
สมัครใจแยกกันอยู่, จงใจละทิ้งร้าง, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิทธิฟ้องหย่าในกรณีที่คู่สมรสสมัครใจแยกกันอยู่ แม้ในอดีตจำเลยจะมีพฤติกรรมรุนแรง เช่น ใช้อาวุธปืนพยายามฆ่า แต่หากคู่สมรสยังคงอยู่กินด้วยกันต่อเนื่องเป็นเวลานาน ย่อมถือว่าอีกฝ่ายได้ให้อภัยแล้ว สิทธิฟ้องหย่าตามมาตรา 1518 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ย่อมสิ้นสุด ศาลจึงพิพากษายืนยกฟ้องและให้บุตรอยู่ในความปกครองของจำเลย
ข้อเท็จจริงของคดี • โจทก์และจำเลยเป็นสามีภรรยาที่มีบุตรร่วมกัน 2 คน • โจทก์ฟ้องหย่า อ้างว่าจำเลยประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการครองเรือนอย่างร้ายแรง ได้แก่ หึงหวง ใช้อาวุธปืนพยายามฆ่า 2 ครั้ง ปลอมลายมือชื่อ สร้างหนี้สิน เหยียดหยามบุพการี และกีดกันการเลี้ยงดูบุพการีของโจทก์ ทำให้โจทก์อับอายขายหน้า • โจทก์อ้างว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้าง ตั้งแต่ 6 สิงหาคม 2527 และขอให้ศาลพิพากษาหย่าและให้บุตรอยู่ในความอุปการะของโจทก์ • จำเลยให้การปฏิเสธ พร้อมฟ้องแย้งว่าตนเป็นฝ่ายอุปการะเลี้ยงดูบุตร และขอให้บุตรอยู่ในความอุปการะของตน โดยให้โจทก์จ่ายค่าเลี้ยงดู • ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้บุตรอยู่ในความปกครองของจำเลย และให้โจทก์จ่ายค่าเลี้ยงดูรายเดือน • ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า 1. ประเด็น จงใจละทิ้งร้างเกิน 1 ปี o ตามคำฟ้องและข้อเท็จจริง คู่สมรสต่างสมัครใจแยกกันอยู่ โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างได้ 2. ประเด็น การกระทำร้ายแรงในอดีต (ใช้ปืนพยายามฆ่า) o แม้เป็นข้อเท็จจริง แต่เหตุเกิดก่อนฟ้อง 14 ปี และ 4 ปี ตามลำดับ และไม่มีการร้องทุกข์ อีกทั้งยังคงอยู่กินด้วยกันต่อมา แสดงว่าโจทก์ได้ให้อภัยแล้ว 3. ตาม มาตรา 1518 ป.พ.พ. เมื่อคู่สมรสให้อภัยในพฤติกรรมที่เป็นเหตุหย่า สิทธิฟ้องในส่วนนั้นย่อมระงับ 4. พิพากษายืนยกฟ้อง
การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. สิทธิฟ้องหย่าในกรณีสมัครใจแยกกันอยู่ • ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (2) และ 1518 หากคู่สมรสสมัครใจแยกกันอยู่ จะไม่ถือเป็นการจงใจละทิ้งร้าง • การสมัครใจแยกกันอยู่เกิดขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายยินยอมไม่อยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา 2. ผลของการให้อภัยต่อการกระทำร้ายแรง • การกระทำร้ายแรงในอดีต เช่น พยายามฆ่า หากคู่สมรสยังคงอยู่ร่วมกันภายหลัง ถือว่าให้อภัยแล้ว • เมื่อให้อภัย สิทธิฟ้องหย่าตามเหตุนี้ย่อมหมดไป (มาตรา 1518) 3. ความสำคัญของระยะเวลาและการกระทำภายหลังเหตุ • ศาลให้ความสำคัญกับพฤติกรรมต่อเนื่องหลังเหตุการณ์ร้ายแรง • การที่อยู่กินด้วยกันหลายปีหลังเหตุ แสดงถึงการยกโทษ
ข้อคิดทางกฎหมาย • การฟ้องหย่าต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าฝ่ายหนึ่งกระทำตามเหตุหย่าและไม่มีการให้อภัย • หากมีการสมัครใจแยกกันอยู่หรืออยู่กินต่อเนื่องหลังเหตุร้ายแรง จะเป็นข้อจำกัดสิทธิฟ้องหย่า • ควรเก็บหลักฐานและดำเนินการฟ้องภายในระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้สิทธิฟ้องสิ้นสุดตามมาตรา 1518
IRAC Analysis Issue (ประเด็น) • คู่สมรสสามารถฟ้องหย่าได้หรือไม่ หากสมัครใจแยกกันอยู่และได้ให้อภัยการกระทำร้ายแรงในอดีต Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ) • ป.พ.พ. มาตรา 1516 (2) ว่าด้วยเหตุหย่าในกรณีจงใจละทิ้งร้าง • ป.พ.พ. มาตรา 1518 ว่าด้วยการระงับสิทธิฟ้องเมื่อให้อภัยคู่สมรส Application (การปรับใช้) • โจทก์และจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่ ไม่เป็นการจงใจละทิ้งร้าง • เหตุพยายามฆ่าเกิดขึ้นนานกว่า 4 ปีและ 14 ปีก่อนฟ้อง และคู่สมรสยังอยู่กินร่วมกัน แสดงถึงการให้อภัย สิทธิฟ้องจึงหมดไป Conclusion (สรุป) • โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหย่าตามเหตุที่อ้าง ศาลพิพากษายืนยกฟ้อง
