แบ่งสินสมรส, สินสมรสที่เป็นเงินตรา, แบ่งสินสมรสหลังหย่า สิทธิและหน้าที่, สินส่วนตัวกับสินสมรส ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ แม้สินสมรสที่จำเลยฟ้องแย้งจะเป็นสินสมรสอื่นนอกจากที่โจทก์ระบุในคำฟ้องก็ตามทั้งนี้เพื่อให้ปัญหาการแบ่งสินสมรสเป็นอันยุติไปพร้อมกับการหย่า • คำพิพากษาศาลฎีกา แบ่งสินสมรส, สินสมรสที่เป็นเงินตรา • ป.พ.พ. มาตรา 1532 การหย่า • แบ่งสินสมรสหลังหย่า สิทธิและหน้าที่ • สินส่วนตัวกับสินสมรส กฎหมายไทย • สิทธิการฟ้องแย้งขอแบ่งสินสมรส • การใช้จ่ายสินสมรส ป.พ.พ. มาตรา 1534 • ศาลฎีกา คดีครอบครัวและสินสมรส สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4650/2545 สามารถสรุปความได้ว่า: 1.ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1532 เมื่อฟ้องหย่า ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาจะต้องมีการแบ่งแม้ว่าจะเป็นสินสมรสอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในคำฟ้อง เพื่อให้การแบ่งทรัพย์เป็นที่ยุติไปพร้อมกับการสิ้นสุดการสมรส คดีนี้ศาลตัดสินให้จำเลยมีสิทธิฟ้องแย้งขอแบ่งสินสมรสอื่นได้ 2.โจทก์และจำเลยแยกกันอยู่ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2536 แต่การสมรสยังไม่สิ้นสุด ทำให้สินสมรสยังคงมีอยู่ หากจำเลยใช้เงินสินสมรสเพื่อประโยชน์ส่วนตัว โจทก์มีสิทธิขอให้จำเลยชดใช้ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1534 3.รายได้จากกิจการร้านเสริมสวยมูลค่า 1,000,000 บาท ศาลตัดสินให้รอการแบ่งจนกว่าจะได้รับคืนเงินยืม และศาลไม่สามารถพิจารณาเองได้ 4.กิจการร้านเสริมสวยที่เริ่มก่อนสมรส เป็นสินส่วนตัวของโจทก์และจำเลยตามสัดส่วนเงินลงทุน (2:1) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1471 5.ทรัพย์สินอื่น ๆ เช่น ที่ดินและห้องชุด ศาลตัดสินว่าเป็นสินสมรสเพราะมีการปนกันของรายได้จากกิจการที่ไม่สามารถแยกแยะได้ ทำให้ต้องแบ่งครึ่งให้กับทั้งสองฝ่าย 6.สำหรับเงินฝากธนาคาร ศาลตัดสินว่าเป็นสินสมรสเช่นกันและจะต้องแบ่งครึ่งตามจำนวนเงินที่มีอยู่ ณ วันฟ้อง 7.ศาลสรุปให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 7,278.22 บาท หากโจทก์ไม่เรียกคืนเงินที่ให้ผู้อื่นยืม จำเลยสามารถใช้สิทธิเรียกร้องได้ครึ่งหนึ่ง สรุปคำพิพากษา ศาลตัดสินให้มีการแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์และจำเลยตามที่วินิจฉัยและแก้ไข *หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4650/2545 มีดังนี้: 1.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471: กำหนดเรื่องสินส่วนตัวของสามีภริยา โดยระบุว่า ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส หรือที่ได้มาโดยพินัยกรรมหรือการให้ก่อนหรือหลังสมรส รวมถึงทรัพย์สินที่ได้มาโดยมุ่งหมายให้เป็นสินส่วนตัว จะถือเป็นสินส่วนตัวของผู้นั้น มาตรานี้มีความสำคัญในการกำหนดว่าสินทรัพย์ใดเป็นสินส่วนตัว ซึ่งไม่ต้องแบ่งเมื่อเกิดการหย่า แต่หากมีการใช้ทรัพย์สินร่วมกันจนแยกไม่ออก กฎหมายจะถือว่าส่วนที่ปนกันนั้นเป็นสินสมรส 2.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534: เกี่ยวข้องกับการจัดการสินสมรสระหว่างสามีภริยา ระบุว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้จ่ายสินสมรสเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว อีกฝ่ายสามารถเรียกร้องให้ชดใช้คืนได้ มาตรานี้ใช้ในการพิจารณาความรับผิดชอบกรณีที่จำเลยใช้จ่ายสินสมรสไป โดยต้องพิจารณาว่าเป็นการใช้จ่ายที่ชอบหรือไม่ และหากไม่ชอบ สามีหรือภริยาจะสามารถฟ้องร้องเพื่อขอชดใช้สินสมรสที่ขาดหายไปได้ 3.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142: กำหนดเกี่ยวกับการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาในเรื่องที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยเฉพาะกรณีที่ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาจะต้องพิจารณาปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลสามารถยกขึ้นมาพิจารณาได้เอง แต่ต้องเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับคดี มาตรานี้ใช้ในการพิจารณาว่าศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกเรื่องใดขึ้นมาวินิจฉัยได้เองหรือไม่ โดยในกรณีนี้ ศาลอุทธรณ์ไม่สามารถยกเรื่องการแบ่งสินสมรสขึ้นมาพิจารณาเองได้เพราะไม่ใช่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน 4.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม: ระบุว่า เมื่อมีการพิจารณาคดีถึงที่สุดแล้ว ห้ามมิให้คู่ความยื่นฟ้องคดีใหม่เกี่ยวกับเรื่องที่ได้มีคำพิพากษาไปแล้วในประเด็นเดียวกัน เพื่อป้องกันการฟ้องคดีซ้ำซ้อนและเพื่อให้ความยุติธรรมมีผลต่อไป มาตรานี้มีบทบาทในการยุติปัญหาที่ได้วินิจฉัยไปแล้ว เช่น กรณีที่จำเลยไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ในเรื่องบางประเด็น ทำให้ประเด็นนั้นเป็นที่สิ้นสุดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น หลักกฎหมายเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจถึงการจัดการสินสมรสและการพิจารณาเรื่องการฟ้องร้องและการอุทธรณ์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพิจารณาคดีหย่าและการแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสในกรณีนี้ *ฟ้องหย่า แบ่งสินสมรส การสิ้นสุดแห่งการสมรส การจัดการสินสนมรสที่เป็นเงินตรา คู่สมรสจัดการสินสมรสได้โดยลำพัง ความยินยอมของคู่สมรส, การจัดการสินสมรส คู่สมรสจัดการสินสมรสเป็นที่เสียหาย ชดใชสินสมรสที่ขาดหายไป เมื่อมีการหย่า