ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ค่าเลี้ยงดูบุตร & เพิกถอนโอนบ้าน, สัญญาหย่า, พินัยกรรม, (ฎีกา 6926/2560)

คำพิพากษาศาลฎีกา 6926/2560, คดีครอบครัว ค่าเลี้ยงดูบุตร, การเพิกถอนนิติกรรมโอนทรัพย์สิน, ข้อตกลงหย่าและการแบ่งสินสมรส, การตีความพินัยกรรมกับสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก, สิทธิฟ้องของคู่สัญญา, ป.พ.พ. มาตรา 374 วิเคราะห์, คำวินิจฉัยป.วิ.พ. มาตรา 248, แนวทางฎีกาคดีครอบครัว

     ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทภายหลังการหย่า ที่คู่สมรสทำสัญญาหย่ากำหนดให้บิดาชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าเล่าเรียนบุตร รวมถึงแบ่งทรัพย์สินร่วมคือบ้านและที่ดิน โดยระบุว่าหลังบิดาเสียชีวิต ส่วนของบิดาต้องตกเป็นมรดกแก่บุตร ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็น สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ไม่ใช่พินัยกรรม เมื่อจำเลยโอนบ้านให้บุคคลอื่นโดยเสน่หา ถือเป็นการหลีกเลี่ยงชำระหนี้ จึงมีเหตุให้เพิกถอนนิติกรรมได้ พร้อมทั้งวินิจฉัยเรื่องสิทธิฎีกาในคดีครอบครัวตามทุนทรัพย์ว่าต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง


ข้อเท็จจริงโดยย่อ

โจทก์และจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสและมีบุตรร่วม 1 คน ต่อมาหย่าขาดกัน โดยทำ หนังสือสัญญาหย่า วันที่ 13 มกราคม 2557

ข้อตกลงกำหนดว่า จำเลยที่ 1 ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 5,000 บาท และค่าเล่าเรียนจนจบปริญญาตรี

สินสมรสคือบ้านพร้อมที่ดิน พิพาท กำหนดว่าเมื่อจำเลยที่ 1 ตาย ส่วนของตนต้องตกเป็นมรดกแก่บุตร

ต่อมาจำเลยที่ 1 โอนที่ดินส่วนตนให้จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา

โจทก์ฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดู ค่าการศึกษา รวมทั้งเพิกถอนนิติกรรมโอนดังกล่าว


คำวินิจฉัยของศาล

1. ประเด็นค่าเลี้ยงดูบุตรและค่าเล่าเรียน

o ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระ 81,665 บาท พร้อมดอกเบี้ย

o มูลค่าพิพาทไม่เกิน 200,000 บาท จึงเป็นคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248

2. ประเด็นการเพิกถอนนิติกรรมโอนบ้านและที่ดิน

o จำเลยอ้างว่าเป็นเจตนาเช่นพินัยกรรม

o ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็น สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก (ป.พ.พ. มาตรา 374) ไม่ใช่พินัยกรรม

o การโอนโดยเสน่หาให้จำเลยที่ 2 ถือเป็นการหลีกเลี่ยงหนี้ของบุตร

o โจทก์มีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมในฐานะคู่สัญญาได้


วิเคราะห์ประเด็นกฎหมาย

สิทธิอุทธรณ์และฎีกาในคดีครอบครัว

ศาลชี้ชัดว่าการจะถือเป็นสิทธิในครอบครัวหรือไม่ ต้องดูเวลาที่ทำข้อตกลง หากทำภายหลังบุตรบรรลุนิติภาวะแล้ว ถือเป็นสัญญา ไม่ใช่สิทธิครอบครัว

สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก

การกำหนดให้ทรัพย์ตกแก่บุตรเมื่อบิดาถึงแก่กรรม เป็นหนี้มีเงื่อนเวลา ไม่ใช่พินัยกรรม ดังนั้นโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญา มีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้

แนวทางเพิกถอนนิติกรรมโอนทรัพย์สิน

หากโอนโดยเสน่หาเพื่อหลีกเลี่ยงชำระหนี้ ถือว่ามีเหตุเพิกถอน แม้ผู้โอนไม่ได้ละเมิดสิทธิของคู่สมรสโดยตรง แต่เป็นการกระทบสิทธิของบุตร


IRAC Analysis

Issue (ปัญหา):

การโอนบ้านและที่ดินพิพาทโดยจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา มีเหตุเพิกถอนหรือไม่ และสิทธิในการฎีกาของจำเลยในเรื่องค่าเลี้ยงดูบุตรอยู่ในขอบเขตต้องห้ามฎีกาหรือไม่

Rule (กฎหมาย):

ป.วิ.พ. มาตรา 248: ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง หากทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท

ป.พ.พ. มาตรา 374: สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก

ป.พ.พ. มาตรา 850: สัญญาประนีประนอมยอมความ

Application (การปรับใช้):

การเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรและค่าเล่าเรียน มูลค่าไม่เกิน 200,000 บาท จึงเป็นคดีต้องห้ามฎีกา

ข้อตกลงหย่าที่ให้ทรัพย์ตกเป็นของบุตรหลังบิดาตาย เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก มิใช่พินัยกรรม

เมื่อจำเลยโอนทรัพย์ให้จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา เป็นการหลีกเลี่ยงภาระหนี้แก่บุตร จึงเพิกถอนได้

Conclusion (ข้อสรุป):

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้เพิกถอนการโอนบ้านและที่ดินพิพาท และไม่รับฎีกาในประเด็นค่าเลี้ยงดูบุตรเพราะเป็นคดีต้องห้ามฎีกา


สรุปข้อคิดทางกฎหมาย

การฟ้องเพิกถอนนิติกรรมโอนทรัพย์ แม้คู่สมรสจะไม่ได้เสียหายโดยตรง แต่หากเป็นคู่สัญญาในข้อตกลงหย่า ก็มีสิทธิฟ้องได้

ข้อตกลงหย่าที่มีลักษณะก่อหนี้แก่บุคคลภายนอก (เช่น บุตร) ถือเป็น สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ไม่ใช่พินัยกรรม

คดีครอบครัวไม่ได้ยกเว้นจากการพิจารณาทุนทรัพย์ในชั้นฎีกา หากทุนทรัพย์ต่ำกว่าเกณฑ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริง

 

คดีครอบครัวเกี่ยวกับค่าเลี้ยงดูบุตรและการเพิกถอนโอนทรัพย์ ศาลชี้ข้อตกลงหย่าเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก มิใช่พินัยกรรม

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6926/2560

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าการศึกษาของบุตร รวมทั้งขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญญาหย่าไว้ต่อกันโดยมีข้อตกลงว่า จำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 5,000 บาท และค่าการศึกษาบุตรด้วย และยังมีข้อตกลงแบ่งสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ว่า บ้านพร้อมที่ดินพิพาทให้เป็นของโจทก์และจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ตายไปให้ส่วนของจำเลยที่ 1 ตกเป็นมรดกแก่บุตร คือ จ. แม้คดีนี้เป็นคดีครอบครัว แต่สิทธิในการฎีกาต้องพิจารณาทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาว่าต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ เว้นแต่เป็นคดีสิทธิในครอบครัว เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าเกี่ยวกับการขอให้ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรในวันที่ 13 มกราคม 2557 อันเป็นเวลาภายหลังที่ จ. บรรลุนิติภาวะแล้ว กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ตามสัญญา ไม่ใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว ทั้งข้อหาแต่ละข้อตามคำฟ้องของโจทก์ก็แยกจากกันได้เพราะไม่เกี่ยวข้องกัน การที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าการศึกษาให้ จ. เนื่องจาก จ. มีพฤติกรรมก้าวร้าวไม่เคารพจำเลยที่ 1 โจทก์และ จ. ร่วมกันขัดขวางมิให้จำเลยที่ 1 ได้รับเงินเวนคืนกรมธรรม์ประกันชีวิต และยังร่วมกันไปรับเงินจากอีกกรมธรรม์หนึ่งที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันขอให้หักกลบลบหนี้ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง มิใช่ปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระให้แก่โจทก์เป็นเงิน 81,665 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ทุนทรัพย์ที่พิพาทตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประเด็นนี้จึงไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6


ข้อความในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าที่จำเลยที่ 1 ระบุว่า สินสมรสในส่วนของจำเลยที่ 1 ในบ้านพร้อมที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยที่ 1 ตายให้ตกเป็นมรดกของบุตร คือ จ. นั้นเป็นสัญญาที่มีเงื่อนเวลาที่ก่อให้เกิดหนี้แก่จำเลยที่ 1 ที่ต้องชำระแก่บุคคลภายนอก คือ จ. ผู้เป็นบุตร เพื่อเป็นการระงับข้อพิพาท จึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 มิใช่พินัยกรรม ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมบ้านพิพาท เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หาแม้ไม่กระทบต่อสิทธิของโจทก์ในบ้านและที่ดินพิพาทก็ตาม แต่โจทก์ก็เป็นคู่สัญญาในหนังสือสัญญาหย่าโดยตรงกับจำเลยที่ 1 ในการยกทรัพย์สินให้แก่บุตร โจทก์ในฐานะคู่สัญญามีอำนาจฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรม การโอนทรัพย์พิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้เพราะเป็นทางให้บุตรเสียเปรียบ อันเป็นการฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามข้อตกลงในหนังสือสัญญาหย่า การที่จำเลยที่ 1 โอนบ้านพร้อมที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา จึงเป็นการที่จำเลยที่ 1 หลีกเลี่ยงที่จะชำระหนี้ให้แก่บุตรตามข้อตกลงในสัญญา กรณีมีเหตุที่จะเพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าวได้


โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและเล่าเรียนบุตรเป็นเงิน 81,665 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 81,415 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 5,000 บาท นับแต่เดือนตุลาคม 2557 เป็นต้นไปจนกว่านายจิตติ จะเรียนจบการศึกษาชั้นปริญญาตรีในเดือนกันยายน 2559 คิดเป็นเงิน 180,000 บาท ชำระค่าเล่าเรียนชั้นปริญญาตรีภาคการศึกษาละ 70,415 บาท นับแต่ภาคการศึกษาที่ 2/2557 เป็นต้นไปจนกว่าบุตรจะจบการศึกษารวม 5 ภาคการศึกษาคิดเป็นเงิน 352,075 บาท โดยขอให้จำเลยที่ 1 ชำระให้เสร็จสิ้นภายในครั้งเดียว รวมเป็นเงิน 532,075 บาท กับให้เพิกถอนการจดทะเบียนยกให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 99889 เลขที่ดิน 29 (1694) เนื้อที่ 68 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 31/70 ระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวกลับมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองและห้ามจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวให้ผู้ใดอีก ยกเว้นโอนให้นายจิตติ บุตรชาย ให้จำเลยที่ 1 โอนทะเบียนรถยนต์ยี่ห้อ FORD ESCAPE หมายเลขทะเบียน กค 5050 นนทบุรี ให้โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 และให้จำเลยทั้งสองส่งมอบกุญแจที่เปิดเข้าบ้านเลขที่ 31/70 ดังกล่าว และกุญแจห้องที่โจทก์และบุตรเคยใช้พักอาศัย ห้ามจำเลยทั้งสองกระทำการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางไม่ให้โจทก์และบุตรเข้าไปใช้ประโยชน์ในบ้านดังกล่าว

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นส่งเรื่องปัญหาเขตอำนาจศาลให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 11 ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัว


ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 81,665 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 81,415 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 5,000 บาท นับแต่เดือนตุลาคม 2557 เป็นต้นไปจนกว่านายจิตติ บุตร จะเรียนจบการศึกษาชั้นปริญญาตรี และชำระค่าการศึกษาชั้นปริญญาตรีเป็นเงินภาคเรียนละ 70,415 บาท นับแต่ภาคเรียนที่ 2/2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะเรียนจบการศึกษาในภาคเรียนที่ 2/2559 รวม 5 ภาคเรียน และให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนยกให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 99889 เลขที่ดิน 29 (1694) เนื้อที่ 68 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 31/70 ระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมบ้านนั้นกลับมาเป็นของจำเลยที่ 1 หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ห้ามจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่ผู้ใดอีก เว้นแต่จดทะเบียนโอนให้นายจิตติ บุตรชาย ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ยี่ห้อ FORD ESCAPE สีบรอนด์เงิน ทะเบียนเลขที่ กค 5050 นนทบุรี ให้แก่โจทก์ หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบกุญแจบ้านเลขที่ 31/70 พร้อมกุญแจห้องที่โจทก์และบุตรเคยใช้ประโยชน์พักอาศัยให้แก่โจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองกระทำการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางไม่ให้โจทก์และบุตรเข้าไปใช้ประโยชน์ในบ้านดังกล่าวกับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความ 30,000 บาท คำขออื่นให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน แต่ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เป็นเงิน 1,533 บาท แก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

