
สิทธิภริยาเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นเรื่องชู้สาว (ฎีกา 4261/2560)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิทธิของภริยาในการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่มีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามี โดยพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง แม้จะมีการหย่ากันแล้วก็ตาม แต่การใช้สิทธิต้องอาศัยพฤติกรรมที่ “แสดงตนโดยเปิดเผย” ว่ามีความสัมพันธ์เช่นนั้น คดีนี้ศาลฎีกายืนยันหลักการสำคัญว่า หากขาดพยานหลักฐานที่เพียงพอในการพิสูจน์การแสดงตนโดยเปิดเผย ภริยาจะไม่สามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนได้
ข้อเท็จจริงของคดี • โจทก์และนาย ว. จดทะเบียนสมรสเมื่อปี 2534 มีบุตร 2 คน และหย่ากันเมื่อปี 2556 • โจทก์ฟ้องจำเลยหญิง (ผู้อำนวยการโรงเรียน) ว่ามีความสัมพันธ์กับสามีตนในทำนองชู้สาว และแสดงตนโดยเปิดเผย พร้อมเรียกค่าทดแทน 1,000,000 บาท • ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระ 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย • ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์ • โจทก์ฎีกา
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • ประเด็นทางกฎหมาย: ภริยามีสิทธิเรียกค่าทดแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง หากหญิงอื่น “แสดงตนโดยเปิดเผย” ว่ามีความสัมพันธ์กับสามี แม้จะหย่ากันแล้วก็ตาม • การตีความ: แม้โจทก์อ้างว่าจำเลยทำละเมิด แต่ศาลมีอำนาจปรับข้อกฎหมายไปใช้ มาตรา 1523 ได้ เพราะเป็นบทบัญญัติเฉพาะ • ข้อพิสูจน์: o พยานหลักฐานที่ได้จากการดักฟังโทรศัพท์ GPS หรือนักสืบติดตาม ไม่ถือเป็นการ “แสดงตนโดยเปิดเผย” ของจำเลย o การพบเห็นจำเลยกับสามีโจทก์เพียงนั่งรถหรือเดินห้างด้วยกัน ยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าเป็นการเปิดเผยต่อสาธารณะ • ผลคำพิพากษา: ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลย เนื่องจากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยแสดงตนโดยเปิดเผย พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้อง
วิเคราะห์ประเด็นกฎหมาย 1. สิทธิฟ้องของภริยา (มาตรา 1523): o มาตรา 1523 กำหนดสิทธิภริยาในการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่มีความสัมพันธ์กับสามี o วรรคสองระบุชัดว่า แม้จะหย่ากันแล้ว ภริยาก็ยังมีสิทธิฟ้องได้ 2. หลัก “การแสดงตนโดยเปิดเผย”: o เป็นเงื่อนไขสำคัญ หากหญิงอื่นไม่แสดงพฤติกรรมออกต่อสาธารณะ การฟ้องจะไม่สำเร็จ o หลักฐานภายใน เช่น การดักฟังหรือการติดตามลับ ไม่เพียงพอ 3. บทกฎหมายเฉพาะ (lex specialis): o แม้โจทก์ฟ้องว่าเป็นคดีละเมิด ศาลต้องปรับใช้บทกฎหมายเฉพาะคือ มาตรา 1523 o สะท้อนหลักการที่ศาลต้องตีความให้ตรงตามบทบัญญัติพิเศษ
สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • ภริยามีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่น แม้หย่าแล้ว แต่ต้องพิสูจน์การ “แสดงตนโดยเปิดเผย” • หลักฐานภายในหรือการสืบลับไม่อาจแทนการเปิดเผยต่อสาธารณะได้ • ศาลต้องใช้บทบัญญัติที่เหมาะสมที่สุด ไม่จำกัดอยู่เพียงข้อหาที่โจทก์ตั้งไว้
IRAC Analysis Issue (ประเด็นปัญหา): ภริยาสามีที่หย่ากันแล้ว ยังมีสิทธิฟ้องหญิงอื่นเพื่อเรียกค่าทดแทนจากความสัมพันธ์ชู้สาวหรือไม่ และต้องพิสูจน์อย่างไร Rule (หลักกฎหมาย): • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง – ภริยามีสิทธิฟ้องหญิงอื่นที่ “แสดงตนโดยเปิดเผย” ว่ามีความสัมพันธ์กับสามี แม้จะหย่ากันแล้ว • มาตรา 420 (ละเมิด) – ใช้ไม่ได้เพราะมีบทเฉพาะกำหนดไว้ Application (การปรับใช้): • โจทก์มีสิทธิฟ้องเพราะเป็นภริยาชอบด้วยกฎหมาย • แต่หลักฐานที่นำสืบ เช่น การดักฟังโทรศัพท์ ติด GPS หรือคำให้การของญาติ ยังไม่พอพิสูจน์การแสดงตนโดยเปิดเผย • การพบกันในห้างหรือการนั่งรถด้วยกันไม่เข้าข่ายการเปิดเผยต่อสาธารณะ Conclusion (ข้อสรุป): ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทน เพราะพิสูจน์ไม่ได้ว่าจำเลย “แสดงตนโดยเปิดเผย” ว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาว พิพากษายืนยกฟ้อง
English Summary Supreme Court Decision No. 4261/2017 This case concerns the wife’s right to claim compensation from another woman alleged to have an affair with her husband under Section 1523 of the Civil and Commercial Code. The Court held that although the wife can still sue after divorce, she must prove that the other woman “publicly presented” herself as being in such a relationship. Secret evidence, such as phone tapping or surveillance, was insufficient. The Supreme Court affirmed the lower court’s decision to dismiss the case. ![]() คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4261/2560