ก็ต้องจัดการแบ่งสินสมรส เมื่อโจทก์ฟ้องหย่าและขอแบ่งสินสมรส จำเลยมีสิทธิฟ้องแย้งขอแบ่งสินสมรสอื่นนอกจากที่โจทก์ระบุในคำฟ้องได้เพื่อให้การแบ่งสินสมรสสิ้นสุดลงพร้อมการสิ้นสุดแห่งการสมรส ในการจัดการสินสมรสที่เป็นเงินตราคู่สมรสมีอำนาจจัดการได้โดยลำพังไม่ต้องได้รับความยินยอมของอีกฝ่ายหนึ่งแต่หากเป็นที่เสียหายแก่สินสมรส ฝ่ายที่เสียหายขอให้ชดใช้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4650/2545 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1532 กำหนดให้จัดการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาเมื่อมีการหย่าไม่ว่าจะเป็นการหย่าโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือหย่าโดยคำพิพากษาของศาล ฉะนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องหย่าจำเลยและขอแบ่งสินสมรส ระหว่างโจทก์และจำเลยด้วยแล้ว จำเลยก็ย่อมมีสิทธิฟ้องแย้งขอแบ่งสินสมรส ระหว่างโจทก์จำเลยเช่นเดียวกัน แม้สินสมรสที่จำเลยฟ้องแย้งจะเป็นสินสมรสอื่นนอกจากที่โจทก์ระบุในคำฟ้องก็ตามทั้งนี้เพื่อให้ปัญหาการแบ่งสินสมรสเป็นอันยุติไปพร้อมกับการสิ้นสุดแห่งการสมรส โจทก์จำเลยทะเลาะวิวาทกันจนไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้และแยกกันอยู่ตั้งแต่วันที่9 มกราคม 2536 ตลอดมาจนถึงวันฟ้องหย่าแต่การสมรสระหว่างโจทก์จำเลยหาสิ้นสุดลงไม่ สินสมรส ระหว่างโจทก์จำเลยยังดำรงคงอยู่ตลอดเวลาและจำเลยมีอำนาจจัดการสินสมรสที่เป็นเงินตราได้โดยลำพังโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ หากจำเลยใช้จ่ายเงินตราสินสมรสไปเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียวก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องขอให้จำเลยชดใช้ โดยตั้งประเด็นให้ชดใช้สินสมรสที่ขาดหายไปโดยเฉพาะเจาะจงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำนวนเงินสินสมรสในบัญชีเงินฝากที่เป็นฐานในการคิดคำนวณแบ่งปันกันให้ถือตามที่มีอยู่ในวันฟ้อง จึงชอบแล้ว รายได้จากร้านเสริมสวยจำนวน 1,000,000 บาท ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวในการจะต้องคืนเงินส่วนนี้แก่จำเลย แต่จะต้องแบ่งคืนแก่จำเลยเมื่อได้รับชำระเงินยืมจำนวนนี้คืนจากผู้ยืมแล้ว จำเลยมิได้อุทธรณ์ ปัญหาเรื่องเงินจำนวนนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์นำเอาเงิน 1,000,000 บาทมาคำนวณหักกลบลบหนี้ในการแบ่งสินสมรสให้แก่โจทก์จำเลยคนละกึ่งหนึ่ง โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์จึงไม่ชอบกรณีมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสไม่ชอบ แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการบังคับเอากับสินสมรสที่จัดแบ่งแล้วอย่างไร จึงไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจยกขึ้นมาวินิจฉัยเองได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246ประกอบมาตรา 142 ต้องถือว่ารายได้จากร้านเสริมสวย ยังไม่สามารถนำมาคิดคำนวณแบ่งสินสมรสเพราะยังไม่ได้รับชำระคืนจากผู้ยืม เงิน 100,000 บาท ของจำเลยเมื่อนำมารวมกับเงินของโจทก์ไปซื้อที่ดินและบ้านแล้ว ย่อมเปลี่ยนเป็นที่ดินและบ้านที่ซื้อมาจึงไม่มีเงินที่ต้องคืนให้จำเลยหรือโจทก์อีก โจทก์และจำเลยได้ร่วมกันดำเนินกิจการร้านเสริมสวยตั้งแต่ก่อนจดทะเบียนสมรสกัน กิจการร้านเสริมสวยดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่โจทก์และจำเลยมีอยู่แล้วก่อนสมรสจึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์และจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1471(1) โจทก์ลงทุนในกิจการดังกล่าว 200,000 บาท ส่วนจำเลยลงทุน100,000 บาท กิจการร้านเสริมสวย จึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์และจำเลยตามสัดส่วนของเงินลงทุน คือ 2 ต่อ 1 ที่ดินและห้องชุดทั้งสี่ห้องจำเลยได้รับโอนมาภายหลังจากโจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ส่วนเงินดาวน์ของที่ดินและของห้องชุดที่จำเลยนำไปชำระนั้น จำเลยถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคาร ซึ่งเป็นเงินสินส่วนตัวของจำเลย แต่เงินในบัญชีดังกล่าวมีเงินรายได้จากกิจการร้านเสริมสวยรวมอยู่ด้วย ซึ่งเงินรายได้ดังกล่าวเป็นสินสมรส ระหว่างโจทก์จำเลยและไม่อาจแยกได้ว่าส่วนไหนเป็นเงินสินส่วนตัวของจำเลย ส่วนไหนเป็นเงินสินสมรสได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่อาจฟังได้ว่ามีเงินสินส่วนตัวของจำเลยเข้ามาปะปนอยู่กับเงินดาวน์ของที่ดินและของห้องชุดทั้งสี่เป็นจำนวนเท่าใด กรณีจึงต้องถือตามข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 วรรคท้าย ว่าเงินดาวน์ดังกล่าวเป็นสินสมรสด้วยที่ดินและห้องชุดทั้งสี่ห้องนี้จึงเป็นสินสมรสเต็มจำนวนที่จะต้องแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่ง เงินฝากในบัญชีธนาคารมีเงินรายได้จากกิจการร้านเสริมสวยรวมอยู่ด้วยโดยระคนปนกันจนไม่อาจจำแนกได้ว่าแต่ละส่วนเป็นเงินเท่าใดจึงต้องถือตามข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าเงินในบัญชีนี้เป็นสินสมรส ฉะนั้น เมื่อจำเลยถอนเงินในบัญชีดังกล่าวมาเปิดบัญชีเงินฝากประจำ เงินฝากในบัญชีใหม่นี้จึงเป็นสินสมรสที่จะต้องแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่งเช่นเดียวกันด้วย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเงินฝากในบัญชีเงินฝากทั้งสองฉบับคงมีเงินเหลืออยู่เพียงบัญชีเดียวจำนวนเงิน 211,562.61 บาท อันเป็นเงินสินสมรสที่ต้องนำมาแบ่งกันคนละครึ่ง โจทก์อุทธรณ์ว่าเงินในบัญชีดังกล่าวมีการถอนออกไปบางส่วนหลังวันฟ้องเพื่อผ่อนชำระค่าซื้อบ้าน