จำเลยทั้งสองฎีกา


ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2535 โจทก์และจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกันที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือนายจิตติ ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2537 วันที่ 17 ธันวาคม 2556 จำเลยที่ 1 ได้ฟ้องหย่าโจทก์และขอแบ่งสินสมรสที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนนทบุรี ต่อมาวันที่ 13 มกราคม 2557 โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนหย่าขาดจากกัน โดยได้ทำหนังสือสัญญาหย่าลงวันที่ 13 มกราคม 2557 ไว้ต่อกันโดยมีข้อตกลงว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 จะไปจดทะเบียนหย่า ในวันที่ 13 มกราคม 2557 และให้นายจิตติ บุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของโจทก์และจำเลยที่ 1 นอกจากนี้โจทก์และจำเลยที่ 1 ยังมีข้อตกลงเกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าการศึกษาของบุตรผู้เยาว์ รวมทั้งการแบ่งสินสมรสดังนี้ "...ข้อ 4 คู่สัญญาฝ่ายชายมีหน้าที่จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูและจ่ายค่าการศึกษาเล่าเรียนของบุตรผู้เยาว์เป็นเงินเดือน เดือนละ 5,000 บาท (ห้าพันบาท) รวมถึงค่าการศึกษาเล่าเรียนในชั้นปริญญาตรีตามปกติและได้รับความยินยอมจากฝ่ายชายจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะจบการศึกษาชั้นปริญญาตรี โดยฝ่ายชายจะจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว ให้แก่บุตรผู้เยาว์ภายในวันที่ 30 ของทุกเดือน ข้อ 5 คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงแบ่งสินสมรสและหนี้สินกันดังนี้ 5.1 ที่ดินโฉนดเลขที่ 99889 เลขที่ดิน 29 (1694) เนื้อที่ 68 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างคือบ้านเลขที่ 31/70 (ปลอดภาระจำนอง) ราคาประมาณ 13,000,000 บาท (สิบสามล้านบาท) ตกลงแบ่งให้กับฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย และเมื่อฝ่ายชายตายไปแล้วส่วนของฝ่ายชายให้ตกเป็นมรดกของบุตรคือนายจิตติ ..." ต่อมาวันที่ 17 มิถุนายน 2557 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนยกที่ดินโฉนดเลขที่ 99889 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งปลูกบนที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 ปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาให้เฉพาะส่วน บันทึกถ้อยคำการชำระภาษีอากร บันทึกการประเมินราคาทรัพย์สินและโฉนดที่ดิน สำหรับประเด็นที่โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนรถยนต์ยี่ห้อ FORD ESCAPE คันหมายเลขทะเบียน กค 5050 นนทบุรี ให้แก่โจทก์กับให้จำเลยทั้งสองส่งมอบกุญแจบ้าน และกุญแจห้องในบ้านหลังดังกล่าวให้แก่โจทก์ กับห้ามจำเลยทั้งสองขัดขวางโจทก์และบุตรในการที่จะเข้าไปใช้ประโยชน์ในบ้านหลังดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองตามคำขอของโจทก์และศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน โจทก์และจำเลยทั้งสองมิได้ฎีกา คดีโจทก์ในประเด็นดังกล่าวจึงถึงที่สุดไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประการแรกที่ว่า จำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าการศึกษาบุตรให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าการศึกษาของบุตร รวมทั้งขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่า ในการจดทะเบียนหย่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 นั้น โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญญาหย่าไว้ต่อกันโดยมีข้อตกลงว่า จำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 5,000 บาท และค่าการศึกษาของบุตรด้วยทั้งยังมีข้อตกลงแบ่งสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ว่า บ้านพร้อมที่ดินพิพาทให้เป็นของโจทก์และจำเลยที่ 1 และเมื่อจำเลยที่ 1 ตายไป ให้ส่วนของจำเลยที่ 1 ตกเป็นมรดกแก่บุตรคือนายจิตติ แม้คดีนี้เป็นคดีครอบครัว แต่สิทธิในการฎีกาต้องพิจารณาทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาว่าต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ เว้นแต่เป็นคดีสิทธิในครอบครัว เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าเกี่ยวกับการขอให้ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรในวันที่ 13 มกราคม 2557 อันเป็นเวลาภายหลังที่นายจิตติบรรลุนิติภาวะแล้ว กรณีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ตามสัญญาไม่ใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว ทั้งข้อหาแต่ละข้อตามคำฟ้องของโจทก์ก็แยกจากกันได้เพราะไม่เกี่ยวข้องกัน จึงต้องพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินเป็นรายข้อหาไป ซึ่งเมื่อพิจารณาประเด็นในฎีกาข้อแรกของจำเลยที่ 1 ซึ่งเกี่ยวกับค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรและค่าการศึกษาของบุตรแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระให้แก่โจทก์เป็นเงิน 81,665 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ทุนทรัพย์ที่พิพาทตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประเด็นนี้จึงไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า แม้จำเลยที่ 1 กับโจทก์จะได้ทำหนังสือสัญญาหย่าไว้ต่อกันก็ตาม แต่การที่จะถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าการศึกษาตามสัญญาดังกล่าว จำต้องคำนึงถึงว่าบุตรเองก็มีหน้าที่ต่อบิดามารดาเช่นกัน ซึ่งก็ปรากฏว่าหลังจากโจทก์และจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากกัน โจทก์มิได้อบรมดูแลสั่งสอนบุตรให้มีความประพฤติที่ดี นายจิตติ บุตรชายของโจทก์และจำเลยที่ 1 มีพฤติกรรมก้าวร้าวไม่เคารพจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดา นอกจากนี้ทั้งโจทก์และนายจิตติได้ร่วมกันขัดขวางมิให้จำเลยที่ 1 ได้รับเงินเงินเวนคืนกรมธรรม์ประกันชีวิตจนทำให้จำเลยต้องฟ้องร้องบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิตจำกัด (มหาชน) ผู้รับประกันภัยรวมทั้งโจทก์และบุตรซึ่งร่วมกันขัดขวางเป็นจำเลยที่ศาลแพ่งตามคดีหมายเลขแดงที่ พ.5096/2558 นอกจากนี้โจทก์และบุตรยังร่วมกันไปรับเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์อีกฉบับหนึ่ง จากบริษัทผู้รับประกันภัยเป็นจำนวนเงิน 659,752 บาท ทั้งที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันแต่เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 1 จึงควรเป็นผู้ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวซึ่งจำเลยที่ 1 อาจใช้สิทธิหักกลบลบหนี้กับฝ่ายโจทก์ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า เมื่อศาลแพ่งพิพากษายกฟ้องโจทก์และนายจิตติในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5096/2558 แล้ว นายจิตติจึงไม่มีหนี้สินใด ๆ ต่อจำเลยที่ 1 อันจะทำให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิหักกลบลบหนี้กับค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าการศึกษาของบุตรได้ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระหนี้ตามข้อตกลงในสัญญาหย่าจึงเป็นการตีความข้อความในสัญญา โดยไม่คำนึงถึงสถาบันครอบครัวเป็นการไม่ชอบ จำเลยที่ 1 มีสิทธิที่จะดูความประพฤติของบุตรเสียก่อนที่จะจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าการศึกษาของบุตร กรณียังไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ตกเป็นผู้ผิดนัด เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประเด็นนี้เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายจึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาในข้อนี้ของจำเลยที่ 1 มานั้นไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย


คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในประการต่อไปว่า กรณีมีเหตุที่จะเพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ในที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ ในข้อนี้จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ข้อตกลงตามหนังสือสัญญาหย่าในข้อ 5.1 เป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 แต่เพียงฝ่ายเดียวในการจัดการทรัพย์สินในส่วนของจำเลยที่ 1 ในลักษณะของพินัยกรรม ซึ่งจำต้องตีความตามเจตนาอันแท้จริงของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบของพินัยกรรมก็ตาม หนังสือสัญญาหย่าและข้อตกลงในข้อ 5.1 ดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความและสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกทั้งไม่มีผลกระทบต่อทรัพย์สินในส่วนของโจทก์จึงไม่ถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 1 แสดงเจตนาให้ที่ดินและบ้านพิพาทในส่วนของจำเลยที่ 1 ตกเป็นมรดกแก่นายจิตติผู้เป็นบุตร เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายไปแล้ว นายจิตติจึงไม่อาจแสดงเจตนาแก่จำเลยที่ 1 ว่าจะถือ เอาประโยชน์จากข้อสัญญาดังกล่าวในขณะที่จำเลยที่ 1 ยังมีชีวิตอยู่ได้ เมื่อตีความว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นพินัยกรรมแล้ว จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทอยู่กึ่งหนึ่ง ย่อมมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์พิพาทในส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 ได้ โจทก์และนายจิตติจึงไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ในที่ดินและบ้านพิพาท ตามข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในข้อนี้ปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2556 จำเลยที่ 1 ได้ฟ้องหย่าโจทก์และขอแบ่งสินสมรสต่อศาลชั้นต้นปรากฏตามสำเนาคำฟ้องคดีหมายเลขดำที่ 463/2556 ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ถอนฟ้องคดีดังกล่าวและได้จดทะเบียนหย่ากับโจทก์เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2557 และได้มีการทำหนังสือสัญญาหย่า ลงวันที่ 13 มกราคม 2557 ไว้ต่อกัน ซึ่งเมื่อตรวจดูรายการทรัพย์สินที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นสินสมรสและฟ้องขอแบ่งจากโจทก์ ในคดีหมายเลขดำที่ 463/2556 ของศาลชั้นต้นแล้วปรากฏว่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและห้องชุดตามฟ้อง ข้อ 3.1.1 ถึงข้อ 3.1.6 คือทรัพย์สินรายการเดียวกับที่ปรากฏในหนังสือสัญญาหย่า ข้อ 5.1 และ 5.3 ถึง 5.7 ซึ่งรวมถึงบ้านพร้อมที่ดินพิพาทในคดีนี้ด้วย นอกจากนี้ยังมีรายการทรัพย์สินในส่วนที่เกี่ยวกับรถยนต์รวม 3 คัน ซึ่งซ้ำกันด้วย จากข้อเท็จจริงดังกล่าวบ่งชี้ให้เห็นว่า ก่อนมีการทำหนังสือสัญญาหย่า และจดทะเบียนหย่าขาดจากกันนั้น โจทก์และจำเลยที่ 1 มีเหตุที่ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไปจำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายฟ้องขอหย่าขาดจากโจทก์ก่อนแต่ในที่สุดโจทก์และจำเลยที่ 1 ก็สามารถตกลงกันได้โดยตกลงยินยอมหย่าขาดจากกัน และได้แนบหนังสือสัญญาหย่าไว้ท้ายบันทึกทะเบียนการหย่า ซึ่งหนังสือสัญญาหย่านี้เป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ การชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรและค่าการศึกษาของบุตร รวมทั้งข้อตกลงเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ข้อตกลงต่าง ๆ ตามที่ปรากฏในหนังสือสัญญาหย่านี้จึงเป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ประสงค์จะระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับบุตรผู้เยาว์ และสินสมรสซึ่งมีอยู่หรือที่จะมีต่อไปในภายภาคหน้าให้เสร็จไป ด้วยต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน โดยโจทก์ตกลงให้สินสมรสที่เป็นที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและห้องชุดตามข้อ 5.3 ถึง 5.7 ในหนังสือสัญญาหย่าตกเป็นของจำเลยที่ 1 ทั้งหมด แต่จำเลยที่ 1 ต้องรับภาระหนี้สินที่เกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว โจทก์คงติดใจที่จะแบ่งสินสมรสในส่วนที่เกี่ยวกับบ้านพร้อมที่ดินพิพาทและรถยนต์ยี่ห้อ FORD ESCAPE ตามข้อ 5.1 และ 5.2 เท่านั้น ข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 สำหรับข้อตกลงเกี่ยวกับสินสมรสตามหนังสือสัญญาหย่า ข้อ 5.1 ซึ่งจำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นพินัยกรรมนั้น เห็นว่า ข้อความที่จำเลยที่ 1 ระบุว่าสินสมรสในส่วนของจำเลยที่ 1 ในบ้านพร้อมที่ดินพิพาทเมื่อจำเลยที่ 1 ตายไปให้ตกเป็นมรดกของบุตรคือ นายจิตติ นั้น เป็นสัญญาที่มีเงื่อนเวลาที่ก่อให้เกิดหนี้แก่จำเลยที่ 1 ที่ต้องชำระให้แก่บุคคลภายนอกคือนายจิตติผู้เป็นบุตรเพื่อเป็นการระงับข้อพิพาท จึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 มิใช่เรื่องพินัยกรรม ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมบ้านพิพาท เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา แม้ไม่กระทบต่อสิทธิของโจทก์ในบ้านพร้อมที่ดินพิพาทก็ตาม แต่โจทก์ก็เป็นคู่สัญญาในหนังสือสัญญาหย่าโดยตรงกับจำเลยที่ 1 ในการยกทรัพย์สินให้แก่บุตร โจทก์ในฐานะคู่สัญญาจึงมีอำนาจฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์พิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้เพราะเป็นทางให้บุตรเสียเปรียบ อันเป็นการฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามข้อตกลงในหนังสือสัญญาหย่านั่นเอง การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนบ้านพร้อมที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หาจึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 หลีกเลี่ยงที่จะชำระหนี้ให้แก่บุตร ตามข้อตกลงในสัญญา กรณีจึงมีเหตุที่จะเพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ



ตามข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในข้อนี้ว่าก่อนมีการทำหนังสือสัญญาหย่า และจดทะเบียนหย่าขาดจากกันนั้น โจทก์และจำเลยที่ 1 มีเหตุที่ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไปจำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายฟ้องขอหย่าขาดจากโจทก์ก่อนแต่ในที่สุดโจทก์และจำเลยที่ 1 ก็สามารถตกลงกันได้โดยตกลงยินยอมหย่าขาดจากกัน และได้แนบหนังสือสัญญาหย่าไว้ท้ายบันทึกทะเบียนการหย่า ซึ่งหนังสือสัญญาหย่านี้เป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ การชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรและค่าการศึกษาของบุตร รวมทั้งข้อตกลงเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ข้อตกลงต่าง ๆ ตามที่ปรากฏในหนังสือสัญญาหย่านี้จึงเป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ประสงค์จะระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับบุตรผู้เยาว์ และสินสมรสซึ่งมีอยู่หรือที่จะมีต่อไปในภายภาคหน้าให้เสร็จไป ด้วยต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อความที่จำเลยที่ 1 ระบุว่าสินสมรสในส่วนของจำเลยที่ 1 ในบ้านพร้อมที่ดินพิพาทเมื่อจำเลยที่ 1 ตายไปให้ตกเป็นมรดกของบุตร  เป็นสัญญาที่มีเงื่อนเวลาที่ก่อให้เกิดหนี้แก่จำเลยที่ 1 ที่ต้องชำระให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อเป็นการระงับข้อพิพาท จึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกมิใช่เรื่องพินัยกรรมการที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา แม้ไม่กระทบต่อสิทธิของโจทก์แต่โจทก์ก็เป็นคู่สัญญาในหนังสือสัญญาหย่าโดยตรงในการยกทรัพย์สินให้แก่บุตร โจทก์ในฐานะคู่สัญญาจึงมีอำนาจฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์ได้เพราะเป็นทางให้บุตรเสียเปรียบ อันเป็นการฟ้องบังคับให้ปฏิบัติตามข้อตกลงในหนังสือสัญญาหย่าเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 หลีกเลี่ยงที่จะชำระหนี้ให้แก่บุตร ตามข้อตกลงในสัญญา กรณีจึงมีเหตุที่จะเพิกถอนนิติกรรมการโอนได้

