

ฟ้องหย่าคู่สมรสวิกลจริต, คนไร้ความสามารถกับการหย่า, แบ่งทรัพย์สินหลังหย่าในกรณีคนวิกลจริต ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ฟ้องหย่าคู่สมรสวิกลจริต, คนไร้ความสามารถกับการหย่า, แบ่งทรัพย์สินหลังหย่าในกรณีคนวิกลจริต • เหตุหย่ามาตรา 1516 (6) • คำพิพากษาศาลฎีกาคดีฟ้องหย่า • สิทธิผู้อนุบาลในการฟ้องหย่า • กฎหมายหย่าคนวิกลจริตในไทย • บทบาทศาลในคดีหย่าคนไร้ความสามารถ • มาตรา 32 และ 33 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ "การฟ้องหย่าในกรณีคู่สมรสวิกลจริต: สิทธิของผู้อนุบาลและการแบ่งทรัพย์สินตามกฎหมายไทย" สาระสำคัญ: กรณีคู่สมรสวิกลจริตตลอดมาเกินสามปีและยากจะรักษาให้หาย ผู้อนุบาลมีสิทธิฟ้องหย่าภายใต้เงื่อนไขของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อปกป้องสิทธิและดำเนินการแบ่งสินสมรสอย่างเป็นธรรม. *คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนวิกลจริตและเหตุหย่าภายใต้กฎหมายไทย: การฟ้องหย่าและแบ่งทรัพย์สินในกรณีที่คู่สมรสเป็นคนไร้ความสามารถ ในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนวิกลจริตหรือไร้ความสามารถตามกฎหมาย และเกิดเหตุหย่าขึ้น การดำเนินการตามกฎหมายเพื่อฟ้องหย่ามีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายส่วน เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และบทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินร่วมกันของคู่สมรส ดังนั้น การศึกษาและทำความเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ 1. ความหมายของ "คนวิกลจริต" และ "คนไร้ความสามารถ" ตามกฎหมายไทย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 32 บัญญัติว่า บุคคลวิกลจริตที่ไม่สามารถจัดการงานของตนเองได้ ศาลมีอำนาจสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ โดยจะต้องมีผู้ร้องขอให้ศาลพิจารณา ซึ่งมักเป็นญาติหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องใกล้ชิด เมื่อศาลมีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนไร้ความสามารถ จะต้องมีผู้อนุบาลตาม มาตรา 33 เพื่อจัดการเรื่องสำคัญต่าง ๆ แทนบุคคลดังกล่าว รวมถึงการยื่นฟ้องหย่าในกรณีที่คู่สมรสเป็นคนไร้ความสามารถ 2. เหตุหย่าตามกฎหมายไทย เหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 กำหนดไว้หลายกรณีที่สามารถใช้เป็นเหตุในการฟ้องหย่า ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลวิกลจริตนั้น มีเหตุสำคัญที่สามารถอ้างได้ดังนี้: 1.คู่สมรสฝ่ายหนึ่งมีลักษณะเป็นคนวิกลจริตอย่างร้ายแรง และสภาพดังกล่าวมีลักษณะถาวร ไม่สามารถรักษาให้หายได้ และการใช้ชีวิตร่วมกันต่อไปจะทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่คู่สมรสอีกฝ่าย (มาตรา 1516 (6)) 2.คู่สมรสฝ่ายหนึ่งไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคู่สมรสได้ เช่น การละทิ้งหน้าที่ในครอบครัวหรือการกระทำที่ขัดกับสาระสำคัญของการเป็นคู่สมรส 3. บุคคลที่มีสิทธิยื่นฟ้องหย่าแทนคนวิกลจริต ในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ ผู้อนุบาลของบุคคลดังกล่าวย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอหย่ากับคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง โดยอ้างเหตุหย่าตาม มาตรา 1516 เช่นเดียวกับกรณีทั่วไป การยื่นฟ้องดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อ: 1.คุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของบุคคลวิกลจริต เช่น การป้องกันการถูกเอาเปรียบในทางกฎหมาย 2.การแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส ให้เหมาะสมตามหลักกฎหมาย 4. การแบ่งทรัพย์สินกรณีฟ้องหย่า การแบ่งทรัพย์สินหลังการหย่าเป็นไปตาม มาตรา 1533 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสจะถูกแบ่งครึ่งเท่า ๆ กัน ส่วนสินส่วนตัวจะยังคงเป็นของเจ้าของทรัพย์นั้น ในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ ผู้อนุบาลสามารถจัดการและยื่นคำร้องต่อศาลให้มีการแบ่งทรัพย์สินตามหลักกฎหมาย รวมถึงการพิจารณาหนี้สินที่เกี่ยวข้อง 5. ขั้นตอนการฟ้องหย่าในกรณีที่คู่สมรสเป็นคนไร้ความสามารถ 1.การร้องขอให้ศาลสั่งให้คู่สมรสเป็นคนไร้ความสามารถ ขั้นแรกต้องมีคำสั่งศาลที่ระบุว่าคู่สมรสเป็นคนไร้ความสามารถ และแต่งตั้งผู้อนุบาล 2.ผู้อนุบาลยื่นคำร้องขอหย่า ผู้อนุบาลสามารถยื่นฟ้องหย่าต่อศาลในนามของบุคคลไร้ความสามารถ โดยใช้เหตุหย่าตามมาตรา 1516 3.