ที่ดินรถยนต์และคอนโดมิเนียม คงเหลือเงินในบัญชีเพียง 39,169.08บาท เท่านั้นจำเลยมิได้โต้แย้งว่า เงินที่ถูกถอนออกไปนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้องอย่างใดเมื่อเงินฝากในบัญชีดังกล่าวเป็นสินสมรสและการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยยังไม่สิ้นสุดลง โจทก์จึงยังคงมีสิทธิจัดการสินสมรสในส่วนที่เป็นเงินตราได้โดยลำพังไม่ต้องได้รับความยินยอมจากจำเลยโดยการถอนเงินจากธนาคารแม้หลังจากฟ้องคดีนี้แล้วได้ จึงต้องถือตามจำนวนเงินที่มีอยู่จริงตามที่โจทก์แถลงและจำเลยยอมรับโดยไม่โต้แย้งคัดค้านจะย้อนหลังไปถือเอาจำนวนเงินที่เคยมีอยู่จริงมิได้ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 2พฤศจิกายน 2533 ไม่มีบุตรด้วยกัน พักอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 295/43 โดยมีบุตรของโจทก์ที่เกิดจากสามีเดิม 3 คน พักอาศัยอยู่ด้วย ระหว่างอยู่ด้วยกันจำเลยประพฤติตนไม่เหมาะสมหาเรื่องทะเลาะวิวาทกับโจทก์ ด่าว่าข่มขู่บุตรของโจทก์ให้หวาดระแวงว่าจะได้รับอันตราย จำเลยไม่ประกอบอาชีพ ไม่อุปการะเลี้ยงดูโจทก์และไม่ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ค่าใช้จ่ายจึงเป็นภาระของโจทก์เพียงผู้เดียว เมื่อต้นปีและปลายปี 2535 จำเลยทุบตีทำร้ายบุตรของโจทก์จนได้รับบาดเจ็บ ทำให้โจทก์และบุตรเกรงกลัวว่าจะได้รับอันตรายต้องออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น ครั้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2536 จำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์ด้วยการลากโจทก์ลงบันไดจากชั้นสองของบ้าน ทำให้โจทก์ตกบันไดประมาณ 8 ขั้นจำเลยยังลากโจทก์ไปที่ห้องรับแขก กดให้โจทก์นอนราบ จับมือโจทก์ไขว้หลังใช้หัวเข่ากดหลังโจทก์ไว้เป็นเวลานาน เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บปากแตก แก้มบวมช้ำ หน้าอกช้ำและห้อเลือด แขนและนิ้วเป็นแผล หัวเข่าแตก โจทก์ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลการกระทำของจำเลยเป็นการประพฤติชั่ว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเดือดร้อนเกินสมควร เป็นการทำร้ายทรมานร่างกายและจิตใจโจทก์อย่างร้ายแรงและไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูโจทก์ โจทก์ไม่สามารถจะทนฝืนใจอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยอีกต่อไปได้ ระหว่างเป็นสามีภริยากันมีสินสมรสคือ 1. ที่ดินโฉนดเลขที่ 40928 เนื้อที่ 13 ตารางวา มีชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 262/51 ราคาประมาณ 1.5 ล้านบาท จำนองไว้แก่ธนาคารกรุงเทพจำกัด ในวงเงิน 700,000 บาท 2. ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5355 เนื้อที่ 2 ไร่ 3งาน 30 ตารางวา มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ราคาประมาณ 200,000 บาท 3. ที่ดินโฉนดเลขที่ 94549 เนื้อที่ 17 ตารางวา มีชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์ พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 81/42 หมู่ที่ 6 ราคาประมาณ 2,000,000 บาท จำนองไว้แก่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขานนทบุรี วงเงิน 1,400,000 บาท 4. ห้องชุดของบริษัทสงวนพัฒนากิจก่อสร้าง จำกัด อาคาร เอ ชั้นที่ 2 ห้องเลขที่27, 28, 31 และ 32 บนโฉนดที่ดินเลขที่ 28439 ถึง 28442 ราคาห้องละ 300,000 บาทรวมเป็นเงิน 1,200,000 บาท มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ จำนองไว้แก่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำกัด และธนาคารทหารไทย จำกัด ในวงเงินห้องละ 275,000 บาท 5. รถยนต์หมายเลขทะเบียน 6ว-3065 กรุงเทพมหานคร ราคาประมาณ 500,000บาท มีชื่อบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอกสิน จำกัด เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ จำเลยเป็นผู้ใช้สิทธิครอบครองตามสัญญาเช่าซื้อ และผ่อนชำระค่าเช่าซื้องวดละ 13,995 บาท 6. เงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขานนทบุรี บัญชีกระแสรายวัน เลขที่ 218103508 3 จำนวนเงิน 15,259.18 บาท และบัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 2182 22645 1จำนวนเงิน 238,335.41 บาท มีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของบัญชี 7. เงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาบางโพ บัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 033 303613 4 จำนวนเงินประมาณ 50,000 บาท มีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของบัญชี สินสมรสดังกล่าวคิดเป็นเงินรวม 5,703,594.59 บาท โจทก์มีสิทธิได้รับกึ่งหนึ่งเป็นเงินประมาณ 2,851,797.30 บาท กับแบ่งความรับผิดในหนี้สินกึ่งหนึ่งเช่นกัน ขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา ให้แบ่งสินสมรสแก่โจทก์และจำเลยในอัตราส่วนเท่ากันคนละ 2,851,797.30 บาท กับแบ่งความรับผิดในหนี้สินต่าง ๆ ของสินสมรสในอัตราส่วนเท่ากัน จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ตั้งแต่ปี 2531ต่อมาจึงได้จดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2533 ระหว่างอยู่กินด้วยกันจำเลยประพฤติตัวเป็นสามีที่ดี ให้ความรักอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรของโจทก์ตลอดมาจำเลยไม่เคยทุบตีบุตรของโจทก์จนได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่อบรมตักเตือนบุตรของโจทก์ที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม แต่บุตรของโจทก์กลับด่าและจะทำร้ายจำเลย