 




การสิ้นสุดแห่งการสมรส

คดีหย่า & ค่าทดแทน, สิทธิฟ้องหย่า, (มาตรา 1518, 1523)(ฎีกา 2473/2556)
หย่า แบ่งสินสมรส, อำนาจปกครองบุตร, & คุ้มครองดอกผล (ฎีกา 10361/2557)
คดีหย่า & อำนาจปกครองบุตร, ค่าอุปการะเลี้ยงดู, (ฎีกา 5535/2558)
โมฆะสมรส & สิทธิอำนาจปกครองบุตร, สิทธิเลี้ยงดูบุตร (ฎีกา 10442/2558)
ความหมายว่า"ค่าอุปการะเลี้ยงดูจนกว่าจะสมรสใหม่และจนกว่าการสมรสสิ้นสุดลง"
คดีหย่า & ฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. ม.173, ฟ้องซ้ำ, (ฎีกา 8186/2551)
สิทธิครอบครองที่ดิน & เพิกถอนโฉนดออกโดยมิชอบ (ฎีกา 3169/2564)
ฟ้องหญิงอื่นเรียกค่าทดแทน (มาตรา 1523) (ฎีกา 4818/2551)
คดีหย่า & สิทธิฟ้องหย่า, อายุความคดีหย่า (การยินยอมและให้อภัย) (ฎีกา 3190/2549)
ฟ้องหย่า สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี, (ฎีกา, 2520/2549),
การหย่าโมฆะ & สิทธิในมรดกที่ดินพิพาท
สิทธิภริยาเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นเรื่องชู้สาว (ฎีกา 4261/2560)
กฎหมายฟ้องชู้ฉบับใหม่ 2568: สิทธิของคู่สมรสทุกเพศในการเรียกค่าทดแทนและฟ้องหย่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5259 - 5260/2561 : การรับฟังพยานบันทึกเสียง, สิทธิฟ้องหย่า, ค่าทดแทนชู้ และอำนาจปกครองบุตร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2562 เรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง
สมัครใจแยกกันอยู่, จงใจละทิ้งร้าง, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
สิทธิภริยาเรียกค่าทดแทนจากสามีและหญิงอื่น เหตุชู้สาวต่อเนื่องไม่ขาดอายุความ
การหย่าโดยสมยอมเพื่อฉ้อโกงเจ้าหนี้ – วิเคราะห์กฎหมายครอบครัวและสิทธิของเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4130/2548 สิทธิภริยาชอบด้วยกฎหมายเรียกร้องค่าทดแทนจากหญิงอื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523
สิทธิฟ้องหย่าและอำนาจปกครองบุตร: ศาลฎีกาวินิจฉัยกรณีสามีขับไล่ภริยา – คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4104/2564
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2567: การเปลี่ยนแปลงผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรและการปรับค่าเลี้ยงดูตามสถานการณ์ใหม่
แบ่งสินสมรส, สินสมรสที่เป็นเงินตรา, แบ่งสินสมรสหลังหย่า สิทธิและหน้าที่, สินส่วนตัวกับสินสมรส
คดีฟ้องหย่าและการแบ่งทรัพย์สิน, สิทธิการเรียกค่าเลี้ยงดูของโจทก์, การชำระค่าทดแทนในคดีแพ่ง, การบังคับคดีและสิทธิทายาทในมรดก
ข้อตกลงแบ่งค่าเช่าที่ดินในสัญญาหย่า
ฟ้องหย่าคู่สมรสวิกลจริต, คนไร้ความสามารถกับการหย่า, แบ่งทรัพย์สินหลังหย่าในกรณีคนวิกลจริต
การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
การหย่าโดยความยินยอมต้องทำอย่างไร?, หนังสือหย่า
สามีภริยาจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้างแต่ต้องเกิดจากความยินยอม
ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์
ไม่เกิดสิทธิฟ้องหย่าเพราะโจทก์มีพฤติกรรมนอกใจจำเลยยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี เหตุฟ้องหย่า
การสมรสสิ้นไปด้วยเหตุความตายของคู่สมรสฝ่ายหนึ่ง
อายุความฟ้องหย่า, บันทึกข้อตกลงหย่า, หลักกฎหมายมาตรา 1515,
สิทธิฟ้องค่าอุปการะเลี้ยงดูอันจะอยู่ในอายุความ 5 ปี , หน้าที่บิดามารดาในการเลี้ยงดูบุตร
การฟ้องหย่าด้วยเหตุหมิ่นประมาท, สิทธิการฟ้องหย่าหมดอายุความ
นำตำรวจจับกุมภริยา หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง
จงใจละทิ้งร้างภริยาไปเกินหนึ่งปีฟ้องหย่าได้, สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา
การจงใจทิ้งร้างไปเกินกว่า 1 ปีต้องในลักษณะที่ไม่หวนกลับไปหาคู่สมรสอีก
ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร
สิทธิฟ้องหย่าระงับไปเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีเว้นแต่เหตุฟ้องเกิดขึ้นต่อเนื่อง
เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ สิทธิเรียกร้องกำหนดอายุความ 5 ปี