การพิจารณาของศาล ศาลจะพิจารณาพยานหลักฐานและเหตุผลที่ยื่นฟ้อง รวมถึงความเหมาะสมในการแบ่งทรัพย์สินและการปกป้องสิทธิของทั้งสองฝ่าย 6. กฎหมายที่เกี่ยวข้อง •ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 32, 33, 1516, 1533 •พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และ 246 (เกี่ยวกับการร้องขอในกรณีคนไร้ความสามารถ) 7. บทสรุป กรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนวิกลจริตและศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ บุคคลที่เป็นผู้อนุบาลมีสิทธิฟ้องหย่าและขอแบ่งทรัพย์สินได้ตามกฎหมาย โดยต้องดำเนินการภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด เพื่อคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของบุคคลไร้ความสามารถ ทั้งนี้ ขั้นตอนและการพิจารณาขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและดุลยพินิจของศาลในแต่ละกรณี *อธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบทความ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจถึงหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรณี "คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนวิกลจริตและมีเหตุหย่าเกิดขึ้น" ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จะต้องพิจารณาหลักกฎหมายที่สำคัญจาก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แก่ มาตรา 32, 33, 1516, และ 1533 ดังต่อไปนี้: 1. มาตรา 32: คนวิกลจริตและการร้องขอให้เป็นคนไร้ความสามารถ หลักกฎหมาย: มาตรา 32 บัญญัติว่า “บุคคลวิกลจริตที่ไม่สามารถจัดการงานของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างถาวรหรือชั่วคราวก็ตาม ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนไร้ความสามารถได้ โดยต้องมีคำร้องขอจากญาติ คู่สมรส หรือบุคคลผู้เกี่ยวข้อง” คำอธิบาย: มาตรานี้กำหนดให้บุคคลที่มีอาการวิกลจริตและไม่สามารถจัดการงานของตนเองได้ ศาลสามารถมีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็น คนไร้ความสามารถ ได้เมื่อมีการร้องขอจากบุคคลที่มีส่วนได้เสีย เช่น คู่สมรสหรือญาติใกล้ชิด การสั่งให้บุคคลเป็นคนไร้ความสามารถจะส่งผลให้บุคคลดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการทางกฎหมายด้วยตนเองได้ และต้องมีผู้อนุบาลเป็นผู้ดูแลแทน ในบริบทของบทความ คู่สมรสที่เป็นคนวิกลจริตอาจไม่สามารถฟ้องหย่าด้วยตนเองได้ จึงต้องมีผู้อนุบาลที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาลดำเนินการแทน 2. มาตรา 33: การแต่งตั้งผู้อนุบาลของคนไร้ความสามารถ หลักกฎหมาย: มาตรา 33 บัญญัติว่า “เมื่อศาลมีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนไร้ความสามารถแล้ว จะต้องแต่งตั้งผู้อนุบาลเพื่อจัดการงานต่าง ๆ แทนบุคคลนั้น รวมถึงการปกป้องสิทธิและทรัพย์สินของคนไร้ความสามารถ” คำอธิบาย: ผู้อนุบาลมีหน้าที่สำคัญในการดูแลและจัดการงานทางกฎหมายแทนคนไร้ความสามารถ เช่น การฟ้องหย่า การแบ่งทรัพย์สิน หรือการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของคนไร้ความสามารถ กรณีในบทความ ผู้อนุบาลของคู่สมรสที่เป็นคนไร้ความสามารถมีสิทธิดำเนินการฟ้องหย่าต่อคู่สมรสอีกฝ่าย โดยอ้างเหตุหย่าที่กำหนดในมาตรา 1516 3. มาตรา 1516: เหตุหย่าตามกฎหมาย หลักกฎหมาย: มาตรา 1516 กำหนดเหตุหย่าที่สามารถใช้ฟ้องหย่าได้ โดยในบริบทของบทความเกี่ยวข้องกับเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (6) ดังนี้: “(6) คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีลักษณะเป็นคนวิกลจริตอย่างร้ายแรง และสภาพดังกล่าวมีลักษณะถาวรจนไม่สามารถรักษาให้หายได้ และการใช้ชีวิตคู่ต่อไปจะทำให้เกิดความเดือดร้อนอย่างร้ายแรงแก่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง” คำอธิบาย: มาตรานี้กำหนดว่า หากคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอาการวิกลจริตในลักษณะที่ร้ายแรงและถาวร ไม่สามารถรักษาให้หายได้ และการอยู่ร่วมกันต่อไปก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่คู่สมรสอีกฝ่าย ฝ่ายที่ได้รับความเดือดร้อนสามารถยื่นฟ้องหย่าต่อศาลได้ ในกรณีของบทความ ผู้อนุบาลของคนวิกลจริตสามารถอ้างเหตุหย่าตามมาตรานี้ เพื่อปกป้องสิทธิของบุคคลที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ดังกล่าว 4. มาตรา 1533: การแบ่งทรัพย์สินหลังการหย่า หลักกฎหมาย: มาตรา 1533 บัญญัติว่า “เมื่อมีการหย่าขาดจากกัน ทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสจะต้องแบ่งครึ่งเท่า ๆ กันระหว่างคู่สมรส