จำเลยจึงใช้ไม้เรียวตีทำโทษไป 3 ที โดยไม่มีเจตนาทำร้าย การที่โจทก์พาบุตรไปพักอาศัยอยู่ที่อื่นเป็นความประสงค์ของโจทก์ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวจำเลย สำหรับเรื่องที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์นั้นไม่เป็นความจริงจำเลยเพียงต้องการดูบัญชีรายได้แต่โจทก์ไม่ยินยอมได้ด่าว่าและจะเข้าทำร้ายจำเลย จำเลยจึงปัดป้องอันเป็นการป้องกันตัว โดยไม่มีเจตนาทำร้ายโจทก์ จำเลยไม่เคยทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเกินสมควรหรือประพฤติชั่ว จึงไม่มีเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมายระหว่างอยู่กินด้วยกันตั้งแต่ก่อนจดทะเบียนสมรสตลอดมา โจทก์และจำเลยมีทรัพย์สินที่ร่วมกันทำมาหาได้หลายประการคือ 1. ที่ดินโฉนดเลขที่ 40928 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 262/51 รวมราคาทั้งสิ้นประมาณ 1,500,000 บาท 2. ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5355 ราคาประเมิน200,000 บาท 3. ที่ดินโฉนดเลขที่ 94549 เนื้อที่ 17 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างราคา1,780,000 บาท และจำเลยได้นำเงินสินส่วนตัวชำระเป็นค่าจองและเงินดาวน์เป็นเงิน530,000 บาท จึงเป็นราคาที่ดินสินสมรสเพียง 1,250,000 บาท 4. ห้องชุดเลขที่ 327/446, 327/447, 327/450 และ 327/451 ชั้น 2 อาคารเอตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 28412 ราคาห้องละ 275,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,100,000บาท จดทะเบียนจำนองสองห้องแรกแก่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำกัดและสองห้องหลังแก่ธนาคารทหารไทย จำกัด ในวงเงิน 360,000 บาท จำเลยเป็นผู้ออกเงินสินส่วนตัวชำระค่ามัดจำและเงินดาวน์เป็นเงิน 181,200 บาท คงเหลือสินสมรส จำนวนเพียง 918,800 บาท 5. รถยนต์หมายเลขทะเบียน 6ว-3065 กรุงเทพมหานคร ราคาประมาณ 500,000บาท จำเลยเป็นผู้เช่าซื้อโดยชำระค่าเช่าซื้องวดละ 13,995 บาท จึงเป็นสินสมรสเฉพาะส่วนที่ได้ผ่อนชำระค่างวดและเงินดาวน์เป็นเงินประมาณ 300,000 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่งจากราคารถทั้งคัน จำนวน 500,000 บาท 6. เงินรายได้จากร้านเสริมสวยสกินแคร์ สาขามาบุญครองที่โจทก์และจำเลยทำมาหาได้ร่วมกัน เป็นเงิน 1,000,000 บาท ซึ่งอยู่ที่โจทก์ 7. ที่ดินโฉนดเลขที่ 40964 เนื้อที่ 15 ตารางวา มีชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์พร้อมสิ่งปลูกสร้าง คืออาคารเลขที่ 295/43 มีราคาประมาณ 1,500,000 บาท 8. เงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาบางพลัด บัญชีเลขที่ 1840205346และ 1843025618 จำนวนเงิน 300,000 บาท และ 130,000 บาท ตามลำดับ มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของบัญชี 9. กิจการร้านเสริมสวยสกินแคร์ สาขามาบุญครอง ชั้นที่ 4 อาคารมาบุญครองเลขที่ 444 เช่าพื้นที่ดำเนินกิจการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2535 ถึงวันที่ 30 กันยายน2538 มีชื่อโจทก์เป็นผู้เช่าและประกอบการมีรายได้เดือนละประมาณ 300,000 บาทหากขายกิจการและสิทธิการเช่าจะได้ราคาไม่ต่ำกว่า 2,000,000 บาท 10. กิจการร้านเสริมสวยสกินแคร์ สาขาหลักสี่พลาซ่า ชั้นที่ 3 อาคารหลักสี่พลาซ่า เช่าพื้นที่ดำเนินกิจการตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2534 ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2537เมื่อสิ้นสุดสัญญา ผู้ให้เช่ายินยอมต่อสัญญาเช่าอีก 3 ปี มีชื่อโจทก์เป็นผู้เช่าและจำเลยเป็นผู้ประกอบการ หากขายกิจการและสิทธิการเช่าจะได้ราคาไม่ต่ำกว่า 1,000,000 บาท สำหรับเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาบางโพ บัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 033 3303613 4 และสาขานนทบุรี บัญชีกระแสรายวันเลขที่ 2181 508 3 เป็นสินส่วนตัวของจำเลยโจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่ง ส่วนเงินฝากธนาคารกสิกรไทย สาขานนทบุรีบัญชีประเภทออมทรัพย์เลขที่ 218 2 22655 1 เป็นเงินที่ได้ใช้จ่ายชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์และหนี้เงินกู้ที่โจทก์และจำเลยเป็นลูกหนี้ร่วมกัน และใช้จ่ายในกิจการร้านเสริมสวยสกินแคร์สาขาหลักสี่พลาซ่าหมดไปแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่ง รวมสินสมรสทั้งสิ้นเป็นเงินประมาณ 10,098,800 บาท จำเลยจึงมีสิทธิในทรัพย์สินดังกล่าวกึ่งหนึ่งขอให้ยกฟ้อง แต่หากศาลพิพากษาให้หย่าขาดจากกัน ขอให้แบ่งสินสมรสแก่โจทก์และจำเลยในอัตราเท่า ๆ กัน เป็นเงินคนละ 5,049,400 บาท กับแบ่งความรับผิดในหนี้สินเท่า ๆ กันด้วย โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่มีสิทธิขอแบ่งทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันและสินสมรสตามคำให้การ เพราะจำเลยไม่ได้ใช้สิทธิฟ้องขอหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยาอย่างไรก็ตามทรัพย์สินที่จำเลยระบุในคำให้การและฟ้องแย้งมีจำนวนและมูลค่าไม่ถูกต้องกล่าวคือเงินสดและเงินฝากธนาคารรายการทรัพย์สินข้อ 6 และ ข้อ 8 เป็นเงินส่วนตัวของโจทก์ที่มีอยู่ก่อนสมรส ที่ดินโฉนดเลขที่ 40964 พร้อมสิ่งปลูกสร้างตามรายการทรัพย์สิน ข้อ 7 เป็นทรัพย์สินที่โจทก์ใช้เงินส่วนตัวซื้อมาก่อนสมรส และมีราคาไม่เกิน1,000,000 บาท กิจการร้านเสริมสวยสกินแคร์ทั้งสองสาขา ตามรายการทรัพย์สินข้อ 9และ ข้อ 10 เป็นกิจการส่วนตัวของโจทก์ที่ได้มาก่อนสมรส จำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หากขายและโอนสิทธิการเช่าจะได้ราคาไม่เกินแห่งละ 500,000 บาท ทั้งกิจการดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นของโจทก์แล้ว ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 94549 ตามรายการทรัพย์สินข้อ 3 มีราคาประมาณ 2,000,000 บาท ไม่ใช่ 1,780,000 บาท ทั้งเงินจองและเงินดาวน์ก็เป็นของโจทก์แต่เพียงผู้เดียว สำหรับห้องชุดตามรายการทรัพย์สินข้อ 4 เป็นห้องชุดเดียวกับที่โจทก์ระบุในฟ้อง มีราคาห้องละไม่ต่ำกว่า 300,000 บาท ทั้งเงินจองและเงินดาวน์ก็เป็นของโจทก์เช่นกัน ขอให้ยกฟ้องแย้ง ระหว่างการพิจารณาคู่ความรับกันว่า เฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 40928 และที่ดินตามหนังสือรับรองการใช้ประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5355 เป็นสินสมรส ส่วนรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6 ว.3065 กรุงเทพมหานคร มีมูลค่าสินสมรสตามค่างวดที่ชำระไปแล้ว 300,000 บาท สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 94549 มีราคา 2,000,000 บาท ห้องชุด4 ห้อง มีราคาแท้จริงรวม 1,100,000 บาท และอยู่ในโฉนดเลขที่ 28412 ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 40964 มีราคา 1,500,000 บาท กิจการร้านเสริมสวยสกินแคร์สาขาหลักสี่พลาซ่ามีสิทธิการเช่าที่จะขายได้ 500,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยจำนวน 2,366,881.04 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ กับให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 40928 และ 40964 กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยครึ่งหนึ่งและให้จำเลยแบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5355 จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่ดินโฉนดเลขที่ 94549 กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างและห้องชุดของบริษัทสงวนพัฒนากิจก่อสร้าง จำกัด อาคารเอ ห้องเลขที่ 327/446, 327/447, 327/450 และ 327/451 ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง การแบ่งที่ดินและห้องชุดดังกล่าว ให้โจทก์และจำเลยตกลงแบ่งกันเองก่อน หากตกลงกันไม่ได้ให้นำที่ดินและห้องชุดขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วนค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยจำนวน 492,721.28บาท ให้โจทก์แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 40928 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นสินสมรส ที่ดินโฉนดเลขที่ 40964 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นสินส่วนตัวของโจทก์และจำเลยให้แก่จำเลยครึ่งหนึ่งให้จำเลยแบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5355จังหวัดกาฬสินธุ์ และที่ดินโฉนดเลขที่ 94549 กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างและห้องชุดรวม 4 ห้อง ซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง ให้แบ่งรถยนต์เป็นจำนวนเงินตามราคาที่ชำระแล้วครึ่งหนึ่งคือ 150,000 บาท แก่โจทก์ ให้แบ่งกิจการร้านเสริมสวยสกินแคร์ สาขามาบุญครอง ตามสัดส่วนที่ลงทุนให้โจทก์ 2 ส่วน จำเลย 1 ส่วน การแบ่งกิจการร้านเสริมสวยสกินแคร์ กับ การแบ่งที่ดินและห้องชุดให้โจทก์และจำเลยตกลงแบ่งกันเองก่อน หากตกลงกันไม่ได้ ให้ขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกัน คำขอให้แบ่งทรัพย์อื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 2พฤศจิกายน 2533 ตามใบสำคัญการสมรสเอกสารหมาย จ.3 ไม่มีบุตรด้วยกัน สำหรับปัญหาเรื่องเหตุฟ้องหย่าเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา คงมีปัญหาแต่เฉพาะเรื่องการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาโดยมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยมีสิทธิฟ้องแย้งขอแบ่งสินสมรสอื่นนอกจากสินสมรสที่โจทก์ระบุในคำฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์อ้างว่า จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องแย้งขอแบ่งสินสมรสอื่นนอกจากสินสมรสที่โจทก์ระบุในคำฟ้อง ต้องไปฟ้องขอแบ่งในฐานะเป็นกรรมสิทธิ์รวมในอีกคดีหนึ่งต่างหาก เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1532 กำหนดให้จัดการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาเมื่อมีการหย่าไม่ว่าจะเป็นการหย่าโดยความยินยอมทั้งสองฝ่าย หรือหย่าโดยคำพิพากษาของศาล โดยมีจุดมุ่งหมายให้มีการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่คู่หย่าจะแยกจากกันไปตั้งครอบครัวของตนขึ้นใหม่ ฉะนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องหย่าจำเลยและขอแบ่งสินสมรส ระหว่างโจทก์และจำเลยด้วยแล้วจำเลยก็ย่อมมีสิทธิฟ้องแย้งขอแบ่งสินสมรส ระหว่างโจทก์จำเลยเช่นเดียวกัน แม้สินสมรสที่จำเลยฟ้องแย้งจะเป็นสินสมรสอื่นนอกจากที่โจทก์ระบุในคำฟ้องก็ตาม ทั้งนี้เพื่อให้ปัญหาการแบ่งสินสมรสเป็นอันยุติไปพร้อมกับการสิ้นสุดแห่งการสมรสด้วยการหย่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิฟ้องแย้งขอแบ่งสินสมรสอื่นนอกจากสินสมรสที่โจทก์ระบุในคำฟ้องนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปเรื่องการแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์จำเลย ทรัพย์สินระหว่างโจทก์จำเลยที่จัดแบ่งเป็นที่ยุติแล้ว (1) ที่ดินโฉนดเลขที่ 40928กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นสินสมรส แบ่งคนละครึ่ง และ (2) ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5355 จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นสินสมรสแบ่งกันคนละครึ่ง คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเรื่องการแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์จำเลย ตามฎีกาของโจทก์และฎีกาของจำเลยเริ่มจากรายการแรก เงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขานนทบุรี บัญชีกระแสรายวัน เลขที่ 2181 035083 และบัญชีออมทรัพย์เลขที่ 2182 2 2645 1 ซึ่งเป็นสินสมรส มีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของทั้งสองบัญชีโดยมีปัญหาว่า จำนวนเงินในบัญชีทั้งสองจะถือในวันที่โจทก์ฟ้องหย่าหรือวันสุดท้ายที่โจทก์จำเลยอยู่ร่วมกันคือวันที่ 8 มกราคม 2536 โดยโจทก์ฎีกาว่า จำนวนเงินสินสมรสที่เป็นฐานในการคิดคำนวณแบ่งปันกันต้องถือในวันที่ 8 มกราคม 2536 ที่โจทก์จำเลยอยู่ร่วมทำมาหากินด้วยกันคือจำนวนเงิน 15,259.18 บาท และจำนวนเงิน 238,335.41บาท ตามลำดับ หาใช่จำนวนตามที่มีอยู่ในวันที่โจทก์ฟ้องหย่าไม่นั้น เห็นว่า แม้โจทก์จำเลยจะทะเลาะวิวาทกันจนไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้และแยกกันอยู่ต่างหากจากกันตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2536 ตลอดจนถึงวันฟ้องหย่าก็ตามแต่การสมรสระหว่างโจทก์จำเลยหาสิ้นสุดลงไม่สินสมรสระหว่างโจทก์จำเลยยังดำรงคงอยู่ตลอดเวลาและจำเลยก็มีอำนาจจัดการสินสมรสที่เป็นเงินตรานี้ได้โดยลำพังโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ หากจำเลยใช้จ่ายเงินตราสินสมรสไปเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียวก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องขอให้จำเลยชดใช้ โดยตั้งประเด็นให้ชดใช้สินสมรสที่ขาดหายไปนี้โดยเฉพาะเจาะจงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำนวนเงินสินสมรสในบัญชีเงินฝากทั้งสองที่เป็นฐานในการคิดคำนวณแบ่งปันกันให้ถือวันฟ้องซึ่งมีเงินเพียง 1,990.11 บาท และ 1,735.41 บาท นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น รายการที่สอง รายได้จากร้านเสริมสวยสกินแคร์ สาขามาบุญครอง จำนวนเงิน1,000,000 บาท ซึ่งเป็นสินสมรส โจทก์ฎีกาว่าเงินจำนวน 1,000,000 บาท นี้เป็นสินสมรส แต่โจทก์ให้นายเกรียงศักดิ์ พี่โจทก์ยืมไปและยังไม่ได้รับคืนศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจจัดการสินสมรสที่เป็นเงินตรานี้ได้โดยลำพัง จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวในการที่จะต้องคืนเงินส่วนนี้แก่จำเลย จำเลยมิได้อุทธรณ์ปัญหาข้อนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จะนำเงินจำนวนนี้มาคิดคำนวณเป็นส่วนแบ่งสินสมรสที่โจทก์จะต้องแบ่งให้จำเลย 500,000 บาท ไม่ได้ เพราะโจทก์ยังไม่ได้รับเงินจำนวนนี้คืนมานั้น เห็นว่า ปัญหาเรื่องรายได้จากร้านเสริมสวยสกินแคร์ สาขามาบุญครอง จำนวนเงิน 1,000,000 บาท นี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวในการจะต้องคืนเงินส่วนนี้แก่จำเลย แต่จะต้องแบ่งคืนแก่จำเลยเมื่อได้รับชำระเงินยืมจำนวนนี้คืนจากผู้ยืมแล้ว จำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้แต่อย่างใดปัญหาเรื่องเงินจำนวน 1,000,000 บาทนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์นำเอาเงิน 1,000,000 บาท ดังกล่าวมาคำนวณหักกลบลบหนี้ในการแบ่งสินสมรสให้แก่โจทก์จำเลยคนละกึ่งหนึ่ง โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์จึงไม่ชอบ กรณีมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสไม่ชอบ แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการบังคับเอากับสินสมรสที่จัดแบ่งแล้วอย่างไร จึงไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจยกขึ้นมาวินิจฉัยเองได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 ประกอบมาตรา 142 ต้องถือว่ารายได้จากร้านเสริมสวย สกินแคร์ สาขามาบุญครอง จำนวนเงิน 1,000,000 บาท ในขณะนี้ยังไม่สามารถนำมาคิดคำนวณแบ่งสินสมรสเพราะยังไม่รับชำระคืนจากผู้ยืม ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น รายการที่สาม รถยนต์หมายเลขทะเบียน 6 ว-3065 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสินสมรส มีมูลค่าตามค่างวดที่ชำระไปแล้ว 300,000 บาท โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งรถยนต์สินสมรสกันคนละครึ่ง แต่ในการคิดส่วนแบ่งสินสมรสที่เป็นเงินซึ่งศาลอุทธรณ์กำหนดให้ จำเลยต้องแบ่งให้โจทก์ 26,862.76 บาท ต้องคิดส่วนแบ่งรถยนต์สินสมรส 150,000 บาท มารวมด้วยนั้น เห็นว่า จำนวนเงิน 26,862.76 บาทศาลอุทธรณ์กำหนดแต่เฉพาะสินสมรสที่เป็นเงินตราที่จำเลยต้องแบ่งให้โจทก์เป็นเงินเท่าใดส่วนรถยนต์เป็นทรัพย์สินอื่นเช่นเดียวกับห้องชุดและที่ดินที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งกันคนละครึ่งอยู่แล้ว จึงไม่ต้องนำมาคิดเพิ่มเป็นเงินที่จำเลยจะต้องให้โจทก์เพื่อหักกลบลบกันแต่อย่างใด โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะได้ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งในรถยนต์ สินสมรส นี้อยู่แล้ว เมื่อมีการแบ่งสินสมรสอื่นที่มิใช่เงินตรา ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น รายการที่สี่ ที่ดินโฉนดเลขที่ 40964 กรุงเทพมหานคร พร้อมบ้านเลขที่ 295/43โจทก์ฎีกาว่าที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าว เป็นสินส่วนตัวของโจทก์แต่เพียงผู้เดียว มิใช่สินส่วนตัวของโจทก์และจำเลยคนละครึ่ง โดยฝ่ายโจทก์มีตัวโจทก์ นายศักดา และนายเกรียงศักดิ์ ซึ่งเป็นพี่ชายของโจทก์ เบิกความเป็นพยานว่า นายศักดา ซื้อที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวแทนโจทก์และต่อมาภายหลังนายศักดา