สำนักงานพีศิริ ทนายความ ตั้งอยู่เลขที่ 34/159 หมู่ 8 ซอยบางมดแลนด์ แยก 13 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 ติดต่อทนายความ 085-9604258 สำหรับแผนที่การเดินทาง กรุณาคลิ๊กที่ "ที่ตั้งสำนักงาน" ด้านบนสุด ทนายความ ทนาย สำนักงานกฎหมาย สำนักงานทนายความ ปรึกษากฎหมายกับทนายความลีนนท์ โทรเลย ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความ

ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ, อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นเป็นภริยา -ปรึกษากฎหมาย ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258 -ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line : (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3) @peesirilaw หรือ (4) peesirilaw (5) leenont -Line Official Account : เพิ่มเพื่อนด้วย QR CODE ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ, อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นเป็นภริยา หลอกลวงว่าเป็นชายโสดจนหลงเชื่อและสมรสด้วย, ทำร้ายร่างกาย, ดูถูกเหยียดหยามบุพการี, เป็นการประพฤติตนอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง ทำให้ได้รับความเสียหายต้องสูญเสียพรหมจารี ศาลชั้นต้นให้หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา ไม่ไปจดทะเบียนหย่าให้ถือเอาคำพิาพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาในการจดทะเบียนหย่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 764/2534 ก่อนที่โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลย โจทก์หาได้มีความสัมพันธ์กับจำเลยในฐานะสามีภริยาตามกฎหมายไม่ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิใด ๆ ในฐานะภริยาจำเลย แม้โจทก์จะทราบว่าจำเลยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยากับ ร. และมีบุตรด้วยกันก่อนที่โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลย ก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำดังกล่าวของจำเลย โจทก์จึงอ้างเหตุตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(1) ฟ้องหย่าจำเลยได้. โจทก์ฟ้องว่า โจทก์สมรสกับจำเลยตามประเพณี ต่อมาจึงได้จดทะเบียนสมรสกันหลังจากจดทะเบียนสมรสแล้ว โจทก์สืบทราบว่าจำเลยได้อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นเป็นภริยาจนเกิดบุตรด้วยกันมาก่อน แต่จำเลยหลอกลวงว่าเป็นชายโสดจนโจทก์หลงเชื่อและยอมสมรสกับจำเลย เมื่อโจทก์ซักถามเกี่ยวกับเรื่องนี้จำเลยกลับหาเรื่องทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายโจทก์และกล่าวคำหยาบคายดูถูกเหยียดหยามโจทก์และบุพการีหลายครั้ง การกระทำของจำเลยเป็นการประพฤติตนอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง การที่จำเลยอุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นเป็นภริยาแล้วมาหลอกลวงว่าเป็นชายโสดทำให้โจทก์หลงเชื่อยอมสมรสกับจำเลย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องสูญเสียพรหมจารีให้จำเลย และได้รับความเสียหายทั้งส่วนตัวและวงศ์ตระกูลโจทก์ขอคิดค่าเสียหายเป็นเงิน 200,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนหย่าขาดจากกัน หากจำเลยไม่ยอมขอให้ถือว่าคำพิพากษาของศาลมีผลให้การสมรสสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษา ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 200,000 บาทแก่โจทก์กับให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์เป็นรายเดือนตามจำนวนที่ศาลเห็นสมควรกำหนดให้ จำเลยให้การว่า โจทก์ทราบดีก่อนสมรสตามประเพณีกับจำเลยว่าจำเลยมีบุตรกับนางรำพึง สายตรง อยู่แล้ว 1 คน แต่จำเลยไม่เคยยกย่องอย่างเปิดเผยว่าหญิงนั้นเป็นภริยา แต่ไม่ได้ให้การอุปการะเลี้ยงดูแต่อย่างใด โจทก์และจำเลยไม่เคยมีเหตุทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกาย ทั้งไม่เคยใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อโจทก์หรือบุพการีของโจทก์ ต่อมาโจทก์ทราบว่า