ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ฟ้องหย่าคู่สมรสวิกลจริต, คนไร้ความสามารถกับการหย่า, แบ่งทรัพย์สินหลังหย่าในกรณีคนวิกลจริต

ฟ้องหย่าคู่สมรสวิกลจริต,  เหตุหย่ามาตรา 1516 (6),  คนไร้ความสามารถกับการหย่า,  แบ่งทรัพย์สินหลังหย่าในกรณีคนวิกลจริต,  คำพิพากษาศาลฎีกาคดีฟ้องหย่า,  สิทธิผู้อนุบาลในการฟ้องหย่า,  กฎหมายหย่าคนวิกลจริตในไทย,  บทบาทศาลในคดีหย่าคนไร้ความสามารถ,  มาตรา 32 และ 33 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์,

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

ฟ้องหย่าคู่สมรสวิกลจริต, คนไร้ความสามารถกับการหย่า, แบ่งทรัพย์สินหลังหย่าในกรณีคนวิกลจริต

•  เหตุหย่ามาตรา 1516 (6)

•  คำพิพากษาศาลฎีกาคดีฟ้องหย่า

•  สิทธิผู้อนุบาลในการฟ้องหย่า

•  กฎหมายหย่าคนวิกลจริตในไทย

•  บทบาทศาลในคดีหย่าคนไร้ความสามารถ

•  มาตรา 32 และ 33 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์

"การฟ้องหย่าในกรณีคู่สมรสวิกลจริต: สิทธิของผู้อนุบาลและการแบ่งทรัพย์สินตามกฎหมายไทย"

สาระสำคัญ:

กรณีคู่สมรสวิกลจริตตลอดมาเกินสามปีและยากจะรักษาให้หาย ผู้อนุบาลมีสิทธิฟ้องหย่าภายใต้เงื่อนไขของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อปกป้องสิทธิและดำเนินการแบ่งสินสมรสอย่างเป็นธรรม.

*คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนวิกลจริตและเหตุหย่าภายใต้กฎหมายไทย: การฟ้องหย่าและแบ่งทรัพย์สินในกรณีที่คู่สมรสเป็นคนไร้ความสามารถ

ในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนวิกลจริตหรือไร้ความสามารถตามกฎหมาย และเกิดเหตุหย่าขึ้น การดำเนินการตามกฎหมายเพื่อฟ้องหย่ามีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายส่วน เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และบทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินร่วมกันของคู่สมรส ดังนั้น การศึกษาและทำความเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ

1. ความหมายของ "คนวิกลจริต" และ "คนไร้ความสามารถ" ตามกฎหมายไทย

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 32 บัญญัติว่า บุคคลวิกลจริตที่ไม่สามารถจัดการงานของตนเองได้ ศาลมีอำนาจสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ โดยจะต้องมีผู้ร้องขอให้ศาลพิจารณา ซึ่งมักเป็นญาติหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องใกล้ชิด

เมื่อศาลมีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนไร้ความสามารถ จะต้องมีผู้อนุบาลตาม มาตรา 33 เพื่อจัดการเรื่องสำคัญต่าง ๆ แทนบุคคลดังกล่าว รวมถึงการยื่นฟ้องหย่าในกรณีที่คู่สมรสเป็นคนไร้ความสามารถ

2. เหตุหย่าตามกฎหมายไทย

เหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 กำหนดไว้หลายกรณีที่สามารถใช้เป็นเหตุในการฟ้องหย่า ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลวิกลจริตนั้น มีเหตุสำคัญที่สามารถอ้างได้ดังนี้:

1.คู่สมรสฝ่ายหนึ่งมีลักษณะเป็นคนวิกลจริตอย่างร้ายแรง และสภาพดังกล่าวมีลักษณะถาวร ไม่สามารถรักษาให้หายได้ และการใช้ชีวิตร่วมกันต่อไปจะทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่คู่สมรสอีกฝ่าย (มาตรา 1516 (6))

2.คู่สมรสฝ่ายหนึ่งไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคู่สมรสได้ เช่น การละทิ้งหน้าที่ในครอบครัวหรือการกระทำที่ขัดกับสาระสำคัญของการเป็นคู่สมรส