สรุปบทความภาษาอังกฤษ
The Supreme Court Judgment No. 6002/2534 addresses divorce rights when spouses voluntarily live apart. Even though the husband had committed serious acts in the past, including attempting to shoot his wife, the couple continued to live together for years afterward, indicating forgiveness. Under Section 1518 of the Civil and Commercial Code, such forgiveness extinguishes the right to file for divorce. The Court upheld the lower court’s dismissal of the claim and granted child custody to the defendant.
บทความนี้จะอธิบายถึงเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับกรณีต่างๆ ดังนี้:
1. การสมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี
บทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: มาตรา 1516 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การหย่าตามมาตรานี้สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อคู่สมรสได้สมัครใจแยกกันอยู่โดยไม่มีการอยู่ร่วมกันเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่า 3 ปี การฟ้องหย่าในกรณีนี้จำเป็นต้องแสดงให้ศาลเห็นถึงการยินยอมของทั้งสองฝ่ายที่ได้แยกกันอยู่อย่างต่อเนื่องและเป็นระยะเวลานานพอสมควรตามที่กฎหมายกำหนด
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: หลักการแยกกันอยู่นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้ชีวิตคู่ได้สิ้นสุดลงจริง โดยไม่สามารถประนีประนอมกันได้อีก ซึ่งการยินยอมนี้เป็นการแสดงออกถึงความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย
2. การจงใจทิ้งร้างเกิน 1 ปี
บทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: มาตรา 1516 (4) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในกรณีที่ฝ่ายหนึ่งได้จงใจละทิ้งอีกฝ่ายหนึ่งไปโดยไม่สนใจเป็นระยะเวลานานเกินกว่า 1 ปี อีกฝ่ายสามารถยื่นฟ้องหย่าได้ การจงใจทิ้งร้างหมายถึงการละเลยความเป็นสามีภรรยาอย่างเจตนาและไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ ต่อความสัมพันธ์นี้
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: การกระทำนี้ถือว่าผิดเงื่อนไขความเป็นสามีภรรยาและแสดงถึงการละเลยหน้าที่คู่สมรส กฎหมายจึงให้สิทธิในการฟ้องหย่าแก่ฝ่ายที่ถูกละทิ้งเพื่อป้องกันการอยู่ในสภาวะที่ไร้การดูแลและไม่เป็นธรรม
3. การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากันอย่างร้ายแรง
บทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: มาตรา 1516 (6) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากันหมายถึงการกระทำที่รุนแรงและขัดต่อการอยู่ร่วมกัน เช่น การทำร้ายร่างกาย การใช้คำพูดที่หยาบคายและด่าทอ หรือการกระทำที่สร้างความทุกข์ใจต่ออีกฝ่ายอย่างรุนแรง กฎหมายให้สิทธิในการฟ้องหย่าแก่คู่สมรสที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำดังกล่าวเพื่อปกป้องสิทธิและความปลอดภัยของตนเอง
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: หลักการนี้มุ่งเน้นการคุ้มครองสิทธิของคู่สมรสให้พ้นจากการกระทำที่ทำลายสุขภาพกายและจิตใจ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตคู่และศาลอาจยอมรับเหตุฟ้องหย่าได้เมื่อเห็นว่าความรุนแรงนั้นเป็นการทำลายความเป็นสามีภรรยาโดยสิ้นเชิง
บทความนี้จึงสรุปถึงหลักกฎหมายที่รองรับเหตุฟ้องหย่าทั้งสามกรณีที่สำคัญ
สรุปย่อคำพิพากษาศาลฎีกา
โจทก์และจำเลยแยกกันอยู่ด้วยความสมัครใจ โจทก์ไม่สามารถอ้างว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างได้ แม้จำเลยเคยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ 2 ครั้ง แต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นก่อนฟ้องถึง 14 ปี และ 4 ปี โดยโจทก์ไม่ได้ร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ อีกทั้งยังอยู่ร่วมกันหลังเหตุการณ์ จึงถือว่าโจทก์ให้อภัยและสิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้หมดไปตามมาตรา 1518