ได้โอนให้นายเกรียงศักดิ์ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2532 นายเกรียงศักดิ์ได้โอนที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวให้แก่โจทก์แต่ได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายหลอก ๆ ไว้ ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย ล.21 ฝ่ายจำเลยมีตัวจำเลยเบิกความเป็นพยานว่า จำเลยร่วมกับโจทก์ซื้อที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวจากนายเกรียงศักดิ์ โดยจำเลยถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดเอกสารหมาย ล.61 ซึ่งเป็นบัญชีส่วนตัวของจำเลยนำไปซื้อแคชเชียร์เช็คจำนวนเงิน100,000 บาท ตามเอกสารหมาย ล.42 นำไปชำระค่าที่ดิน เห็นว่า นายศักดาและนายเกรียงศักดิ์เป็นพี่ชายของโจทก์ย่อมมีแนวโน้มที่จะเบิกความเข้าข้างโจทก์ ทั้งพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความไม่สอดคล้องกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งนายเกรียงศักดิ์ถึงกับเบิกความว่ายกที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยเสน่หาแต่ทำสัญญาซื้อขายหลอก ๆ กันไว้ด้วยโดยไม่มีเหตุผลว่า เพราะเหตุใดถึงยกให้โดยเสน่หา พยานโจทก์ดังกล่าวมีน้ำหนักน้อยส่วนจำเลยมีทั้งพยานเอกสารแคชเชียร์เช็คที่ระบุชื่อว่าจ่ายให้นายเกรียงศักดิ์ผู้ขายที่ดินและบ้าน พยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยจึงมีน้ำหนักมากกว่าฝ่ายโจทก์ น่าเชื่อว่าโจทก์จำเลยร่วมกันออกเงินซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 40965 และบ้านเลขที่ 295/43 เมื่อวันที่ 21กันยายน 2532 อันเป็นเวลาก่อนที่โจทก์และจำเลยจะจดทะเบียนสมรสกัน ที่ดินและบ้านดังกล่าวจึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์และจำเลยคนละครึ่ง ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ส่วนแบ่งของจำเลยในที่ดินและบ้านดังกล่าวต้องคิดเพิ่มให้จำเลยอีก 100,000 บาท ในเงินสินส่วนตัวที่จำเลยนำไปซื้อที่ดินและบ้านด้วยกัน เห็นว่า เงินจำนวน 100,000 บาท ของจำเลยเมื่อนำมารวมกับเงินของโจทก์ไปซื้อที่ดินและบ้านแล้วย่อมเปลี่ยนเป็นที่ดินและบ้านที่ซื้อมา จึงไม่มีเงินที่ต้องคืนให้จำเลยหรือโจทก์อีก ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน รายการที่ห้า กิจการร้านเสริมสวยสกินแคร์ สาขามาบุญครอง โจทก์ฎีกาว่า กิจการร้านเสริมสวยดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของโจทก์เพียงผู้เดียว ส่วนจำเลยฎีกาว่า กิจการดังกล่าวโจทก์รับโอนมาเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2535 หลังจากโจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสกันแล้วจึงเป็นสินสมรส ระหว่างโจทก์จำเลย ในปัญหาข้อนี้ฝ่ายโจทก์มีตัวโจทก์เบิกความเป็นพยานว่า กิจการร้านเสริมสวยสกินแคร์ สาขามาบุญครอง เดิมเป็นของนายทวีศักดิ์ น้องชายโจทก์ซึ่งเปิดกิจการมาตั้งแต่ปี 2531 ต่อมา เมื่อต้นปี 2532 โจทก์ซื้อกิจการดังกล่าวมาในราคา 200,000 บาท แล้วดำเนินกิจการต่อไปจนถึงต้นปี 2536 จึงขายกิจการให้แก่นางสดศรี พี่สะใภ้โจทก์ไป ฝ่ายจำเลยมีตัวจำเลยมาเบิกความเป็นพยานว่าโจทก์จำเลยมาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาตั้งแต่เดือนกันยายน2530 ต่อมาวันที่ 31 ตุลาคม 2530 จำเลยเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศเดนมาร์กระหว่างนั้นโจทก์เขียนจดหมายปรึกษาจำเลยเรื่องจะเปิดกิจการร้านเสริมสวย ในเดือนมีนาคม 2531 จำเลยเดินทางกลับประเทศไทยมาช่วยโจทก์ซื้อของวางระเบียบทำบัญชีและจัดทำเอกสารจนกระทั่งสามารถเปิดร้านเสริมสวยสกินแคร์ สาขามาบุญครองได้เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2531 จำเลยถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดเอกสารหมาย ล.51 ซึ่งเป็นบัญชีส่วนตัวมอบให้โจทก์เป็นค่าซ่อมแซมร้านจำนวน 100,000บาท หลังจากเปิดร้านแล้วจำเลยจึงเดินทางไปต่างประเทศ เห็นว่าโจทก์และจำเลยได้ร่วมกันดำเนินกิจการร้านเสริมสวยสกินแคร์ สาขามาบุญครอง ตั้งแต่ก่อนจดทะเบียนสมรสกันในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2533 กิจการร้านเสริมสวยดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่โจทก์และจำเลยมีอยู่แล้วก่อนสมรส จึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์และจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471(1) โจทก์ลงทุนในกิจการดังกล่าว200,000 บาท ส่วนจำเลยลงทุน 100,000 บาท กิจการร้านเสริมสวยสกินแคร์ สาขามาบุญครองจึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์และจำเลยตามสัดส่วนของเงินลงทุน คือ 2 ต่อ 1ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว ฎีกาของทั้งโจทก์และจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น... รายการที่เจ็ด ที่ดินโฉนดเลขที่ 94549 กรุงเทพมหานคร และห้องชุดของบริษัทสงวนพัฒนกิจก่อสร้าง จำกัด อาคาร เอ ห้อง เลขที่ 327/446, 327/447, 327/450 และ327/451 จำเลยฎีกาว่า ที่ดินและห้องชุดทั้งสี่ห้องนี้ มิใช่สินสมรสเต็มจำนวนที่จะแบ่งให้โจทก์จำเลยกันคนละครึ่ง แต่จะต้องหักเงินดาวน์ของที่ดิน 265,000 บาท และเงินดาวน์ห้องชุดทั้งสี่ห้อง 181,200 บาท รวมเป็นเงิน 446,200 บาท ที่จำเลยใช้เงินส่วนตัวของจำเลยชำระไปแล้วออกเสียก่อน ส่วนที่เหลือจึงนำมาแบ่งให้โจทก์จำเลยกันคนละครึ่งเห็นว่า ที่ดินและห้องชุดทั้งสี่ห้องนี้จำเลยได้รับโอนมาเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2534 อันเป็นเวลาภายหลังจากโจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ส่วนเงินดาวน์ของที่ดินและของห้องชุดทั้งสี่ที่จำเลยนำไปชำระนั้นได้ความจากจำเลยว่า จำเลยถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาบางโพ เอกสารหมาย ล.53 ซึ่งเป็นเงินสินส่วนตัวของจำเลย แต่จำเลยก็ยอมรับว่าเงินในบัญชีดังกล่าวมีเงินรายได้จากกิจการร้านเสริมสวยสกินแคร์ รวมอยู่ด้วย ซึ่งเงินรายได้ดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลยและไม่อาจแยกได้ว่าส่วนไหนเป็นเงินสินส่วนตัวของจำเลย ส่วนไหนเป็นเงินสินสมรสได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่อาจฟังได้ว่ามีเงินสินส่วนตัวของจำเลยเข้ามาปะปนอยู่กับเงินดาวน์ของที่ดินและของห้องชุดทั้งสี่เป็นจำนวนเท่าใด กรณีจึงต้องถือตามข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 วรรคท้ายว่า เงินดาวน์ดังกล่าวเป็นสินสมรสด้วย ที่ดินและห้องชุดทั้งสี่ห้องนี้จึงเป็นสินสมรสเต็มจำนวนที่จะต้องแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่ง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น รายการที่แปด เงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาบางโพ บัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 033 3 036134 จำนวน 50,000 บาท จำเลยฎีกาว่าเงินฝากดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยได้มาจากการขายที่ดินส่วนตัวของจำเลย จึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลย มิใช่สินสมรสนั้น เห็นว่า ได้วินิจฉัยในรายการที่เจ็ดแล้วว่า เงินฝากในบัญชีธนาคารกสิกรไทยจำกัด สาขาบางโพ เอกสารหมาย ล.53 มีเงินรายได้จากกิจการร้านเสริมสวยสกินแคร์รวมอยู่ด้วยโดยระคนปนกันจนไม่อาจจำแนกได้ว่าแต่ละส่วนเป็นเงินเท่าใด จึงต้องถือตามข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าเงินในบัญชีนี้เป็นสินสมรส ฉะนั้น เมื่อจำเลยถอนเงินในบัญชีดังกล่าวมาเปิดบัญชีเงินฝากประจำเอกสารหมาย ล.62 เงินฝากในบัญชีใหม่นี้จึงเป็นสินสมรสที่จะต้องแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่งเช่นเดียวกันด้วย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในปัญหานี้ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น รายการที่เก้า เงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาบางพลัด บัญชีเลขที่ 1840205346 และ 184 3025618 จำนวนเงินประมาณ 300,000 บาท และ 130,000บาท ตามลำดับ มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของบัญชีทั้งสองฉบับ จำเลยฎีกาว่าเงินฝากทั้งสองบัญชีดังกล่าวเป็นเงินรายได้ที่โจทก์ได้มาระหว่างสมรส จึงเป็นสินสมรสที่ต้องนำมาแบ่งให้จำเลยครึ่งหนึ่งโดยต้องถือว่ามีเงินอยู่ในบัญชีทั้งสองรวมกันเป็นเงิน 511,562.61บาท ตามที่จำเลยฟ้องแย้งและโจทก์ไม่ได้ให้การแก้ฟ้องแย้งเกี่ยวกับจำนวนเงินที่มีอยู่นั้น เห็นว่า ในปัญหาเรื่องเงินในบัญชีทั้งสองบัญชีมีอยู่เท่าใดนั้น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเงินฝากในบัญชีเงินฝากทั้งสองฉบับนี้คงมีเงินเหลืออยู่เพียงบัญชีเดียวคือบัญชีเลขที่184 3025618 จำนวนเงิน 211,562.61 บาท อันเป็นเงินสินสมรสที่ต้องนำมาแบ่งกันคนละครึ่ง โจทก์อุทธรณ์ว่า เงินในบัญชีดังกล่าวมีการถอนออกไปบางส่วนหลังวันฟ้องเพื่อผ่อนชำระค่าซื้อบ้าน ที่ดิน รถยนต์และคอนโดมิเนียมคงเหลือเงินในบัญชี ณ วันที่2 กรกฎาคม 2536 เพียง 39,169.08 บาท เท่านั้น จำเลยมิได้โต้แย้งว่า เงินที่ถูกถอนออกไปนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้องอย่างใด เมื่อเงินฝากในบัญชีดังกล่าวเป็นสินสมรสและการสมรสระหว่างโจทก์จำเลยยังไม่สิ้นสุดลง โจทก์จึงยังคงมีสิทธิจัดการสินสมรสในส่วนที่เป็นเงินตราได้โดยลำพังโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากจำเลย โดยการถอนเงินจากธนาคารแม้หลังจากฟ้องคดีนี้แล้วได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องถือตามจำนวนเงินที่มีอยู่จริงตามที่โจทก์แถลงและจำเลยยอมรับโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน จะย้อนหลังไปถือเอาจำนวนเงินที่เคยมีอยู่จริงมิได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเงินฝากธนาคารทั้งสองบัญชีดังกล่าวเหลืออยู่เพียง 39,169.08 บาท อันเป็นจำนวนที่ต้องนำมาแบ่งกันระหว่างโจทก์จำเลยคนละครึ่งนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน สรุปได้ว่าทรัพย์สินระหว่างโจทก์จำเลยในส่วนที่เป็นเงินตรานั้น โจทก์ต้องจ่ายให้จำเลย 19,584.54 บาท ส่วนจำเลยต้องจ่ายให้โจทก์ 26,862.76 บาท เมื่อหักกลบลบกันแล้วเฉพาะส่วนที่เป็นเงินตรา จำเลยต้องจ่ายเงินให้โจทก์ 7,278.22 บาท ส่วนทรัพย์สินอื่นให้จัดแบ่งกันตามที่วินิจฉัยมาแล้ว สำหรับทรัพย์สินที่ติดจำนอง หากมีการบังคับจำนองมูลค่าทรัพย์สินน้อยกว่าหนี้จำนองแล้ว โจทก์และจำเลยต้องร่วมกันรับผิดในหนี้ที่เหลือฝ่ายละเท่า ๆ กัน อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์นำเงินสินสมรสจำนวน 1,000,000 บาทให้นายเกรียงศักดิ์ ซึ่งเป็นพี่ชายโจทก์ยืมไปโดยจำเลยไม่ได้คัดค้าน จึงเป็นการจัดการทรัพย์สินร่วมกันที่โจทก์มีอำนาจจะทำไว้ โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวในการที่จะต้องคืนเงินส่วนนี้แก่จำเลย แต่จะต้องคืนเงินแก่จำเลยเมื่อได้รับชำระเงินยืมคืนจากผู้ยืมแล้วโดยยังไม่ได้พิพากษาให้ชัดแจ้ง อาจทำให้เกิดปัญหาในการบังคับคดี จึงเห็นสมควรพิพากษาแก้ไขให้ชัดเจน" พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 7,278.22 บาท สำหรับเงินที่ให้ผู้อื่นกู้ไปจำนวน 1,000,000 บาท หากโจทก์ได้รับชำระเงินยืมคืน |