
ข้อตกลงแบ่งค่าเช่าที่ดินในสัญญาหย่า
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ข้อตกลงแบ่งค่าเช่าที่ดินในสัญญาหย่า • มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ป.พ.พ. ความหมาย • ข้อตกลงแบ่งค่าเช่าที่ดินในสัญญาหย่า • การขายที่ดินพิพาทในสัญญาประนีประนอมยอมความ • ค่าเสียหายจากการไม่ชำระหนี้ตามสัญญา • สิทธิของเจ้าหนี้ตามสัญญาประนีประนอม • ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการละเมิดสัญญาหย่า ในสัญญาประนีประนอมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ฟ้องหย่าและแบ่งสินสมรส กำหนดให้ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โดยจำเลยจะจ่ายเงินค่าเช่าที่เกิดจากการให้เช่าแก่โจทก์ในอัตรา 40% จนกว่าโจทก์จะเสียชีวิต ต่อมา จำเลยขายที่ดินนี้ ทำให้การแบ่งค่าเช่าเป็นไปไม่ได้ ศาลฎีกาพิจารณาว่าจำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เนื่องจากเป็นการทำให้การชำระหนี้เป็นไปไม่ได้ตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง ป.พ.พ. ผลคำพิพากษา: ศาลฎีกาเห็นด้วยกับศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 1,000,000 บาท เนื่องจากคำนึงถึงอายุโจทก์และความไม่แน่นอนในการให้เช่าที่ดิน หลักกฎหมายตาม มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) กล่าวถึงกรณีที่ลูกหนี้ต้องรับผิดชอบหากไม่สามารถชำระหนี้ตามที่ตกลงไว้ โดยกำหนดว่าหากลูกหนี้กระทำการใด ๆ ที่เป็นเหตุให้การชำระหนี้เป็นไปไม่ได้ ลูกหนี้จะต้องรับผิดชอบต่อเจ้าหนี้ และต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการไม่ชำระหนี้นั้น สาระสำคัญของมาตรา 218 วรรคหนึ่ง: 1. เงื่อนไขการรับผิดชอบ: กรณีที่การชำระหนี้ไม่สามารถทำได้เพราะการกระทำของลูกหนี้ เช่น ลูกหนี้ขายหรือทำลายทรัพย์สินที่ต้องใช้ชำระหนี้ ถือว่าลูกหนี้มีความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 2. ค่าเสียหาย: เมื่อลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามข้อตกลง ลูกหนี้จะต้องจ่ายค่าเสียหายเพื่อชดเชยให้แก่เจ้าหนี้ ตัวอย่างการใช้: ในกรณีที่ลูกหนี้ขายที่ดินซึ่งมีข้อผูกพันแบ่งค่าเช่าให้แก่เจ้าหนี้ เช่น ในกรณีนี้ การขายที่ดินโดยไม่แจ้งให้เจ้าหนี้ทราบหรือไม่ได้รับอนุญาต อาจถือเป็นการทำให้เจ้าหนี้เสียประโยชน์ที่ควรได้รับจากค่าเช่า ลูกหนี้จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายให้เจ้าหนี้ตามที่มาตรา 218 วรรคหนึ่งกำหนด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1781/2567 ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีฟ้องหย่าและแบ่งสินสมรสเรื่องก่อน กำหนดให้ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และจำเลยตกลงแบ่งเงินค่าเช่าที่เกิดจากการให้เช่าที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในอัตรา 40 ส่วน ใน 100 ส่วน ของค่าเช่าที่เกิดจากการให้เช่าจากบริษัท ป. หรือบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมตลอดไปจนกว่าโจทก์จะถึงแก่ความตาย ก่อให้เกิดหนี้ผูกพันระหว่างกันที่จำเลยจะต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามเงื่อนไขที่กำหนด แม้ไม่มีข้อกำหนดใดห้ามมิให้จำเลยขายที่ดินพิพาทในอันที่โจทก์จะนำมาใช้อ้างว่าจำเลยกระทำผิดข้อสัญญาประนีประนอมยอมความได้ และจำเลยในฐานะเจ้าของที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิขายที่ดินพิพาทได้อย่างอิสระก็ตาม แต่เมื่อในเวลาที่จำเลยขายที่ดินพิพาทนั้นโจทก์ยังไม่ถึงแก่ความตายอันเป็นเงื่อนไขซึ่งเป็นสาระสำคัญของข้อตกลงที่โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งของเงินค่าเช่าจนกว่าจะถึงแก่ความตาย ย่อมเป็นการทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยจะทำได้ เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เพื่อค่าเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้นั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 3,840,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 (ที่ถูก ร้อยละ 5 ต่อปี) นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 สิงหาคม 2564) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 2,000 บาท โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 30,000 บาท โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เดิมโจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยากัน ในปี 2559 โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยและแบ่งสินสมรสโจทก์กับจำเลยตกลงกันได้ มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์กับจำเลยตกลงหย่าขาดจากกันและแบ่งทรัพย์สินระหว่างกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2560 และศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดตาก (แม่สอด) มีคำพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ พด. 39/2560 ในข้อ 5 ของสัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่า โจทก์ตกลงมอบการครอบครองที่ดิน ภ.