3. บุคคลที่มีสิทธิยื่นฟ้องหย่าแทนคนวิกลจริต

ในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ ผู้อนุบาลของบุคคลดังกล่าวย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอหย่ากับคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง โดยอ้างเหตุหย่าตาม มาตรา 1516 เช่นเดียวกับกรณีทั่วไป

การยื่นฟ้องดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อ:

1.คุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของบุคคลวิกลจริต เช่น การป้องกันการถูกเอาเปรียบในทางกฎหมาย

2.การแบ่งทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส ให้เหมาะสมตามหลักกฎหมาย

4. การแบ่งทรัพย์สินกรณีฟ้องหย่า

การแบ่งทรัพย์สินหลังการหย่าเป็นไปตาม มาตรา 1533 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสจะถูกแบ่งครึ่งเท่า ๆ กัน ส่วนสินส่วนตัวจะยังคงเป็นของเจ้าของทรัพย์นั้น

ในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ ผู้อนุบาลสามารถจัดการและยื่นคำร้องต่อศาลให้มีการแบ่งทรัพย์สินตามหลักกฎหมาย รวมถึงการพิจารณาหนี้สินที่เกี่ยวข้อง

5. ขั้นตอนการฟ้องหย่าในกรณีที่คู่สมรสเป็นคนไร้ความสามารถ

1.การร้องขอให้ศาลสั่งให้คู่สมรสเป็นคนไร้ความสามารถ

ขั้นแรกต้องมีคำสั่งศาลที่ระบุว่าคู่สมรสเป็นคนไร้ความสามารถ และแต่งตั้งผู้อนุบาล

2.ผู้อนุบาลยื่นคำร้องขอหย่า

ผู้อนุบาลสามารถยื่นฟ้องหย่าต่อศาลในนามของบุคคลไร้ความสามารถ โดยใช้เหตุหย่าตามมาตรา 1516

3.การพิจารณาของศาล

ศาลจะพิจารณาพยานหลักฐานและเหตุผลที่ยื่นฟ้อง รวมถึงความเหมาะสมในการแบ่งทรัพย์สินและการปกป้องสิทธิของทั้งสองฝ่าย

6. กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

•ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 32, 33, 1516, 1533

•พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และ 246 (เกี่ยวกับการร้องขอในกรณีคนไร้ความสามารถ)

7. บทสรุป

กรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนวิกลจริตและศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ บุคคลที่เป็นผู้อนุบาลมีสิทธิฟ้องหย่าและขอแบ่งทรัพย์สินได้ตามกฎหมาย โดยต้องดำเนินการภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด เพื่อคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของบุคคลไร้ความสามารถ ทั้งนี้ ขั้นตอนและการพิจารณาขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและดุลยพินิจของศาลในแต่ละกรณี

*อธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบทความ

เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจถึงหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรณี "คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนวิกลจริตและมีเหตุหย่าเกิดขึ้น" ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จะต้องพิจารณาหลักกฎหมายที่สำคัญจาก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แก่ มาตรา 32, 33, 1516, และ 1533 ดังต่อไปนี้:

1. มาตรา 32: คนวิกลจริตและการร้องขอให้เป็นคนไร้ความสามารถ

หลักกฎหมาย: มาตรา 32 บัญญัติว่า

“บุคคลวิกลจริตที่ไม่สามารถจัดการงานของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างถาวรหรือชั่วคราวก็ตาม ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนไร้ความสามารถได้ โดยต้องมีคำร้องขอจากญาติ คู่สมรส หรือบุคคลผู้เกี่ยวข้อง”

คำอธิบาย:

มาตรานี้กำหนดให้บุคคลที่มีอาการวิกลจริตและไม่สามารถจัดการงานของตนเองได้ ศาลสามารถมีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็น คนไร้ความสามารถ ได้เมื่อมีการร้องขอจากบุคคลที่มีส่วนได้เสีย เช่น คู่สมรสหรือญาติใกล้ชิด การสั่งให้บุคคลเป็นคนไร้ความสามารถจะส่งผลให้บุคคลดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการทางกฎหมายด้วยตนเองได้ และต้องมีผู้อนุบาลเป็นผู้ดูแลแทน