โจทก์ในฐานะภริยามีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง แม้ขณะฟ้องจะได้จดทะเบียนหย่ากันแล้ว กรณีมิใช่การกระทำละเมิด ส่วนปัญหาจำเลยต้องใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์หรือไม่ เห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย เนื่องจากคู่ความได้สืบพยานกันเสร็จสิ้นแล้ว โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 กรกฎาคม 2556) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย ว. โดยจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2534 มีบุตรด้วยกัน 2 คน โจทก์กับนาย ว. จดทะเบียนหย่าเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2556 โจทก์เป็นผู้บริหารของโรงเรียน นาย ว. ประกอบอาชีพอาจารย์และวิทยากร จำเลยรับราชการเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยทำละเมิด แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกับสามีโจทก์มีพฤติกรรมทำนองชู้สาว แต่กระทำด้วยความสมัครใจ มิใช่การทำผิดกฎหมาย เป็นการวินิจฉัยนอกอุทธรณ์ เพราะจำเลยอุทธรณ์เพียงว่าจำเลยไม่ได้มีพฤติกรรมทำนองชู้สาวกับสามีโจทก์ ทั้งโจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำละเมิดจากการที่จำเลยแสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ทำนองชู้สาว ค่าทดแทนส่วนนี้เป็นค่าเสียหายแก่ชื่อเสียงและเกียรติคุณด้วย จึงเป็นการทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ได้ นั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย โดยตั้งข้อหามาในคำฟ้องว่าละเมิด ก็ไม่ผูกมัดว่าศาลจะต้องนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายในเรื่องละเมิดมาปรับแก่คดีดังที่โจทก์ตั้งข้อหา แต่เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลที่จะต้องปรับข้อเท็จจริงเข้ากับบทกฎหมายที่ถูกต้องเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดคดี โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยติดต่อและแสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ทำนองชู้สาวกับสามีโจทก์ โจทก์มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง แต่เมื่อจดทะเบียนหย่าแล้ว โจทก์เสียสิทธิเรียกค่าทดแทนตามมาตรา 1523 วรรคหนึ่ง แต่การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องสูญเสียนาย ว. สามีอันมีค่าของโจทก์ไป โจทก์ได้รับความชอกช้ำระกำใจ อับอาย เสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศ โจทก์จำใจต้องจดทะเบียนหย่ากับนาย ว. ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ หากฟ้องโจทก์เป็นความจริง ก็หาใช่เป็นเรื่องละเมิดไม่ เพราะกรณีที่สามีไปมีความสัมพันธ์ทำนองชู้สาวกับหญิงอื่นอันเป็นการกระทบกระเทือนถึงสิทธิของภริยานั้น มีบทบัญญัติไว้เป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง กรณีต้องตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตราดังกล่าวเท่านั้น ภริยาจึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวได้ แม้จะได้จดทะเบียนหย่ากันแล้วก็ตาม จึงมิใช่เป็นเรื่องการทำละเมิด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ปรับบทกฎหมายในเรื่องละเมิดและวินิจฉัยว่าจำเลยทำละเมิดหรือไม่ จึงไม่ถูกต้อง ส่วนปัญหาที่จำเลยแสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าจำเลยมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาว และต้องใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์หรือไม่ นั้น ปัญหานี้แม้ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยแต่คู่ความได้สืบพยานกันเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อมิให้คดีล่าช้าศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย เห็นว่า การที่ภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่มีความสัมพันธ์กับสามีของตนในทำนองชู้สาวได้ ก็เฉพาะแต่หญิงนั้นต้องแสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับสามีของตนในทำนอง ชู้สาว สำหรับบทสนทนาที่โจทก์อ้างว่าได้จากการดักฟังโทรศัพท์ของนาย ว. มิใช่จำเลยกระทำการใดๆ อันเป็นการแสดงตนโดยเปิดเผยว่าจำเลยมีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีโจทก์ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าโจทก์จ้างนักสืบติดตามพฤติกรรมของจำเลยกับนาย ว. และติดตั้งเครื่องติดตามรถยนต์(GPS) ที่รถยนต์ของนาย ว. และติดตั้งเครื่องดักฟังโทรศัพท์ของนาย ว. ทำให้ทราบว่านาย ว. ไปที่บ้านจำเลยบ่อยครั้งและออกจากบ้านจำเลยหลังเวลา 24 นาฬิกา นั้น โจทก์ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเองและไม่มีผู้ใดเป็นพยานหรือภาพถ่ายเป็นหลักฐานให้เห็นเช่นนั้น ลำพังเพียงโจทก์มีนาย ร. หลานชายของโจทก์เป็นพยานเบิกความว่าเคยเห็นจำเลยนั่งในรถของนาย ว. และต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2556 พบจำเลยและนาย ว. เดินออกจากห้างสรรพสินค้าด้วยกัน และที่โจทก์ นาง ส. และนาย ร. เบิกความว่า วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 16 นาฬิกา นาย ว. ขับรถยนต์มาส่งจำเลยที่หน้าบ้านของจำเลย นั้น ยังไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยแสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น อนึ่ง ทุนทรัพย์ในชั้นฎีกามีเพียง 100,000 บาท โจทก์ชำระค่าขึ้นศาล 20,000 บาท เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด 18,000 บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์ พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เสียเกินมา 18,000 บาท ให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
|