นางรำพึงได้คลอดบุตรคนที่ 2 อันเกิดจากจำเลย โจทก์เข้าใจว่าจำเลยมิได้ตัดขาดจากนางรำพึง จำเลยได้พยายามอธิบายให้โจทก์เข้าใจว่านางรำพึงตั้งครรภ์ก่อนที่โจทก์กับจำเลยจะสมรสกันตามประเพณี แต่โจทก์ไม่เข้าใจกลับหลบหนีออกจากบ้านของจำเลย ต่อมาโจทก์ให้จำเลยปฏิบัติตามข้อเสนอคือให้โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลย และให้โอนทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ให้โจทก์เป็นเจ้าของร่วม ห้ามมิให้จำเลยออกจากบ้านในยามวิกาลให้จำเลยจ่ายเงินให้โจทก์ในวันนั้นจำนวน 35,000 บาท เป็นเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อโจทก์จะได้กลับมาอยู่กินกับจำเลยเหมือนเดิม จำเลยได้ปฏิบัติตามทุกข้อ ยกเว้นเรื่องให้จดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์แล้วนัดจดทะเบียนสมรสกัน แสดงว่าโจทก์รู้เห็นเป็นใจและยินยอมในเรื่องนี้แล้ว หลังจากที่จดทะเบียนสมรสแล้ว จำเลยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงโดยเคร่งครัด แต่ต่อมาโจทก์ได้ขนของที่เป็นสินสมรสออกจากบ้านหลบหนีไป จำเลยมิได้ทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการสมรส มิได้หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์หรือบุพการีของโจทก์ และหรือยกย่องหยิงอื่นใดว่าเป็นภริยาของจำเลย ค่าเสียหายของโจทก์หากมีไม่ควรถึง 200,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับโจทก์โดยให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ภายใน 15 วันนับแต่วันทราบคำพิพากษา หากจำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนหย่าให้โจทก์ ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยในการจดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับจำเลย ให้จำเลยจ่ายค่าทดแทนแก่โจทก์จำนวนเงิน 100,000 บาท และจ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะทำการสมรสใหม่ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนการหย่า หากไม่ยอมไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีเหตุหย่ากับจำเลยตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายรับข้อเท็จจริงกับแล้วว่า จำเลยมีบุตรด้วยกันกับนางรำพึง 2 คนโดยเฉพาะบุตรคนที่สองคลอดก่อนโจทก์สมรสกับจำเลยเพียงเดือนเศษและปรากฏตามทะเบียนบ้านหมาย ล.5 ด้วยว่าจำเลยในฐานะเจ้าของบ้านได้แจ้งชื่อบุตรคนที่สองเข้าไปอยู่ในทะเบียนบ้านที่ซอยรางน้ำซึ่งเป็นร้านขายยาระบุว่า จำเลยเป็นบิดาและนางรำพึงเป็นมารดานอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของโจทก์และนายอาคม จวนสาง ว่าหลังจากสมรสกับจำเลยแล้ว จำเลยมีพฤติการณ์กลับบ้านดึกเป็นประจำเมื่อโจทก์ทวงถาม จำเลยไม่ยอมรับ จึงได้จ้างนายอาคมให้ช่วยสืบพฤติการณ์ของจำเลยจนพบว่าจำเลยยังคงติดต่อและมีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยากับนางรำพึงที่บ้านเลขที่ 66/1 ถนนรองเมือง ซอย 3ครั้นโจทก์ไปสอบถามเพื่อนบ้านของนางรำพึงก็ได้ความตรงกันว่านางรำพึงเป็นภริยาจำเลย ตามพฤติการณ์และพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีเหตุผลเชื่อถือได้ว่า ภายหลังจากจำเลยสมรสกับโจทก์แล้วจำเลยยังคงติดต่อไปมาหาให้การอุปการะเลี้ยงดูและยกย่องนางรำพึงฉันภริยาด้วยอีกคนหนึ่ง ที่จำเลยนำสืบว่ามิได้ติดต่อกับนางรำพึงอีกนั้น ก็ขัดกับพฤติกาณ์ที่จำเลยรับว่าหลังจากโจทก์อยู่ด้วยกันกับจำเลยที่ร้านขายยาแล้ว นางรำพึงยังโทรศัพท์ไปหาจำเลยเกี่ยวกับเรื่องบุตร และจำเลยเป็นผู้แจ้งชื่อบุตรเข้าไปในทะเบียนบ้าน เมื่อปิดร้านแล้วมักออกไปนอกบ้านตามลำพัง และกลับถึงบ้านในยามวิกาลอันเป็นการขัดกับเหตุผลที่ว่าไปเยี่ยมบิดามารดาจำเลย พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยากับนางรำพึงนั้น เป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ว่า โจทก์จะยกเอาเหตุดังกล่าวขึ้นฟ้องหย่าจำเลยไม่ได้ ภาระการพิสูจน์ในประเด็นนี้จึงตกแก่จำเลยแต่จากพยานหลักฐานของจำเลยไม่ปรากฏว่า หลังจากโจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยแล้ว