพ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ในส่วนคำฟ้องและคำฟ้องแย้งให้เป็นพับ โจทก์และจำเลยฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังว่า โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2527 มีบุตรด้วยกันสองคน คือ นาย พ. และนางสาว ว. มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ จึงถือได้ว่าจำเลยกระทำการใดๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่า ยอมรับสภาพตามสิทธิฟ้องร้องของโจทก์ อายุความย่อมสะดุดหยุดลงนับแต่วันยื่นคำร้องและการยื่นคำฟ้องฉบับเดิมว่าการสมรสเป็นโมฆะเป็นการตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้อง อายุความจึงสะดุดหยุดลง นับแต่เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดถึงวันที่โจทก์เสนอคำฟ้องฉบับแก้ไขต่อศาลยังไม่เกินเก้าสิบวัน ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ เห็นว่า คดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะเพราะจดทะเบียนสมรสซ้อน จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่นับแต่การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอเสนอคำฟ้องฉบับใหม่อ้างว่า โจทก์สมรสกับจำเลยเพราะถูกกลฉ้อฉลจึงขอบอกล้างโมฆียะกรรมและให้การสมรสตกเป็นโมฆะแต่เริ่มแรก เท่ากับว่าโจทก์สละหรือยกเลิกข้อหาในฟ้องเดิมและแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อหาใหม่ตามคำฟ้องฉบับใหม่แล้ว ข้อหาตามคำฟ้องเดิมจึงเป็นอันยุติไป การยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลย จึงไม่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่า จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้แจ้งชัดว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเกินกว่าเก้าสิบวัน นับจากวันที่โจทก์รู้ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2549 จึงไม่เกิดประเด็นเรื่องอายุความนั้น เห็นว่า โจทก์ไม่เคยโต้แย้งคัดค้านประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2548 ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2549 ในวันไต่สวนคำร้องจำเลยได้นำหลักฐานการจดทะเบียนหย่ามาเป็นพยานหลักฐานในคดี ถือว่าโจทก์ย่อมต้องรู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฉ้อฉลนับแต่วันดังกล่าว เมื่อนับถึงวันที่โจทก์แก้ไขคำฟ้องวันที่ 8 เมษายน 2554 เป็นระยะเวลาเกินกว่าเก้าสิบวัน สิทธิขอเพิกถอนการสมรสเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นอันระงับไป จึงฟังได้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความและไม่จำต้องวินิจฉัยถึงปัญหาที่ว่าโจทก์สมรสโดยถูกกลฉ้อฉลหรือไม่อีก ที่ศาลล่างพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีสิทธิฟ้องหย่าโจทก์ เพราะเหตุที่โจทก์อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องหญิงอื่นฉันภริยาหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า ขณะโจทก์อยู่กินกับโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ โจทก์ควรได้รับการรับรองคุ้มครองตามคำพิพากษาจึงไม่อาจฟังได้ว่าโจทก์อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องโจทก์ร่วมเป็นภริยา เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่า โจทก์อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องโจทก์ร่วมฉันภริยาตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งในขณะนั้นศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะแล้ว แต่เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงเป็นอันสิ้นผลไป ทำให้โจทก์และจำเลยกลับคืนสู่สถานะเดิมหมายถึงการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยยังคงมีอยู่ตามกฎหมาย จำเลยย่อมมีสิทธิและได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายในฐานะภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จะกล่าวอ้างถึงการรับรองคุ้มครองตามคำพิพากษาซึ่งไม่มีผลผูกพันโจทก์กับจำเลยหาได้ไม่ เพราะตราบใดที่ยังไม่มีการหย่าหรือศาลพิพากษาให้เพิกถอนการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลย ต้องถือว่าโจทก์กับจำเลยยังคงเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่า ในปี 2550 โจทก์ได้อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องโจทก์ร่วมเป็นภริยาจนมีบุตรด้วยกันจนถึงวันที่มีการสืบพยานโจทก์และจำเลย ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทราบเรื่องโจทก์ยกย่องโจทก์ร่วมเป็นภริยา จำเลยไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปี คดีขาดอายุความ จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องคดีนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่า โจทก์ยังคงอุปการะเลี้ยงดูและยกย่องโจทก์ร่วมเป็นภริยาตลอดมา ลักษณะการกระทำของโจทก์เป็นเหตุต่อเนื่องที่ยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยมิได้หยุดการกระทำหรือหมดสิ้นไป จำเลยจึงยังคงมีสิทธิฟ้องหย่าโจทก์ได้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่ขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 วรรคหนึ่ง ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์และจำเลยว่า จำเลยมีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์หรือไม่ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งและนำสืบต่อสู้ว่า โจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่อันเป็นเหตุฟ้องหย่า โดยโจทก์เบิกความว่าประมาณเดือนตุลาคม 2538 จำเลยกลับมายังประเทศไทยเพื่อฟ้องโจทก์เกี่ยวกับที่ดินอันเป็นสินสมรสและยังมีเรื่องบาดหมางกับโจทก์อย่างรุนแรงโดยจำเลยแจ้งความเท็จกล่าวหาว่าบิดาโจทก์ใช้ผู้อื่นบุกรุกและลักทรัพย์ในเคหสถาน คดีดังกล่าวจำเลยได้รับเงิน 11,300,000 บาท จากผู้รับโอนที่ดินแต่กลับผลักภาระให้โจทก์รับผิดในหนี้ภาษีอากร ทั้งยังแจ้งความกล่าวหาโจทก์เป็นคดีอาญาว่าขับรถชนจำเลย ส่วนจำเลยเบิกความว่า โจทก์เป็นคนเจ้าชู้ สำส่อนทางเพศและชอบทำร้ายร่างกายจำเลย เมื่อเมาสุราจนเคยขอแยกทางกันมาก่อน หลังจากจำเลยกลับมายังประเทศไทยเมื่อปลายปี 2538 จำเลยพบว่าโจทก์มีพฤติการณ์ฉ้อฉลเงินค่าเลี้ยงดูและยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินสมรส ซึ่งจำเลยเชื่อว่าโจทก์ร่วมมือกับบิดาและน้องชายของโจทก์ จำเลยจึงฟ้องโจทก์กับน้องชายโจทก์ขอเพิกถอนการโอนที่ดินอันเป็นสินสมรส เมื่อจำเลยได้รับเงินในคดีมาก็มีผู้ปลอมลายมือชื่อของจำเลยทำหนังสือถึงกรมสรรพากรให้เรียกเก็บภาษีเงินได้จากจำเลย หลังจากนั้นโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้พิพากษาว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาว่าโจทก์เบิกความเท็จ และนำสืบแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ทางนำสืบของโจทก์และจำเลยสอดคล้องกันและบ่งชี้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่เหลือเยื่อใยต่อกันทั้งยังกระทำการเป็นปฏิปักษ์กันจนไม่น่าจะอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุขอีกต่อไป โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่า มีการแยกกันอยู่ตั้งแต่ปลายปี 2538 จนถึงวันฟ้องและฟ้องแย้งเป็นเวลาประมาณ 16 ปี โดยไม่ปรากฏว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีความพยายามที่จะกลับไปอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาอีก คงมีแต่การฟ้องคดีกันทั้งสองฝ่าย พฤติการณ์ฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยต่างสมัครใจแยกกันอยู่ เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินกว่า 3 ปี แม้คดีจะมีเหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (1) ประกอบด้วย แต่ก็ถือไม่ได้ว่าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียว กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526 จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น อนึ่ง โจทก์ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูซึ่งได้รับยกเว้นไม่ต้องชำระค่าขึ้นศาลตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 