ในบริบทของบทความ คู่สมรสที่เป็นคนวิกลจริตอาจไม่สามารถฟ้องหย่าด้วยตนเองได้ จึงต้องมีผู้อนุบาลที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาลดำเนินการแทน

2. มาตรา 33: การแต่งตั้งผู้อนุบาลของคนไร้ความสามารถ

หลักกฎหมาย: มาตรา 33 บัญญัติว่า

“เมื่อศาลมีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนไร้ความสามารถแล้ว จะต้องแต่งตั้งผู้อนุบาลเพื่อจัดการงานต่าง ๆ แทนบุคคลนั้น รวมถึงการปกป้องสิทธิและทรัพย์สินของคนไร้ความสามารถ”

คำอธิบาย:

ผู้อนุบาลมีหน้าที่สำคัญในการดูแลและจัดการงานทางกฎหมายแทนคนไร้ความสามารถ เช่น การฟ้องหย่า การแบ่งทรัพย์สิน หรือการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของคนไร้ความสามารถ

กรณีในบทความ ผู้อนุบาลของคู่สมรสที่เป็นคนไร้ความสามารถมีสิทธิดำเนินการฟ้องหย่าต่อคู่สมรสอีกฝ่าย โดยอ้างเหตุหย่าที่กำหนดในมาตรา 1516

3. มาตรา 1516: เหตุหย่าตามกฎหมาย

หลักกฎหมาย: มาตรา 1516 กำหนดเหตุหย่าที่สามารถใช้ฟ้องหย่าได้ โดยในบริบทของบทความเกี่ยวข้องกับเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (6) ดังนี้:

“(6) คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีลักษณะเป็นคนวิกลจริตอย่างร้ายแรง และสภาพดังกล่าวมีลักษณะถาวรจนไม่สามารถรักษาให้หายได้ และการใช้ชีวิตคู่ต่อไปจะทำให้เกิดความเดือดร้อนอย่างร้ายแรงแก่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง”

คำอธิบาย:

มาตรานี้กำหนดว่า หากคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอาการวิกลจริตในลักษณะที่ร้ายแรงและถาวร ไม่สามารถรักษาให้หายได้ และการอยู่ร่วมกันต่อไปก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่คู่สมรสอีกฝ่าย ฝ่ายที่ได้รับความเดือดร้อนสามารถยื่นฟ้องหย่าต่อศาลได้

ในกรณีของบทความ ผู้อนุบาลของคนวิกลจริตสามารถอ้างเหตุหย่าตามมาตรานี้ เพื่อปกป้องสิทธิของบุคคลที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ดังกล่าว

4. มาตรา 1533: การแบ่งทรัพย์สินหลังการหย่า

หลักกฎหมาย: มาตรา 1533 บัญญัติว่า

“เมื่อมีการหย่าขาดจากกัน ทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสจะต้องแบ่งครึ่งเท่า ๆ กันระหว่างคู่สมรส เว้นแต่จะมีข้อตกลงเป็นอย่างอื่น”

คำอธิบาย:

มาตรานี้กำหนดว่าเมื่อการหย่าเกิดขึ้น ทรัพย์สินที่ถือเป็นสินสมรสต้องแบ่งกันคนละครึ่ง เว้นแต่มีการตกลงกันไว้เป็นพิเศษ เช่น สัญญาก่อนสมรส (Prenuptial Agreement)

ในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนวิกลจริต ผู้อนุบาลจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลให้พิจารณาการแบ่งทรัพย์สินตามหลักการนี้ โดยพิจารณาจากสิทธิและผลประโยชน์ของบุคคลที่เป็นคนไร้ความสามารถ

สรุป

หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 32, 33, 1516, และ 1533 เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้การจัดการเรื่องการหย่าในกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนวิกลจริตเป็นไปอย่างยุติธรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องสิทธิของทั้งคู่สมรสและคนไร้ความสามารถ และเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายอย่างครบถ้วน

*มาตรา 1516 (6) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดเหตุฟ้องหย่าว่า หากคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายตามสมควร หรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีหรือภริยาอย่างร้ายแรง จนทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนเกินควร อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิฟ้องหย่าได้