บ.ท. 5 (ที่ดินพิพาท) เลขสำรวจที่ 101/53 เนื้อที่ 20 ไร่ โดยเป็นชื่อของนางลัดดา (จำเลย) อยู่ ให้แก่จำเลย และในข้อ 6 ระบุว่า จำเลยตกลงมอบหรือแบ่งเงินค่าเช่าที่เกิดจากการเช่าที่ดิน ภ.บ.ท. 5 ...ตามข้อ 5 (ที่ดินพิพาท) แก่โจทก์ เป็นจำนวนอัตรา 40 ส่วน ใน 100 ส่วน ของค่าเช่าที่เกิดขึ้นจากการให้เช่ากับบริษัท ป. หรือบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมตลอดไปแก่โจทก์จนกว่าโจทก์จะถึงแก่ความตาย โดยจำเลยจะโอนเงินเข้าบัญชีโจทก์หลังได้รับค่าเช่าภายในเวลาอันควร หลังจากนั้นในวันที่ 26 ธันวาคม 2563 จำเลยได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่นายวรวัฒน์ ในราคา 8,500,000 บาท โจทก์จึงได้นำเหตุแห่งการขายที่ดินของจำเลยมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีนี้ คดีมีปัญหาวินิจฉัยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้วปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีก่อน ไม่มีข้อใดเลยที่ห้ามมิให้จำเลยขายที่ดินพิพาทแก่บุคคลภายนอก การที่จำเลยเจ้าของทรัพยสิทธิขายให้บุคคลภายนอกจึงเป็นการขายไปตามสิทธิที่ตนมีตามกฎหมายโดยชอบ โจทก์ไม่อาจอ้างว่าจำเลยจงใจทำให้การชำระหนี้ของจำเลยที่มีต่อโจทก์เป็นการพ้นวิสัยและไม่สุจริต การที่สัญญากำหนดให้จำเลยแบ่งเงินค่าเช่าให้โจทก์ตามอัตราส่วนของค่าเช่าที่เกิดจากการให้เช่าที่ดินพิพาทตลอดไปจนกว่าโจทก์จะถึงแก่ความตายนั้น เป็นเพียงกำหนดเงื่อนเวลาสิ้นสุดในการได้ส่วนแบ่งค่าเช่าเท่านั้น สิทธิของโจทก์ยังคงมีอยู่ต่อเมื่อจำเลยยังคงมีสิทธิครอบครองในที่ดินและมีการเช่าในที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยขายที่ดินพิพาทไป สิทธิของโจทก์ก็ระงับสิ้นตามไปเช่นกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีฟ้องหย่าและแบ่งสินสมรสเรื่องก่อน กำหนดให้ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และจำเลยตกลงแบ่งเงินค่าเช่าที่เกิดจากการให้เช่าที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในอัตรา 40 ส่วน ใน 100 ส่วน ของค่าเช่าที่เกิดขึ้นจากการให้เช่าจากบริษัท ป. หรือบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมตลอดไปจนกว่าโจทก์จะถึงแก่ความตาย ก่อให้เกิดหนี้ผูกพันระหว่างกันที่จำเลยจะต้องทำการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามเงื่อนไขที่กำหนด จริงอยู่แม้จะไม่มีข้อกำหนดใดห้ามมิให้จำเลยขายที่ดินพิพาทในอันที่โจทก์จะนำมาใช้อ้างว่าจำเลยกระทำผิดข้อสัญญาประนีประนอมยอมความได้ และจำเลยในฐานะเจ้าของที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิขายที่ดินพิพาทได้อย่างอิสระก็ตาม แต่เมื่อในเวลาที่จำเลยขายที่ดินพิพาทนั้นโจทก์ยังไม่ถึงแก่ความตายอันเป็นเงื่อนไขซึ่งเป็นสาระสำคัญของข้อตกลงที่โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งของเงินค่าเช่าจนกว่าจะถึงแก่ความตาย จึงเป็นการทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยจะทำได้ เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เพื่อค่าเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้นั้น ดังที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 218 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น คดีมีปัญหาวินิจฉัยประการหลังว่า โจทก์ควรได้รับค่าเสียหายเพียงใด เห็นว่า การจะมีชีวิตดำรงอยู่นานเพียงใดเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ทั้งหากไม่มีการขายที่ดินพิพาทการจะมีผู้เช่าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอีกต่อไปหรือไม่ เช่านานเพียงใด ก็ไม่แน่นอนอีกเช่นกัน โจทก์เองก็รับมาในฎีกาว่าหากไม่มีการเช่าในที่ดินพิพาท โจทก์จะไม่มีสิทธิได้รับเงินส่วนแบ่งแต่อย่างใด ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นคำนึงถึงอายุของโจทก์และโอกาสความเป็นไปได้ที่จะมีการเช่าที่ดินพิพาทแล้วกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 1,000,000 บาท นั้น นับว่าเหมาะสมชอบด้วยรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลต่างให้เป็นพับกันไป กรณีที่การชำระหนี้ไม่สามารถทำได้เพราะการกระทำของลูกหนี้ ในทางกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กรณีที่การชำระหนี้ไม่สามารถทำได้เพราะการกระทำของลูกหนี้ ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เนื่องจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดของสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหลักการพื้นฐานในกฎหมาย แต่หากลูกหนี้เป็นผู้กระทำการที่ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ลูกหนี้จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดได้ และเจ้าหนี้อาจใช้สิทธิตามกฎหมายเรียกร้องค่าเสียหายหรือบังคับให้ชำระหนี้ได้ หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 วรรคหนึ่ง: ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ตามที่ได้ตกลงไว้ หากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้เพราะเหตุสุดวิสัยซึ่งเกิดจากลูกหนี้เอง ลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดชอบต่อเจ้าหนี้ 2.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204: ในกรณีที่ลูกหนี้ปฏิเสธหรือละเลยไม่ชำระหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย หรือฟ้องร้องเพื่อบังคับชำระหนี้ได้ ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7030/2549: กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน เนื่องจากจำเลยไม่สามารถส่งมอบที่ดินให้โจทก์ได้ครบถ้วนตามสัญญา ศาลพิจารณาว่าเป็นเรื่องพ้นวิสัยเนื่องจากเหตุซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องค่าปรับหรือค่าเสียหายจากจำเลยตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง ฏีกาย่อ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยทั้งหกทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน โดยโจทก์วางเงินมัดจำ 15 ล้านบาท และกำหนดโอนกรรมสิทธิ์วันที่ 9 กันยายน 2539 แต่เกิดปัญหาเมื่อจำเลยทั้งหกไม่สามารถส่งมอบที่ดินทั้งหมดตามสัญญาได้ เนื่องจากบางส่วนของที่ดินถูกกรุงเทพมหานครถมดินสร้างถนน คิดเป็นร้อยละ 8.6 ของเนื้อที่ทั้งหมด โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและเรียกคืนเงินมัดจำ พร้อมค่าปรับ 15 ล้านบาท ศาลพิจารณาว่า การส่งมอบที่ดินขาดไปเกินร้อยละ 5 ทำให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญา คู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยทั้งหกต้องคืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ อย่างไรก็ตาม การที่จำเลยทั้งหกไม่สามารถโอนที่ดินได้ครบถ้วนเป็นเหตุพ้นวิสัย จำเลยทั้งหกจึงไม่ต้องรับผิดชอบในค่าปรับหรือค่าเสียหายเพิ่มเติมตามมาตรา 218 วรรคแรก 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2625/2551: กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้ส่งมอบเครื่องอุปกรณ์ชุดปากพูดหูฟัง หรือชดใช้ราคาแทน ศาลพิจารณาว่าหากการส่งมอบเป็นพ้นวิสัย จำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง และมาตรา 225 ฎีกาย่อ: โจทก์ให้บริการเช่าเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์ โดยผู้เช่าต้องจ่ายค่าเช่าและค่าตอบแทนการใช้ความถี่วิทยุ ซึ่งถือเป็นการเช่าสังหาริมทรัพย์ที่มีอายุความ 2 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (6) ดังนั้น หากโจทก์ฟ้องเรียกค่าตอบแทนเกิน 2 ปี นับจากวันที่สามารถเรียกร้องได้ คดีจะขาดอายุความ รวมถึงค่าความถี่วิทยุเพิ่มที่เป็นเบี้ยปรับก็ขาดอายุความด้วยตามมาตรา 193/26 สำหรับคำขอให้จำเลยส่งคืนเครื่องอุปกรณ์ หากยังสามารถกระทำได้ โจทก์ต้องเรียกร้องให้ส่งคืนเครื่อง ไม่สามารถเรียกร้องเป็นราคาทดแทนแทนได้ การส่งคืนเครื่องไม่ถือเป็นหนี้เงิน โจทก์จึงไม่สามารถเรียกดอกเบี้ยได้ตั้งแต่วันที่จำเลยผิดนัด เว้นแต่การส่งคืนเป็นพ้นวิสัยด้วยเหตุที่จำเลยต้องรับผิดชอบ ซึ่งในกรณีนั้น โจทก์มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นราคาพร้อมดอกเบี้ย โดยคำนวณราคาจากเวลาที่การส่งคืนกลายเป็นพ้นวิสัย ไม่ใช่เวลาที่จำเลยผิดนัด
ในกรณีนี้ เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าการส่งคืนเป็นพ้นวิสัยตั้งแต่เมื่อใด จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยในราคาทรัพย์นับแต่วันฟ้องตามมาตรา 213 สรุป เมื่อการชำระหนี้ไม่สามารถทำได้เพราะการกระทำของลูกหนี้ กฎหมายกำหนดให้ลูกหนี้ยังคงมีความรับผิดชอบต่อเจ้าหนี้ โดยเจ้าหนี้สามารถเรียกร้องค่าเสียหายหรือบังคับชำระหนี้ได้ ทั้งนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องช่วยยืนยันหลักกฎหมายและแนวทางในการพิจารณาในกรณีดังกล่าว |