เหตุฟ้องหย่าให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ยื่นฟ้องหย่า
สามีฟ้องหย่า,จงใจละทิ้งร้าง,เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ, อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นเป็นภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี ต้องเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุขด้วย
แยกกันอยู่เพราะสามีรับราชการที่อื่น, ไม่ถือว่าเป็นการแยกกันอยู่โดยความสมัครใจ
ทะเลาะกันและทำร้ายร่างกายยังไม่เป็นเหตุฟ้องหย่า
แยกกันอยู่เพราะสามียกย่องหญิงอื่น, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
ฟ้องหย่าจงใจละทิ้งร้างเรียกสินสอดทองหมั้นคืน
สามีหรือภริยาประพฤติชั่วอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
รู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่าจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่านั้นไม่ได้
พี่น้องของผู้ตายขอเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสซ้อนไม่ได้
อำนาจฟ้องขอเพิกถอนการสมรสเพราะสำคัญผิดตัว
ศาลมีอำนาจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้
ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก-ได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปี ฟ้องหย่าได้
สิทธิฟ้องหย่าระงับเมื่ออีกฝ่ายให้อภัยแล้ว
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปีฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะติดต่อกับบุตรของตนได้ตามสมควรแล้วแต่พฤติการณ์
ไม่อาจร่วมประเวณีได้ ต้องการฟ้องหย่า
แยกกันอยู่หรือจงใจละทิ้งร้าง? -อยู่บ้านเดียวกันแต่ก็มีลักษณะแบบต่างคนต่างอยู่
กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง
ไม่ถือว่าจำเลยประพฤติชั่วทำให้โจทก์อับอายถูกเกลียดชังจนเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะเรียกค่าทดแทนชู้สาวนั้นต้องแสดงตนโดยเปิดเผย
เหตุแห่งการฟ้องหย่าทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลงขอให้อีกฝ่ายหนึ่งจ่ายค่าเลี้ยงชีพได้
ฟ้องซ้ำ ค่าอุปการะเลี้ยงดู หนี้ที่ยังไม่ถึงกำหนด
การแบ่งสินสมรสและกรรมสิทธิ์รวม
หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามสามีหรือบุพการี
สัญญาระหว่างสมรสให้ทรัพย์สินของสามีตกเป็นของภริยาห้ามบอกล้าง
ขอเพิกถอนทะเบียนสมรสซ้อน สมรสซ้อนโดยไม่สุจริต
ทะเบียนสมรส ลงชื่อฝ่ายชายคนเดียว, เพิกถอนการรับบุตรบุญธรรม
ฟ้องหย่าอ้างเหตุสมัครใจแยกกันอยู่
ทำร้ายร่างกายถ้าเป็นการร้ายแรงฟ้องหย่าได้, ศาลปรับหนึ่งพันไม่เป็นการร้ายแรง
ฟ้องหย่าอ้างว่าจำเลยดูหมิ่นโจทก์และบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรง
การกระทำของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอันเป็นเหตุฟ้องหย่า
โจทก์ได้ให้อภัยจำเลยเรื่องทำร้ายร่างกายแล้วถือได้ว่าสิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้ย่อมหมดไป
ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน, การทำร้ายคู่สมรส
เหตุฟ้องหย่า เหตุที่ไม่อาจอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ มีอะไรบ้าง
ความสมบูรณ์ของการสมรส, ฟ้องให้การสมรสเป็นโมฆะ
การละเมิดเกิดขึ้นต่อเนื่องอายุความจึงยังไม่เริ่มนับคดีไม่ขาดอายุความ
การฟ้องหย่าและหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามี ไม่ฟ้องหย่า
ฟ้องหย่าอ้างสิทธิที่จะเลือกคู่ครองตามรัฐธรรมนูญ
รู้ว่าสามีไปมีหญิงอื่นเกินหนึ่งปีก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้,อายุความ
จงใจละทิ้งร้างไปเกินหนึ่งปี
ฟ้องหย่าได้ที่ศาลใด
การหย่าโดยคำพิพากษาจะมีผลต่อเมื่อเวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุด
หนังสือร้องเรียนผู้บังคับบัญชาเรื่องความสัมพันธ์กับหญิงอื่น
ฟ้องหย่าอ้างแยกกันอยู่เกินสามปีต้องเพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุข
เหตุฟ้องหย่าอ้างว่าใช้วาจาไม่สุภาพและทะเลาะโดยไม่มีเหตุผล
หลักเกณฑ์การใช้สิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพหลังการหย่า