

สมัครใจแยกกันอยู่, จงใจละทิ้งร้าง, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ สมัครใจแยกกันอยู่, จงใจละทิ้งร้าง, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา • กฎหมายหย่ามาตรา 1516 • สิทธิฟ้องหย่าตามมาตรา 1518 • เหตุฟ้องหย่าจงใจทิ้งร้าง 1 ปี • การให้อภัยในคดีหย่า • เหตุหย่า การกระทำรุนแรงต่อคู่สมรส • แยกกันอยู่เกิน 3 ปี หย่า • การหย่าด้วยความสมัครใจ • ฟ้องหย่า ปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยา บทความนี้จะอธิบายถึงเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับกรณีต่างๆ ดังนี้: 1. การสมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี บทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: มาตรา 1516 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การหย่าตามมาตรานี้สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อคู่สมรสได้สมัครใจแยกกันอยู่โดยไม่มีการอยู่ร่วมกันเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่า 3 ปี การฟ้องหย่าในกรณีนี้จำเป็นต้องแสดงให้ศาลเห็นถึงการยินยอมของทั้งสองฝ่ายที่ได้แยกกันอยู่อย่างต่อเนื่องและเป็นระยะเวลานานพอสมควรตามที่กฎหมายกำหนด หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: หลักการแยกกันอยู่นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้ชีวิตคู่ได้สิ้นสุดลงจริง โดยไม่สามารถประนีประนอมกันได้อีก ซึ่งการยินยอมนี้เป็นการแสดงออกถึงความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย 2. การจงใจทิ้งร้างเกิน 1 ปี บทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: มาตรา 1516 (4) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในกรณีที่ฝ่ายหนึ่งได้จงใจละทิ้งอีกฝ่ายหนึ่งไปโดยไม่สนใจเป็นระยะเวลานานเกินกว่า 1 ปี อีกฝ่ายสามารถยื่นฟ้องหย่าได้ การจงใจทิ้งร้างหมายถึงการละเลยความเป็นสามีภรรยาอย่างเจตนาและไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ ต่อความสัมพันธ์นี้ หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: การกระทำนี้ถือว่าผิดเงื่อนไขความเป็นสามีภรรยาและแสดงถึงการละเลยหน้าที่คู่สมรส กฎหมายจึงให้สิทธิในการฟ้องหย่าแก่ฝ่ายที่ถูกละทิ้งเพื่อป้องกันการอยู่ในสภาวะที่ไร้การดูแลและไม่เป็นธรรม 3. การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากันอย่างร้ายแรง บทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: มาตรา 1516 (6) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากันหมายถึงการกระทำที่รุนแรงและขัดต่อการอยู่ร่วมกัน เช่น การทำร้ายร่างกาย การใช้คำพูดที่หยาบคายและด่าทอ หรือการกระทำที่สร้างความทุกข์ใจต่ออีกฝ่ายอย่างรุนแรง กฎหมายให้สิทธิในการฟ้องหย่าแก่คู่สมรสที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำดังกล่าวเพื่อปกป้องสิทธิและความปลอดภัยของตนเอง หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: หลักการนี้มุ่งเน้นการคุ้มครองสิทธิของคู่สมรสให้พ้นจากการกระทำที่ทำลายสุขภาพกายและจิตใจ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตคู่และศาลอาจยอมรับเหตุฟ้องหย่าได้เมื่อเห็นว่าความรุนแรงนั้นเป็นการทำลายความเป็นสามีภรรยาโดยสิ้นเชิง บทความนี้จึงสรุปถึงหลักกฎหมายที่รองรับเหตุฟ้องหย่าทั้งสามกรณีที่สำคัญ สรุปย่อคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์และจำเลยแยกกันอยู่ด้วยความสมัครใจ โจทก์ไม่สามารถอ้างว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างได้ แม้จำเลยเคยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ 2 ครั้ง แต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นก่อนฟ้องถึง 14 ปี และ 4 ปี โดยโจทก์ไม่ได้ร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ อีกทั้งยังอยู่ร่วมกันหลังเหตุการณ์ จึงถือว่าโจทก์ให้อภัยและสิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้หมดไปตามมาตรา 1518 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยา โดยหึงหวงและใช้อาวุธปืนพยายามฆ่าโจทก์ ปลอมลายมือชื่อสร้างหนี้สิน และกีดกันไม่ให้โจทก์เลี้ยงดูบุพการี ทั้งนี้ โจทก์ขอหย่าและสิทธิในการเลี้ยงดูบุตร จำเลยให้การปฏิเสธว่าตนไม่ได้ทำผิด และขอฟ้องแย้งให้บุตรอยู่ในการอุปการะของตน โดยโจทก์ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดู ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้บุตรอยู่ในความปกครองของจำเลย และให้โจทก์จ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 1,500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา การอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่มีความสัมพันธ์กับคดีหย่าดังกล่าว มีรายละเอียดดังนี้: 1. มาตรา 1461 มาตรานี้เกี่ยวข้องกับการให้อภัยซึ่งทำให้สิทธิในการฟ้องหย่าของคู่สมรสสิ้นไป หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้กระทำการที่ถือเป็นเหตุฟ้องหย่า แต่หลังจากนั้นอีกฝ่ายได้ให้อภัยแล้ว สิทธิที่จะนำเรื่องดังกล่าวมาอ้างเพื่อฟ้องหย่าจะหมดไป ซึ่งในกรณีที่กล่าวถึง โจทก์ยังคงอยู่ร่วมกับจำเลยหลังจากเหตุการณ์ที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ แสดงให้เห็นว่าได้มีการให้อภัย สิทธิฟ้องหย่าจึงหมดไปตามหลักนี้ 2. มาตรา 1516 มาตรา 1516 เป็นมาตราที่ระบุถึงเหตุฟ้องหย่าที่คู่สมรสสามารถนำมาเป็นเหตุในการยื่นฟ้องได้ โดยมีหลายข้อย่อยที่ครอบคลุมเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การจงใจทิ้งร้าง การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยา หรือการแยกกันอยู่โดยสมัครใจเกินระยะเวลาที่กำหนด สำหรับกรณีนี้ โจทก์กล่าวอ้างเหตุการจงใจทิ้งร้าง ตามมาตรา 1516 (4) และการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยา ตามมาตรา 1516(6) ซึ่งเป็นเหตุผลในการฟ้องหย่า 3. มาตรา 1518 มาตรา 1518 ระบุว่าหากคู่สมรสได้ให้อภัยการกระทำที่ถือเป็นเหตุฟ้องหย่า สิทธิในการฟ้องจะหมดไป การให้อภัยสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งโดยชัดเจนหรือโดยการกระทำ เช่น การกลับมาอยู่ร่วมกันหรือแสดงออกถึงการยอมรับการกระทำที่ผิดพลาดของอีกฝ่าย ในคดีนี้ โจทก์ได้ให้อภัยจำเลยโดยการยังคงใช้ชีวิตคู่หลังเหตุการณ์รุนแรง การฟ้องหย่าด้วยเหตุผลนี้จึงไม่มีผลอีกต่อไป
การเข้าใจหลักกฎหมายเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจการพิจารณาคดีหย่าและเหตุผลที่ศาลใช้ในการตัดสินได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี, จงใจละทิ้งร้างเกิน 1 ปี, ประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง, เหยียดหยามบุพการี, ทำให้ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง, ให้อภัยแล้ว, เหตุฟ้องหย่า, สิทธิฟ้องหย่าย่อมหมดไป, พิพากษายกฟ้อง ในคดีนี้ สามีภริยาแยกกันอยู่โดยต่างฝ่ายต่างไม่ได้ไปมาหาสู่กันเป็นเวลา 2 ปี การอ้างเหตุฟ้องหย่าว่าอีกฝ่ายหนึ่งจงใจละทิ้งร้างไปเกิน 1 ปี จึงฟังไม่ขึ้นเพราะเป็นการสมัครใจแยกกันอยู่เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้ ซึ่งหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง(โจทก์) จะอ้างเรื่องสมัครใจแยกกันอยู่เป็นเหตุฟ้องหย่าจะต้องมีข้อเท็จจริงว่า สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี แต่ในคดีนี้โจทก์ไม่สามารถอ้างเหตุฟ้องอย่าในเรื่องนี้ได้เนื่องจากยังแยกกันอยู่ไม่ครบ 3 ปี จึงอ้างเหตุจำเลยจงใจละทิ้งร้างมาเป็นเหตุหย่า การที่ฝ่ายใดจะอ้างการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงในประเด็นเรื่องความผิดเกี่ยวกับชีวิต ฝ่ายที่ถูกกระทำจะต้องไปแจ้งความให้ดำเนินคดี แต่ในคดีนี้โจทก์ไม่ได้ไปแจ้งความดำเนินคดีภายหลังเกิดเหตุแต่กลับยังคงอยู่กินกันฉันสามีภริยากันต่อไป ศาลฎีกาพิจารณาว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ได้ให้อภัยแล้วทำให้สิทธิฟ้องหย่าหมดไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6002/2534