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 1516 (6):

1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3608/2531: จำเลยรับบุตรสาวจากภริยาเก่ามาเลี้ยงดูในบ้านเดียวกัน โดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้า และไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูโจทก์ตามสมควร การกระทำดังกล่าวถือเป็นการไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูและเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง ทำให้โจทก์เดือดร้อนเกินควร จึงเป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (6) 

2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 820/2559: โจทก์บันทึกข้อความในสมุดบันทึกที่แสดงถึงความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับชายอื่น ทำให้ครอบครัวแตกแยกและอีกฝ่ายเดือดร้อนเกินควร การกระทำดังกล่าวถือเป็นการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 1516 (6) 

3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5664/2551: การที่ฝ่ายหนึ่งไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายตามสมควร และทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง จนทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนเกินควร ถือเป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (6) 

4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1412/2543: โจทก์มีพฤติกรรมที่ส่อแสดงว่านอกใจจำเลย และยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา การกระทำดังกล่าวทำให้จำเลยต้องร้องเรียนและฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงนั้น การกระทำของโจทก์ถือเป็นการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง ทำให้จำเลยเดือดร้อนเกินควร จึงเป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (6) 

5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4404/2558: การที่ฝ่ายหนึ่งออกจากบ้านและไม่กลับมาอยู่ร่วมกับอีกฝ่ายเป็นเวลานาน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายตามสมควร ถือเป็นการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง ทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนเกินควร เป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (6) 

6.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4151/2560: การที่สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (4/2) 

จากคำพิพากษาข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการตีความและการประยุกต์ใช้มาตรา 1516 (6) ในกรณีต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำมาศึกษาเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมายไทย

*สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้: กฎหมายและแนวทางการฟ้องหย่าในประเทศไทย

ในกรณีที่สามีหรือภริยาเกิดอาการวิกลจริต ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตสมรสจนทำให้เกิดความเดือดร้อนหรือความยากลำบากในการดำรงชีวิตร่วมกัน กฎหมายไทยได้บัญญัติถึงสิทธิในการฟ้องหย่าภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (6) โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ คู่สมรสที่มีอาการวิกลจริตนั้นต้องมีอาการ ตลอดมาเกินสามปี และเป็นลักษณะของอาการที่ ยากจะหายได้ ดังนี้จะมาอธิบายรายละเอียดเพื่อให้เข้าใจถึงหลักกฎหมายและการดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง

1. ความหมายของ "วิกลจริต" ตามกฎหมาย

"วิกลจริต" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมายถึง บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตใจหรือสมองจนไม่สามารถดำรงชีวิตหรือจัดการงานของตนเองได้ตามปกติ โดยอาการดังกล่าวอาจมีลักษณะชั่วคราวหรือถาวร แต่สำหรับการฟ้องหย่าตาม มาตรา 1516 (6) อาการวิกลจริตต้องเป็นไปในลักษณะที่ ยากจะรักษาให้หายได้ และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในชีวิตคู่

2. เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (6)

มาตรา 1516 (6) บัญญัติไว้ว่า คู่สมรสฝ่ายหนึ่งมีสิทธิฟ้องหย่ากรณีที่ อีกฝ่ายหนึ่งมีลักษณะเป็นคนวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และอาการดังกล่าวมีลักษณะถาวรจนยากจะรักษาให้หายได้ ทั้งนี้ การฟ้องหย่าต้องแสดงให้เห็นว่าการดำรงชีวิตคู่ต่อไปจะทำให้ผู้ฟ้องได้รับความเดือดร้อนอย่างร้ายแรง

เงื่อนไขสำคัญ:

1.วิกลจริตตลอดมาเกินสามปี: ต้องมีหลักฐานทางการแพทย์หรือเอกสารจากโรงพยาบาลที่รับรองว่าอีกฝ่ายมีอาการวิกลจริตต่อเนื่องเกินสามปี

2.ลักษณะยากจะหายได้: ต้องเป็นอาการที่แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