เว้นแต่จะมีข้อตกลงเป็นอย่างอื่น” คำอธิบาย: มาตรานี้กำหนดว่าเมื่อการหย่าเกิดขึ้น ทรัพย์สินที่ถือเป็นสินสมรสต้องแบ่งกันคนละครึ่ง เว้นแต่มีการตกลงกันไว้เป็นพิเศษ เช่น สัญญาก่อนสมรส (Prenuptial Agreement) ในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนวิกลจริต ผู้อนุบาลจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลให้พิจารณาการแบ่งทรัพย์สินตามหลักการนี้ โดยพิจารณาจากสิทธิและผลประโยชน์ของบุคคลที่เป็นคนไร้ความสามารถ สรุป หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 32, 33, 1516, และ 1533 เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้การจัดการเรื่องการหย่าในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนวิกลจริตเป็นไปอย่างยุติธรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องสิทธิของทั้งคู่สมรสและคนไร้ความสามารถ และเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายอย่างครบถ้วน *มาตรา 1516 (6) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดเหตุฟ้องหย่าว่า หากคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายตามสมควร หรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีหรือภริยาอย่างร้ายแรง จนทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนเกินควร อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิฟ้องหย่าได้ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 1516 (6): 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3608/2531: จำเลยรับบุตรสาวจากภริยาเก่ามาเลี้ยงดูในบ้านเดียวกัน โดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้า และไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูโจทก์ตามสมควร การกระทำดังกล่าวถือเป็นการไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูและเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง ทำให้โจทก์เดือดร้อนเกินควร จึงเป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (6) 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 820/2559: โจทก์บันทึกข้อความในสมุดบันทึกที่แสดงถึงความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับชายอื่น ทำให้ครอบครัวแตกแยกและอีกฝ่ายเดือดร้อนเกินควร การกระทำดังกล่าวถือเป็นการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 1516 (6) 3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5664/2551: การที่ฝ่ายหนึ่งไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายตามสมควร และทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง จนทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนเกินควร ถือเป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (6) 4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1412/2543: โจทก์มีพฤติกรรมที่ส่อแสดงว่านอกใจจำเลย และยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา การกระทำดังกล่าวทำให้จำเลยต้องร้องเรียนและฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงนั้น การกระทำของโจทก์ถือเป็นการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยเดือดร้อนเกินควร จึงเป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (6) 5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4404/2558: การที่ฝ่ายหนึ่งออกจากบ้านและไม่กลับมาอยู่ร่วมกับอีกฝ่ายเป็นเวลานาน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายตามสมควร ถือเป็นการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง ทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนเกินควร เป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (6) 6.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4151/2560: การที่สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (4/2) จากคำพิพากษาข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการตีความและการประยุกต์ใช้มาตรา 1516 (6) ในกรณีต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำมาศึกษาเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมายไทย *สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้: กฎหมายและแนวทางการฟ้องหย่าในประเทศไทย ในกรณีที่สามีหรือภริยาเกิดอาการวิกลจริต ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตสมรสจนทำให้เกิดความเดือดร้อนหรือความยากลำบากในการดำรงชีวิตร่วมกัน กฎหมายไทยได้บัญญัติถึงสิทธิในการฟ้องหย่าภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (6) โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ คู่สมรสที่มีอาการวิกลจริตนั้นต้องมีอาการ ตลอดมาเกินสามปี และเป็นลักษณะของอาการที่ ยากจะหายได้ ดังนี้จะมาอธิบายรายละเอียดเพื่อให้เข้าใจถึงหลักกฎหมายและการดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง 1. ความหมายของ "วิกลจริต" ตามกฎหมาย "วิกลจริต" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมายถึง บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตใจหรือสมองจนไม่สามารถดำรงชีวิตหรือจัดการงานของตนเองได้ตามปกติ โดยอาการดังกล่าวอาจมีลักษณะชั่วคราวหรือถาวร แต่สำหรับการฟ้องหย่าตาม มาตรา 1516 (6) อาการวิกลจริตต้องเป็นไปในลักษณะที่ ยากจะรักษาให้หายได้ และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ 2. เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (6) มาตรา 1516 (6) บัญญัติไว้ว่า คู่สมรสฝ่ายหนึ่งมีสิทธิฟ้องหย่ากรณีที่ อีกฝ่ายหนึ่งมีลักษณะเป็นคนวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และอาการดังกล่าวมีลักษณะถาวรจนยากจะรักษาให้หายได้ ทั้งนี้ การฟ้องหย่าต้องแสดงให้เห็นว่าการดำรงชีวิตคู่ต่อไปจะทำให้ผู้ฟ้องได้รับความเดือดร้อนอย่างร้ายแรง เงื่อนไขสำคัญ: 1.วิกลจริตตลอดมาเกินสามปี: ต้องมีหลักฐานทางการแพทย์หรือเอกสารจากโรงพยาบาลที่รับรองว่าอีกฝ่ายมีอาการวิกลจริตต่อเนื่องเกินสามปี 2.ลักษณะยากจะหายได้: ต้องเป็นอาการที่แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ 3.การเดือดร้อนของคู่สมรสอีกฝ่าย: ต้องพิสูจน์ว่าการอยู่ร่วมกันต่อไปจะทำให้ผู้ฟ้องได้รับความทุกข์หรือเดือดร้อนอย่างร้ายแรง 3. การพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดีหย่า การฟ้องหย่าต้องมีหลักฐานและพยานเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการวิกลจริตของคู่สมรส เช่น: 1.ใบรับรองแพทย์: ใช้ยืนยันว่าอีกฝ่ายมีอาการวิกลจริตจริง 2.รายงานการรักษา: เอกสารที่แสดงว่าการรักษาในช่วงสามปีที่ผ่านมาไม่ได้ผล 3.พยานบุคคล: บุคคลใกล้ชิด เช่น ญาติ หรือเพื่อนบ้าน ที่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของฝ่ายวิกลจริต 4.หลักฐานการเดือดร้อน: เช่น ภาระค่าใช้จ่ายที่ผู้ฟ้องต้องแบกรับ หรือเหตุการณ์ที่เกิดจากพฤติกรรมของอีกฝ่าย 4. การแบ่งทรัพย์สินและสิทธิอื่น ๆ หลังการหย่า หากศาลพิพากษาให้หย่าขาดจากกันตามมาตรา 1516 (6) การแบ่งทรัพย์สินจะดำเนินการตามหลักของ มาตรา 1533 คือการแบ่งทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสคนละครึ่ง ยกเว้นกรณีที่มีข้อตกลงไว้ล่วงหน้าหรือมีเหตุพิเศษที่ศาลพิจารณา นอกจากนี้ หากคู่สมรสที่วิกลจริตมีทรัพย์สินส่วนตัว อาจต้องมีผู้อนุบาลที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาลเข้ามาจัดการทรัพย์สินตาม มาตรา 33 เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบุคคลดังกล่าว 5. คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง เพื่อความชัดเจนในข้อกฎหมาย ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจเกี่ยวกับมาตรา 1516 (6) มีดังนี้: 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 823/2547: คู่สมรสมีอาการวิกลจริตที่รักษาไม่หายและเป็นเหตุให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายในการดูแล จนทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนอย่างร้ายแรง ศาลวินิจฉัยว่าเป็นเหตุหย่าที่ชอบด้วยกฎหมาย 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 422/2559: การวิกลจริตที่ทำให้อีกฝ่ายต้องรับผิดชอบทุกภาระทางการเงินและการดูแลโดยลำพัง ถือเป็นความเดือดร้อนเกินควร 3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3321/2552: หากไม่มีพฤติการณ์ที่แสดงว่าอีกฝ่ายได้รับผลกระทบร้ายแรง การวิกลจริตเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอเป็นเหตุฟ้องหย่า 6. บทสรุป กรณีที่สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปีและอาการดังกล่าวยากจะหายได้ กฎหมายไทยเปิดช่องทางให้คู่สมรสอีกฝ่ายสามารถฟ้องหย่าได้ เพื่อปกป้องสิทธิของตนเองจากการต้องแบกรับความเดือดร้อนเกินควร อย่างไรก็ตาม การดำเนินคดีหย่าดังกล่าวต้องอาศัยพยานหลักฐานที่เพียงพอ และต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างครบถ้วน โดยคำนึงถึงสิทธิและความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย |