
| คดีหย่า & ฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. ม.173, ฟ้องซ้ำ, (ฎีกา 8186/2551)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการฟ้องหย่าซ้ำในเหตุเดียวกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามูลเหตุที่โจทก์อ้างในคดีก่อนและคดีนี้เป็นเหตุเดียวกันคือการสมัครใจแยกกันอยู่ตั้งแต่ปลายปี 2539 เมื่อโจทก์เคยนำมาเป็นเหตุฟ้องหย่าแล้ว การฟ้องครั้งใหม่จึงถือเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ส่งผลให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ข้อเท็จจริงของคดี • โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรส มีบุตรชายหนึ่งคน ต่อมาเกิดปัญหาการอยู่ร่วมกัน • ประมาณเดือนตุลาคม 2539 จำเลยพาบุตรออกจากบ้านไปอยู่กับบิดามารดา ถือเป็นการแยกกันอยู่ • ปี 2545 โจทก์ฟ้องหย่าจำเลย โดยอ้างเหตุสมัครใจแยกกันอยู่ จำเลยต่อสู้และฟ้องแย้ง • จำเลยยังฟ้องโจทก์ในคดีอื่น ๆ รวมถึงคดีค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร • ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแตกต่างกัน ก่อนที่คดีนี้จะเข้าสู่ศาลฎีกา • ประเด็นสำคัญคือการฟ้องซ้ำในเหตุหย่าเดียวกัน
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า 1. เหตุหย่าเดียวกัน – การสมัครใจแยกกันอยู่ที่อ้างในคดีนี้ตรงกับเหตุหย่าในคดีเก่า (หมายเลขแดงที่ 810/2547) ที่โจทก์เคยฟ้องแล้ว 2. ไม่มีเหตุใหม่ – ไม่มีพฤติการณ์ว่าคู่สมรสกลับมาอยู่ด้วยกันแล้วเกิดการแยกกันอยู่ใหม่ 3. เข้าห้ามฟ้องซ้อน – เมื่อเป็นเหตุเดียวกัน การฟ้องหย่าซ้ำจึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) 4. ผลของคดี – ศาลฎีกาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฟ้อง และให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
การวิเคราะห์ทางกฎหมาย ประเด็นกฎหมายสำคัญ • ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1): ห้ามมิให้คู่ความฟ้องคดีซ้ำ หากมีมูลเหตุเดียวกันที่เคยฟ้องไปแล้ว • การพิจารณาว่าคดีเป็น ฟ้องซ้อน ต้องดูว่า “เหตุแห่งการฟ้อง” ตรงกันหรือไม่ ไม่ใช่เพียงรูปแบบคำฟ้อง • คดีนี้สะท้อนหลักการว่า การหย่าอ้างเหตุเดียวกัน แม้จะยื่นต่างคดีกัน หากไม่ปรากฏเหตุใหม่ ย่อมเป็นฟ้องซ้ำ นัยสำคัญทางกฎหมาย • สะท้อนการคุ้มครองคู่ความไม่ให้ถูกฟ้องคดีซ้ำซ้อนในข้อเท็จจริงเดียวกัน • ลดภาระศาลและป้องกันความไม่เป็นธรรมแก่จำเลย • ตอกย้ำว่าศาลจะพิจารณาจากเนื้อหามูลเหตุจริง มิใช่ถ้อยคำในคำฟ้อง
IRAC Analysis Issue (ประเด็นปัญหา) โจทก์ฟ้องหย่าโดยอ้างเหตุแยกกันอยู่เกิน 3 ปีเป็นครั้งที่สอง ถือเป็นฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. ม.173 หรือไม่ Rule (กฎเกณฑ์กฎหมาย) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) – ห้ามมิให้ฟ้องซ้ำในมูลเหตุเดียวกัน หากคดีก่อนยังมีผลผูกพัน Application (การปรับใช้) • คดีนี้โจทก์อ้างเหตุแยกกันอยู่ตั้งแต่ตุลาคม 2539 ซึ่งเป็นเหตุเดียวกับคดีก่อน • ไม่ปรากฏว่ามีการกลับมาอยู่ร่วมกันแล้วแยกกันอยู่ใหม่ • ศาลจึงเห็นว่ามูลเหตุเดียวกัน และเป็นฟ้องซ้อนที่ต้องห้าม Conclusion (ข้อสรุป) ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการฟ้องนี้เป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามกฎหมาย จึงพิพากษาแก้เป็นยกฟ้อง
ข้อคิดทางกฎหมาย 1. คดีหย่าอ้างเหตุเดียวกันฟ้องได้เพียงครั้งเดียว หากจะฟ้องใหม่ต้องมีเหตุใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลัง 2. ศาลพิจารณาที่ข้อเท็จจริง ไม่ใช่เพียงถ้อยคำในคำฟ้อง 3. หลักการห้ามฟ้องซ้อนช่วยปกป้องความเป็นธรรม ลดการกลั่นแกล้งและการฟ้องคดีซ้ำซ้อน 4. ผู้ฟ้องต้องระมัดระวังการใช้สิทธิทางศาล หากฟ้องซ้ำอาจถูกยกฟ้องและเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8186/2551 การสมัครใจแยกกันอยู่ซึ่งเป็นมูลเหตุแห่งการฟ้องหย่าตามที่โจทก์อ้างในคดีก่อน เกิดเมื่อประมาณปลายปี 2539 ในคดีนี้โจทก์ก็อ้างมูลเหตุแห่งการฟ้องหย่าเดียวกันที่เกิดเมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2539 อันเป็นช่วงปลายปี 2539 เมื่อไม่ปรากฏว่าในระหว่างนั้นโจทก์และจำเลยได้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วสมัครใจแยกกันอยู่อีกก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ มูลเหตุแห่งการฟ้องหย่าทั้งในคดีก่อนและในคดีนี้จึงเป็นมูลเหตุที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันนั่นเอง เมื่อเป็นเรื่องเดียวกันและโจทก์ได้อ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าในคดีก่อนแล้ว เหตุฟ้องหย่าในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยาจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายระหว่างอยู่กินมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กชายวิชญ์พล ต่อมาประมาณเดือนตุลาคม 2539 จำเลยนำบุตรชายออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กับบิดามารดาอันเป็นการแสดงเจตนาแยกกันอยู่ และไม่ได้กลับไปอยู่กับโจทก์อีก ต่อมาวันที่ 5 กรกฎาคม 2545 โจทก์ฟ้องขอหย่าจำเลยต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1121/2545 จำเลยให้การและฟ้องแย้งในคดีดังกล่าว นอกจากนั้นจำเลยยังฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นและศาลอื่นอีกรวมทั้งสิ้น 5 คดี อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าไม่สามารถอยู่ร่วมกับโจทก์ได้อย่างปกติสุข ซึ่งการแสดงเจตนาของโจทก์และจำเลยดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาสมัครใจแยกกันอยู่ไม่ประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภริยาอีกต่อไป และเป็นการสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่สามารถอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาได้ จนถึงบัดนี้เป็นระยะเวลาเกินกว่า 3 ปี นับตั้งแต่จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1121/2545 ของศาลชั้นต้นดังกล่าว จำเลยประพฤติตัวไม่เหมาะสมโดยรบกวนการอยู่อาศัยของโจทก์ บุกรุกสถานที่พักอาศัย ก่อให้เกิดความวุ่นวายนอกจากนี้จำเลยต้องใช้เวลาในการทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงดูบุตรและดูแลบุตรให้ได้รับความอบอุ่น แต่จำเลยกลับใช้เวลาไปกับการหาข้อมูลในการฟ้องร้องคดีต่อโจทก์ทั้งที่เรื่องดังกล่าวเป็นความผิดของจำเลยเอง จำเลยมีรายได้เดือนละ 9,000 บาท ไม่เพียงพอในการเลี้ยงดูบุตร ต่างจากโจทก์ซึ่งทำงานในตำแหน่งนักบิน สามารถใช้สิทธิของสวัสดิการในการดูแลบุตรได้ดีกว่าจำเลย ขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา ให้โจทก์มีอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์ แต่โจทก์เป็นฝ่ายให้จำเลยไปอยู่กับบิดามารดาของจำเลยเพื่อให้ช่วยในการดูแลบุตรผู้เยาว์ เนื่องจากโจทก์เป็นนักบิน ไม่มีเวลาช่วยดูแลบุตร แต่จำเลยกลับนำเวลาดังกล่าวไปหาหญิงอื่นและคิดเป็นอุบายในการฟ้องหย่ากับจำเลย ต่อมาโจทก์ฟ้องหย่าจำเลยและขอคุ้มครองชั่วคราวโดยขอขายบ้านที่อยู่กินกับจำเลย แต่ศาลไม่อนุญาต โจทก์จึงแอบขายบ้านหลังดังกล่าวไปโดยแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าโจทก์ไม่มีภริยา ทำให้จำเลยไม่สามารถกลับไปอยู่อาศัยที่บ้านหลังดังกล่าวได้ จำเลยจึงฟ้องคดีขอให้เพิกถอนการโอนและดำเนินคดีแก่โจทก์ในข้อหาแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ส่วนในคดีที่โจทก์ฟ้องหย่านั้น จำเลยให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลย และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีอยู่ระหว่างการฎีกา จำเลยเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์มาโดยตลอด ส่วนโจทก์ไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เลย ซึ่งจำเลยได้ฟ้องโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูและศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดู แต่โจทก์ก็ยังไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1121/2545 ของศาลชั้นต้น ซึ่งยังอยู่ในระหว่างระยะเวลายื่นฎีกา โดยโจทก์ขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาไว้ ถ้าหากโจทก์ไม่ยื่นฎีกา คดีนี้ก็จะเป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าวขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นว่า คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนหรือฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 810/2547 หรือไม่ และโจทก์แถลงว่าติดใจในประเด็นที่ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเพียงประเด็นเดียวว่า คดีมีเหตุหย่าเพราะโจทก์และจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินกว่า 3 ปี หรือไม่ ส่วนประเด็นอื่นนั้น ฝ่ายโจทก์ไม่ติดใจที่จะขอให้ศาลวินิจฉัย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีของโจทก์ในประเด็นตามคำฟ้องข้ออื่นนอกจากในคำฟ้องข้อ 2 ต่อไปและมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 810/2547 ของศาลชั้นต้น ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่ากันโดยอ้างเหตุหย่าในคดีดังกล่าวว่าโจทก์และจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาโดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า เหตุหย่าตามคำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ที่ว่า โจทก์และจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีเป็นฟ้องซ้อนในเหตุหย่าเดียวกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 810/2547 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำแถลงรับของคู่ความตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 26 กันยายน 2549 ว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 810/2547 ของศาลชั้นต้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาในคดีนี้โจทก์ขอสละประเด็นอื่นคงเหลือประเด็นที่ว่าโจทก์และจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี เห็นว่า มูลเหตุแห่งการฟ้องหย่าตามที่โจทก์อ้างในคดีก่อนเกิดเมื่อประมาณปลายปี 2539 ในคดีนี้โจทก์ก็อ้างว่ามูลเหตุแห่งการฟ้องหย่าเกิดเมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2539 อันเป็นช่วงปลายปี 2539 เมื่อไม่ปรากฏว่าในระหว่างนั้นโจทก์และจำเลยได้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วสมัครใจแยกกันอยู่อีกก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ดังนั้นมูลเหตุแห่งการฟ้องหย่าทั้งในคดีก่อนและในคดีนี้จึงเป็นมูลเหตุที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันนั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อโจทก์ได้อ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าในคดีก่อนแล้ว เหตุฟ้องหย่าในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น" พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
|






.jpg)