155 การที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอนาคต 100 บาท มาด้วย จึงไม่ถูกต้อง พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลอนาคต 100 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10770/2558 (เพื่อการเปรียบเทียบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย) เพื่อให้ผู้ศึกษากฎหมายเข้าใจแนวทางการตีความของศาลฎีกาในคดีครอบครัวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถพิจารณาเปรียบเทียบคำพิพากษาศาลฎีกาอื่นที่มีประเด็นใกล้เคียงกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10770/2558 ได้ดังต่อไปนี้ 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2626/2518 คดีนี้เกี่ยวกับการสมรสและการหมั้นที่ขัดต่อเงื่อนไขทางกฎหมาย ศาลวินิจฉัยว่าการสมรสที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์กฎหมายถือเป็นโมฆะ เช่นเดียวกับในคดี 10770/2558 ที่ศาลต้องพิจารณาความสมบูรณ์ของการสมรสตามเจตนารมณ์ของคู่สมรสและความชอบด้วยกฎหมาย 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1225/2535 เป็นคดีที่คู่สมรสฝ่ายหนึ่งร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสเป็นโมฆะ ศาลวินิจฉัยว่าการสมรสจะเป็นโมฆะได้ก็ต่อเมื่อมีการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายที่มีผลเป็นโมฆะเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับแนววินิจฉัยในคดี 10770/2558 ที่พิจารณาเรื่อง “การสมรสโดยฉ้อฉล” และผลของการฟ้องบอกล้างโมฆียะกรรม 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4650/2565 เป็นคดีเกี่ยวกับผลทางทรัพย์สินของการสมรสที่เป็นโมฆะ ศาลวินิจฉัยว่า เมื่อการสมรสเป็นโมฆะแล้ว ย่อมไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส เช่นเดียวกับในคดี 10770/2558 ที่กล่าวถึงผลทางกฎหมายหลังจากศาลมีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและสถานะการสมรสกลับคืนมา จึงเป็นคดีที่สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง “สถานะสมรส” และ “สิทธิในทรัพย์สิน” ได้อย่างชัดเจน 4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2484 แม้ไม่ใช่คดีครอบครัวโดยตรง แต่เป็นคำพิพากษาสำคัญที่วางหลักเกี่ยวกับ “โมฆะกรรม” ซึ่งถือเป็นหลักพื้นฐานทางนิติกรรมทั่วไป ศาลวินิจฉัยว่า นิติกรรมที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีและความสงบเรียบร้อยของประชาชนย่อมเป็นโมฆะ หลักนี้สามารถนำมาเปรียบเทียบเพื่อทำความเข้าใจคำว่า “โมฆะสมรส” ได้ในเชิงกว้าง ว่าหากการสมรสเกิดจากการฝ่าฝืนกฎหมายหรือเจตนาที่ไม่สุจริต ก็ย่อมไม่มีผลตามกฎหมายเช่นเดียวกัน 5. แนวคำพิพากษาที่เกี่ยวกับมาตรา 1508 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1508 วางหลักว่าการสมรสที่เกิดจากการฉ้อฉล การข่มขู่ หรือความสำคัญผิดตัว สามารถถูกเพิกถอนได้ภายในกำหนดเวลา ซึ่งเป็นหัวใจเดียวกับคดี 10770/2558 ที่ศาลฎีกาวินิจฉัยเรื่องการฟ้องบอกล้างโมฆียะกรรมเพราะฉ้อฉล โดยกำหนดระยะเวลา 90 วันนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้เหตุแห่งการเพิกถอน เป็นแนวทางที่ผู้ศึกษากฎหมายควรศึกษาเพื่อทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมายครอบครัวเกี่ยวกับการสมรสที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย สรุป:
คำพิพากษาศาลฎีกาเหล่านี้ล้วนช่วยขยายความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิด “โมฆะสมรส” และ “สิทธิทางกฎหมายภายหลังการสมรสที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ทั้งในด้านสถานะบุคคลและทรัพย์สิน ผู้ศึกษากฎหมายสามารถใช้เปรียบเทียบเพื่อทำความเข้าใจแนววินิจฉัยของศาลฎีกาที่แตกต่างกันตามบริบทของแต่ละคดี และเห็นพัฒนาการของหลักกฎหมายครอบครัวไทยในเรื่องความสมบูรณ์แห่งการสมรสและสิทธิของคู่สมรสที่แท้จริงได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
|





.jpg)
.jpg)