โจทก์จำเลยต่างสมัครใจแยกกันอยู่ โจทก์จะกล่าวอ้างว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไม่ได้ จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ 2 ครั้ง แม้จะเป็นความจริงดังที่โจทก์ฎีกา แต่เหตุเกิดก่อนฟ้องประมาณ 14 ปี และ 4 ปี ตามลำดับไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลย คงอยู่กินด้วยกันตลอดมาแสดงว่าโจทก์ได้ให้อภัยจำเลยแล้ว สิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้ย่อมหมดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1518 โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากัน มีบุตรด้วยกัน 2 คน จำเลยประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างร้ายแรง โดยหึงหวงโจทก์ ใช้อาวุธปืนพยายามฆ่าโจทก์ถึง 2 ครั้ง ปลอมลายมือชื่อโจทก์ สร้างหนี้สินมากมาย เหยียดหยามบุพการีของโจทก์และกีดกันมิให้โจทก์ส่งเสียเลี้ยงดูบุพการี ทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง โจทก์กับจำเลยจึงแยกกันอยู่ ตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2527 ถือว่าจำเลยจงใจทิ้งร้างโจทก์ ขอให้พิพากษาให้โจทก์หย่าขาดกับจำเลยนับแต่วันฟ้อง หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนหย่าขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและให้บุตรทั้งสองอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างร้ายแรง หรือจงใจทิ้งร้างโจทก์ จำเลยเป็นฝ่ายอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองตลอดมา โจทก์ให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูบ้างเป็นจำนวนไม่แน่นอน ขอให้ยกฟ้องโจทก์และพิพากษาให้บุตรอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของจำเลย ให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรสองคนเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าบุตรทั้งสองจะสำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุด โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยมีความประพฤติไม่ดีและไม่สามารถอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองให้ได้รับความอบอุ่นหรือได้ดีเท่าโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้บุตรทั้งสองอยู่ในความปกครองของจำเลยให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 1,500 บาทต่อหนึ่งคน นับแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2529 จนกว่าบุตรทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกิน 1 ปีหรือไม่ เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์บรรยายว่าโจทก์แยกกันอยู่กับจำเลยตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2527 เป็นต้นมาโดยจำเลยไม่ได้ไปมาหาสู่โจทก์ และโจทก์ก็มิได้ไปหาจำเลยฉันสามีภรรยาตามฟ้องโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องโจทก์จำเลยต่างสมัครใจแยกกันอยู่โจทก์จะกล่าวอ้างว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไม่ได้ ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ 2 ครั้งเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภรรยากันอย่างร้ายแรงนั้น เห็นว่า แม้จะเป็นความจริงดังที่โจทก์ฎีกา แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าเหตุเกิดเมื่อปี 2515 และ 2525 ก่อนฟ้องประมาณ 14 ปีและ 4 ปี ตามลำดับ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยคงอยู่กินด้วยกันตลอดมา บ่งแสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ให้อภัยจำเลยแล้วสิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้ย่อมหมดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1518 พิพากษายืน
|