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยา โดยหึงหวงและใช้อาวุธปืนพยายามฆ่าโจทก์ ปลอมลายมือชื่อสร้างหนี้สิน และกีดกันไม่ให้โจทก์เลี้ยงดูบุพการี ทั้งนี้ โจทก์ขอหย่าและสิทธิในการเลี้ยงดูบุตร
จำเลยให้การปฏิเสธว่าตนไม่ได้ทำผิด และขอฟ้องแย้งให้บุตรอยู่ในการอุปการะของตน โดยโจทก์ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดู ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้บุตรอยู่ในความปกครองของจำเลย และให้โจทก์จ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 1,500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
การอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่มีความสัมพันธ์กับคดีหย่าดังกล่าว มีรายละเอียดดังนี้:
1. มาตรา 1461
มาตรานี้เกี่ยวข้องกับการให้อภัยซึ่งทำให้สิทธิในการฟ้องหย่าของคู่สมรสสิ้นไป หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้กระทำการที่ถือเป็นเหตุฟ้องหย่า แต่หลังจากนั้นอีกฝ่ายได้ให้อภัยแล้ว สิทธิที่จะนำเรื่องดังกล่าวมาอ้างเพื่อฟ้องหย่าจะหมดไป ซึ่งในกรณีที่กล่าวถึง โจทก์ยังคงอยู่ร่วมกับจำเลยหลังจากเหตุการณ์ที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ แสดงให้เห็นว่าได้มีการให้อภัย สิทธิฟ้องหย่าจึงหมดไปตามหลักนี้
2. มาตรา 1516
มาตรา 1516 เป็นมาตราที่ระบุถึงเหตุฟ้องหย่าที่คู่สมรสสามารถนำมาเป็นเหตุในการยื่นฟ้องได้ โดยมีหลายข้อย่อยที่ครอบคลุมเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การจงใจทิ้งร้าง การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยา หรือการแยกกันอยู่โดยสมัครใจเกินระยะเวลาที่กำหนด สำหรับกรณีนี้ โจทก์กล่าวอ้างเหตุการจงใจทิ้งร้าง ตามมาตรา 1516 (4) และการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยา ตามมาตรา 1516(6) ซึ่งเป็นเหตุผลในการฟ้องหย่า
3. มาตรา 1518
มาตรา 1518 ระบุว่าหากคู่สมรสได้ให้อภัยการกระทำที่ถือเป็นเหตุฟ้องหย่า สิทธิในการฟ้องจะหมดไป การให้อภัยสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งโดยชัดเจนหรือโดยการกระทำ เช่น การกลับมาอยู่ร่วมกันหรือแสดงออกถึงการยอมรับการกระทำที่ผิดพลาดของอีกฝ่าย ในคดีนี้ โจทก์ได้ให้อภัยจำเลยโดยการยังคงใช้ชีวิตคู่หลังเหตุการณ์รุนแรง การฟ้องหย่าด้วยเหตุผลนี้จึงไม่มีผลอีกต่อไป
การเข้าใจหลักกฎหมายเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจการพิจารณาคดีหย่าและเหตุผลที่ศาลใช้ในการตัดสินได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี, จงใจละทิ้งร้างเกิน 1 ปี, ประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง, เหยียดหยามบุพการี, ทำให้ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง, ให้อภัยแล้ว, เหตุฟ้องหย่า, สิทธิฟ้องหย่าย่อมหมดไป, พิพากษายกฟ้อง
ในคดีนี้ สามีภริยาแยกกันอยู่โดยต่างฝ่ายต่างไม่ได้ไปมาหาสู่กันเป็นเวลา 2 ปี การอ้างเหตุฟ้องหย่าว่าอีกฝ่ายหนึ่งจงใจละทิ้งร้างไปเกิน 1 ปี จึงฟังไม่ขึ้นเพราะเป็นการสมัครใจแยกกันอยู่เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้ ซึ่งหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง(โจทก์) จะอ้างเรื่องสมัครใจแยกกันอยู่เป็นเหตุฟ้องหย่าจะต้องมีข้อเท็จจริงว่า สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี แต่ในคดีนี้โจทก์ไม่สามารถอ้างเหตุฟ้องอย่าในเรื่องนี้ได้เนื่องจากยังแยกกันอยู่ไม่ครบ 3 ปี จึงอ้างเหตุจำเลยจงใจละทิ้งร้างมาเป็นเหตุหย่า
การที่ฝ่ายใดจะอ้างการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงในประเด็นเรื่องความผิดเกี่ยวกับชีวิต ฝ่ายที่ถูกกระทำจะต้องไปแจ้งความให้ดำเนินคดี แต่ในคดีนี้โจทก์ไม่ได้ไปแจ้งความดำเนินคดีภายหลังเกิดเหตุแต่กลับยังคงอยู่กินกันฉันสามีภริยากันต่อไป ศาลฎีกาพิจารณาว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ได้ให้อภัยแล้วทำให้สิทธิฟ้องหย่าหมดไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6002/2534
โจทก์จำเลยต่างสมัครใจแยกกันอยู่ โจทก์จะกล่าวอ้างว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไม่ได้ จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ 2 ครั้ง แม้จะเป็นความจริงดังที่โจทก์ฎีกา แต่เหตุเกิดก่อนฟ้องประมาณ 14 ปี และ 4 ปี ตามลำดับไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลย คงอยู่กินด้วยกันตลอดมาแสดงว่าโจทก์ได้ให้อภัยจำเลยแล้ว สิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้ย่อมหมดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1518 โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากัน มีบุตรด้วยกัน 2 คน จำเลยประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างร้ายแรง โดยหึงหวงโจทก์ ใช้อาวุธปืนพยายามฆ่าโจทก์ถึง 2 ครั้ง ปลอมลายมือชื่อโจทก์ สร้างหนี้สินมากมาย เหยียดหยามบุพการีของโจทก์และกีดกันมิให้โจทก์ส่งเสียเลี้ยงดูบุพการี ทำให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง โจทก์กับจำเลยจึงแยกกันอยู่ ตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2527 ถือว่าจำเลยจงใจทิ้งร้างโจทก์ ขอให้พิพากษาให้โจทก์หย่าขาดกับจำเลยนับแต่วันฟ้อง หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนหย่าขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและให้บุตรทั้งสองอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างร้ายแรง หรือจงใจทิ้งร้างโจทก์ จำเลยเป็นฝ่ายอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองตลอดมา โจทก์ให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูบ้างเป็นจำนวนไม่แน่นอน ขอให้ยกฟ้องโจทก์และพิพากษาให้บุตรอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของจำเลย ให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรสองคนเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าบุตรทั้งสองจะสำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุด โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยมีความประพฤติไม่ดีและไม่สามารถอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองให้ได้รับความอบอุ่นหรือได้ดีเท่าโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้บุตรทั้งสองอยู่ในความปกครองของจำเลยให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 1,500 บาทต่อหนึ่งคน นับแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2529 จนกว่าบุตรทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีประเด็นจะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกิน 1 ปีหรือไม่ เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์บรรยายว่าโจทก์แยกกันอยู่กับจำเลยตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2527 เป็นต้นมาโดยจำเลยไม่ได้ไปมาหาสู่โจทก์ และโจทก์ก็มิได้ไปหาจำเลยฉันสามีภรรยาตามฟ้องโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องโจทก์จำเลยต่างสมัครใจแยกกันอยู่โจทก์จะกล่าวอ้างว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไม่ได้ ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ 2 ครั้งเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภรรยากันอย่างร้ายแรงนั้น เห็นว่า แม้จะเป็นความจริงดังที่โจทก์ฎีกา แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าเหตุเกิดเมื่อปี 2515 และ 2525 ก่อนฟ้องประมาณ 14 ปีและ 4 ปี ตามลำดับ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยคงอยู่กินด้วยกันตลอดมา บ่งแสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ให้อภัยจำเลยแล้วสิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้ย่อมหมดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1518 พิพากษายืน
|