โจทก์ได้แสดงความยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจอย่างไรในการที่จำเลยอุปการะเลี้ยงดูนางรำพึงฉันภริยา ตรงกันข้ามกลับได้ความว่าโจทก์โกรธเคืองจำเลยถึงขนาดหลบหนีออกจากบ้านและมีหนังสือถึงจำเลยเพื่อให้จดทะเบียนหย่ากับโจทก์ พร้อมทั้งเรียกค่าทดแทนตามเอกสารหมาย จ.1 นอกจากนี้ก่อนที่โจทก์จะจดทะเบียนสมรสกับจำเลย โจทก์หาได้มีความสัมพันธ์กับจำเลยในฐานะสามีภริยาตามกฎหมายไม่ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิใด ๆ ในฐานะภริยาจำเลย ดังนั้น แม้โจทก์จะทราบว่าจำเลยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยากับนางรำพึงและมีบุตรด้วยกันก่อนที่โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยก็ตาม ก็ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำดังกล่าวของจำเลย โจทก์จึงอ้างเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(1) ฟ้องหย่าจำเลยได้ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน.
บริการของ สำนักงานพีศิริ ทนายความ สำนักงานกฎหมายพีศิริทนายความ ก่อตั้งโดย ทนายความ ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ รับว่าความคดีแพ่ง คดีอาญา คดีผู้บริโภคและคดีอื่นๆ ทุกคดี รับเป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมาย รับเป็นทนายความแก้ต่างต่อสู้คดี ข้อตกลง ตลอดจนข้อสัญญาต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจ ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ยื่นคำร้องขอถอนผู้จัดการมรดก ฟ้องเรียกเงินผิดสัญญากู้ยืมเงิน ผิดสัญญาจ้างทำของ ฟ้องหย่า ฟ้องเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในคดีครอบครัว ฟ้องเรียกบุตรคืน ฟ้องถอนอำนาจปกครองผู้เยาว์ ฟ้องหย่าและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู ฟ้องหย่าและขอแบ่งสินสมรส ฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทนจากหญิงที่แสดงตนว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับคู่สมรส ฟ้องหย่าและเรียกค่าเลี้ยงชีพ ฟ้องขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียว ฟ้องให้จดทะเบียนรับรองบุตร ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร ฟ้องขอให้ศาลมีว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ฟ้องขอเปลี่ยนอำนาจปกครองบุตร ฟ้องให้คู่หย่าปฏิบัติตามบันทึกท้ายทะเบียนหย่า ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูตามบันทึกท้ายทะเบียนหย่า ฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์สินตามบันทึกท้ายทะเบียนหย่า ฟ้องเรียกค่าทดแทนผิดสัญญาหมั้นเรียกสินสอดคืน ฟ้องบอกเลิกสัญญาหมั้นเรียกของหมั้นคืน ฟ้องคู่สมรสขอแยกกันอยู่ชั่วคราว ฟ้องขอให้จดทะเบียนใส่ชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนละครึ่ง ยื่นคำร้องต่อศาลขออนุญาตแทนการให้ความยินยอมขายที่ดินสินสมรส ฟ้องขอเพิกถอนการให้ที่ดินสินสมรส ฟ้องขอใส่ชื่อเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินสินสมรส ฟ้องขอใส่ชื่อเป็นเจ้าของร่วมในบัญชีธนาคาร ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสซ้อน ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตร ฟ้องบิดาขอให้รับเด็กเป็นบุตรและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมมาด้วย ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่าผู้ร้องเป็นบุตรเพื่อรับบำเหน็จตกทอดจากทางราชการ ฟ้องไม่รับเด็กเป็นบุตรเนื่องจากเป็นหมันไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ ฟ้องคดีขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแทนการให้ความยินยอมของมารดาในการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ยื่นคำร้องขอตั้งผู้ปกครอง ขอให้ศาลแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองเด็ก คดีขอให้ศาลสั่งเปลี่ยนตัวผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครอง ติดต่อทนายความได้เลย ฟ้องหย่าคิดถึงทนายความลีนนท์ ติดต่อทนายความลีนนท์ ได้ที่หมายเลข 0859604258
|