3.การเดือดร้อนของคู่สมรสอีกฝ่าย: ต้องพิสูจน์ว่าการอยู่ร่วมกันต่อไปจะทำให้ผู้ฟ้องได้รับความทุกข์หรือเดือดร้อนอย่างร้ายแรง

3. การพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดีหย่า

การฟ้องหย่าต้องมีหลักฐานและพยานเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหาในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการวิกลจริตของคู่สมรส เช่น:

1.ใบรับรองแพทย์: ใช้ยืนยันว่าอีกฝ่ายมีอาการวิกลจริตจริง

2.รายงานการรักษา: เอกสารที่แสดงว่าการรักษาในช่วงสามปีที่ผ่านมาไม่ได้ผล

3.พยานบุคคล: บุคคลใกล้ชิด เช่น ญาติ หรือเพื่อนบ้าน ที่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของฝ่ายวิกลจริต

4.หลักฐานการเดือดร้อน: เช่น ภาระค่าใช้จ่ายที่ผู้ฟ้องต้องแบกรับ หรือเหตุการณ์ที่เกิดจากพฤติกรรมของอีกฝ่าย

4. การแบ่งทรัพย์สินและสิทธิอื่น ๆ หลังการหย่า

หากศาลพิพากษาให้หย่าขาดจากกันตามมาตรา 1516 (6) การแบ่งทรัพย์สินจะดำเนินการตามหลักของ มาตรา 1533 คือการแบ่งทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสคนละครึ่ง ยกเว้นกรณีที่มีข้อตกลงไว้ล่วงหน้าหรือมีเหตุพิเศษที่ศาลพิจารณา

นอกจากนี้ หากคู่สมรสที่วิกลจริตมีทรัพย์สินส่วนตัว อาจต้องมีผู้อนุบาลที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาลเข้ามาจัดการทรัพย์สินตาม มาตรา 33 เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบุคคลดังกล่าว

5. คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

เพื่อความชัดเจนในข้อกฎหมาย ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจเกี่ยวกับมาตรา 1516 (6) มีดังนี้:

1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 823/2547: คู่สมรสมีอาการวิกลจริตที่รักษาไม่หายและเป็นเหตุให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายในการดูแล จนทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนอย่างร้ายแรง ศาลวินิจฉัยว่าเป็นเหตุหย่าที่ชอบด้วยกฎหมาย

2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 422/2559: การวิกลจริตที่ทำให้อีกฝ่ายต้องรับผิดชอบทุกภาระทางการเงินและการดูแลโดยลำพัง ถือเป็นความเดือดร้อนเกินควร

3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3321/2552: หากไม่มีพฤติการณ์ที่แสดงว่าอีกฝ่ายได้รับผลกระทบร้ายแรง การวิกลจริตเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอเป็นเหตุฟ้องหย่า

6. บทสรุป

กรณีที่สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปีและอาการดังกล่าวยากจะหายได้ กฎหมายไทยเปิดช่องทางให้คู่สมรสอีกฝ่ายสามารถฟ้องหย่าได้ เพื่อปกป้องสิทธิของตนเองจากการต้องแบกรับความเดือดร้อนเกินควร อย่างไรก็ตาม การดำเนินคดีหย่าดังกล่าวต้องอาศัยพยานหลักฐานที่เพียงพอ และต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างครบถ้วน โดยคำนึงถึงสิทธิและความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย




การสิ้นสุดแห่งการสมรส

คดีฟ้องหย่าและการแบ่งทรัพย์สิน, สิทธิการเรียกค่าเลี้ยงดูของโจทก์, การชำระค่าทดแทนในคดีแพ่ง, การบังคับคดีและสิทธิทายาทในมรดก
เรียกค่าทดแทนจากสามีและหญิงอื่น(เมียน้อย), ยกย่องผู้อื่นฉันภริยา
ข้อตกลงแบ่งค่าเช่าที่ดินในสัญญาหย่า
การหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรย้อนหลัง
การหย่าโดยความยินยอมต้องทำอย่างไร?, หนังสือหย่า
การหย่าโดยความยินยอม, บันทึกเป็นหนังสือประสงค์หย่าขาด
การฟ้องและเรียกค่าทดแทนคดีครอบครัว
สามีภริยาจะต้องมีการร่วมประเวณีกันบ้างแต่ต้องเกิดจากความยินยอม
ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์
ไม่เกิดสิทธิฟ้องหย่าเพราะโจทก์มีพฤติกรรมนอกใจจำเลยยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปี เหตุฟ้องหย่า
สมัครใจแยกกันอยู่, จงใจละทิ้งร้าง, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
การสมรสสิ้นไปด้วยเหตุความตายของคู่สมรสฝ่ายหนึ่ง
แบ่งสินสมรส, สินสมรสที่เป็นเงินตรา, แบ่งสินสมรสหลังหย่า สิทธิและหน้าที่, สินส่วนตัวกับสินสมรส
อายุความฟ้องหย่า, บันทึกข้อตกลงหย่า, หลักกฎหมายมาตรา 1515,
สิทธิฟ้องค่าอุปการะเลี้ยงดูอันจะอยู่ในอายุความ 5 ปี , หน้าที่บิดามารดาในการเลี้ยงดูบุตร
การฟ้องหย่าด้วยเหตุหมิ่นประมาท, สิทธิการฟ้องหย่าหมดอายุความ
นำตำรวจจับกุมภริยา หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง
จงใจละทิ้งร้างภริยาไปเกินหนึ่งปีฟ้องหย่าได้, สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา
การจงใจทิ้งร้างไปเกินกว่า 1 ปีต้องในลักษณะที่ไม่หวนกลับไปหาคู่สมรสอีก
ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร
สิทธิฟ้องหย่าระงับไปเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีเว้นแต่เหตุฟ้องเกิดขึ้นต่อเนื่อง
เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ สิทธิเรียกร้องกำหนดอายุความ 5 ปี
เหตุฟ้องหย่าให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ยื่นฟ้องหย่า
สามีฟ้องหย่า,จงใจละทิ้งร้าง,เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจ, อุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นเป็นภริยา
สมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี ต้องเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุขด้วย
แยกกันอยู่เพราะสามีรับราชการที่อื่น, ไม่ถือว่าเป็นการแยกกันอยู่โดยความสมัครใจ
ทะเลาะกันและทำร้ายร่างกายยังไม่เป็นเหตุฟ้องหย่า
แยกกันอยู่เพราะสามียกย่องหญิงอื่น, เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
ฟ้องหย่าจงใจละทิ้งร้างเรียกสินสอดทองหมั้นคืน
สามีหรือภริยาประพฤติชั่วอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
รู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่าจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่านั้นไม่ได้
พี่น้องของผู้ตายขอเพิกถอนการจดทะเบียนสมรสซ้อนไม่ได้
อำนาจฟ้องขอเพิกถอนการสมรสเพราะสำคัญผิดตัว
ศาลมีอำนาจกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้
ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก-ได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปี ฟ้องหย่าได้
สิทธิฟ้องหย่าระงับเมื่ออีกฝ่ายให้อภัยแล้ว
สมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปีฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะติดต่อกับบุตรของตนได้ตามสมควรแล้วแต่พฤติการณ์
ไม่อาจร่วมประเวณีได้ ต้องการฟ้องหย่า
แยกกันอยู่หรือจงใจละทิ้งร้าง? -อยู่บ้านเดียวกันแต่ก็มีลักษณะแบบต่างคนต่างอยู่
กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง
ไม่ถือว่าจำเลยประพฤติชั่วทำให้โจทก์อับอายถูกเกลียดชังจนเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
สิทธิที่จะเรียกค่าทดแทนชู้สาวนั้นต้องแสดงตนโดยเปิดเผย
เหตุแห่งการฟ้องหย่าทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลงขอให้อีกฝ่ายหนึ่งจ่ายค่าเลี้ยงชีพได้
ฟ้องซ้ำ ค่าอุปการะเลี้ยงดู หนี้ที่ยังไม่ถึงกำหนด
การแบ่งสินสมรสและกรรมสิทธิ์รวม
หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามสามีหรือบุพการี
สัญญาระหว่างสมรสให้ทรัพย์สินของสามีตกเป็นของภริยาห้ามบอกล้าง
ขอเพิกถอนทะเบียนสมรสซ้อน สมรสซ้อนโดยไม่สุจริต
ทะเบียนสมรส ลงชื่อฝ่ายชายคนเดียว, เพิกถอนการรับบุตรบุญธรรม
ฟ้องหย่าอ้างเหตุสมัครใจแยกกันอยู่
ทำร้ายร่างกายถ้าเป็นการร้ายแรงฟ้องหย่าได้, ศาลปรับหนึ่งพันไม่เป็นการร้ายแรง
ฟ้องหย่าอ้างว่าจำเลยดูหมิ่นโจทก์และบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรง
การกระทำของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอันเป็นเหตุฟ้องหย่า
โจทก์ได้ให้อภัยจำเลยเรื่องทำร้ายร่างกายแล้วถือได้ว่าสิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้ย่อมหมดไป
ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน, การทำร้ายคู่สมรส
เหตุฟ้องหย่า เหตุที่ไม่อาจอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ มีอะไรบ้าง
ความสมบูรณ์ของการสมรส, ฟ้องให้การสมรสเป็นโมฆะ
การละเมิดเกิดขึ้นต่อเนื่องอายุความจึงยังไม่เริ่มนับคดีไม่ขาดอายุความ
การฟ้องหย่าและหย่าโดยคำพิพากษาของศาล
ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามี ไม่ฟ้องหย่า
ฟ้องหย่าอ้างสิทธิที่จะเลือกคู่ครองตามรัฐธรรมนูญ
รู้ว่าสามีไปมีหญิงอื่นเกินหนึ่งปีก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้,อายุความ
จงใจละทิ้งร้างไปเกินหนึ่งปี
ฟ้องหย่าได้ที่ศาลใด
สามีโจทก์เข้าออกบ้านของจำเลยในเวลากลางคืนบ่อยครั้ง
การหย่าโดยคำพิพากษาจะมีผลต่อเมื่อเวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุด
หนังสือร้องเรียนผู้บังคับบัญชาเรื่องความสัมพันธ์กับหญิงอื่น
ฟ้องหย่าอ้างแยกกันอยู่เกินสามปีต้องเพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุข
เหตุฟ้องหย่าอ้างว่าใช้วาจาไม่สุภาพและทะเลาะโดยไม่มีเหตุผล
หลักเกณฑ์การใช้สิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพหลังการหย่า
สิทธิฟ้องหย่าของโจทก์หมดไปโจทก์ให้ความยินยอมและรู้เห็นเป็นใจ
คำสั่งขอคุ้มครองชั่วคราวเกี่ยวด้วยดอกผลของสินสมรส
แม้โจทก์ไม่ได้นำสืบเรื่องอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่ศาลมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดได้
จดทะเบียนสมรสโดยต่างไม่ได้ยินยอมเป็นสามีภริยากันอย่างแท้จริง
ความหมายว่า"ค่าอุปการะเลี้ยงดูจนกว่าจะสมรสใหม่และจนกว่าการสมรสสิ้นสุดลง"
ฟ้องหย่าคดีอยู่ระหว่างฎีกาฟ้องคดีใหม่เป็นฟ้องซ้อน
สำนักงานการปฏิรูปฯ (ส.ป.ก.)ขอออกโฉนดโดยมิชอบ
พักโรงแรมห้องเดียวกับสามี ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงชู้โดยไม่ต้องฟ้องหย่า
โจทก์ไม่ทราบแน่ชัดเรื่องชู้สาวจึงไม่เป็นการยินยอมและให้อภัยของโจทก์
บันทึกท้ายทะเบียนการหย่าว่าให้ที่ดินตกเป็นของบุตรเมื่อตายไม่ใช่พินัยกรรม
คดีฟ้องหย่าฟ้องชู้สาวไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังแผ่นบันทึกเสียงที่แอบบันทึกไว้
สมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้
การจดทะเบียนหย่าด้วยการแสดงเจตนาลวง
จดทะเบียนหย่าแล้วก็ฟ้องเรียกค่าทดแทนชู้สาวได้
ขับไล่โจทก์ออกจากบ้านเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง