

สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี เหตุฟ้องหย่า ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ สามีสมัครใจแยกกันอยู่ฝ่ายเดียวอีกฝ่ายไม่ได้สมัครใจด้วย • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7795/2560 • การฟ้องหย่า • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 • ศาลเยาวชนและครอบครัว พ.ร.บ. 2553 มาตรา 6 • การยื่นฎีกาในคดีครอบครัว • กฎหมายการหย่าและการแยกกันอยู่ • ข้อจำกัดในการยื่นฎีกา สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7795/2560 ย่อได้ดังนี้คือ โจทก์ฟ้องขอหย่าจำเลย อ้างว่าแยกกันอยู่โดยสมัครใจเนื่องจากไม่สามารถอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้อย่างปกติสุขเกินสามปี จำเลยต่อสู้ในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ว่าการแยกกันอยู่นั้นไม่เป็นการสมัครใจและไม่ถึงขั้นไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข ศาลชั้นต้นพิพากษาให้หย่าและให้จำเลยจ่ายค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ยืนตามศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา โดยอ้างว่าแยกกันอยู่เพราะโจทก์ยกย่องหญิงอื่นเป็นภริยา ทำให้จำเลยอับอายและต้องแยกกันอยู่ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าข้ออ้างนี้ไม่เคยถูกนำเสนอในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ อีกทั้งจำเลยไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงเห็นว่าฎีกานี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง และ พ.ร.บ. ศาลเยาวชนฯ มาตรา 6 จึงไม่รับวินิจฉัย ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาของจำเลยและคืนค่าขึ้นศาลให้จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นให้เป็นพับ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ระบุถึงข้อจำกัดในการฎีกา ซึ่งหมายถึง หากประเด็นที่ยกขึ้นในฎีกาไม่เคยถูกนำเสนอหรือพิจารณาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์มาก่อน ถือว่าเป็นข้อที่ไม่อาจยกขึ้นในฎีกาได้ กฎหมายฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมไม่ให้คู่ความนำประเด็นใหม่เข้ามาในกระบวนการฎีกาเพื่อป้องกันความล่าช้าหรือความไม่เป็นธรรมในคดี พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 6 เน้นให้การพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวต้องเป็นไปตามหลักความยุติธรรมที่เหมาะสมและคุ้มครองสิทธิของคู่ความ โดยในกรณีที่กฎหมายทั่วไปเกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีในศาลเยาวชนหรือครอบครัว ให้ใช้กฎหมายเฉพาะนี้ประกอบกันไป เพื่อรักษาสิทธิของผู้เกี่ยวข้องและรักษาความเป็นธรรมในการพิจารณาคดี ในบทความนี้ การอ้างถึงมาตรา 249 และ พ.ร.บ. ศาลเยาวชนฯ มาตรา 6 ช่วยให้เข้าใจว่าการนำประเด็นที่ไม่เคยถูกยกขึ้นในชั้นศาลก่อนหน้านั้นมาเป็นข้ออ้างในฎีกาถือเป็นข้อที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7795/2560 โจทก์ฟ้องขอหย่าจำเลยอ้างเหตุโจทก์และจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขเกินสามปี จำเลยให้การต่อสู้ทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เพียงประเด็นเดียวว่า จำเลยมิได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์และการแยกกันอยู่นั้นไม่ถึงขนาดที่มีเหตุไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขเกินกว่าสามปี ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์แต่จำใจแยกกันอยู่กับโจทก์เนื่องจากโจทก์ยกย่องนาง อ. เป็นภริยาตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน จำเลยรู้สึกอับอายจึงแยกมาอยู่ที่บ้านเลขที่ 59/9 นั้น จึงเป็นฎีกาที่จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 ทั้งไม่ปรากฏว่า จำเลยได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ว่า ไม่ชอบหรือไม่ถูกต้อง เพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้งต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำฟ้องหย่า สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี ข้อ ๑. เดิมโจทก์มีชื่อว่า นาย......................... ต่อมาโจทก์ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้เปลี่ยนชื่อตัวเป็น "..................." รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือสำคัญแสดงการเปลี่ยนชื่อตัว เลขที่ 00/0000 ออกให้ ณ วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕.. เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๑ ข้อ ๒. ภายหลังการสมรส โจทก์และจำเลยพักอาศัยอยู่ร่วมกันที่บ้านพักของข้าราชการตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอ...................จังหวัด.......... ระหว่างอยู่กินร่วมกัน โจทก์และจำเลยมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน และมีปากเสียงทะเลาะกันตลอดมา ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ โจทก์และจำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงสมัครใจแยกกันอยู่ที่ .............จังหวัดพระนครศรีอยุธยาต่อหน้าพันตำรวจโท ..... ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ในขณะนั้น เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมา ต่อมาเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๔.. จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๐๐/๒๕๔.... คดีหมายเลขแดงที่ ๐๐/๒๕๔... ศาลได้มีคำพิพากษาตามยอม ลงวันที่ ๐๐ กรกฎาคม ๒๕๔... ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ ๓. มีข้อความว่า "โจทก์ให้สัญญาว่าจะไม่ไปรบกวนความเป็นอยู่ของจำเลยในที่พักหรือสถานที่ทำงานให้จำเลยต้องเดือดร้อนรำคาญ" นับตั้งแต่โจทก์และจำเลยทำบันทึกข้อตกลงสมัครใจแยกกันอยู่ต่อหน้า พันตำรวจ........................... ในปี พ.ศ. ๒๕๔.. และ นับแต่โจทก์และจำเลยทำข้อตกลงข้อ ๓. ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ลงวันที่ ๐๐ กรกฎาคม ๒๕๔... โจทก์และจำเลยไม่ได้ติดต่อข้องเกี่ยวกันฉันสามีภริยาตลอดมา จึงเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยตกลงสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปีซึ่งโจทก์มีสิทธิอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าจำเลยได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๑๖ (๔/๒) รายละเอียดปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาตามยอม และสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๓ โจทก์มีความประสงค์จะหย่าขาดจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน โจทก์ไม่มีทางบังคับจำเลยได้จึงต้องนำคดีมาฟ้องศาลเพื่อบังคับจำเลยต่อไป ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
**บทความ: การฟ้องหย่าตามกฎหมายไทยในกรณีต่าง ๆ *แยกกันอยู่เกินสามปี ฟ้องหย่าได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) ระบุว่า การที่คู่สมรสแยกกันอยู่นานเกินสามปี เนื่องจากไม่สามารถอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุข สามารถใช้เป็นเหตุฟ้องหย่าได้ กล่าวคือ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่สมบูรณ์และไม่มีความสงบสุขเป็นระยะเวลานานตามที่กฎหมายกำหนด ฝ่ายนั้นสามารถนำเหตุนี้ไปฟ้องหย่าได้ในชั้นศาล อธิบายเพิ่มเติม: การแยกกันอยู่จะต้องเป็นการแยกกันโดยทั้งสองฝ่ายสมัครใจหรือมีเหตุผลที่ทำให้ต้องแยกกัน ซึ่งศาลจะพิจารณาความสมัครใจและระยะเวลาในการแยกกันอยู่ว่าครบตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ *แยกกันอยู่โดยไม่สมัครใจ ฟ้องหย่าไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม หากการแยกกันอยู่ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย เช่น ฝ่ายหนึ่งถูกบังคับหรือจำใจแยกออกไปเนื่องจากการกระทำหรือพฤติกรรมของอีกฝ่ายหนึ่ง กรณีเช่นนี้ ไม่สามารถใช้เป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 ได้ การพิจารณาคดีจะต้องดูว่าเหตุของการแยกกันอยู่นั้นมีความสมัครใจของทั้งสองฝ่ายหรือไม่ และหากไม่มีความสมัครใจ ศาลอาจไม่พิจารณาให้มีการหย่า อธิบายเพิ่มเติม: ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการแยกกันอยู่อย่างไม่สมัครใจมักจะต้องมีพยานหลักฐานที่พิสูจน์ว่าเป็นการแยกกันอยู่อันเกิดจากความจำเป็นที่ไม่เกี่ยวกับความตั้งใจร่วมกัน *สามียกย่องหญิงอื่น ฟ้องหย่าได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (1) กำหนดว่าหากสามีหรือภริยาประพฤติชั่ว เช่น มีพฤติกรรมยกย่องหญิงอื่นในฐานะภริยา หรือมีความสัมพันธ์ชู้สาวโดยเปิดเผย ฝ่ายที่ได้รับความเสียหายสามารถใช้เป็นเหตุฟ้องหย่าได้ การประพฤติชั่วนี้รวมถึงการกระทำใด ๆ ที่แสดงถึงความไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่สมรส และอาจทำให้เกิดความอับอายหรือส่งผลกระทบต่อความสงบสุขในชีวิตสมรส อธิบายเพิ่มเติม: การฟ้องหย่าในกรณีที่มีการยกย่องหญิงอื่นหรือมีความสัมพันธ์ชู้สาวนั้น ศาลจะพิจารณาจากหลักฐานที่ยืนยันถึงพฤติกรรมดังกล่าว ซึ่งรวมถึงพยานบุคคลหรือหลักฐานการกระทำอื่น ๆ
*สรุป: การฟ้องหย่าตามกฎหมายไทยต้องอาศัยเหตุที่มีความชัดเจนและพิจารณาความเป็นจริงจากหลักฐานที่มีอยู่ ทั้งในกรณีที่แยกกันอยู่เกินสามปี การแยกกันอยู่อย่างไม่สมัครใจ และการที่ฝ่ายหนึ่งยกย่องบุคคลอื่นแทนคู่สมรส
|